Loader

อานิสงส์ของการสวดมนต์ เเละ ประโยชน์ของการทำสมาธิ

Started by matakee, May 31, 2009, 17:53:55

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

[HIGHLIGHT=#ebf1dd]                   อานิสงส์ของการสวดมนต์       [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#ebf1dd]รัชกาลที่สี่ ได้นิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน  ครั้นเวลาพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางมาจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ เรือนท่านเจ้าพระยา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้วท่านจึงเทศน์เรื่อง

“ อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก ฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ทรงมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้เป็นผลให้ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า
โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี ๕ โอกาสด้วยกันคือ
๑.เมื่อฟังธรรม
[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๒.เมื่อแสดงธรรม [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๓.เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
๔.เมื่อตรึกตรองธรรมหรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๕.เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ          
[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นที่เป็นประเพณีปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็นสองเวลานั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจที่เศร้าหมองให้หมดสิ้นไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้งสามนั่นคือ [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๑.กาย สะอาดมีอาการสงบเรียบร้อยสำรวม [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๒.ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]๓.วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระพุทธคุณทั้งสาม พร้อมเป็นการขอขมาในการผิดพลาดถ้าหากมี และกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุล เป็นมงคลอันสูงสุดเลยทีเดียว อาตมาภาพขอรับรองต่อท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

การสวดมนต์นี้ ควรสวดให้มีเสียงดังพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจิตตนและประโยชน์ต่อจิตอื่น
[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd]

ประโยชน์ต่อจิตตนคือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด



ประโยชน์ต่อจิตอื่นคือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลด้วยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพและเทวดาที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์มีอยู่จำนวนมากมาย ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างพร้อมพรั่ง เมื่อมีเหล่าพรหมเทพและเทวดาเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่างๆที่ไหนก้อไม่สามารถกล้ำกรายผู้สวดมนต์ได้ ตลอดจนอาณาเขตบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งเทพพรหมและเทวดา ทั้งหลายปกป้องคุ้มครอง เป็นเกราะแก้วคุ้มภัยได้อย่างดีเยี่ยม

ดูก่อน...ท่านอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายในที่นี้  การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก้อดี ความสะดุ้งกลัวก้อดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายต่างๆ ใดๆ ก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล...........สาธุ



[HIGHLIGHT=#ebf1dd][/HIGHLIGHT]
[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ebf1dd][HIGHLIGHT=#ffffff]ประโยชน์ของสมาธิ [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]


[HIGHLIGHT=#ebf1dd][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#ebf1dd]            ประโยชน์ของสมาธิ พูดได้หลายอย่าง เช่น ประโยชน์ทางด้านอภิญญา ประโยชน์ทางด้านศาสนา ประโยชน์ทางด้านบุคลิกภาพ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน[/HIGHLIGHT] [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

1. ประโยชน์ทางด้านอภิญญา เช่น ฝึกสมาธิแล้วได้อภิญญา(ความสามารถพิเศษเหนือสามัญชน) ได้แก่ หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนอื่นได้ แสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ ประโยชน์ด้านนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระศาสนาโดยตรง
         
2. ประโยชน์ที่เป็นจุดหมายทางพุทธศาสนาแบ่งเป็น 4  ระดับ คือ
                  
(2.1)  ประโยชน์ระดับต้น ฝึกสมาธิไประยะหนึ่ง จิตจะหายฟุ้งซ่าน จนถึงระดับได้ฌาน สามารถใช้สมาธิที่ได้ระงับ หรือข่มกิเลสได้ชั่วคราว แค่นี้ก็เรียกได้ว่าได้ "วิมุตติ"(หลุดพ้น)ระดับหนึ่งแล้ว เรียกว่า วิกขัมภมวิมุติ (หลุดพ้นด้วยข่มไว้)ตราบใดที่ยังข่มได้อยู่ เจ้ากิเลสมันก็ไม่ฟุ้งดอกครับ อย่าเผลอก็แล้วกันเผลอเมื่อได เดี๋ยว จะเป็นเรื่อง
               
(2.2) ประโยชน์ระดับสูงสุด ก็คือสมาธิอันเป็นบาทฐานวิปัสนาพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายรู้แจ้งไตรลักษณ์ กำจัดกิเลสได้โดยสิ้นเชิง พูดอีกในหนึ่งก็คือสมาธินำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์นั้นแหละครับ
                  
(2.3) ประโยชน์สมาธิในด้านพัฒนาบุคลิกภาพ ผู้ที่ฝึกสมาธิประจำ ย่อมมีบุคลิกภาพที่พึงปรารถนาหลายประการเช่น
                              
(2.3.1) มีบุคลิกหนักแน่น เข้มแข็ง

(2.3.2) มีความสงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวโกรธ
(2.3.3) มีความสุภาพ นิ่มนวล ท่าทีมีเมตตากรุณา
(2.3.4) สดใส สดชื่น เบิกบาน
(2.3.5) สง่า องอาจ น่าเกรงขาม
(2.3.6) มีความมั่นคงทางอารมณ์

(2.3.7) กระฉับกระเฉง ไม่เซื่องซึม
(2.3.8) พร้อมเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ฉับไว ไม่ต้องอธิบาย เพียงเอ่ยถึง ก็คงเข้าใจแล้วนะครับ
             
(3) ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน คนมักถามว่าฝึกสมาธิแล้วได้ประโยชน์อะไรในชีวิตประจำวัน ฝึกแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานน่ะ รู้แล้วว่าพระคัมภีร์พูดไว้จริง แต่ได้จริงหรือเปล่า ยังไม่เคยเห็น ถ้าจะให้ทำเองก็ไม่ทราบว่าเมื่อไรจะเห็นผล เอาในชีวิตประจำวันเห็นๆกันนี้ดีกว่าว่าฝึกแล้วได้อะไร
ได้มากมายทีเดียวกันเช่น

(3.1) ทำให้ใจสบาย ไม่เครียด มีความสุข ผ่องใส
(3.2) หายหวาดกลัว หายกระวนกระวายโดยไม่จำเป็น

(3.3) นอนหลับง่าย ไม่ฝันร้าย สั่งตัวเองได้(เช่น สั่งให้หลับหรือตื่นตามเวลาที่กำหนดไว้ได้
(3.4) กระฉับกระเฉง ว่องไว รู้จักเลือกและตัดสินใจเหมาะแก่สถานการณ์
(3.5) มีความแน่วแน่ในจุดหมาย มีความใฝ่สัมฤทธิ์สูง
(3.6) มีสติสัมปชัญญะดี รู้เท่าปรากฏการณ์ และยับยั้งใจได้ดีเยี่ยม

(3.7) มีประสิทธิภาพในการทำงาน ทำกิจกรรมสำเร็จด้วยดี
(3.8) ส่งเสริมสมรรถภาพมันสมอง เรียนหนังสือเก่ง ความจำดีเยี่ยม
(3.9) เกื้อกูลต่อสุขภาพร่างกาย เช่นชะลอความแก่ หรืออ่อนกว่าวัย
(3.10) รักษาโรคบางอย่าง เช่น โรคเครียด โรคท้องผูก โรคความดันโลหิต โรคหืด หรือโรคกายจิตอย่างอื่น 
โรคกายจิต(อ่านว่าโรค กา-ยะ-จิต)  หมายถึง ไม่เป็นโรค แต่ใจคิดว่าเป็น คิดบ่อยๆเข้าก็เลยเป็นจริงๆ อาการอย่างนี้ฝึกสมาธิสักพักเดียวก็หาย


ขอบคุณครับ สำหรับบทความดีๆ

เมื่อก่อนนี้ทำบอร์ด จะมีห้องปฏิบัติสมาธิอยู่

พอได้อ่านทำให้คิดๆๆ ว่าจะนำกลับมาดีไม๊น้า



เค้าบอกว่าการทำสมาธินอกจากจิตใจของเราจะบริสุทธิ์  และมีสมาธิเพิ่มขึ้นแล้ว

หน้าตายังผ่องใส แลดูอ่อนเยาว์  ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจิงค่ะ


คงเป็นเพราะจิตใจของเรา มีความสุขอยู่เสมอ ไม่เครียด  หน้าไม่แก่

ไม่ได้ไร้สาระนะคะ  แต่ว่าการทำสมาธิ เป็นเรื่องที่ดี และเกิดผลจิงๆ คะ
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

สาธุ อนุโมทามิ

ขอบคุณในความอนุเคราะห์ค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


ขอบคุณครับ ผมอยากเก่งสมาธิบ้างจัง ถ้ามีกูรูท่านใดสอนได้ ก็บอกกันบ้างนะครับ อิอิ



Quote from: สฺวสฺติ on October 14, 2009, 12:44:51
ขอบคุณครับ ผมอยากเก่งสมาธิบ้างจัง ถ้ามีกูรูท่านใดสอนได้ ก็บอกกันบ้างนะครับ อิอิ



พี่สวสติครับ อย่างพี่ไม่เก่ง แล้วอย่างผมเรียกอะไรล่ะคร๊าบ  

นำกลับมาสิคะพี่ จะได้ร่วมกันฝึกให้ใจสดใส ลดภาวะโลกร้อนด้วย
ด้วยใจบูชา