ชุมชนคนรัก...ฮินดู (HINDUMEETING)

Hindu สนทนา => ชุมชนคนรัก...ฮินดู => Topic started by: กาลปุตรา on January 10, 2010, 00:44:49

Title: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลปุตรา on January 10, 2010, 00:44:49
ขออนุญาตเปิดกระทู้เล่านิทานกันหน่อยนะครับ แต่นิทานที่ผมจะเล่านี้จะเล่าแบบอาร์ทตัวพ่อนะ คือ เล่าตามใจฉันอะ วันนี้อยากเล่าเรื่องอะไรก็เล่า ห้ามบังคับ และไม่เรียงตามเหตุกาลนะครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า  ถ้าเรียงตามเหตุกาลของนิทานอินเดียแล้วจะยากมาก เพราะสับสนปนกันเละ

เอาหล่ะครับขอออกแขกก่อนเลยแล้วกัน จะได้เปิดม่านการแสดงนับจากบัดนี้เป็นต้นไป อ้าว...เชิด

อันเลวังกา ฮ่าฮา ฮ้าฮา ฮ่าฮา อ้าวเร่เข้ามา  มาดูลิเก  เฮเฮเฮเฮ้  เห่เฮ เห่เฮ  เห่เฮ  เห เฮ...ร้องไม่เป็นล่ะ พอดีก่า

อ้าวเปิดม่านเรื่องแรกกันเลยดีกว่า ไปเลยดีกว่าพ่อแม่พี่น้องคร๊าบบบบบบบบบบบบ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลปุตรา on January 10, 2010, 00:47:31
อิฑาผู้อาภัพ จนพบรักกับพระพุธ

กาลครั้งหนึ่งในสมัยที่พระมนูไววัสวัต (वैवस्वत मनु) ผู้เป็นโอสรแห่งสุริยเทพวิวัสวาน (विवस्वान) และเป็นปฐมกษัตริย์องค์แรกของโลกในกัลป์นี้ มาวันหนึ่งพระองค์ทรงดำริกับเหล่าปุโรหิตและองคมนตรีขึ้นว่า



“เรานั้นปกครองโลกมานานมากแล้ว จนบัดนี้ก็ยังหามีโอรสสืบทอดราชบัลลังก์สักที อันพระเชษฐาของเราทั้งพระยมและพระศนิ (พระเสาร์) ทั้งสองพระองค์นั้นก็มีโอรสกันหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เราเท่านั้นที่ยังไม่มี เรื่องนี้นั้นเป็นความทุกข์ของเราโดยแท้”


ฝ่ายเทพฤษีอคัสตยะ (अगस्त्य) ผู้เป็นราชครูปุโรหิตได้ฟังมหาราชาตรัสเช่นนั้นจึงเกิดความเมตตาสงสาร แล้วตกลงอนุเคราะห์ที่จะทำพิธีมหายัชญบูชาเพื่อขอบุตรให้กับพระมนูไววัสวัต โดยในพิธีนี้ฤษีอคัสตยะได้ทำการเชิญพระวรุณผู้เป็นชนกกับพระมิตรา (मित्रा) ผู้เป็นปิตุลา มาเป็นประธานร่วมกันทั้ง 2 องค์
พิธีขอบุตรของฤษีอคัสตยะได้ดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยที่ฤษีอคัสตยะนั้นทำการประกอบพิธีโดยไม่ได้พักผ่อนนอนหลับเลยตลอด 1 เดือนจันทรคติที่ผ่านมา เมื่อครั้นพิธีใกล้จะสำเร็จครบกำหนดพระจันทร์จะเคลื่อนโคจรมาเสวยองศาราศีเดิมที่เริ่มกระทำพิธี


ในค่ำคืนก่อนถึงฤกษ์เสร็จสิ้นพิธีนั้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียทำให้ฤษีอคัสตยะเผลอหลับไปชั่วขณะหนึ่งในช่วงที่กำลังร่ายมนต์ ทำให้พิธีนั้นเกิดความบกพร่อง เมื่อพระจันทร์โคจรเข้าสู่องศาฤกษ์เดิมในวันเริ่มพิธี ก็ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากกองอัคคี พระมนูจึงรับเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้เป็นราชธิดา แล้วพระราชทานนามว่า “อิฑา” ซึ่งแปลว่า แม่โคหรือสวรรค์


แม้พระมนูไววัสวัตจะได้ราชธิดามาเป็นทายาทแล้วก็ตาม พระองค์นั้นก็ยังไม่เป็นที่พอพระทัยเนื่องจากพระองค์มีพระประสงค์ที่จะได้พระโอรสไว้สืบสกุลมากกว่า จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเทพฤษีวสิษฐ์ (वसिष्ठ) ผู้เป็นโอรสของพระมิตราให้ช่วยเหลือ


ฤษีวสิษฐ์ตอบตกลง โดยจะทำพิธีมหายัชญขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเพศของนางอิฑาให้กลายมาเป็นบุรุษ พิธีนี้มีชื่อว่า “ปุงศวนะ หรือ ปุงคะศยะ เตวเนนะ” (พิธีทำการเปลี่ยนเพศทารกนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์โหราศาสตร์ ชื่อ คัมภีร์มุหูรตะ)


พิธีได้ดำเนินไปครบ 1 รอบนักษัตรที่พระจันทร์โคจรไปโดยสมบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่อง ทำให้ทารกหญิงอิฑาเปลี่ยนจากเพศหญิงมาเป็นเพศชายได้ โดยฤษีวสิษฐ์ได้มอบนามให้ใหม่ว่า “สุทยุมัน” หรือ “อิลา”


เจ้าชายสุทยุมันได้เติบโตเป็นหนุ่มรูปงามราวกับสุริยเทพ มีนิสัยชื่นชอบกีฬาล่าสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จนมาวันหนึ่งเจ้าชายได้พาบริวารออกไปล่าสัตว์บริเวณริมเขาไกรลาส แล้วติดตามกวางตัวหนึ่งซึ่งหนีเตลิดเข้าไปยังสวนขวัญของพระอุมาเทวี โดยไม่ทราบว่า ณ สวนขวัญแห่งนี้พระอุมาได้สาปไว้ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวนในยามทรงสำราญ


เรื่องนี้มีที่มาจากครั้นหนึ่งพระศิวะและพระอุมาเทวีกำลังทรงสำราญอยู่ในสวนขวัญ ได้มีฤษีนามว่า “สุนกะ” ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าพระศิวะโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แล้วมาพบพระศิวะกับพระอุมาเทวีกำลังทรงสำราญกันอยู่ ทำเอาพระอุมาเทวีเกิดความอายและกริ้ว เลยออกคำสาปไปว่า “นับแต่นี้ไปบุรุษใดบังอาจล่วงเข้ามาในสวนขวัญ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผู้นั้นจะกลายร่างเป็นสตรีในทันที”


เจ้าชายสุทยุมันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จึงล่วงเข้าไปในดินแดนต้องห้ามนี้ ทันใดนั้นร่างกายของเจ้าชายสุทยุมันและเหล่าบริวารก็เปลี่ยนไปกลายร่างเป็นสตรีในทันที

เจ้าชายตกใจและเสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมากที่ต้องกลายมาเป็นสตรี จึงไม่กล้าเสด็จกลับเมืองแล้วซมซานเตลิดไปในป่าลึกเข้าไปอีก จนมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามร่มเย็นยิ่ง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนางอิฑาและบริวารจึงลงไปชำระร่างกายเพื่อคลายความเน็ดเหนื่อยกันในทะเลสาบแห่งนั้น


ภายใต้ทะเลสาบมรกตแห่งนี้เอง เป็นที่ตั้งของวังพระพุธ ผู้เป็นโอรสของจันทรเทพกับนางตาราใช้บำเพ็ญตบะ ในขณะที่พระพุธกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ก็ต้องตกใจออกจากตบะในทันที ที่ได้ยินเสียงการเล่นน้ำของนางอิฑาและบริวาร


เมื่อพระพุธลืมตามองขึ้นไปดู ก็เห็นนางอิฑาอยู่ท่ามกลางเหล่าบริวาร ก็เกิดหลงรักประดุจถูกศรของกามเทพปักเข้ากลางหัวใจในทันที พระพุธไม่รอช้าพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำตรงเข้าอุ้มนางอิฑาไว้ในอ้อมกอดแล้วดำลงกลับไปยังวิมานในทันที


นางอิฑาก็ตกมาเป็นชายาของพระพุธนับจากวันนั้น แล้วอยู่ร่วมครองสุขกับพระพุธด้วยความรักซึ่งกันและกันอย่างสุดหัวใจ จนเวลาล่วงเลยไปเป็นปี นางอิฑาก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นจนครรภ์นั้นแก่ใกล้คลอดเต็มที ซึ่งตามประเพณีโบราณนั้นสตรีนั้นต้องกลับคืนไปยังบ้านของบิดาตนเพื่อทำการคลอดบุตร
ด้วยต้องกระทำตามประเพณีพระพุธจำต้องต้องส่งนางอิฑากลับไปยังบ้านเรือนของผู้เป็นบิดา ทำให้ทั้ง 2 ต่างอาลัยรักกันยิ่งนักเมื่อจำต้องจากกัน พระพุธได้เนรมิตบุกษกขึ้นมาลำหนึ่งแล้วบรรจงอุ้มนางอิฑาเมียรักขึ้นประทับบนบุษบก แล้วกล่าวด้วยความอาลัยอาวรณ์ว่า

“โอ้อิฑายอดรักของข้า การที่เราต้องจากกันในคราวนี้ เราทั้งสองคงจะไม่ได้พบกันอีก พี่นั้นไม่อยากจากเจ้าไปเช่นนี้เลย แต่นี่เป็นเพราะพระพรหมท่านได้ลิขิตไว้แล้วจำพี่ต้องปฏิบัติตาม เมื่อโอรสของเราได้ถือกำเนิดมาดูโลกแล้วของให้เจ้าตั้งชื่อลูกของเราว่า ปุรูรวัส โดยโอรสของเรานั้นในอนาคตจะได้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งจันทรวงศ์ ด้วยตัวพี่ผู้เป็นบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระจันทรเทพ ราชวงศ์ของเราจะปกครองแผ่นดินตลอดลุ่มแม่น้ำยมุนาตลอดไปจนถึงฟากฝั่งแม่น้ำสินธุ”


“แล้วต่อไปในภายภาคหน้าน้องก็จะได้กลับร่างกลายคืนเป็นบุรุษอีกครั้ง แล้วจะได้มีมเหสีคู่บัลลังก์ โดยจะมีราชาโอรสนามว่า อิกษวากุ โอรสของน้องผู้นี้จะเป็นปฐมกษัตริย์แห่งสุริยวงศ์ ตามวงศ์ของน้องผู้เป็นบิดา อันมีเชื้อสายมาจากองค์สุริยเทพ โอรสของน้องผู้นี้จะปกครองอาณาจักรอโยธยาทางลุ่มแม่น้ำสรยุและอจิรวดี”


“แล้วอีกเรื่องที่พี่จะกล่าวโดยให้น้องจำไว้ให้ดีว่า ผู้ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยให้น้องกลับคืนเป็นบุรุษได้อีกครั้งนั้นก็คือ ฤษีนารทผู้เป็นพรหมบุตรนั่นเอง”


พระพุธตรัสจบก็เนรมิตให้บุษบกนั้นลอยขึ้น ทั้งสองต่างอาลัยอาวรณ์รักกันยิ่งนัก ต่างกรรแสงร่ำไห้ปานใจจะขาดที่ต้องจากกันตลอดไปนับจากวันนี้ แล้วบุษบกก็ลอยสูงขึ้นมุ่งตรงพานางอิฑากลับไปคืนสู้บ้านเมืองเกิดในทันที


เมื่อนางอิฑากลับมาถึงบ้านถึงเมือง ก็ทรงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระมนูไววัสวัตฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พระมนูได้สดับฟังก็เศร้าพระทัยยิ่งนัก แล้วต่อมานางอิฑาก็ได้คลอดโอรสและตั้งชื่อตามที่พระพุธผู้เป็นบิดาได้กำหนดไว้คือ “ปุรูรวัส”


ในเวลาต่อมาพรหมฤษีนารทได้แวะเดินทางมาเยี่ยมเยือนพระมนูไววัสวัต แล้วทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เกิดความสงสาร จึงเรียกนางอิฑาเข้ามาแล้วแนะนำว่า


“อิฑา การที่เจ้าต้องมาประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ก็เพราะเจ้านั้นล่วงละเมิดเข้าไปในสวนขวัญของพระแม่ปารวตี ซึ่งพระมาตาเทวีได้สาปไว้ เคราะห์กรรมครั้งนี้จะบรรเทาลงได้ก็ต่อเมื่อเจ้านั้นได้ทำการสวดมนต์บูชาถวายแด่พระมเหศวรีปารวตีเท่านั้น โดยมนต์นี้มีชื่อว่านวากษรเจ้าจงจำไว้ให้ขึ้นใจ” แล้วพระนารทมุนีก็สอนมนต์นั้นให้แก่นางอิฑาในทันที


นางอิฑาไม่รอช้ารีบตรงไปยังเทวาลัยของพระแม่ปารวตีในทันที แล้วทำพิธีบูชาสวดมนต์อ้อนวอนพระมเหศวรีในทันที พระเทวีได้สดับฟังมนต์นี้ก็เกิดพอพระทัย และเกิดความสงสารขึ้น จึงทูลขอให้พระศิวะเจ้าช่วยเสด็จไปประทานพรเพื่อลดคำสาปให้แก่นาง ทันใดนั้นเองพระศิวะก็เสด็จมาปรากฏต่อหน้าของนางอิฑา โดยทรงตรัสว่า


“อิฑา อันพระปารวตีมเหสีของเรานั้นทูลขอให้เรานั้นมาประทานพรช่วยเหลือเธอ เรานั้นเห็นแก่นางจะลดคำสาปให้เจ้าตามที่เจ้าประสงค์ นับแต่นี้ไปเจ้าจะมีร่างเป็นสตรีหนึ่งเดือนและเป็นบุรุษหนึ่งเดือนสลับกันไป เรานั้นช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้” แล้วพระศิวะก็อันตรธานหายไป


นางอิฑาก็มีชีวิตเป็นหญิงหนึ่งเดือนเป็นชายหนึ่งเดือนนับจากนั้นมา โดยเมื่อเป็นชายในร่างสุทยุมันก็จะทรงออกมาว่าราชการตามปกติ แต่เมื่อกลับร่างเป็นหญิงในร่างอิฑาก็จะเก็บตัวอยู่ในวังแล้วให้พระโอรสปุรูรวัสออกว่าราชการแทน

กาลผ่านไปสุทยุมันก็ได้อภิเษกมเหสีองค์หนึ่ง แล้วได้ให้กำเนิดพระโอรสนามว่า “อิกษวากุ” เมื่อควรแก่เวลาเมื่อเจ้าชายปุรูรวัสกับเจ้าชายอิกษวากุเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ราชาสุทยุมันก็ได้ทำการแบ่งราชสมบัติมอบให้แก่เจ้าชายทั้งสองพระองค์ปกครองตามที่พระพุธได้ตรัสไว้ในกาลก่อน แล้วออกบวชเป็นฤษีสละชีวิตทางโลกในเวลาต่อมา

ฝ่ายพระนารทมุนีเมื่อทราบว่าราชาสัทยุมันได้สละราชสมบัติออกบวชอยู่ในป่า จึงได้แวะมาเยียมเยือน เมื่อทราบว่าสัทยุมันนั้นต้องมีร่างเป็นหญิงชายสลับกันไปทุกเดือนเช่นนั้น จึงแนะนำให้สัทยุมันทำการบูชาพระวิษณุเจ้า โดยกล่าวว่า

“สัทยุมันเอ๋ย การที่เจ้าจะกลับร่างเป็นชายได้โดยสมบูรณ์นั้น เห็นจะมีแต่พระวิษณุเจ้าเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าจงหมั่นบำเพ็ญเพียรภาวนามุ่งตรงภักดีแด่พระหฤษีเกศเจ้าเถิด พระองค์นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้เป็นใหญ่ในการกำจัดซึ่งเคราะห์กรรมของเหล่าสาวกของพระองค์ โดยไม่เคยทรงทอดทิ้ง จนได้รับพระนามว่า พระเวงกาเฏศวร อันหมายถึง พระผู้เป็นเจ้าผู้กำจัดบาปทั้งปวงนั่นเองจงกระทำตามที่เราแนะนำอีกครั้งเถิด”


แล้วพรหมมุนีนารทก็จากไป ราชาสัทยุมันนั้นไม่รอช้าได้ทำการบำเพ็ญตบะภักดีอย่างยิ่งยวดถวายแด่พระวิษณุเจ้าอยู่หลายปี จนพระวิษณุเจ้าทรงพอพระทัยยิ่ง จึงเสด็จมาปรากฏพระองค์แล้วตรัสถามว่า

“สัทยุมัน เรานั้นพอใจในความภักดีของเธอที่มีต่อเราเป็นอย่างยิ่ง เธอนั้นปรารถนาในสิ่งใดฤๅ จงบอกแก่เรามาเถิดผู้เป็นสาวกแห่งเรา”

“ข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ปลดเปลื้องบาปทั้งปวงให้แก่เหล่าสาวก นับว่าเป็นพระเมตตาของพระองค์ยิ่งนักที่ไม่ทรงทอดทิ้งสาวกผุ้ต้อยต่ำเช่นหม่อมฉัน ซึ่งเป็นเพียงฝุ่นธุลีใต้เบื้องพระบาทของพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงว่า ขอให้ข้าพระองค์ได้มีโอกาสกลับร่างเป็นบุรุษเพศตลอดไปและให้ข้าพระองค์บรรลุซึ่งโมกษะธรรมเข้าร่วมกับพระปรมาตมันแห่งพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้วในชีวิตนี้”


พระผู้เป็นเจ้าผู้ปลดเปลื้องบาปให้แก่เหล่าสาวกผู้ภักดี จึงแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “จงสมดั่งปรารถนาที่เจ้าต้องการเถิด” แล้วเอื้อมพระหัตถ์อันอ่อนโยนวางลงไปที่ศีรษะของสัทยุมันเพื่อเป็นการแสดงพระเมตตา และประทานพร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับยังมหาวิษณุโลก

นับแต่นั้นมาสัทยุมันก็ได้กลายร่างเป็นบุรุษเพศตลอดไป และเมื่อถึงกาลอายุขัยเขาก็ได้บรรลุซึ่งโมกษะเข้าสู่โลกทิพย์ เรื่องราวอันพิศดารและความรักของอิฑาก็จบลงเพียงเท่านี้


แต่เรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งวิชาโหราศาสตร์อยู่ตอนหนึ่งคือ ในเรื่องเพศของดาวพุธ ซึ่งในโหราศาสตร์ภารตะกล่าวว่าพระพุธนั้นมีเพศเป็นกะเทย (นปุงสกลิงค์) ก็คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพราะพระพุธนั้นมีชายาเป็นผู้ชายนั่นเอง อีกทั้งในเรื่องนี้ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนเพศทารกที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์โหราศาสตร์มุหูรตะของชาวภารตะอีกด้วย


อีกทั้งยังเป็นการบอกให้รู้ถึงตำนานที่มาที่ไปของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ราชวงศ์ของอินเดียโบราณ คือ สุริยวงศ์ของพระรามและจันทรวงศ์ของพระกฤษณะ ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด


ซึ่งสายสุริยวงศ์นั้นถือกำเนิดเผ่าพันธุ์มาจากสุริยเทพ – พระมนูไววัสวัต – สัทยุมัน (อิฑา) – อิกษวากุ (ปฐมกษัตริย์สายสุริยวงศ์) ส่วนสายจันทรวงศ์ก็ถือกำเนิดเผ่าพันธุ์มาจาก จันทรเทพกับนางตารา – พระพุธกับนางอิฑา – ปุรูรวัส (ปฐมกษัตริย์สายจันทรวงศ์) โดยนับจากสายตระกูลของผู้เป็นบิดาเป็นหลัก

ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวผมจะทยอยมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ ถือว่าห้องนี้เป็นห้องแห่งนิทานตำนานเทพและห้องแห่งวรรณกรรมอินเดียไปก็แล้วกันนะครับ สวัสดี
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: อักษรชนนี on January 10, 2010, 00:52:11
มาปูเสื่อรอฟังนิทานคร๊าบบบบ

ขอบพระคุณและขอเป็นกำลังใจให้นะครับคุณกาลปุตรา
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: โหราน้อย on January 10, 2010, 01:01:16
ขอเป็นกำลังใจให้ท่านเจ้าของกระทู้  สร้างสรรค์เรื่องราวและสิ่งดีๆต่อไปครับผม
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: ศรีมหามารตี on January 10, 2010, 01:16:23
 

         กราบนมัสการและขอเป็นกำลังใจให้พี่ออสอีกคนคะ  เอิ้กๆ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: เสือร้องไห้ on January 10, 2010, 01:29:16
สงสารพระพุธ  ใจจะขาด 

คราวหลังหามาให้อ่านอีกนะคะ

ขอบคุณคะ 
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: เทวาเหนือเกล้า on January 10, 2010, 10:10:58
ขอบพระคุณมากค่ะ ท่านอาจารย์
กาลปุตรา ซึ่งค่ะ สงสารทั้งพระพุธ สงสารทั้งอิฑา
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 10, 2010, 16:39:51
ของไทยมี อิลราชคำฉันท์
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 13, 2010, 10:10:00
ไม่นานนี้อ่านเรื่อง เอกลัพย์ตัดนิ้วโป้งขวาตนเองเป็นค่าครูแก่โทรณาจารย์ เป็นเรื่องแทรกในมหาภารตะ

เอกลัพย์ เป็นเจ้าชายเผ่านิษาท(ล่าสัตว์เป็นอาชีพ) มาขอเรียนแต่แกไม่รับสอน เหยียดเชื้อชาติ แต่เอกลัพย์ก็เรียนเองและสร้างรูปโทรณาจารย์และฝึกเองจนเก่งเท่าอรชุน

จนโทรณาจารย์มาหา และบอกว่าถ้าอยากเป็นศิษย์ ให้ตัดนิ้วโป้งขวาเป็นค่าครู เอกลัพยืเลยตัดนิ้วโป้งตนเองให้โทรณาจารย์

ทั้งนี้เพราะโปรดปรานอรชุนที่สุด

กรณีของเอกลัพย์ เป็นเรื่องราวสะท้องอีกด้านของจิตใจตัวละครนั้นๆ บางตัวละครดีแสนดี แต่เบื้องหลังใจแคบ ขี้อิจฉา ของคนบางคนได้ดี
แสดงให้เห็นความขี้อิจฉาของอรชุน เอกลัพย์เรียนเองโดยไม่มีอาจารย์สอนจนฝีมือเท่าอรชุน

ส่วนโทรณาจารย์ ตัดอนาคตศิษย์คนนี้ที่นับถือตนเองเป็นอาจารย์ แต่มีความลำเอียง ให้เอกลัพย์ยิงธนูไม่ได้

Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: จิ้งจอกพันหน้า on January 15, 2010, 01:03:08
สงสารแระ ก็ เห็น ใจ พระพุธ สุดใจ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลปุตรา on January 15, 2010, 02:50:46
เรื่องของเอกลัพย์ตัดนิ้วเป็นคุรทักษิณานั้น จะขอเล่าต่อให้ดังนี้

การที่โทรณาจารย์ไม่สอนวิชาให้เอกลัพย์นั้นเพราะโทรณาจารย์ทราบดีว่า เอกลัพย์นั้นถ้าได้เรียนวิชาของตนไปแล้วย่อมมีความสามารถไม่แพ้อรชุนเลย ด้วยว่าโทรณาจารย์นั้นได้เคยลั่นวาจาสาบานไปแล้วเมื่ออรชุนได้ไปขอพรกับตนว่า ตนนั้นจะทำให้อรชุนนั้นเป็นนักแม่นธนูที่เก่งที่สุดในโลก

เมื่อได้ลั่นวาจาไปแล้วย่อมไม่ยอมเสียสัจจะ พอเอกลัพย์มาขอร่ำเรียนท่านก็เห็นใจแต่ได้ตอบปฏิเสธไป พร้อมบอกเหตุผลที่ตนนั้นไม่รับเป็นศิษย์ให้ฟัง และถ้ายังฝืนนับถือตนเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชายิงธนู อนาคตข้างหน้าเอกลัพย์ต้องยอมรับชะตากรรมของตนที่จะได้รับ เอกลัพย์ก็เข้าใจและนับถือในสัจจะที่มีต่ออรชุนของโทรณาจารย์

เอกลัพย์นั้นเมื่อกลับมา ด้วยความมีศรัทธาในโทรณาจารย์จึงได้ทำการปั้นรูปของโทรณาจารย์ขึ้นแล้วใช้แทนรูปจริงของโทรณาจารย์ นั่นย่อมเท่ากับเอกลัพย์เลือกที่จะเป็นลูกศิษย์ของโทรณาจารย์และยอมรับชะตากรรมที่จะมาเยือนในอนาคตแล้ว (โทรณาจารย์ได้เตือนแล้ว)

เอกลัพย์นั้นได้เรียนวิชายิงธนูกับโทรณาจารย์ผ่านทางทิพย์จนมีฝีมือเก่งกาจไม่แพ้อรชุน จนเป็นที่ร่ำลือกล่าวขานมากจนมาถึงหูอรชุนๆ ทราบดังนั้นก็ตรงไปต่อว่าอาจารย์ของตน ว่าทำไมท่านเคยให้สัญญากับตนแล้วว่าจะไม่สอนใครให้มีฝีมือเก่งกว่าหรือทัดเทียมตน โทรณาจารย์ก็เล่าความจริงทั้งหมดให้อรชุนฟังอรชุนก็เห็นใจ แต่ด้วยการเป็นพราหมณ์นั้นจะต้องรักษาไว้ซึ่งสัจจะ โทรณาจารย์จึงไปปรากฏต่อหน้าเอกลัพย์

แล้วกล่าวว่า เอกลัพย์เจ้าได้ร่ำเรียนธนูศาสตร์จากเราไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ด้วยเจ้าออกไปแสดงตนอวดต่อผู้อื่นว่าเจ้ามีฝีมือไม่แพ้อรชุน นี่เองคือชะตากรรมที่เราเคยบอกเจ้าไว้เมื่อครั้นเจ้ามาขอให้เราสอนวิชาให้ เราขอเรียกค่าคุรุทักษิณากับเจ้าด้วย นิ้วหัวแม่ข้างขวาของเจ้าเป็นการตอบแทนเจ้ายินยอมหรือไม่ เพราะถ้าอาจารย์ไม่ทำเช่นนี้อาจารย์ย่อมกลายเป็นผู้เสียสัจจะอันเป็นบาปมหันต์ของพราหมณ์

เอกลัพย์ไม่รอช้ารีบตัดนิ้วโป้งของตัวเองให้แด่โทรณาจารย์เป็นเครื่องคุรุทักษิณาในทันที โทรณาจารย์พอใจในศิษย์คนนี้มากถึงกับกล่าวให้พรแก่เอกลัพย์มากมาย แล้วจึงนำนิ้วหัวแม่มือของเอกลัพย์ไปมอบเป้นเครื่องยืนยันแก่อรชุน อรชุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่สังเวชใจ และสรรเสริญการกระทำของเอกลัพย์

ตรงนี้บางส่วนไทยเราแปลมาไม่หมด คือเรื่อง
1. การที่พรามหณ์ต้องมาเสียสัจจะนั้น ถือว่าเป็นการสร้างความเสื่อมเสียแก่พราหมณ์ผู้นั้นมาก
2. อรชุนมาต่อว่าโทรณาจารย์ก็เพราะโทรณาจารย์ผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่ตน อีกทั้งยังเห็นใจเอกลัพย์ด้วย
3. เอกลัพย์นั้นยินดีมอบนิ้วหัวแม่มือให้เป็นค่าคุรุทักษิณาแด่โทรณาจารย์อย่างเต็มใจ ด้วยทราบดีว่าถ้าตนไม่กระทำเช่นนั้นย่อมเท่ากับเป็นการฆ่าอาจารย์ของตนเองทั้งเป็นนั่นเอง
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: เทวาเหนือเกล้า on January 15, 2010, 09:04:26
ขอบพระคุณ อาจารย์กาลปุตราค่ะ  น่าเห็นใจทั้งเอกลัพย์ที่อยากจะร่ำเรียนแต่ผู้เป็นครูไม่อาจสอนได้  ท่านโทรณาจารย์ก็เช่นกันสัจจะออกจากปากแล้ว จะเสียสัจจะไม่ได้ นี่เป็นข้อคิดคำสอนที่ดีนะคะ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กษิติ on January 15, 2010, 09:25:16
ขอบพระคุณมากๆเลยครับ
สำหรับนิทานทั้งสองเรื่อง
จะติตามรออ่านเรื่องต่อๆ
ไปนะครับ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 15, 2010, 09:25:53
ผมมองอีกแง่ว่า

ให้ตัดนิ้วโป้งขวา มันหมายถึงตัดอนาคตของศิษย์ตนเอง

เพราะเอกลัพย์เป็นชาวนิษาท ชาวนิษาทยิงธนูล่าสัตว์เป็นอาชีพ เป็นชาวป่า ต้องใช้ธนูในการเลี้ยงชีพแล้วป้องกันตนเอง แต่นิ้วโป้งขวาถูกตัด หมายความว่าฝีมือในการใช้ธนูลดลง หรืออาจไม่ได้ใช้ธนูอีก เพราะไม่มีนิ้วโป้ง จับอะไรไม่ถนัด
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลปุตรา on January 15, 2010, 22:35:53
เรื่องนี้คงตอบยากแล้วหละครับ เพราะในมหาภารตะไม่ได้เล่าต่อว่าเอกลัพย์นั้นดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วเขาคงล่าสัตว์ด้วยวิธีอื่นได้อีกหลายวิธีครับ ทั้งพุ่งหอก กับดัก ฯลฯ

ต้องรออ่านตอนต่อไปนะครับเรื่อง "เจาะเวลาหาเอกลัพย์" คล้ายๆ กับเรื่อง "เจาะเวลาหาฉินซี" อ่ะ ... อิอิอิ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 16, 2010, 12:11:59
Quote from: เสือร้องไห้ on January 10, 2010, 01:44:28
มีเรื่องความรัก  ของเพศเดียวกันในตำนานอีกไหมคะ 


มีสิ

ตำนาน"หริหระ"ไง

และตำนานพระศิวะปาง"นาฏราช"
พระศิวะไปเที่ยวในป่า แล้วแปลงร่างเป็นนักบวชสามีภรรยารูปงาม พระวิษณุแปลงเป็นผู้หญิงสวยมาก พระศิวะก็เป็นหนุ่มหล่อ
ในป่ามีพวกนักอยู่เยอะ มีเมียแล้ว พอนักบวชหนุ่มสาว2คนมาในป่า พวกนักบวชชายต่างหลงใหลสาวสวยคนนั้น ส่วนพวกเมียนักบวชก็หลงใหลในความหล่อของนักบวชหนุ่ม......อ่านรายละเอียดในเรื่องศิวนาฏราช


แล้วก็ตำนานพระอัยยัปปา พระวิษณุทรงเล่นบทนางเอก แปลงเป็นสาวสวย จนได้ลูกชายหน่ะครับ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 16, 2010, 16:51:53
เพิ่มเติม

ท้าวมนู คือท้าวสัตยพรต ที่ปรากฎในเรื่อง"มัตสยาวตาร" ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลกครับ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: พิษประจิม on January 20, 2010, 10:08:58
ในรามายณะ อุตตรกัณฑ์ มีอธิบายที่มาว่าทำไมพระวิษณุต้องลงไปเกิดเป็นพระราม(ไปเกิดหรืออวตาร ไม่แน่ใจเท่าไร)

ตอนที่เทวดากวาดล้างพวกอสูร พวกอสูรกำลังจะพ่ายแพ้ แล้วผ่านอาศรมฤๅษีภฤคุ แต่ฤๅษีไม่อยู่ เมียอยู่ พวกอสูรมาขอความช่วยเหลือ นางให้หลบในอาศรมตนเอง

พวกเทวดาที่ตามล่าอสูรไม่กล้าบุกเข้าไป จนพระวิษณุเสด็จลงมา แต่เมียฤๅษีก็ไม่ยอม พระวิษณุใช้จักรตัดคอเมียฤๅษีภฤคุ

จนฤๅษีภฤคุกลับมา ทราบว่าพระวิษณุฆ่าเมียตนเอง การฆ่านักบวชเป็นบาปหนัก ฤๅษีสาปพระวิษณุให้ลงไปเกิด และพลัดพรากจากคนที่รัก

ในเนื้อเรื่องรามายณะ ตอนทศกัณฐ์ลักนางสีดา พระราม พระลักษณ์ และนางสีดา เนรเทสตนเองถือศีลในป่า และทศกัณฐ์แปลงเป็นฤๅษีสุธรรมขณะที่พระรามและพระลักษณ์ไม่อยู่อาศรม ฤๅษีสุธรรมปรากฎตัว หลอกให้นางสีดาออกมา และลักพานางสีดาไปกรุงลงกา

และมีตอนนางสีดาลุยไฟ พระอัคนีออกมาแสดงความบริสุทธิ์แทนนางสีดา และชี้แจงแก่พระราม

จนแล้วจนรอด พระรามก็ไม่ได้อยู่กับนางสีดา มีพวกปากหอยปากปู วิจารณ์ว่าเอาหญิงที่ไปอยู่เมืองยักษ์เป็นปีๆเอามาเป็นมเหสี พวกมนตรีไปรายงานพระราม พระรามกลุ้มใจ สุดท้ายจำใจต้องเนรเทศนางสีดา ให้พระลักษณ์ไปส่ง นางสีดาเข้าใจเหตุผลของพระราม และยอมรับชะตากรรมตนเอง

สุดท้ายพระรามและนางสีดา ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเป็นผลจากคำสาปฤๅษีภฤคุที่สาปไว้ ครั้งเทวดากวาดล้างพวกอสูร
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลิทัส on January 20, 2010, 10:52:05
Quote from: ตรีศังกุ on January 16, 2010, 12:11:59
Quote from: เสือร้องไห้ on January 10, 2010, 01:44:28
มีเรื่องความรัก  ของเพศเดียวกันในตำนานอีกไหมคะ 


มีสิ

ตำนาน"หริหระ"ไง
แล้วก็ตำนานพระอัยยัปปา พระวิษณุทรงเล่นบทนางเอก แปลงเป็นสาวสวย จนได้ลูกชายหน่ะครับ

ก่อนอื่นขอบคุณพี่กาลปุตราก่อนนะครับ สำหรับ ตำนานภารตะดีๆ ครับผม

ส่วนตำนานพระอัยยัปปา พระวิษณุแปลงเป็นพระโมหิณี แล้วอภิเสกกับพระศิวะมหาเทพ ครับ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: จิ้งจอกพันหน้า on January 24, 2010, 00:40:10
พระวิษณุ กับพระศิวะ มีการ อวตาลไปงานแบบนี้ กัน บ่อยๆ นะผมว่า

เพราะอ่านเจอ มาหลายเรื่อง แระ อ่ะ  -*-
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: Nicha on January 29, 2010, 23:26:58
.......................สุดยอดทุกเรื่องเลย   อ่านง่าย  เข้าใจง่าย  ......


ขอบคุณทุกๆท่านเลยคร๊าฟฟฟฟ...
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลปุตรา on January 30, 2010, 02:18:08
ตำนานเกย์


          ก่อนอื่นต้องขอออกตัว (ล้อฟรี) ก่อนนะครับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งซึ่งผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบาร์ดังแถวย่านสีลม เธอเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวและสนุกมาก เลยเอามาเล่าให้น้องคนหนึ่งในบอร์ดนี้ฟังขำๆ น้องเขาเลยบอกให้เขียนเรื่องนี้ลงในบอร์ด เพื่อความสนุกสนานแก้เครียดกัน โดยเรื่องก็มีอยู่ว่า (เชิดดดดดดดดด....เปิดโรงละคร)
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สรวงสวรรค์ อันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเทวาแลเหล่านางอัปสรนับหลายล้านๆ ตน ซึ่งตามตำนานนั้นเราก็ทราบกันดีว่าเหล่านางอัปสรนั้นเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่สวยสดงดงามมาก
          แต่พวกเธอเหล่านั้นก็หามีใครใคร่เอาไปครอบครองทำภรรยาถาวร นั่นก็เพราะพวกเธอนั้นไม่ค่อยชอบอยู่กับใครคนเดียวเป็นเวลานานๆ นั่นเอง (คล้ายๆ กับชีวิตเกย์ที่บางครั้งก็เหมือนจะรักกันมาก แต่นานไปต้องไปแอบกินเล็กกินน้อยกันอยู่ประจำอันเป็นเหตุให้ต้องเลิกรากันไป)

          อีกอย่างเหล่าเทวดาเองก็ไม่ยอมรับเธอไว้เป็นภรรยาอีกเช่นกัน ซึ่งก็เหมือนกับชีวิตเกย์อีก ที่ผู้ชายแท้ๆ จะไม่รับเอาทำภรรยา ทำให้พวกเธอนั้นต้องโหยหาความรักมาทดแทนความเหงากันอยู่เป็นประจำ
          แล้วมาวันหนึ่งก็ได้มีดอกปาริชาติซึ่งเป็นดอกไม้สวรรค์สีทองตกลงมาจากสววค์ชั้นดาวดึงส์ลงมายังอัปสรโลก และดอกไม้วิเศษนี้อันผู้ใดที่ได้ครอบครองก็จะทำให้ผู้นั้นสามารถจินตนาการไปได้อย่างกว้างไกลเหมือนอยู่ในฝันตามที่ตนต้องการได้
          เมื่อดอกปาริชาติดอกนั้นร่วงลงมาเพียงดอกเดียว ทำให้เหล่านางอัปสรนับล้านๆ ตนต่างพากันกรูเข้าตบตีแย่งชิงดอกปาริชาตินั้นมาเพื่อครอบครองเป็นของตน จนกลายเป็นศึกนางอัปสรไป ทำให้สวรรค์นั้นเกิดเสียงดังความปั่นป่วนไปทั่ว
          ฝ่ายพระอินทร์เมื่อทรงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเหล่านางอัปสรที่กำลังแย่งชิงดอกปาริชาติสีทองกันอยู่ราวกับสวรรค์นั้นกำลังจะถล่ม จึงทรงพิโรธในการกระทำของเหล่านางอัปสรเหล่านั้นยิ่งนัก จึงเสด็จมาปรากฏท่ามกลางเหล่านางอัปสรที่กำลังตบตีแย่งชิงดอกปาริชาติสีทองกัน
          เมื่อพระอินทร์จอมสรวงเสด็จมาปรากฏเหล่านางอัปสรต่างตกใจในการเสด็จมาปรากฏของพระองค์ แล้วด้วยความกริ้วเมื่อได้ทรงทราบสาเหตุและในพฤติกรรมของเหล่านางอัปสร พระอินทร์เลยสาปเหล่านางอัปสรไปว่า
          “พวกเจ้าเหล่านางอัปสรผู้อยู่ในฐานะนางฟ้านางสวรรค์ แต่ไม่ทำตัวให้สมกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ มาทำการตบตีแย่งชิง เพียงแค่ดอกปาริชาติดอกเดียวด้วยหมกมุ่นในตัณหาราคะอันจะได้จากดอกปาริชาติ ดีแหละเมื่อพวกเจ้ามากด้วยตัณหาราคะเช่นนี้ ก็จงลงไปเกิดในโลกมนุษย์ให้สมกับความผิดที่พวกเจ้าได้กระทำเถิด”
          เหล่านางอัปสรได้ฟังพระอินทร์สาปดังนั้น ต่างก็พากันตกใจจนกลัวจนหน้าซีดกันหมด แล้วพระอินทร์ก็ตรัสต่อไปว่า
          “แต่การที่พวกเจ้าจะลงไปเกิดยังโลกมนุษย์นั้นพวกเจ้าจะต้องไปเกิดในร่างของบุรุษเพศ เนื่องจากอย่างน้อยพวกเจ้านั้นก็มีศักดิ์เป็นถึงนางอัปสรสวรรค์เดิมจึงไม่ควรเกิดในร่างของสตรี แต่จิตใจของเจ้าก็ยังจะเป็นหญิงเช่นเคย คือ ยังรักในเหล่าบุรุษเหมือนเดิม เพื่อชดใช้กรรมที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ในครั้งนี้”
          เหล่านางอัปสรต่างกลัวกันมาก ว่าจะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์กี่ร้อยกี่พันชาติ จึงทูลถามพระอินทร์ว่าแล้วเมื่อไรพวกเธอจะพ้นคำสาปนี้ได้เล่า พระอินทร์จึงตรัสตอบไปว่า
          “ก็เมื่อพวกเจ้านั้นหันกลับรักมาปรองดองซึ่งกันและกันเองอย่างจริงใจ รู้จักเอื้อารีแก่กันและกันนั่นแหละ พวกเจ้าถึงจะสิ้นคำสาป แต่ถ้าพวกเจ้ายังหมกมุ่นในตัณหาราคะ ไม่คิดมีความรักอันบริสุทธิ์รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน พวกเจ้าก็จะต้องทนทุกข์เวียนว่ายตายเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงเช่นนี้ตลอดไปชั่วกาลนาน จำไว้ให้ดี จะไม่มีใครรักพวกเจ้าจริงนอกจากพวกเจ้าเท่านั้นที่จะรักกันเอง จงเลิกตบตีแย่งชิง เลิกรังเกียจกันและกัน และเลิกมั่วในตัณหาราคะนั่นแหละพวกเจ้าถึงจะกลับมายังสวรรค์ได้อีกครั้ง”
          จากนั้นมาเหล่านางอัปสรที่ตบตีแย่งชิงดอกปาริชาติสีทองก็ทะยอยลงมาถือกำเนิดในโลกมนุษย์ตามความหนักเบาของกรรมที่ตนนั้นได้ก่อไว้ จึงบังเกิดมีมนุษย์ที่รักเพศเดียวกันขึ้นนับแต่นั้นมา
          ด้วยเหล่านางอัปสรที่ลงมาเกิดนั้นก็นำนิสัยเดิมติดลงมาด้วย คือ ยังติดรักสวยรักงาม ยังติดนิสัยการแย่งชิงดีชิงเด่นกัน และติดนิสัยการไม่รู้จักพอในกามารมณ์ลงมาด้วย
          อันทำให้เห็นว่าเหล่านางอัปสรที่ถูกสาปลงมาในโลกนั้นก็ไม่วายจะนำนิสัยเดิมของตนติดมาด้วย เช่น ยังรักสวยรักงาม ชอบนินทา ชอบประชันความสวยความงามของตนเองกับนางอัปสรตนอื่น และที่สำคัญยังติดนิสัยชอบปรนเปรอความสุข ชอบสนุกสนานเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ แม้เขาผู้นั้นจะรักพวกเธอมาเพียงใดก็ตาม
          เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้วเหล่านางอัปสรนั้นต้องมารับวิบากกรรมต่างๆ นานา ถูกรังเกียจเดียดฉันท์จากชายจริงหญิงแท้เป็นอย่างมาก และส่วนมากก็ต้องมาทำหน้าที่เดิมของตนคล้ายๆ กับที่ทำบนสวรรค์ คือ จะมักทำหน้าที่สร้างความสุขความสำราญให้แก่มนุษย์ เช่น เป็นนักศิลปะ, นักฟ้อนรำ, นางโชว์ เป็นต้น

          อีกทั้งยังต้องมาปรนเปรอกามารมณ์ให้กับบุรุษเพศในโลกอีก โดยบุรุษนั้นก็ไม่ยินยอมรับนางไว้ครอบครองเหมือนดั่งที่เหล่าเทวดาไม่ยอมรับนางไว้เป็นภรรยาอีกด้วย เสร็จกิจก็จากไป ไม่งั้นก็จะโดนเหล่าบุรุษหลอกลวงเกาะกินไปหลายราย
          จนในที่สุดมีนางอัปสรหลายตนเมื่อเจอเรื่องราวชำใจเช่นนี้ ก็ระลึกถึงคำตรัสของพระอินทร์ได้ว่า ถ้าต้องการพ้นคำสาปก็ต้องหันมารักพวกเดียวกันก่อน เธอเหล่านั้นจึงเข้าใจได้ว่าเราควรจะหันมารักพวกเดียวกันดีกว่า ใครที่ไหนจะมาเข้าใจและรักพวกเราเท่าพวกเรานั้นรักกันเอง

          แต่ก็ยังมีนางอัปสรบางรายลืมกฏอีกข้อหนึ่งไปว่า แม้พวกเธอจะหันมารักพวกเดียวกันก็ตาม แต่พวกเธอต้องละเลิกมั่วในตัณหาราคะจึงจะได้กลับไปเกิดบนสวรรค์อีกครั้ง อันทำให้นางอัปสรหลายตนต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยลืมกฏข้อนี้กันไปอีกหลายราย และต้องทนรับกรรมกันอีกหลายชาติกว่าจะทำตามกฏที่พระอินทร์ตรัสไว้ได้ครบ
          แล้วนางอัปสรตนใดเล่าจะได้กลับไปเกิดบนสวรรค์สวรรค์อีกครั้ง ก็ลองเอาไปคิดดูกันเองนะครับ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: Purple_Tulip on January 30, 2010, 06:21:56
เป็นอีกกะทู้ที่ถูกใจมากๆค่ะ เพราะชอบอ่านนิทาน+เรื่องเล่า
ขอร่วมเป็นกำลังใจให้เจ้าของกะทู้นะคะ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: กาลิทัส on January 30, 2010, 08:07:42
ขอบคุณอีกครั้งครับพี่ออส
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: purush on February 09, 2010, 15:59:17
@ @

โอ เป็นการเปิดโลกทรรศน์ของอิฉัน โดยแท้

ขอบคุณค่ะ ได้ความรุ้มากๆ เลย - -*
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: จิ้งจอกพันหน้า on February 23, 2010, 12:35:02
รืม...

ติดตามผลงานอยู่ นะคร้าฟพี่ออส

อิอิ
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: phorn456 on April 12, 2010, 12:42:32

แหม!!! กำลังสนุกเลยจบและ... คุณพี่ค่ะ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ คุณพี่รีบกลับมาเล่าเรื่องให้น้องฟังใหม่นะค่ะ

จะรอนะค่ะ

(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fdc239.4shared.com%2Fimg%2F262755803%2Fdec2dfc0%2F10_online.gif%3Frnd%3D0.9762383335063206&hash=234f1ddc4e8b7d5b6064907a89be186b160bdfe1) (http://www.4shared.com/photo/BstAUd83/10_online.html)
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: ภัทรกาลา on June 23, 2010, 17:16:53
ขอตอบแทนด้วยการเล่าตำนานจากโอลิมปัสที่ข้าพเจ้าถนัด

อันว่าซูสเทพประมุขแห่งโอลิมปัส มีเรื่องเล่าว่าท้าวเธอก็มีรสนิยมเป็นชายนิยมชายเช่นกัน เรื่องมีอยู่อว่ากาลครั้งหนึ่งก่อนสงครามกรุงทรอยจะอุบัติขึ้น ราชาทรอสแห่งกรุงทรอยมีโอรสองค์หนึ่งนามว่า แกนีมิด เจ้าชายแห่งแกนีมิดนั้นมีรูปโฉมที่งดงามมาก (ว่ากันว่าผู้ชายชาวทรอยรูปหล่อทุกคน ไม่เชื่อลองหาหังเรื่องTroy แบรด พิทนำแสดงมาดู (https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.hindumeeting.com%2Fforum%2Frichedit%2Fsmileys%2FYahooIM%2F21.gif&hash=ef310ef431cce4c3f88cc6013ea4ca0cedc287b9)  )
ซูสเทพบดีเห็นเข้าทนไม่ไหว เลยแปลงร่างเป็นเหยี่ยวไปโฉบเอาตัวมา เป็นนายบำเรอ ทำหน้าที่รินสุราแลสุธารสให้ซูส และ เหล่าเทวะยามมีงานเลี้ยงบนสวรรค์ แล้วก็เลยได้รับเกียรตให้เป็นกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือกลุ่มดาวสถิตลัคนาราศีกุมภ์(Aquarius)นั่นเอง ด้วยว่าหม้อน้ำที่เป็นสัญลักษณ์ประจำกลุ่มดาวนั้นก็คือคนโฑที่แกนีมิดถือคอยรินให้เหล่าเทวะนั่นเอง
เรื่องนี้อธบายได้ว่า เรื่องของชายรักชายนั้น ในสมัยกรีกโบราณก็เป็นที่นิยมมาก พวกชนชั้นสูงก็มีไม่น้อย เหล่านักบวชจึงได้อุปโลกน์เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจพวกชนชั้นปกครองว่าซูสเทพบดีนั้นบางครั้งก็เป็นชายรักชายเฉกเช่นหลายๆคนในชั้นปกครอง
(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.upchill.com%2Fdirect%2F185177c453c896ae2f13e4910224ab7b.jpg&hash=ec2b2b5e631de0a5abb2aaa8af4845875d7ea0fc) (http://www.upchill.com/image.php?id=185177c453c896ae2f13e4910224ab7b)
Title: ตอบ: ห้องแห่ง ตำนานนิทานภารตะ
Post by: ศรีเคารีปุตรายะ on October 10, 2010, 18:50:20
ผมขอเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่งนะคับ

มหาสตรีสาวิตรี เทวีผู้นำสามีพ้นจากความตาย

             กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกษัตริย์พระองค์หนึ่ง นามว่า อัชวาปตี กับพระชายาคือ พระนางมัลลาวี ทั้งสองไม่มีโอรสธิดา จึงทรงทำพิธีบูชาพระแม่มาเตศวรี(กายาตรี) ขอพรให้มีบุตร ทั้งสองทำพิธีอยู่ถึง19ปีจึงสัมฤทธิ์ผล พระแม่มาเตศวรีทรงปรากฏและได้ให้คำมั่นว่า ทั้งสองจะให้กำเนิดพระธิดาที่ทรงสติปัญญา และกล้าหาญ รวมถึงจะทำให้ชื่อของธิดาองค์นี้ปรากฏอยู่ในโลกชั่วกาลนาน
         
          จากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ให้กำเนิดพระธิดาองค์หนึ่ง โดยเทวฤาษีนารัท มาตั้งนามให้ ชื่อว่า สาวิตรี เจ้าหญิงสาวิตรีได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระบิดาและพระมารดา จนวันหนึ่งมาถึง เมื่อเจ้าหญิงสาวิตรีมีอายุได้ 19ปี ราชาอัชวาปตีกับพระชายาทรงกังวลว่าจะหาคู่ครองให้พระธิดาได้ยังไรดี จึงไปปรึกษากับเทวฤาษีนารัท จึงตกลงกันว่า ให้เจ้าหญิงสาวิตรีไปหาคู่ครองด้วยตนเอง

          เมื่อเจ้าหญิงทราบความประสงค์ของพระบิดาและพระมารดาแล้ว ก็ทรงเสด็จไปหาคู่ครองตามแว่นแคว้นต่างๆ จนได้เจอกับชายคนหนึ่งนามว่า สัตยวาน เป็นโอรสของกษัตริย์เมืองหนึ่ง แต่โดนแย่งบัลลังก์ไป และบิดามารดาของสัตยวานทั้งสองก็ตาบอดด้วย เวลานั้นทั้งสามพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่า สาเหตุที่ได้เจอกันสัตยวานนั้นก็เนื่องมาจาก เจ้าหญิงสาวิตรี ทรงออกล่าสัตว์ แต่กลับโดนเสือโคร่งไล่หมายจะเอาชีวิต สัตยวานไปพบโดยบังเอิญ จึงช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากอันตราย และเหตุการณ์นี้เองทำให้เจ้าหญิงหลงรักสัตยวานอย่างจิงใจ เพราะเนื่องจากจะช่วยนางให้พ้นจากเสือแล้ว สัตยวานยังมีความเป็นสุภาพบุรุษ และมีธรรมะเป็นอย่างมากด้วยนั่นเอง  เจ้าหญิงสาวิตรีจึงทรงกลับไปกราบทูลพระบิดาและพระมารดาให้ทราบว่า จะทรงเข้าพิธีแต่งงานกับสัตยวาน

          เมื่อกษัตริย์อัชวาปตี และพระชายาทราบเรื่อง กลับไม่พอใจที่เจ้าหญิงสาวิตรีทรงเลือกคู่ครองที่ไม่มีอนาคต จะพาเจ้าหญิงไปตกระกำลำบากในพงไพร แต่เจ้าหญิงทรงตั้งพระทัยแน่วแน่แล้วว่า จะทรงแต่งงานกับสัตยวาน จึงทรงดื้อดึงไม่ยอมท่าเดียว จนเทวฤาษีนารัททรงมาช่วยพูด และพยากรณ์ว่า จากนี้ไปอีก 1 ปี สัตยวานจะถึงแต่ความตาย นั่นหมายความว่า สาวิตรีจะมีความสุขกับสัตยวานได้เพียงปีเดียวเท่านั้น แต่เจ้าหญิงสาวิตรีทรงมีพระทัยมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง จึงได้เข้าพิธีแต่งงานกับสัตยวาน ทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขในพงไพร ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน สาวิตรีได้ทำพิธีอาคานโซบาวตี(พิธีประกอบบุญอันยิ่งใหญ่) ตลอดทุกวัน มาจนกระทั่ง.........

          เหลือเวลาอีก 4 วัน ก็จะถึงวันที่สัตยวานต้องจากโลกนี้ไป สาวิตรีรู้เรื่องนี้ดี แต่ไม่รู้จะทำประการใดได้ จึงบูชาพระแม่มาเตศวรีให้ช่วยชี้แนะ พระแม่ทรงพอพระทัยและมาปรากฏ พระแม่ได้ทรงแนะนำว่า ให้สาวิตรีทำพิธีบูชากูณฑ์เป็นเวลาสามวัน ในสามวันนั้นต้องไม่ทานอะไรเลย หากทำได้สัตยวานจะสามารถกลับฟื้นคืนได้ สาวิตรีได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระแม่ทุกประการ จนถึงวันสุดท้ายของสัตยวาน ในเย็นวันนั้น ทุกๆวันสัตยวานจะต้องไปตัดฟืนในป่า แต่วันนี้มีแต่ลางร้าย สาวิตรีจึงขอตามสามีของนางไปด้วย จนกระทั่งกลางป่าในเวลาพลบค่ำ สัตยวานโดนงูกัดจนตาย สาวิตรีเห็นสามีตายไปต่อหน้าต่อตาก็เสียใจ นางเอาศีรษะของสัตยวานมาหนุนตักของนางไว้ เมื่อพระธรรมราช(ยม)จะมาเอาวิญญาณของสัตยวาน ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะนางมีอำนาจตบะจากการที่นางได้สั่งสมบุญไว้ตลอดเวลาที่อยู่กับสามีของนาง จึงไม่สามารถทำอะไรนางได้ พระธรรมราชจึงบันดาลให้สัตยวานรู้สึกตัวและกระหายน้ำ สาวิตรีหลงกลเลยไปหาน้ำมาให้ พระธรรมราชจึงเอาวิญญาณของสัตยวานไปได้

          พอสาวิตรีกลับมา เธอรู้ว่าโดนหลอกเสียแล้ว และนางเห็นพระธรรมราชกำลังนำดวงวิญญาณของสามีนางไป นางจึงอ้อนวอนด้วยถ้อยคำที่ไพเราะและมีความหมายสรรเสริญพระธรรมราช จนพระองค์พอใจ และให้นางขอพรได้ข้อหนึ่ง เว้นแต่อย่าขอชีวิตของสัตยวาน นางจึงขอให้บิดาของสัตยวานได้บัลลังก์คืน เมื่อพระธรรมราชจะทรงกลับยมโลก สาวิตรีก็ได้ตามพระธรรมราชและกล่าวสรรเสริญพระองค์ไปตลอดทาง จนพระธรรมราชพอพระทัย และให้พรนางอีกสามข้อ นางขอว่า ให้บิดามารดาของสัตยวานได้กลับมามีดวงตามองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง , ขอให้พระบิดามารดาของนางมีโอรส100คนเพื่อสืบสันตติวงศ์ และขอให้นางมีบุตร 100 คน พระธรรมราชก็ได้ให้พรตามนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนต่อนาง เพราะพรข้อสุดท้ายจะเป็นผลไปไม่ได้ถ้านางไม่ได้สามีนางกลับคืนไป พระธรรมราชจึงให้สัตยวานฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง นางจึงกลับไปอยู่กับสัตยวานอย่างมีความสุขอีกครั้ง

          ด้วยเหตุนี้ ผู้คนทั่วไปจึงขนานนามให้นางว่า มหาสตรีสาวิตรี

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หวังว่าคงจะถูกใจคอนิทานภารตะทุกคนนะคับ

ขอให้พรพระคเณศจงอยู่กับทุกคนคับ

โอม ศรีคเณศายะ นะมะ

ไว้คราวหน้าจะหานิทานมาเล่าให้ฟังอีกคับ