Loader

อยากรู้ว่าพระแม่อุมา ทรง เสือ กับทรงสิงโต ต่างกันรึเปล่าครับ

Started by preedak, December 12, 2009, 17:53:38

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

หรือว่าเป็นปางเดียวกัน และพระกรต่างกันรึเปล่าครับ
ศาสตราวุธ ที่ถือต่างกันรึเปล่าครับ รบกวนถามครับ

ปางเดียวกัน

ผมว่าแต่เดิมเขาทำเป็นสิงห์มากกว่า และคิดว่าในศิลปะเขาวาดเป็น"ราชสีห์"สัตว์ในเทพนิยาย

แม้แต่ภาพสลักฮินดูแบบเขมร ก็เป็น"สิงห์"ซะส่วนใหญ่

บ้างก็ว่าทรงเสือเป็นพระศรีอุมาเทวีครับ ส่วนทรงราชสีเป็นพระแม่ทุรคาครับ ฟังเขามาอีกทีนะ

ถ้าเป็นคติโบราณ  พระอุมาจะประทับนั่งบนบัลลังก์  ส่วนพระทุรคาจะทรงประทับบนหลังเสือหรือสิงโต  ซึ่งตามหลักเทววิทยาพระอุมากับพระทุรคา  เป็นเทพคนละองกันครับ  ต่อมามีการนำพระทุรคามารวมเป็นภาคหนึ่งของพระอุมา  ทำให้รูปเคารพในสมัยต่อมมาของพระทุรคา  แทนด้วยเทพนารีที่งดงามและทรงอำนาจแบบพระอุมา  มีหลายพระกร  อาวุธครบมือ  และประทับบนหลังเสือหรือสิงโต

ผู้คนจึงนับถือพระทุรคาในฐานะ  ภาคหนึ่งของพระอุมาตลอดมา  และเข้าใจว่าเทพนารีที่งดงามและทรงอำนาจที่ประทับบนเสือหรือสิงโตนั้นก็คือพระอุมานั่นเอง  และต่อมามีผู้แบ่งไปอีกว่า  ถ้าองค์ไหนเป็นพระอุมาจะประทับบนหลังเสือ  องค์ไหนคือพระทุรคาจะประทับบนสิงโต

ทั้งพระอุมาและพระทุรคา  ทรงอุปถัมภ์และประทานพร เรื่องพลังอำนาจ  และชัยชนะ  เหมือนกัน  แต่จะต่างกันที่รายละเอียดครับ  !!

ขอบคุณนะครับที่มาให้ข้อมูลนะ หลายตำนานดีจังครับ

ขอบคุณนะครับที่มาให้ข้อมูลนะ หลายตำนานดีจังครับ

Quote from: Naga on December 18, 2009, 22:49:23
ถ้าเป็นคติโบราณ  พระอุมาจะประทับนั่งบนบัลลังก์  ส่วนพระทุรคาจะทรงประทับบนหลังเสือหรือสิงโต  ซึ่งตามหลักเทววิทยาพระอุมากับพระทุรคา  เป็นเทพคนละองกันครับ  ต่อมามีการนำพระทุรคามารวมเป็นภาคหนึ่งของพระอุมา  ทำให้รูปเคารพในสมัยต่อมมาของพระทุรคา  แทนด้วยเทพนารีที่งดงามและทรงอำนาจแบบพระอุมา  มีหลายพระกร  อาวุธครบมือ  และประทับบนหลังเสือหรือสิงโต

ผู้คนจึงนับถือพระทุรคาในฐานะ  ภาคหนึ่งของพระอุมาตลอดมา  และเข้าใจว่าเทพนารีที่งดงามและทรงอำนาจที่ประทับบนเสือหรือสิงโตนั้นก็คือพระอุมานั่นเอง  และต่อมามีผู้แบ่งไปอีกว่า  ถ้าองค์ไหนเป็นพระอุมาจะประทับบนหลังเสือ  องค์ไหนคือพระทุรคาจะประทับบนสิงโต

ทั้งพระอุมาและพระทุรคา  ทรงอุปถัมภ์และประทานพร เรื่องพลังอำนาจ  และชัยชนะ  เหมือนกัน  แต่จะต่างกันที่รายละเอียดครับ  !!

รบกวนขอรายละเอียด

ตำนานของพระแม่ทุรคา

หน่อยใด้ไม๊ครับ????

หากไม่รบกวนเกินไป ผมรักและชอบพระแม่ทุรคามากๆ

อยากรู้มากๆ มีเท่าไหร่ขอให้หมดนะค๊าบบ

ขอบคุณล่วงหน้านะคับคุณ NaGa

จะมาทวงบ่อยๆด้วย

~หุหุ
Yes, I  Love  HM...       


ขอบคุณครับ คุณ ปลาวาฬ

แต่มีฉบับ ภาษาไทยไม๊ครับ

เพื่อประโยชน์และง่ายต่อการศึกษา

ต่อท่านอื่นๆด้วยอ่ะคับ

ผมก็ไม่เก่งภาษาเท่าไหร่ด้วยดิ

~หุหุ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B2
ภาษาไทยคับ
Yes, I  Love  HM...       



พระแม่ทุรคา ศิลปะเขมรยุคแรกๆ

อยากเห็นภาพของฮินดูในยุคแรก ๆ อ่ะค่ะ ว่าทรงประทับบนอะไร รบกวนคุณ ตรีศิงกุ ด้วยค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


บอกตรงๆว่าผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีเทพฮินดูองค์ไหนที่ทรงเสือเป็นพาหนะ???

พระอินทร์ มีพาหนะ3ตัว ม้า1ตัว ช้าง2เชือก
พระวรุณ มีพาหนะเป็นหงส์และมังกร
ท้าวกุเวร มีพาหนะเป็นสิงห์ และม้า
พระพาย มีพาหนะเป็นละมั่ง
พระอัคนี มีพาหนะเป็นเลียงผา และแรด
พระอาทิตย์ พระจันทร์ มีพาหนะเป็นม้า

และมันน่าแปลกอย่างนึง พระแม่ปารวดีปางทุรคาเท่านั้น เทพอื่นๆที่เห็นก็มีพระราหู ที่มีเสือและสิงห์เป็นพาหนะ

และน่าสังเกตว่าสัตว์ที่เป็นพาหนะเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพดั้งเดิม เป็นสัตว์ไม่มีพิษภัยอะไรกับคน สัตว์มีประโยชน์กับคนมากๆ หรือไม่ก็เป็นสัตว์ในเทพนิยาย

โดยเฉพาะ"สิงโต"แบบไลออนคิง นี่ก็เป็นสัตว์นำเข้าจากเมืองนอก ชมพูทวีปไม่มี มีแต่"สิงห์"ที่เป็นสัตว์ในนิยาย

.......

ผมคิดว่าพระแม่ทุรคาแบบดั้งเดิม อาจไม่ได้ทรงอะไรเป็นพาหนะ ท่านอาจจะเหาะไปปราบอสูร....อาวุธท่านเต็มมือ ยังต้องมีพาหนะอีกหรอครับ????

 
พระแม่ทุรคาเทวี
เทพรวมบารมีสร้าง
"ทุรคาเทวี"
เทวดาพร้อมใจมอบอาวุธคู่กาย

    พระมหิษะ เป็นบุตรของอสูรรัมภะกับควายเพศเมียตัวหนึ่ง ความ
เดิมนั้นอสูรสองพี่น้องพระรัมภะและกรัมพะ ไม่มีโอรสสืบสกุล อสูรทั้ง
สองได้เดินทางไปยังริมฝั่งแม่น้ำ ปัญจนัท เพื่อถือพรตกรรมฐาน ฝ่าย
กรัมพะได้ประกอบสมาธิในน้ำ ฝ่ายรัมภะประกอบพิธีสมาธิบนบกการ
บำเพ็ญในครั้งนี้พระอินทร์เห็นว่าจะเป็นภัยต่อจักรวาลภายหน้า จึง
คิดหาหนทางกำจัดเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมพระอินทร์ได้แปลงเป็นจระเข้
ขนาดใหญ่กัดกรัมพะถึงแก่ความตาย
   ฝ่ายอสูรผู้น้อง เมื่อเห็นพี่ชายสิ้นชีพไปก็เกิดความเคียดแค้น ตั้งใจ
จะถวายศรีษะของตนให้กับพระเพลิง ฝ่ายพระเพลิงได้ห้ามปรามไว้
และประทานพรให้ตามความปรารถนา รัมภะได้ขอพรว่า ขอให้ตนมี
ลูกชายตนหนึ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะเก่งกาจกล้าหาญยิ่งใหญ่ในสามโลก
   หลังได้คำพรอสูรรัมภะได้เดินทางกลับระหว่างทางได้พบความเพศ
เมียเข้าตัวหนึ่งจึงได้ร่วมสังวาสและนำนางควายผู้เป็นภรรยานั้นกลับ
เมืองบาดาลต่อไป
   ระหว่างทาง รัมภะ ถูกควายตัวผู้ซึ่งมีความพิศสมัยในควายเพศเมีย
ที่อสูรรัมภะพามาด้วยขวิดจนตาย บรรดาบริวารอสูรได้สังหารควาย
ตัวผู้นั้น และนำศพอสูรที่สิ้นชีพมาทำพิธีศพตามลัทธิศาสนาของตน
ระหว่างการเผาศพอสูรนั้น นางควายรู้สึกเศร้าสร้อยจิตใจสลดหดหู่
เป็นที่สุดสุดท้ายนางตัดสินใจกระโดดเข้ากองไฟตายตามสามีแต่เมื่อ
เถ้าถ่านมอดลงเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมีทารกน้อยคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น
และนอนอยู่บนกองขี้เถ้า ทารกคนนี้เป็นบุตรของรัมภะและนางควาย
ตัวเมีย และมีชื่อต่อมาว่า พระมหิษะ หรือ พระมหิษะสูร ต่อมาได้เป็น
กษัตริย์สืบต่อราชบัลลังก์จากบิดา....

ต่อมามหิษาสูร ได้สำรวมสมาธิกรรมฐาน ณ.เทือกเขาพระสุเมรุ ด้วยการระลึกถึงพระ
พรหม อยู่นานถึง 10,000 ปี พระพรหมพอพระทัยมากและให้คำพรว่า จะเป็นผู้มีชี
วิตเป็นอมตะ ไม่ว่าเทพเจ้า มนุษย์ อสูรเพศชาย ก็มิอาจสังหารให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่ผู้
ที่จะสังหารอสูรนี้ได้ต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากธรรมชาติ พูดง่ายๆคือ ไม่
ได้เกิดแต่ครรภ์มารดา เป็นหนึ่งในอำนาจทั้งหมดของจักรวาลเท่านั้นที่จะประหารได้
   ต่อมามหิษาสูร ได้รวมพรรคพวกอสูรทั้งหลาย ขึ้นไปรุกรานบนสรวงสวรรค์แต่ไม่มี
เทพเทวดาพระองค์ใดเลยที่จะทำลายอสูรตนนี้ได้การสู้รบระหว่างอสูรและเทวดายาว
นานนับร้อยปีในที่สุดพระพรหมต้องเข้ามาคลี่คลายความข้องใจให้กับเทวดาทั้งหลาย
ว่า มหิษาสูรจะสิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้หญิงเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาหรือ
เทพธิดาใดๆที่มีอยู่แต่พวกมหาเทพทั้งหลายต้องร่วมมือกันสร้างผู้หยิงยิ่งใหญ่พระนาง
หนึ่งขึ้นมาเพื่อการนี้  เทพธิดาพระองค์นี้ต้องเกิดจากอำนาจของเทวะทั้งหมดมารวม
กัน.....
พวกเทพทั้งหลายก็เลยต้องมอบพลังของแต่ละพระองค์ เพื่อสร้างธิดาองค์นี้ขณะเดียว
กันเทวดาทั้งหลายก็ต้องมอบอาวุธอันยิ่งใหญ่ให้แก่นางด้วย และพลังอำนาจทั้งหมดนี้
ยังผลให้เกิด พระทรุคา นางซึ่งมิได้เกิดแต่ครรภ์มารดา ซึ่งคุณลักษณะของพระนางทั้ง
ร่าง เกิดจาก.....

พระพักตร์อันสวยงามหมดจดนั้น
-เกิดจากอำนาจแห่งพระศิวะเทพ
พระเกศาที่ดำเป็นเงาวาว
-เกิดจากอำนาจของพระยมราช
เนตรกลมโต ขอบตาเป็นสีขาว ปลายแดง คิ้วโก่ง
-เกิดจากอำนาจของพระแม่สันธนา
พระกรรณ
-เกิดจากอำนาจของพระวายุ
จมูกที่เป็นสันโด่ง
-เกิดจากอำนาจของท้าวกุเบร
ฟันที่เรียงงามแวววาวประดุจเพชร
-เกิดจากพระทักษะประชาบดี
ริมฝีปากล่างสีแดง
-เกิดจากอำนาจของพระวรุณ
ริมฝีปากบน
-เกิดจากอำนาจของพระขันธกุมาร
พระกรทั้ง 18 ที่งดงามได้สัดส่วน
-เกิดจากอำนาจพระวิษณุเทพ
นิ้วเรียวยาว
-เกิดจากอำนาจของพระวสุส์
เต้านมที่กมกลึงดั่งปทุมมาลย์นั้น
-เกิดจากอำนาจของพระโสม
สะดือ 3 รู
-เกิดจากอำนาจของพระอินทร์
พระฌงค์ และ น่อง
-เกิดจากอำนาจของพระวรุณ
สะโพกอันกว้างใหญ่นั้น
-เกิดจากอำนาจของพระธรณี

บรรดาทวยเทพทั้งหลายต่างยินดีร้องเพลงสรรเสริญพระแม่พร้อมกับมอบศาสตราวุธให้...

พระกษิโรธ (พระสมุทรน้ำนม)
-มอบสร้อยคอที่ทำด้วยเพชรและผ้าไหมชั้นดี 2 ชิ้น ซึ่งไม่มีวันเก่า
แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานสักเพียงใด
พระวิษวกรรม
-มอบสังวาลย์เพชร ต่างหู เข็มขัด รัดแขนที่มีประกายดุจอาทิตย์ร้อย
ดวง
พระวรุณ
-มอบมาลัยดอกไม้และดอกบัวสวรรค์ที่ไม่มีวันอับเฉาส่งกลิ่นหอมตลอด
เวลาเพื่อสวมพระศอ
พระหิมวัต(เจ้าแห่งหิมาลัย)
-มอบเครื่องเพชรพลอยเป็นจำนวนมากและสิงห์โตทองคำ ให้เป็นพา
หนะ
พนะอินทร์
-มอบอาวุธอสุนีบาตและระฆังทองคำที่มีเสียงอันดังซึ่งเคยแขวนไว้กับ
ช้างเอราวัณแก่พระแม่
พระวิษณุเทพ
-มอบจักร อาวุธที่สามารถตัดหัวอสูรได้ในพริบตา
พระศิวะเทพ-มอบตรีศูล
พระวรุณ-มอบสังข์ขาว
พระอัคคี-มอบศาสตราวุธ ศัตฆานิ
พระมรุต(พระพาย)-มอบคันศร และ ลูกธนู
พระยม-มอบตะบองที่สามารถเรียกชีวิตมนุษย์
พระพรหม-มอบหม้อน้ำกมันทลุ ที่ใส่น้ำจากพระคงคาำไว้เต็ม
พระวรุณ-มอบบ่วงบาศก์
พระกาล-มอบขวาน และ กำบังอาวุธ
พระวิศวกรรม-มอบปรศุ อาวุธที่แหลมคม
พระกุเบร-มอบหม้อทองคำใส่น้ำจันทน์
พระวิศวกรรม-มอบคธากุโมทกี ที่สามารถฆ่าศัตตรูได้รวดเร็ว
พระอาทิตย์-ถวายรัศมี....
จากนั้นบรรดาทวยเทพทั้งหลายได้สรรเสริญ และกราบทูลให้ช่วยทำศึกกับมหิษาสูร
เมื่อพระนางเคลื่อนทัพสู่สนามรบ ฝ่ายอสูรได้เห็นความงดงามของพระนาง คิดอยาก
จะได้พระนางเป็นคู่ครอง ขณะเดียวกันนางได้ประกาศว่า พระนางคือมารดาแห่งเทวะ
ถือกำเนิดมาเพื่อทำลายพรของพระพรหมที่มอบให้มหิษาสูร การต่อสู้ระหว่างมหาเทวี
ทุรคากับอสูรเป็นไปอย่างดุเดือด อสูรร้ายแปลงร่างเป็นสิงห์โตและช้างที่มีงวงยาวใหญ่
รูดภูเขาเหวี่ยงใส่พระแม่ แต่นางได้ใช้ลูกศรทลายภูเขาจนแหลกละเอียด สิงห์โตทอง
คำสัตว์พาหนะของพระแม่ กระโจนใส่สู้ศึกกับช้างของอสูร จิกข่วนจนเลือดไหลท่วมตัว
จากนั้นพระแม่ได้ใช้ดาบตัดงวงช้างให้กระเด็นไปคนละทาง อสูรไม่สิ้นฤทธิ์แปลงเป็น
สรภะ แต่ถูกพระแม่ฟาดฟันจนเลือดอาบทั่วร่าง สุดท้ายอสูรแปลงเป็นควายใหญ่ตามรูป
แบบที่มีเชื้อสายของควาย ใช้เขาไล่แทงพระแม่ทุรคา พระนางทรงใช้ตรีศูลแทงควาย
จนล้มลงตามด้วยการใช้จักรนารายณ์ตัดเศียรควายจนสิ้นชีพทันที
   พระแม่ทุรคาเทวี กลับสู่มณูทวีปสถานศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา และได้พระนามใหม่ว่า พระ
แม่มหิษา ศิรานี (พระแม่ผู้ประหารอสูรร้ายมหิษะ) อันเป็นตำนานการจุติของพระแม่
   ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวและตำนานของพระแม่เจ้าศรีมหาอุมาเทวีในภาคและปางต่างๆ
ซึ่งมีทั้งปางที่เต็มไปด้วยความกรุณาอันหาที่สุดมิได้และปางดุร้าย ที่แม้แต่พระศิวะเทพผู้
เป็นพระสวามียังเกรงในพระบารมี ด้วยเหตุที่เต็มไปด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์มากมาย
กว่าเทพสตรีองค์อื่น จึงทำให้พระนางมีลัทธิบูชาเป็นการเฉพาะขึ้น และค่อนข้างจะเข้ม
แข็งมาจนถึงทุกวันนี้ จนมีศักดิ์เทียบเท่า หรือ อาจเหนือกว่ามหาเทพบางพระองค์ด้วย
ซ้ำไป...

สิ่งที่พระแม่เจ้าศรีทุรคาทรงโปรด

การบูชาพระแม่เจ้าศรีทุรคาความสำคัญพิเศษสำหรับพระองค์ที่เราควรจะถวายคือผลมะพร้าว, ธง, ใบพลู,หมาก, และผ้าดาดเพดาน,สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของพระแม่เจ้าศรีทุรคาและบ่งบอกถึงความภักดีที่แท้จริง

ผลมะพร้าว
ร่างกายของเราก็เหมือนกับเปลือกมะพร้าวจากภายนอกเปลือกมันอาจถูกหุ้มห่อด้วยความสก
ปรกหรือผ้าที่ขาดวิ่นแต่ภายในหัวใจของเรา ควรจะสะอาด ขาว และนิ่มนวลเหมือนกับผลมะพร้าว ฉะนั้นความเป็นสุภาพบุรุษ ควรเปรียบด้วยกับผลมะพร้าว "นารี อีล สม กรหธริศยนฺเต สุหชหนา "ฉะนั้นใจที่บริสุทธิ์ก็เหมือนกับผลมะพร้าวเป็นใจที่อิสระจากจิตชั่วตัวอย่าง การข่มขืน,หรือการมองสตรีกับด้วยความตั้งใจชั่ว,หรือมองในแง่ชั่ว,โลภอยากได้สิ่งของ ๆ ผู้อื่น,หรือขโมยสิ่งของของคนอื่น,ตั้งใจทำกรรมชั่ว,สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดควรนำไปมอบถวายให้แก่พระ
แม่เจ้าศรีทุรคา

ธง
สีธงของพระแม่เจ้านั้นป็นสีแดงสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง และความประเสริฐยิ่งเป็นความสูงส่งของธงคุณสมบัติของความประเสริฐหรือความรุ่งเรืองเรา
ค้นพบว่ามีอยู่ในบุคคลเหล่านี้ผู้มีคุณลักษณะอันบริสุทธิ์ชีวิตของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความภักดีและผู้พิจารณาเห็นว่าหน้าที่สำคัญของเขาก็เพื่อเผยแพร่
ชื่อเสียงของพระเป็นเจ้าและผู้มีศรัทธาอันมั่นคงในพระเป็นเจ้าการปรับคุณสมบัติของพระเป็นเจ้าเหล่านี้ให้เข้าไปอยู่ในตนก็หมายถึงการยกธงของพระแม่
เจ้าศรีทุรคาเท่านั้น

ใบพลู และหมาก
ใบพลู และหมาก มีคุณสมบัติที่จะทำการย่อยอาหารและสิ่งเหล่านี้สอนเราให้รู้ว่าความรู้นั้นบรรจุไว้ในคัมภีร์อัน
ศักดิ์สิทธิ์และได้ให้ไว้ในคำสอนของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเราควรรับเอาไว้อย่างเหมาะสมและทำ
ให้มันย่อยออกมา และเราควรหล่อหลอมชีวิตของเรา ตามคำสอนเหล่านี้ดังนั้นเราต้องมอบชีวิตที่หลอมหล่อแล้วของเรา คือใบพลูและหมากเท่านั้นควรถวายแด่พระแม่เจ้าศรีทุรคา

ผ้าดาดเพดาน
ผ้าดาดเพดาน และมงกุฏ
เป็นสิ่งสองสิ่งที่ต่างกันมงกุฏเป็นสัญลักษณ์ของพระเป็นเจ้าและผ้าดาดเพดานเป็นสัญลักษณ์ของคำสั่งของพระเป็นเจ้า มงกุฎย่อมอยู่ภายใต้ผ้าดาดเพดานเสมอ ๆ และจริง ๆ แล้วผ้าดาดเพดานทำความงดงามให้แก่มงกุฎซึ่งสวยสดงดงามยิ่งขึ้น ฉะนั้นฐานะอะไรก็ตามที่เรายึดถืออยู่จะเป็นเจ้าครองนคร เป็นราชา เป็นนักปกครองหรือเป็นเจ้าของบ้านเราควรดำเนินการตามคำชี้นำของพระแม่เจ้าดังนั้นการกระทำตามหน้าที่ของเราก็เหมือนกับการถวายผ้าดาดเพดานให้แก่พระแม่เจ้าศรีทรุ
ดาตามคำบอกเล่า นิยายของเรามีความจริงอยู่ว่าเมื่อจักรพรรดิ์อักบาร์ทรงดำเนินเท้าเปล่า และแสดงพระองค์เองที่ดารบาร(สถานที่ศักดิ์สิทธิ์)ของพระแม่เจ้าศรีทุรคาและถวายฉัตรแด่พระแม่เจ้านั้นแสดงให้เห็นว่าพระองค์กับด้วยประสบการณ์ของพระองค์ทรง
พิจารณาเห็นว่าอำนาจของพระองค์ต่ำต้อยและรู้สึกว่าพระเป็นเจ้าในรูปแบบของพระแม่เจ้าศรี
ทุรคาเป็นผู้สูงส่งฉะนั้น ขณะที่เราถวายสิ่งของที่พระแม่เจ้าศรีทุรคาทรงโปรด
เราจะต้องถวายคุณสมบัติที่แท้จริงซึ่งแต่ละคุณสมบัติล้วนเป็นตัวแทนแด่พระแม่เจ้า


สาเหตุที่พระแม่เจ้ามีพระกร 8 กร

***ประการแรก
พระแม่เจ้าทุรคามีอำนาจอันสูงสุด  มีพละกำลัง  มีธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นชื่อ
ต่างๆของพระแม่เจ้าองค์เดียว และเป็นสิ่งเหมือนกัน ชื่อต่างๆของ(อำนาจ)
***พระกรแปดพระกรของพระแม่เจ้าทุรคา ย่อมเป็นตัวแทนของกรต่างๆ แปด
กรของธรรมชาติ คือ ดังนี้...
1.อวยกัต   ไม่มีรูปร่าง
2.เมหัต    สำคัญ
3.อหังการ   ความลำพอง
4.ศัพทะ    วจนะ
5.สปรัศ     สัมผัส
6.รูป       รูปร่าง
7.รส       รส
8.คันธ     กลิ่นหอม   
   กรทั้งแปดกรนี้ บอกเราให้รู้ว่าเราสามารถมองเห็นพระเจ้าได้เท่าๆกับเรามอง
ไม่เห็นท่านพระเป็นเจ้านั้นอยู่ในชีวิตเราเท่าๆกับอยู่ในความตาย พระองค์ปรากฏใน
อณูทุกๆอณูฉะนั้นเราควรเห็นพระองค์ในทุกๆคน และปฏิบัติต่อทุกๆคนในลักษณะ
อาการที่เต็มไปด้วยความสัจจะ

***ประการที่ 2
พระกรทั้งแปด เป็นตัวแทนอำนาจแปดอย่าง(อำนาจธรรมชาติอันสูงสุด)

1.อนิม    กลับกลายเป็นเล็กได้
2.มหิม    กลับกลายเป็นใหญ๋ได้
3.มริม   ได้น้ำหนัก
4.ลหิม   ทำให้เบาได้
5.ปราปติ    ได้ครอบครองสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจทำได้
6.ปรกมย   ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นมา
7.อิศิตว   ปราศจากความกลัว
8.วศิตว    ดึงดูดให้ทุกๆคนเข้ามา

    อำนาจแปดอย่างเหล่านั้นทั้งหมดสามารถจะเกิดแก่เราได้โดยการบูชาพระแม่เจ้าผู้เปี่ยม
ด้วยอำนาจเท่านั้นเช่นเดียวกับด้วยพระพรของพระแม่เจ้าสีดาซึ่งหนุมานได้อำนาจทั้งหมดเหล่า
นั้นเป็นรางวัล
"อศฏ สิทฺธินว นิธิ เก ทาต อวสร ทินา ชนวิ มาตา"
ในคัมภีร์ปุราณและรามายานะ และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เช่นนั้น๙ึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า พระอินทร์และ
เทพอื่นๆเมฆนาถ,อหิราวันและนักรบที่กล้าหาญอื่นๆ บูชาจันทิเทพี เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

***ประการที่สาม
   การเผชิญกับอสูรร้ายและสามารถเอาชนะมันได้เช่นอำนาจที่ทำให้เราคิดถึงความชั่วร้ายของ
กระทำความชั่วเป็นต้น มันเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องบูชาอำนาจของเทพที่มีทั้งแปดกร ที่เรียก
ว่า"จักตามพะ"เป็นการแสดงอำนาจอันสูงสุด ดังนี้...

1.สวัสถย    การมีสุขภาพดี
2.วิทย      การศึกษา
3.ธน      ทรัพย์สมบัติ
4.วยวัสถ     องค์การ
5.สังคธาน   ความเป็นอันเดียวกัน
6.ยศ      ชื่อเสียง
7.โศรยา     ความรุ่งโรจน์
8.สัจจะ     ความจริง
  การที่จะได้มาซึ่งอำนาจเหล่านี้  มันขึ้นอยู่กับการบูชาพระแม่เจ้าทุรคาผู้นั้น โดยผู้นั้นจะต้อง
มีจิตใจที่บริสุทธิ์

***ความสำคัญของสัญลักษณ์ทั้งแปด ซึ่งอยู่ในกรทั้งแปดกรของพระองค์มีดังนี้...

1.จักร(ล้อ) แสดงถึงอำนาจซึ่งหมุนโลกให้อยู่ในลักษณะการอันเป็นระเบียบ
2.ตัลวาร(ดาบ) แสดงถึงความแหลมคมของปัญญาซึ่งสามารถตัดความรู้สึกชั่วร้ายต่อคน
อื่นออกไปได้
3.บาน(ลูกศร) แสดงถึงจุดหมายอันแท้จริงของชีวิตเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
4.อาชีรวาท(ท่าทางของการให้พร) แสดงถึงการช่วยเหลือสรรพสัตว์และรับประกันถึงความ
ปลอดภัย
5.มาลา(พวงมาลัย) เป็นการชี้ให้เห็นว่าบุคคลควรสวดอ้อนวอนแด่พระเป็นเจ้าในชีวิตของเขา
อย่างสม่ำเสมอ
6.ศังข(สังข์) ชี้ให้เห็นว่าความรู้ได้บรรจุไว้ในคัมภีร์ต่างๆเช่นพระเวท และคัมภีร์อื่นๆ นักบุญ
และครูทั้งหลาย ได้บอกว่าเราควรศึกษา
7.คทา(ไม่พลอง) แสดงให้เห็นถึงอำนาจซึ่งสามารถทำลายกำแพงแห่งความชั่วร้าย
8.กมล(ดอกบัว) แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนของหัวใจของมารดาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา   
         


นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว

หนังสืออ้างอิง...ตำนานมหาเทพฉบับสมบูรณ์
ตราปมีลมหายใจ  ย่อมมีเวลาสมาธิ

ขอขอบคุณท่านกุหลาบขาว ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวขององค์พระแม่ครับ

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ขอบพระคุณพี่กุหลาบขาวที่ได้นำเรื่องราวแห่งพระแม่ผู้ทรงเป็นที่รักและเคารพมาให้เราได้ศึกษาค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


ถึง  :  คุณเจ้าชายรองเท้าแตะ   ผมมาตอบให้แล้วนะครับ....... !!!

      คืออย่างนี้ครับ...นักเทววิทยาจะเชื่อว่าเทพเจ้าสายฮินดู  แต่ละองค์ท่านอยู่เป็นเอกเทศครับ  แต่สมัยต่อมาเมื่อเกิดศาสนาพราห์ม-ฮินดูขึ้น  มีการแต่งเทพนิยาย  และมีการอวตารของเทพเกิดขึ้น  สมัยก่อนประเทศอินเดียมีหลายชนเผ่า  แต่ละชนเผ่ามีความเชื่อ  และเทพเจ้าเป็นของตนเองซึ่งเรียกว่า  "เทพพื้นเมือง"  ครับ  โดยเทพเจ้าของแต่ละชนเผ่านั้น  อาจจะเคยเป็นหัวหน้าเผ่า   ผู้ชำนาญเวทมนต์  หรือบุคคลที่ได้รับการนับถือเมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่  และเมื่อบุคคลเหล่านั้นตายไป  สมาชิกในเผ่าก็ยังให้ความเคารพนับถือกราบไหว้ดวงวิญญาณนั้นเรื่อยมา  จากสิบปี  เป็นร้อยปี  เป็นพันปี  จนวิญญาณนั้นได้เลื่อนฐานะจาก  ผี  กลายเป็น  ผีชั้นสูง  และเป็นเทพ  ตามลำดับ  ซึ่งพระทุรคา  ก็เคยเป็นเทพพื้นเมืององค์หนึ่ง

      เมื่อศาสนาพราห์ม-ฮินดู เกิดขึ้นในสมัยแรกๆ  หรือกล่าวง่ายๆว่าเป็นเผ่าที่ใหญ่มากๆ จึงมีการเผยแพร่ไปยังเผ่าเล็กๆ ตามภูมิภาคต่างๆ  แต่เนื่องจากเผ่าเล็กๆเหล่านั้นก็มีเทพพื้นเมืองเป็นของตัวเองเหมือนกัน  หากใช้อำนาจบังคับให้เผ่าเล็กเปลี่ยนมานับถือเทพเจ้าของเผ่าใหญ่  ก็อาจทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นได้  และเพื่อให้การปกครองชนเผ่าเล็กๆเหล่านี้ง่ายขึ้น  จึงเกิดวิธีที่เรียกว่า  อวตาร ขึ้น  หมายถึง  การเป็นภาคหนึ่งของเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มีศักดิและฐานะเท่าเทียมกันกับเทพเจ้าองค์นั้น  เช่น

       .....ศักตินิกายที่นับถือ  พระอุมา เป็นใหญ่   ต้องการเผยแผ่ลัทธิของตนไปยังชนเผ่าแห่งหนึ่ง  แต่ชนเผ่านี้นับถือ  พระทุรคา  เป็นเทพประจำเผ่าอยู่ก่อนแล้ว   แต่เนื่องจากนิกายที่นับถือพระอุมา  ไม่ต้องการให้เกิดการต่อต้านขึ้นในภายหลัง จึงนำพระทุรคา  เข้ามาเป็นอวตารภาคหนึ่งของ พระอุมา  ซึ่งดีกว่าการบังคับให้ชนเผ่าดังกล่าวเลิกนับถือพระทุรคา  แล้วมานับถือพระอุมาแทน  เพราะคติอวตาร  คือการที่พระทุรคามาเป็นภาคหนึ่งของพระอุมา  ที่มีศักดิ์  มีสิทธิ์  และฐานะเทียบเท่ากับพระอุมานั่นเอง......

      ดังนั้นในสมัยต่อมา  ผู้คนที่นับถือพระอุมาจึงถือว่า  พระทุรคาเป็นภาคหนึ่งของของพระอุมา  และจึงทำเทวรูปพระทุรคาเป็นเทพนารีที่งดงามอย่างพระอุมาประทับนั่งบนหลังเสือหรือสิงโต  และก็มีการผูกเป็นเทพนิยายขึ้นมาในภายหลัง ครับ

       แต่นักเทววิทยาหลายสำนัก  ก็ลงความเห็นว่า  พระอุมา  กับ  พระทุรคา  น่าจะ  เป็นเทพองค์เดียวกัน  หรืออาจจะเป็นสองลัทธิที่เกิดจากเทพองค์เดียวกันครับ
      
      ส่วนประวัติหรือตำนานเกี่ยวกับพระทุรคา.....มีเพื่อนๆ พี่น้อง  ท่านอื่นๆ  เอามาโพสให้อ่านเยอะเลยครับ น่าสนใจมาก ผมเลยไม่ขอกล่าวซ้ำนะ...!!



ป.ล. คุณเจ้าชายฯ  ไม่ต้องตามไปทวงแล้วนะครับ ผมตอบให้แว้ว... 55555+

ขอบคุณ  คุณกุหลาบขาว    มากมายครับ

ขอบคุณ  คุณNaGa    มากๆคับที่ มาให้ความรู้

ไม่งั้นจะมาทวง ทุกกกวัน 555+ 










Yes, I  Love  HM...