Loader

มึนเลยงานนี้ พระแม่กาลีโปรดแบบนี้จิงห&#

Started by poppuri, January 18, 2011, 18:10:21

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

คือว่าได้ไปรู้จักกับคนๆ หนึ่ง เธอบอกว่าเธอนับถือพระแม่กาลีมากๆ มิเชลล์ก็เลยถามว่า"บูชาพระแม่ด้วยอะไรคะ" เธอตอบว่าเธอเอาพระแม่กาลีไว้ในห้องนอน แล้วเธอก็บอกว่าเธอถวายไวน์แดงแก่พระแม่ทุกคืนวันศุกร์ บางครั้งก็เป็นเหล้า พร้อมเลือดสัตว์สดๆ และบางวันแฟนมาบ้าน ทุกครั้งที่เธอจะมีอะไรกับแฟนเธอจะจุดธูปอัญเชิญพระแม่มาดูทุกครั้ง อันนี้ถึงกับเอ๊ะ!เลยค่ะ มิเชลล์เลยถามว่าทำไมทำแบบนั้นล่ะ เธอบอกพระแม่ท่านโปรด จริงหรอคะพี่ๆที่พระแม่ท่านโปรดเรื่องแบบนี้ มิเชลล์เคยได้ยินบางตำนานนะคะอย่างมากก็ถวายเลือดกับศิวลึงค์ นี่เล่นเสพสังวาสกันเลยอ่ะ ยังไม่พอนะคะเธอยังแนะนำอีกว่าให้มิเชลล์เอาเข็มแทงนิ้วให้เลือดออกแล้วเอาเลือดไปแตะที่ลิ้นของเทวรูปพระแม่ พูดตรงๆเลยนะคะมิเชลล์ไม่กล้าอ่ะ และไม่รู้ด้วยว่าที่เขาทำมันจะทำให้พระแม่โปรดจิงหรือเปล่า เลยอยากสอบถามคนที่รู้ถึงการบูชาพระแม่กาลีจริงๆอ่ะค่ะ ว่าเขาทำถูกไหมจะได้ไปบอกเขาค่ะ
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

ไม่ๆๆๆๆnoๆๆๆๆๆๆๆ

พระแม่ไม่ต้องการแบบนี้แน่นอน เข้าใจผิดครั้งใหญ่เลย อะไรไปเสพสังวาสกันหน้าเทวรูปแม่กาลี แถมมีไวน์อีก พระแม่ท่านไม่ชอบแบบนี้แน่นอน

พลังของท่านแม่  ถูกถ่ายทอดสู่สิ่งมีชีวิต   คุณธรรมและความดีของท่านแม่
จะถ่ายทอดสู่สรรพสิ่งเช่นกัน
และหากมีใครบอกว่า  ท่านแม่กาลีเป็นนังกาลีกินเลือดโหดร้าย 
พี่เสือจะบอกเขาว่าให้กลับไปมองดูตัวเองก่อน  แล้วถามว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวกินเลือด
พี่เสือจะยกมือบอกให้โลกรู้ว่า   เสือค่ะ  เป็นตัวกินเลือด   กินเลือดแม่ด้วย
นอกจากกินเลือดแล้วยังกิน  กระดูก  กินความสวยงาม  กินสรีระ  กินหยาดเหงื่อ
แต่แม่ก็ให้เสือกินด้วยความเต็มใจ   และยอมเสียสละให้เสือ  กระทั่งยอมเสี่ยงตาย
เลือดนั้นก็คือ  น้ำนม  ที่กลั่นมาจากเลือดของแม่  รักของแม่ 
****เมื่อใดที่ลูก   ได้กินเลือดของแม่   เมื่อนั้นลูกจะมีชีวิต
เมื่อใดที่ลูกได้กิน  กระดูกของแม่   เมื่อนั้นลูกจะยืนได้
เมื่อใดที่ลูก  ได้กินสรีระความงามของแม่  ลูกจะงามสะพรั้งและสดใส
เมื่อใดที่ลูกได้กิน  แรงกายของแม่  เมื่อนั้นลูกจะมีวันที่ดี
เมื่อใดที่ลูก   ถีบท้องแม่   ถึงแม่เจ็บปวดแต่จะมีความสุข

เมื่อใดที่ลูกภายลม   และถ่ายอุจจาระรดแม่บ่อยๆ  แม่จะยิ้มแล้วบอกว่าลูกฉันจะโตขึ้นอีก
เมื่อใดที่ลูกทำให้แม่เสี่ยงความตาย  เมื่อนั้นลูก  จะลืมตาเห็นโลก
และเมื่อใด  ที่ลูกเรียกแม่  แม่จะอ่านน้ำเสียงของลูกออกว่าลูกต้องการอะไร
แม้หัวใจจะไม่ใช่ดวงเดียวกัน   แต่หัวใจของลูกจะอยู่ข้างดวงใจของแม่******

หากพระแม่  คือตัวแทน  ของสตรี  เพศแม่  ที่มีพลังมหาศาล   
พลังของพระแม่ได้ถ่ายทอดสู่สิ่งมีชีวิต  เพื่อโลกจะเคลื่อนต่อไปข้างหน้า   
เพื่อสรรพสิ่งจะดำรงอยู่ต่อไป และพลังเหล่านั้นคือ  พลังของความรัก 
ความเสียสละ  พลังของความกล้าหาญ พลังของการปกป้องบุคคลที่รัก 
ฝากบอกเพื่อนของคุณน้องคนนั้นว่า    หากเขารักพระแม่  คุณธรรมเหล่านี้ 
เขาต้องรู้สึกและเข้าใจ   และรักท่านแม่  ที่คุณธรรมของท่านแม่   
เพื่อนของน้องเก่งนะคะ   ไม่กลัวเข็มไม่กลัวเจ็บ   มุ่งมั่นดีคะ  แต่พี่เสือ   
ขอนิดนึงนะคะ    บอกเค้าว่า   ถ้าอยากถวายเลือดให้ท่านแม่แล้วรับรองได้ว่าท่านแม่ปลื้มแน่ๆ
ห้ถวายอย่างนี้ค่ะ   คือ  แทนที่ถวายเจาะปลายนิ้วอย่างที่ทำใช่ไหมค่ะ   
บอกให้เขาเลื่อนไปเจาะที่ข้อพับแขนแทนค่ะ  แต่ตอนถวายคิดถึงท่านแม่ก็ได้นะคะ
ให้ไปถวายที่   กาชาติ  โรงพยาบาลไหนก็ได้ค่ะ  3  เดือนครั้งก็ได้ค่ะ 
รับรองทำดังนี้แม่ปลื้ม  ร้อยวันค่ะ   ทำอีกท่านแม่ปลื้มร้อยเท่าค่ะ 
ให้เค้าไปถวายเลือดที่นั้นน่ะคะ  แล้วเล่าให้เค้าฟังว่า
นึกถึงท่านแม่  ที่ต่อสู้กับอสูร  เพื่อปกป้องผู้ที่ถูกรังแก 
ซึ่งท่านแม่ไม่อาจนิ่งเฉย   ต่อลูกที่กำลังเจ็บอยู่ได้   ท่านแม่เป็นฮีโร่ 
ของสรรพสิ่ง  และเทวดา  หากเขาทำน่ะคะ  เลือดของเขา   
และตัวเขาก็จะเป็นฮีโร่  ค่ะ   ได้สร้างกุศลได้ช่วยชีวิตคน   
และเลือดของเราช่วยได้หลายคนด้วยคะ
ดีกว่า    เจ็บอย่างไร้ประโยชน์  โดยไม่รู้ว่า  ท่านแม่ปลื้มหรือเปล่า   
เผลอๆเข็มไม่สะอาด  บาดทะยักจะกินเอานะคะ   พี่เสือรักพระแม่มากค่ะ 
และหากเขาถวายเลือดเหมือนที่พี่เสือบอกพี่เสือก็ปลื้มด้วยคะ   
จะยกมือท้วมหัวอนุโมทนาสาธุ  ด้วยคนค่ะ
ขอบอกว่า   ไม่ว่าจะเป็นพระแม่   แม่เรา  แม่เขา  แม่ของสิ่งมีชีวิต   
ต่างรักและปกป้องลูกของตนด้วยชีวิต  ไม่มีแม่ที่ไหน  อยากเห็นเลือดของลูก 
พอใจกับความเจ็บปวดของลูก  หรือประสงค์อยากเห็นน้ำตาของลูก
เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

ส่วนเมคเลิฟกับเเฟนให้ท่านเเม่ดูเนี่ย
อันนี้พี่เสือไม่รู้น่ะคะ
เเต่บอกได้คำเดียวค่ะว่า   
พี่เสือไม่กล้าอะคะ 

อายคะ  ปู่ย่าตาทวด สอนมาว่า   

ทำอะไรก็ มิดชิดหน่อย

อายฟ้าอายดิน   อายผีสางเทวดาบ้าง

เรื่องอย่างว่า  มันเป็นเรื่องของคนสองคนนะคะ  สนุก มันส์
ก็เเซ่บกันสองคนน่ะคะ อย่าเอาท่านเเม่ไปเกี่ยวเลยค่ะ 
ไม่ต้องทำเผื่อด้วยนะคะ  มีวิธีบูชา   
ทำให้ท่านเเม่ปลื้มท่านเเม่โปรดมากมายค่ะ 
อะไรที่ทำเเล้วเป็นประโยชน์ต่อโลก
ทำเเล้ว  เทวดาสาธุ  มีมากมายคะ   คิดคะคิด


เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

เรื่องอย่างว่า มันเป็นเรื่องของคนสองคนนะคะ  สนุก มันส์
ก็เเซ่บกันสองคนน่ะคะ <---------- ถูกใจพี่อย่างแรงเลยเสือเอ้ยยยย ^^
หากศาสนิกชนฮินดูปฏิบัติการบูชาเทพอย่างถูกประเพณี เดินบนทางที่ถูกที่ควร
ไม่หลงมัวเมาไปกับอวิชชาทั้งหลาย
ศาสนาพราหมณ์และมหาเทพอันเป็นที่รักยิ่งของเราคงมีภาพลักษณ์ที่ดีกว่านี้

ขอชัยชนะจงมีแด่พระเป็นเจ้า
...กราบแทบพระบาทรูปดอกบัวแห่งพระองค์...สยามคเณศ
พิทักษ์ - สยามคเณศ

ไม่ได้กวนนะ แล้วที่สาวกบูชาตอนนี้ รู้ได้ยังไงว่าพระแม่โปรด?

การบูชาด้วยการเสพสังวาสและบูชาด้วยการล้มแพะ อาจจะยังคงมีอยู่ในอินเดียค่ะ เป็นลัทธิอีกลัทธิหนึ่ง แต่ด้วยความเห็นส่วนตัว ไม่นิยมถวายเนื้อสัตว์ หรือ เลือด ค่ะ ยิ่งถ้าไม่ได้แยกหิ้งเป็นสัดส่วนแล้ว ยิ่งไม่กล้าใหญ่ น้องเสือ มาเลย มาเอารางวัลไป ตอบได้โดนใจมากมาย ศรัทธา ความเชื่อ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าให้มากไปค่ะ อาจอยู่ในขั้น งมงาย ได้

ผมว่าพระเเม่กาลีทรงโปรดครับ   แต่ชอบความเห็นคุณพี่เสือร้องไห้ ที่ว่าให้บริจาคเลือดเเล้วถวายเป็นบุญเเด่พระเเม่ครับ 

ค่ะ มิเชลล์จะนำเรื่องทีพี่เสือและพี่คนอื่นแนะนำไปบอกเขาค่ะ ว่าควรทำอย่างไร แต่ทว่ามิเชลล์เบื่อตรงที่เขาชอบนึกว่าเขาเก่งพิธีอ่ะค่ะ เวลาคุยทีไรนะเป็นต้องแนะนำอะไรอีกหลายอย่างที่ตัวเองรู้มาบางอันฟังแล้วถึงกับงงว่าเขาไปเอามาจากตำราไหน มิเชลล์ได้แต่นั่งฟังนะคะไม่คิดอยากตอบโต้เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่โต เชื่อไหมคะเดี๋ยวพอมืเชลล์เอาไปบอกเขา เขาก็ไม่ค่อยฟังมิเชลล์มากหรอกค่ะ ที่มิเชลล์เอามาเล่าให้ฟังเนี่ยเพราะมิเชลล์มองพระแม่กาลีเป็นเสมือนเทวีที่พูดง่ายๆว่ายอมเสียสละนะคะ เพราะพระแม่ยอมที่จะกินเลือดอสูรที่แสนจะสกปรกเพื่อปกป้องชาวโลก และมิเชลล์การที่เขาล้มแพะถวายพระแม่นั้นน่าจะมาจากการที่พราหมณ์ลัทธิต่างๆ ปรุงแต่งขึ้นมา มิเชลล์เคยดูหนังแขกเรื่องนึงนะคะจำไม่ได้แล้วว่าชื่อเรื่องอะไรในตอนนึงกล่าวว่า มีพี่น้องเลี้ยงแพะ 2 คน นึกอยากกินแพะแต่ว่าไม่กล้าเชือดเพราะเป็นแพะของแม่ของเขา เลยตกลงกันโกหกว่าพระแม่กาลีมาเข้าฝันบอกว่าอยากเสวยเลือดแพะ จึงขอแพะแม่ตัวนึงเพื่อมาทำพิธี ครั้นถึงพิธีเชือดคอ นางเอกซึ่งในเรื่องเป็นผู้ที่ถวายตัวเป็นทาสของพระแม่ได้ผ่านมา นางจึงเข้าห้ามปราม แล้วบอกความจริงที่พี่น้องคู่นี้แต่งขึ้นมาเพื่อหลอกแม่ของตน และนางยังถามพี่น้องคู่นี้อีกว่าที่อยากกินแพะน่ะ พระแม่หรือ เจ้าสองคนกันแน่ ทั้งๆที่สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ต่างกำเนิดมาด้วยพลังอำนาจแห่งพระแม่เจ้าทั้งสิ้น พูดง่ายๆคือเป็นลูกของพระแม่กันหมด แล้วเหตุอะไรพระแม่จะกินลูกของตัวเอง ทันใดนั้นพระแม่จึงปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคนแล้วสั่งห้ามมิให้มีการล้มแพะหรือทำพิธีบูชายัญสิ่งมีชิวิตในวัดของพระองค์เป็นอันขาด หนังเรื่องนี้เป็นของอินเดียใต้น่ะค่ะ จากการที่มิเชลล์ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกปลื้มมากค่ะที่ แม้สิ่งมีชีวิตที่บางคนมองไม่เห็นค่า เลยพระแม่ยังเสด็จมาปกป้อง นี่แหละพระแม่ที่น่ารัก
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

ขออนุญาติตอบเท่าที่พอจะทราบนะค่ะ  ผิดพลาดประการใดก็ต้องกราบขออภัยทุกท่านด้วย ...

แต่ทั้งนี้ส่วนตัวแล้วจะไม่ขอแสดงความเห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก เหตุเพราะในฐานะที่เราก็เปนคนรุ่นหลัง ก็เลยมิบังอาจไปตัดสินอะไรใครได้
อิชั้นเชื่อดีเหลือเกินว่าพิธีกรรมบางอย่างล้วนแฝงไปด้วยนัยหรือความหมายบางอย่างชนิดที่ว่าคนรุ่นใหม่อย่างเราๆไม่มีทางที่จะล่วงรู้ได้  ถ้าไม่ได้เอาใจใส่หรือศึกษาแบบจริงๆจังๆ

ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะค่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วก็ขอท้าวความไปถึงที่มาหรือต้นกำเนิดความเชื่อแบบนี้เลยละกัน  หลายๆท่านก็จะได้กระจ่าง  มิเช่นนั้นก็จะเป็นแบบที่ท่านเจ้าของกระทู้ไปประสบพบเจอมาอะคะซึ่งเดี๋ยวก็จะพาเข้ารกเข้าพงหรือออกนอกลอยทะเลไปไกล



ความเชื่อในเรื่องการบูชาศักติหรือนับถือเทพเจ้าเพศหญิงด้วยการบูชายัญด้วยสัตว์หรือมนุษย์นั้น  ถ้าว่ากันตามหลักประวัติศาสตร์ศาสนาแล้วพบว่าลัทธิการบูชาแบบนี้มีมานานแล้วคะ  ตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่แล้ว
ท่านพนะ(Bana)  นักโบราณคดีอินเดีย  ได้บันทึกไว้ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ว่าคนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งแถบภูเขาวินธัยสังเวยเจ้าแม่จันทิกาด้วยเนื้อสด และเฉือนเนื้อตัวเองเอาเลือดสังเวยองค์เจ้าแม่
พระราชินีของเมืองอุชเชนีได้กระทำการสังเวยเจ้าแม่องค์นี้เพื่อขอกำเนิดโอรสเช่นกัน

จากหลักฐานในข้างต้นนี้แสดงให้เราเห็นว่าการนับถือองค์เจ้าแม่นั้นแพร่หลายในหมู่คนชั้นสูงและคนพื้นเมืองทั่วไป  โดยมักถูกเรียกรวมๆว่าความเชื่อแบบ ศักตะ ( Shakta) หรือตันตระ (Tantra)
และเมื่อเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูจึงเรียกว่าฮินดูตันตระ โดยมีคัมภีร์ศักตาคมหรือตันตระเป็นศูนย์กลางความเชื่อ


เรื่องตันตระของฮินดูนั้นในทางเทววิทยาและศาสนศาสตร์เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่โลกใบนี้เริ่มมีมนุษย์แล้วคะ
แม้แต่สังคมเกษตรหรือชาวนาชาวสวน  ก็พบว่ามีเรื่องของเวทมนต์และโชคลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นอะนะค่ะว่าถึงกับขนาดมีการบูชายัญด้วยมนุษย์เพื่อทำให้ที่นาอุดมสมบูรณ์
หรือถ้าไปดูอีกฟากฝั่งหนึ่งของซีกโลก เช่นเทพคิฮัวโคเทิล เทพโบราณของอเมริกากลางต้องการให้มีการสังเวยมนุษย์ทุกสัปดาห์
หรือแม้แต่พวกอารยธรรมอินคาหรือก่อนหน้าอารยธรรมอินคาก็พบหลักฐานการสังเวยชีวิตมนุษยเพื่อการบูชายัญต่อเทพที่พวกเขาเคราพรักนับถือ


สมัยฮารัปปา-โมเฮนโจดาโร ก็ปรากฎว่าได้มีการเคราพพระเทวี  และแม้แต่ในสังคมยุคโบราณซึ่งนอกเหนือจากอินเดียแล้วเหล่าบรรดานักปราชญ์ก็ยอมรับเทพประจำห้วงอากาศ( Sky God) และเจ้าแม่ธรณีหรือพระปฤถวี (Earthen Goddess )
ก็เคยได้รับการบูชามาแล้วในสมัยเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ เพื่อทำให้ฟ้าฝนและการทำนาอุดมสมบูรณ์  ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าตันตระของฮินดูก็มิใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมาเข้ากับศาสนาต่างๆแล้วความโน้นเอียงผันแปรให้เข้ากับศาสนาหรือลัทธินั้นๆก็ย่อมมีเป็นธรรมดา

ตันตระอุบัติขึ้นทางอินเดียใต้  เพราะเชื่อกันว่าย่านนั้นเป็นย่านกำเนิดของเจ้าแม่กาลี  จากนั้นตันตระค่อยๆขยายออกไปทางเหนือจนถึงรัฐพิหาร ( มคธ ) และมาทางเบงกอลตะวันออก  จนถึงอัสสัม
ศูนย์กลางของตันตระเชื่อว่าอยู่ที่แคว้นเบลกอล ในที่นั้นมีเทวรูปและวิหารของพระศรีมหากาลีอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งเหล่าศิษย์ยานุศิษย์ขององค์พระแม่ก็น่าจะทราบกันดี รวมถึงพระเทวีต่างๆในกลุ่มทศมหาวิทยาก็ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่นี้ด้วย




นักปราชญ์ในยุคหลังอย่างเช่นท่านรามากฤษณะ สาวกคนสำคัญของพระศรีมหากาลีกล่าวว่าความเชื่อในศักติมีมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว  ทั้งนี้ท่านได้ยกข้อความในฤคเวทมาสนับสนุนว่า ....


''ศักติอยู่ในสรวงสวรรค์ค้ำจุนโลก ( The support of the earth living in the heaven )  และอีกแห่งในฉานโทคยะอุปนิษัท (3,12) ว่าอาศัยศักติเอกภพจึงดำรงอยู่ได้ (By which the universe is upheld )

ทีนี้มาถึงเหล่าสาวกที่บูชาพระกาลี ซึ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายได้แก่พวก '' ทักษิณาจารี '' ฝ่ายขวา กลุ่มนี้ตีความศักติในทางปรัชญาว่ามหาเทวีคือพลังอิทธิฤทธิ์พระศิวะที่ปรากฎในรูปบุคคล ( Personized) ในฐานะชายาของพระองค์
เช่นในปางอุมา เการี ปาราวตีและชคัทมาตา คือพลังฝ่ายดีในธรรมชาติ เสมืองหนึ่งการมีชีวิต

ส่วนในปางกาลีและทุรคา  คือพลังฝ่ายชั่วเสมือนหนึ่งความตายและเป็นความจริงของชีวิต   
ท่านรพิทรนาถ ตะกอร์และรามกฤษณะเห็นว่าศักติคือมายา (ภาพลวงตา ) ซึ่งแสดงปรากฎการณ์สองด้านของโลก คือสวยงามและน่าเกลียด



มาถึงอีกฝั่งหนึ่งได้แก่พวกฝ่ายซ้าย ''วามาจารี''  สำหรับกลุ่มนี้แล้วไม่นิยมตีความศักติในเชิงปรัชญา  แต่เข้าใจตามตัวอักษรว่าศักติคืออำนาจพิเศษทางเวทมนต์และพลังในการประกอบกิจกรรมทางเพศระหว่างชายหญิง
ทั้งพระกาลี ไภรวี ทุรคา และภวณี เป็นที่นิยมของศาสนิกกลุ่มนี้   

ซึ่งประเด็นหลักที่เป็นข้อฉงนสงสัยของท่านเจ้าของกระทู้ก็อยู่ตรงนี้  ทั้งนี้ข้ออธิบายพอสังเขปและยกข้อความในคัมภีร์ตันตระ (นิรวาณตันตระ ) มาอธิบายคร่าวๆให้พอเข้าใจนะค่ะ

การร่วมเพศเพื่อเป็นการบูชาองค์เจ้าแม่ด้วยวิธีนี้ถูกเรียกว่า ''พาดิราวีจักรา ''   

โดยจะต้องรวบรวมผู้ร่วมประกอบกามกิจ ในจำนวนที่เป็นเลขคี่ คือสาม ห้า เจ็ด เก้า หรือบางครั้งจำนวนอาจมากกว่านั้นในพิธีใหญ่ๆ
แต่โดยมารตรฐานคือเก้า เท่าจำนวนดาวพระเคราะห์เก้าดวงในระบบสุริยะจักรวาลที่โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์

เพราะบูชาเจ้าแม่กาลี ความสำคัญจึงอยู่ที่สตรี ตั้งแต่เริ่มจนจบพิธี บุรุษเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น ทั้งนี้การร่วมรักจะเป็นไปในหลายแบบ อาทิเช่น หญิงกับหญิง ชายกับชาย ชายคนเดียวหญิงหลายคน เพราะจำนวนเป็นเลขคี่ จึงไม่มีการจับคู่กัน
ก่อนและหลังประกอบกามกิจ ก็จะมีการสวดมนต์บูชาองค์เจ้าแม่กาลีอยู่ตลอด การถึงจุดสุดยอด ถะถั่งน้ำรักถือว่าเป็นการแสดงการบูชาให้องค์เจ้าแม่พึงพระทัย


ตรงกลางวงกลมจะมีเด็กสาวเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทน  นางไม่ได้ร่วมปฎิบัติกามกิจ แต่จะคอยรับเครื่องบูชาเช่นรวงข้าว ดอกไม้ ผลไม้ ของหวาน ผ้าแพรไหมตลอดจนเพชรนิลจินดา ที่ผู้บูชาองค์เจ้าแม่มอบให้
เครื่องบูชาเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับเหล่านางที่อยู่ในวงกลมพาดิราวีจักรา ร่วมประกอบกามกิจบูชาองค์เจ้าแม่ อันเป็นการให้เกียรติสาวกเจ้าแม่กาลี

จากนี้ขออ้างอิงข้อความสักหนึ่งบทซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างพระศิวะและศักติ มีปรากฎอยู่ในคัมภีร์ตันตระมาให้อ่านกันนะค่ะ



'' โอ้ ศิวะ พระผู้รอบรู้  ขอได้โปรดประทานความหมายและความแตกต่างแห่งแรกเริ่มกามา  เวลาใดเป็นเวลาเหมาะที่สุดในการประกอบกามกิจ และยังมีพิธีกามอย่างอื่นอีกไหม



อะไรคือความลับของจักราปูจา  พาดิราวีจักรา และโยคินีจักรา  มันก่อเกิดได้อย่างไร ได้โปรดบอกข้า อะไรคือความหมายที่สุดดื่มด่ำ ''....  พระอุมาศักติ

'' พระนางถามได้ดียิ่ง หนทางเริ่มต้นแห่งกามา มีวิถีมากมาย แต่ความหมายอันแท้จริงของกามาหมายถึงการยินยอม มอบร่างและจิตวิญญาณแก่ผู้หนึ่ง ''

การผ่านพ้นโยนีของผู้เป็นแม่ คือการลืมชีวิตในชาติก่อน ลืมอดีต แม่รับความเจ็บปวดแต่หนหลังของลูกแทน เมื่อลูกออกมาแม่คือผู้ให้ทั้งโลกแก่ลูก
ชีวิตเกิดใหม่ได้เริ่มต้นใหม่ จนกว่าจะเดินไปสู่ประตูแห่งความตายของโลกนี้ ... นี่คือจุดเริ่มต้นแรกสุดแห่งวิถีกามาของมนุษย์

กาม อารมณ์ราคะ ไปสู่การเสพสมร่วมรักของชายหญิง มีทั้งให้ผลดีและผลเลว ตามแต่ผลกรรมและเจตนาของผู้กระทำ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาจากผู้รู้ทั้งหลาย  ในการปฎิบัติฝึกทางกายและจิต เบ่งบานปัญญาถึงผลกรรมบาปบุญคุณโทษ

ในวิถีกามาทั้งหมด ที่สุดคือการแลกเปลี่ยน  อารมณ์ความรู้สึกของทั้งจิตใจและร่างกาย ที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ให้ผุดออกมารับรสแห่งความสุขที่สวรรค์มอบให้   ตามแต่จะสามารถเข้าใจและตักตวงได้ กับการให้และรับ

การร่วมรักคือกรรมมะ  ร่วมกระทำด้วยกัน โยนีคือเบ้าหลอมของความเปลี่ยนแปลง  ลึงค์คือคฑาวิเศษ ที่มีอำนาจเปลี่ยนสภาพหนึ่งไปสู่อีกสถานภาพหนึ่ง.... '' พระศิวะ ''

ในฮาธาโยคะของทางตันตระ จำแนกถึงการฝึกท่ากลับหัว ณ ขณะที่ร่วมเพศ ว่าก็เป็นการฝึกจิตด้วย มีการบังคับจังหวะหายใจ การขมิบกล้ามเนื้อรูทวาร ที่กลายเป็นปากประตูบนสุดของวิหารร่างกาย
เสมือนการทำหน้าที่หายใจ รับเข้าแทนรูจมูกทั้งนี้ก็เพื่อเอาชนะกระบวนการร่างกายปกติให้ได้

เมื่อพลังปราณะและอปาณะรวมกันเป็นหนึ่ง  จิตวิญญาณจะไปสถิตที่หัวใจ และจะนิ่งพอที่จะสัมผัสดวงปัญญาแห่งสรรพสิ่ง

หลายตำรากล่าวว่า  การเฉียดใกล้ความตายมากเท่าไหร่จิตจะสัมผัสกับปัญญาแห่งสรรพสิ่ง แล้วก็ผูกผนวกไปกับช่วงเวลาแห่งการถึงจุดสุดยอดในกาม  ก็เป็นช่วงสัมผัสดวงปัญญาแห่งสรรพสิ่ง
อันใกล้เคียงกับอาการจุดใกล้เคียงเฉียดความตาย

ในระหว่างชายหญิงเสพกาม  อยู่ในห้วงกามาไปสู่จุดสุดยอด  พลังชีวิตจะสั่นพลิ้วระรัว แตกซ่าน เบิกบาน ซาบซ่า เป็นความรู้สึกราวกับกระแสไฟผ่าน
มีสภาพช็อก กระตุก หัวใจเต้นแรงขึ้น รัวผิดปกติ หน้าแดงก่ำ พลังพลุ่งพล่าน จนทั้งตัวระริก กล้ามเนื้อเกร็งสลับคลาย

เป็นช่วงที่จิตวิญญาณกระชับร่วม   ร่างระริกราวกับควบคุมไม่ได้ พลังถูกดูดกลืนหลั่งหาย  สั่นสะท้านและว่างเปล่า สำลักความสุขจนหายใจติดขัดเป็นห้วง
   

ร่างกายที่กระตุบตุบ ควบคุมไม่ได้  ก็เหมือนร่างที่ชักกระตุกเมื่อวิญญาณปลดปลงออกจากร่าง
ความสุขเสียวซ่านแห่งกามอย่างสุดขั้วของคู่กาม  เป็นความรู้สึกที่เฉียดฉิวความตาย

น่าทึ่งที่ว่า ความสุขสุดขั้วทางกามารมณ์ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็นความตายเล็กๆ  การหลุดพ้นของมนุษย์ที่ไต่สัมผัสถึงสวรรค์  มีเขียนไว้ทั้งในตำราตะวันออกและตะวันตก

ในวิทยาการสมัยใหม่  ให้โจทย์ที่ท้าทายว่า  อาการขาดออกซิเจนในช่วงถึงจุดสุดยอด  ปฎิกิริยาของร่างกาย จะยิ่งขับสารเคมี  ความพึงใจตอบสนองมากกว่าปกติ  ทำให้ยิ่งจะสร้างความเสียวซ่านมากเกินระดับธรรมชาติ  จึงมีท่ากามรุนแรง  รัดคอด้วยผ้าแพร  เพื่อไปสู่จุดนั้น

ในตำราตันตระโบราณระบุว่า ความตายเล็กๆเป็นมุมมืดที่ไม่ควรท้าทาย  เพราะจะทำให้ความเชื่อมโยงของจิตวิญญาณและสายพลังชีวิตหลุดขาดออกจากกัน  จะทำให้ทวารเปิด  พลังชีวิตที่หมุนเวียนในวิหารร่างกายจะไหลออกและเปนอันตรายถึงชีวิตได้
ระหว่างการร่วมรักเสพกามของชายหญิง พลังชีวิตจะไหลเวียนพลุ่งพล่าน  จึงต้องระวังการปิดทวาร  เพื่อมิให้พลังชีวิตไหลออก

เมื่อ(ศิว)ลึงค์และ(อุมา)โยนีสัมผัสสอดใส่ต่อกัน  ในตำราตันตระถือว่าเป็นการช่วยอุดทวารส่วนล่างซึ่งกันและกันของชายหญิง  นอกจากจะสกัดพลังมิให้พลังชีวิตไหลทางทวารเปิดแล้ว  ยังเป็นการแลกเปลี่ยนพลังชีวิตกับจักราส่วนต่างๆอีกด้วย






สำหรับรายละเอียดตลอดจนขั้นตอนต่างๆของพิธีกรรมในทางตันตระบูชาที่อิชั้นยกมาทั้งหมดนี้  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะช่วยบอกหรือแสดงนัยสำคัญอะไรสักอย่างให้พวกเราได้ประจักษ์แจ้งถึงความจริงบางสิ่งบางอย่างของพลังทางเพศที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลนี้นะค่ะ
กล่าวคือ..ถ้าใช้ไปในทางที่ดีก็จักบังเกิดผลดี  และทำให้เราหันกลับมามองมาเข้าใจในธรรมชาติและตัวเองมากยิ่งขึ้น

ส่วนเรื่องที่ว่าพระมหากาลีท่านจะทรงโปรดพิธีพวกนี้หรือไม่ก็ไม่มีใครสามารถจะทราบได้    ซึ่งถ้าสมมุติว่าการกระทำทั้งหมดที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์นี้ไม่เป็นความจริง  ไม่บังเกิดผล ไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อเราเลย  คัมภีร์ทางตันตระนี้ก็มิใช่ว่าจะไร้สาระหรือกลายเป็นเรื่องงมงายไปเสียสะทีเดียว


เพราะถ้าเราลองหันมามองในมุมกลับ  กลุ่มคนโบราณก็อาจจะมีเจตนาที่จะต้องการจะถ่ายทอดองค์ความรู้โบราณ
ผ่านเรื่องเล่า ผ่านเทพปกรณัม  ผ่านข้อความทางศาสนา ตลอดจนผ่านพระคัมภีร์  เหมือนที่หลายๆชนชาติในครั้งโบราณกาลยึดถือวิธีนี้กันมาแต่ดั้งแต่เดิมนะค่ะ

สำหรับอิชั้นแล้วในฐานะที่ก็เป็นสาวกคนหนึ่งก็ยังขอยืนยันคำเดิมว่าก็ยังให้ความเคราพในพิธีกรรมแบบนี้อยู่  โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่มีเจตนาที่จะไปดูถูกหรือเหยียดหยาม  และก็เห็นตามเพื่อนๆหลายๆท่านในทีนี้ด้วยว่าอย่างเราๆไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องไปประกอบพิธีแบบนั้น

การบูชาในแบบอื่นๆ  หรือที่หมู่ฮินดูชนยึดถือและกระทำมากันที่เรียกว่าความภักดี ก็เป็นการเข้าถึงพระเจ้าได้อีกรูปแบบหนึ่งคะ
อีกอย่างเพราะพระเจ้าสูงสุดของเรา (เทวีกาลี)  ทรงเป็นปรพรหมัน  พระองค์จะทรงสถิตอยู่ทุกที่ และตอบรับการบูชาของเราไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็แล้วแต่  ขอเพียงแต่เรามีใจภักดีและมีศรัทธาที่เหนียวแน่นมั่นคง ในองค์เจ้าแม่ตลอดไป

ฝากไว้เท่านี้คะ






อ่านคำตอบของคุณพี่  ศรีมหามารตี
ในยามดึกตอนนี้  ทั้งได้ความรู้
มาประดับสมองที่มีซิลิบั่ม  อยู่น้อยนิด

อ่านเเล้วเข้าใจเลย ขอบคุณความรู้มากนะคะ
คุณพี่ที่เคารพ  อยากให้มีคนเเบบพี่เยอะๆคะ
ที่มีความรู้มามอบให้  เเต่ขอบอกเลยว่า 
เเค่อ่านบทบรรยาย  ก็เขินเเล้วอ่ะคะ
ตื่นเต้นยังไงไม่รู้  พี่บรรยายได้ถึงพริกถึงขิง
ถึงลูกถึงคนดีจัง  อิอิ
เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

ขอบคุณครับคุณพี่ศรีมหามารตี ได้ความรู้อีกครับ

ขอบพระคุณน้องกิ๊ฟ (ศรีมหามารตี) ครับ ที่มาสอดแทรกความรู้เพิ่มเติม

การบูชาพระแม่กาลีในลักษณะนี้ ผมเคยอ่านเจอเช่นกัน เห็นว่าเป็นลัทธิแขนงหนึ่งของตันตระครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลัทธิต่างๆ ในศาสนาฮินดูมีอยู่มากมายครับ แล้วแต่ว่าเราจะเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าแบบใด

ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับผู้บูชา เพียงแต่อย่าทำส่งๆ ไปตามอารมณ์ความรู้สึกว่าเราทำถูก เขาทำผิด

ถ้าคุณเลือกที่จะศึกษาแล้ว ให้ศึกษาให้ถูกตามแบบแผนพิธีกรรมของลัทธินั้นๆ ไม่ผสมปนเป หรือ กลายเป็นลัทธิฉัน ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันถูก แต่เพียงอย่างเดียวครับ


อืมๆเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณพี่กิ๊ฟมั่กๆ ได้รู้ถึงการปฏิบัติกามกิจถวายพระแม่ที่ถูกวิธี และได้รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ต้องทำ มิเชลล์จะขออนุญาตพี่กิ๊ฟคัดลอกบทความทั้งหมดของพี่ไปปริ๊นแล้วให้เพื่อนรุ่นพี่ที่มิเชลล์รู้จักได้อ่านนะคะ หายข้องใจและ
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

มาทีไรก็ไม่ผิดหวังกับคำตอบของคุณศรีมหามารตีจริงๆค่ะ
ขอบพระคุณมากๆค่ะ

[HIGHLIGHT=#000000]พี่ เสือ พูด โดน ใจ น้อง มาก ชึ่งๆๆ[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#000000]อยากพูด ดัง ๆ ว่า รัก แม่ [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#000000]ศรีเดวี กูรูมารีอัมมัน[/HIGHLIGHT]
Nu Tonnum~


ขอบคุณค๊ะ ได้ความรู้มากขึ้น จริงๆๆ แล้ว ก็เคยได้ยินมาค๊ะ เรื่องการร่วมเพศบูชาองค์แม่ ได้ยินมานานแล้ว..จนลืมไปแล้วกระทั่งมาเห็นกระทู้นี้..และได้รู้เรื่องราวเป็นมายังไงถึงได้มีพิธีนี้ขึ้น
... ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้บูชา จะปฏิบัติอย่างไรต่อองค์ท่าน..อย่ามากเกินไปเหมือนกับบังคับตนเอง..ปล่อยไปตามกำลังของเราค๊ะ ..ตั้งมั่นอยู่ความศรัทธา ((อาจจะมีบางท่านเอาวิธีนี้ไปใช้..ก็อยากให้ระวังนิดหนึ่งนะค๊ะ)) ยังไงซะเราก็เป็นผู้หญิง..รักตัวเองเยอะ ๆ ด้วยนะค๊ะ 
..jamatakee..

เทพที่เซ่นไหว้โดยการฆ่าสัตว์บูชายัญ
คิดว่าเป็นเทพระดับไหนละ?
มีลงประทับแล้วดื่มเลือดสดๆ
เหมือนพิธีกินดงของทางเหนือ
การฆ่าสัตว์บูชายัญมีมาตั้งนานแล้ว
เหมือนคนไหว้ผีสางนางไม้ เจ้าป่าเจ้าเขา
ก็ไหว้กันไหว้ของคาว เนื้อดิบๆ เหล้า
ไม่อยากแสดงความเห็นอะไรตรงๆ

การสังเวยด้วยชีวิต ตรงนี้อย่างที่หลายๆ ท่านทราบกันว่า ยังมีอยู่ในวัดของฮินดู ทั้งที่เนปาลและอินเดียครับ

คงกล่าวไม่ได้เสียทีเดียวว่า เป็นระดับล่างหรืออะไร ตรงนี้ต้องแล้วแต่ลัทธิไปครับ

จริงๆ แล้วการสังเวยด้วยชีวิตมีมานาน ด้วยความเชื่อโบราณที่ว่า

กลัวภัยธรรมชาติ กลัวเหตุร้ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับหมู่บ้าน หรือชนเผ่าครับ จึงต้องสรรหาของดีๆ มาบูชาต่อเทพเจ้า

และสมัยก่อนอะไรจะดีไปกว่าอาหารดีๆ อย่างสัตว์น้อยใหญ่เหล่านั้น เพราะพวกเขาใช้เพื่อดำรงชีวิต

จึงเป็นความเชื่อต่อๆ กันมาครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ การบูชายันต์ เกิดจากความ "กลัว" ของมนุษย์ในสมัยโบราณนั่นเอง

จนถือเป็นประเพณีสืบปฎิบัติมาครับ

สวัสดีครับคุณกาลีทัสช่วงเที่ยง


ใช่ครับแล้ว  ตอนนี้ก็ ยังมีอยู่บางลัทธิอาจจะใช้เลือดในการบูชา แบบตันตระตันติก็ได้ครับ แต่บางครั้งต้องอยู่กับบารมีคนบูชาด้วยครับ

มันคือเรื่องมหัศจรรย์

............... เพิ่มความรู้กับข้อคิดและ ตำนาน พร้อมผู้รู้มาชี้แจงเสมอ Hm นี่สุโค่ยจริงๆ
[HIGHLIGHT=#ffffff]พึงระลึกไว้เสมอว่า [/HIGHLIGHT]' ความบังเอิญ" มันไม่มีในโลก เพราะทุกอย่างล้วนถูกกำหนดแล้ว ด้วย "พรหมลิขิต" :
Credit ",,Cz Holic

ตามที่น้องศรีมหามารตี และคุณกาลิทัสว่าไว้ ถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้วครับ


ผมขอมีความคิดเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า เรื่องการบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพที่มาจากเทพพื้นเมือง ที่อารยันนำมาผนวกเข้าเป็นเทพในสารบบศาสนาฮินดู ซึ่งต้องบูชาด้วยการฆ่าสัตว์นั่น ในวงการศาสนาฮินดูเองก็มีความคิดที่แตกต่างหลากหลาย ครั้งนึงมหาตมะคานธีไปเยี่ยมชมวัดพระแม่กาลีที่กัลกัตต้า ท่านถึงกับออกอาการสะอิดสะเอียน และเขียนให้คนละเลิก  แต่บางที่ยังคงทำอยู่ทั้งๆที่มีการโจมตีจากนักบวชและฮินดูหัวใหม่ ฝ่ายที่บูชายัญ ก็ยืนยันว่าเขาทำมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย และเป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมของเขา

ผมมีความเห็นเป็นดังนี้ครับ เรื่องการอนุรักษ์ รักษาประเพณีก็เป็นเรื่องหนึ่ง ในฐานะคนที่สนใจวัฒนธรรม เราอาจพอศึกษา พิธีกรรมโบราณซึ่งยังสืบทอดมาได้ด้วยความเคารพ

แต่ในฐานะศาสนิกชน เราจะทำยังไงดี และแน่นอนว่า คนโบราณมีภูมิปัญญาบางอย่างที่ควรเคารพ
แต่เราต้องไม่ลืมนั่นก็เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในบริบททางสังคมและในเวลาแห่งยุคสมัยนั้นๆ การบูชายัญต้องเป็นภูมิปัญญาอะไรบางอย่างแน่ๆ
ท่านอาจารย์บางท่านจึงเสนอวิธี หรือทางออก เช่น แทนที่จะใช้สัตว์จริงๆ ก้ใช้พืชหรือสัญลักษณ์บางอย่างแทน คือยังรักษาพิธีการบุชาไว้ แต่เปลื่ยนการฆ่าสัตว์มาเป้นการใช้อย่างอื่น อันนี้ก็ทางหนึ่ง

อีกอย่างศาสนาฮินดูเป็นศาสนาโบราณก็จริง  แต่ก็ผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน ศาสนาฮินดู ได้พัฒนาตัวเองทั้งด้านปรัชญา ด้านคำสอน ความเชื่อ ตลอดจนถึงพิธีกรรมต่างๆ จนมีรูปอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ผมคิดว่าเราต้องถามตัวเองว่า เราจะเป็นฮินดู แบบไหน แบบโบราณ หรือแบบที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวเอง อย่างความคิดที่ลึกซึ้งของฮินดูก็พัฒนามาจากความเชื่อโบราณเหล่านั้น


ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ พิธีกรรมในศาสนาฮินดู เวลาเราปฏิบัติ ผมคิดว่าเราควรรู้ความหมาย หรืออย่างน้อยๆ ควรรู้วัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของพิธีนั้นๆว่าคืออะไร

อย่างในกรณีที่มีการร่วมเพศต่อหน้าเทวรูป ซึ่งเป็นพิธีในฝ่ายตันตระ คิดว่าเราไม่ควรเลียนแบบด้วยประการทั้งปวงเพราะว่า
หนึ่ง เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอย่างที่ พวกตันตริกเขาต้องการจริงวๆ
ผมเข้าใจว่า การร่วมเพศหรือทำอะไรที่ผิดศีลธรรมของคนในฝ่ายตันตริก ต้องการ "สิทธิอำนาจ" บางประการ ซึ่งมีนัยยะ สื่อถึง อำนาจในทางจิต หรือพลังพิเศษบางอย่างไปจนกระทั่งสามารถเข้าสู่ทิพยศักดิ์หรือความหลุดพ้น หรือ ฯลฯ อะไรในทำนองนั้น ซึ่ง ตามแนวคิดของศักตะ หรือลัทธิตันตระ ทิพยอำนาจเหล่านั้น หากใช้วิธีการตามปกติ ก็อาจช้าและไม่รวดเร็วเท่าวิธีการในทางตันตระ 

แต่... ทิพยอำนาจในทางตันตระ ต้องยอมสูญเสีย การประพฤติชอบทางศีลธรรม ดังนั้น พระโยควาจร หรือ นักบวชในทางตันตระ จึงต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ และมีพฤติกรรมที่สังคมฮินดูโดยทั่วไปรังเกียจ
สอง ต้องมีคุรุ ที่จะชี้นำหนทางต่างๆเหล่านั้น
สาม ต้องมุ่งมั่นที่จะบรรลสิทธิอำนาจ จนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสามัญชนคนปกติได้ เช่นต้องออกไปเป็น นักบวชหรือคนเร่ร่อน

ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ได้มีเป้าประสงค์เหล่านั้น เราจะทำพิธีแบบนั้นทำไม อีกอย่างที่ทำๆอยู่ก็ไม่ใช่จะถูกต้องตามหลักตันตระ(เพราะขาดคุรุทางตนัตระ ซึ่งหายากมาก หรือถ้ามีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่กคุรุปลอมๆเยอะมากๆ)

วิถีตันตระ แม้จะทรงพลังอำนาจ แต่รุนแรงและอันตราย ดัง น้ำผึ้งที่อยู่บนมีดโกน ถ้าไม่ระวัง มีดก็อาจบาดลิ้นได้
ประกอบวิธีทางตันตระผิด แนที่จะได้ผลดี อาจพบผลร้าย


อีกอย่าง ทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิธีการทางตันตระ ก็อาจให้ผลเช่นเดียวกันได้ แม้ว่าจะช้าหรือต่างไปบ้าง โดยวิธีปกติทั่วๆไป
และถ้าจะใช้ตันตระ ก็มีวิธีการ และระดับที่สามารถทำได้โดยไม่อันตราย เช่นการใช้พีชมนตร์และมุทราต่างๆ


ผมถามอย่างตรงไปตรงมานะครับ เราจะยอมรับการมีสิทธิอำนาจโดยวิธีแปลกๆไหม รู้จักนักบวชที่เรียกว่า "อโฆรี" ไหมครับ นักบวชเหล่านี้มีมากที่พาราณสีและที่ต่างๆริมน้ำ และตามป่าเขา
นักบวชพวกนี้ประพฤติตรงข้ามกับปกติมนุษย์ธรรมดา เปลือยกาย นอนตามป่าช้า เอากระดูกคนมาประดับร่างกาย เอาขี้เถ้าศพมาทาตัว  พวกนี้จะไปขโมยศพมนุษย์มากินครับ  นอกจากศพมนุษย์ ยังมีการกินอุจจาระและปัสสาวะ รวมทั้งของเน่าเหม็นด้วย เขาบอกว่าที่ทำแบบนี้ เพื่อสามารถข้ามพ้น ทวิลักษณ์ ที่เราปกติยึดติด เช่น สะอาดสกปรก เน้า -ไม่เน่า ฯลฯ และลุถึงอำนาจทางจิต


เราจะทำไหมละครับ

อีกอย่าง การใช้เพศสัมพันธ์เพื่อลุถึงสิทธิอำนาจ ต้องผ่านการ ฝึกฝนทางจิตอย่างอุกฤษฎ์มาแล้ว
มีคำพูดของพระอาจารย์ในทางตันตระว่า  นักบวชที่เสพมังสาและสุราเมรัย(เพื่อพิธีในทางตันตระ)ก็แปรของเหล่านี้เป็นอมฤตได้ แต่ท่านเหล่านี้ก็สามารถแปรอุจจาระและน้ำปัสสาวะเป้นอมฤตและดื่มกินได้เช่นเดียวกับเสพมังสะและสุราเช่นเดียวกัน ถ้ายังไม่สารถดื่มกินอุจจาระปัสสาวะ ก็อย่าคิดลองเสพมังสะและเมรัย(ในทางตันตระ) * (ปกตินักบวชชั้นสุงไม่เสพมังสะและเมรัยครับ)

ถ้ามิอาจกลืนเข็มเข้าไปนับร้อยและขับออกมาได้โดยไม่เป็นอันตราย ก็จงอย่าใช้การร่วมเพศเป้นทางไปสู่สิทธิอำนาจ


ลองพิจารณาดูนะครับ

นักบวชอโฆรี พวกนี้นับถือพระไภรพมากครับ
ในเรื่องนิทานเวตาล25เรื่อง พระเจ้าวิกรมาทิตย์เคยพบนักบวชอโฆรีชื่อศานติศีล
นักบวชขอให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ไปเอาศพนึงที่แขวนบนต้นอโศกมาให้นักบวชทำพิธี
และศพนั้นมีภูติเวตาลสิงในร่างทำให้ศพมีพลังอำนาจบางอย่าง ซึ่งนักบวชศานติศีลต้องการนำมาทำพิธี
ในเรื่องไม่ได้บอกว่าทำอะไร แต่เดาว่านักบวชคงเอามา"กิน"เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง

คุณหริหาส กล่าวถูก

( ตามจากประสบการณ์ )

ถ้าไม่ได้อะไรมาก หรือมีจุดมุ่งหมายอะไรที่หนักหนา ก็ บูชาธรรมดาไหว้ดีกว่า เพราะตันตระตันตื มันมีสิ่งแลกเปลียนเสมอ

ทำดีก็ดีไป ทำไม่ดีก็ไม่ดีไป ซึ้งการบูชาตันตระตันตริกนั้น ได้พลังอำนาจเร็วจริง  แต่ไม่ทุกคนเสมอไป คุณลองสังเกตุดูเวลาหลังตันตระตันตริก หรือ

การร่วมเำพศ ชีวิตปกติ ไหม หรือการงาน หรือ อาการของคุณปกติ ป่าว ใช่มันแรงได้เร็ว แต่ไม่ทุกคนจิตเราอยากทำคิดถูกแต่ถ้าจิตใต้สำนึก ยังมีแฝง

บางที ที่แทนจะได้คุณอาจได้โทษ และที่สำคัญควรหมั่นบูชา สวดมนต์มาก ทำให้ยึดทุกวัน เ็ป็นสรณะ  ถ้าในทางพุทธ ตันตระ ตันตริก 


จะเปรียบได้ดั่งคนมี มีวิชาอาคม เรียนมาอย่างลึกซึ้ง บูชาสัตว์โดยไม่เป็นไร  แต่ถ้าปกติผลไม้ไหว้ดีสุด และตันตระตันตริกทำเล่นไม่ได้


เพราะจะเป็นการประมาท ซึ่งอาจโดนลงโทษได้ ( ถ้าบูชาด้วยเนื้อสัตว์ เหล้า )  ผมขอเล่าเรื่องบุคคลที่ผมรู้จักให้ฟัง


คนนี้เขาเปิดบริษัทแต่นับถือเจ้าแม่กาลี  เขาถามบูชาด้วยเลือดเป็นไรไหม เลยบอกว่าไม่เป็นไรแต่ทั้งนี้และทั้งนั้นแล้วแต่คนด้วย บารมีแต่ละคน


เขาได้ทำการนำเลือดตัวเขาเองบูชาพระแม่กาลี  หลังจากนั้น บริษัทเขาเริ่มล้ม และตัวเขาเองมัวหมองไปหมด ซึ้งเขามาเล่าอีกที และให้เปลียน


จากการบูชาด้วยเลือดเป็น การบูชาด้วยผลไม้แทน ชีวิตเขาก็ กลับมาดีขึ้น ซึ้งนี่เป็นตัวอย่างสำหรับแบบตันตระตันตริก เช่นกัน


บูชาถึงก็ดีไป ถ้าไม่ถึงก็อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร ( ถ้าแบบตันตระตันตริก ) เสมือนว่า แรงมาแีรงกลับ


อนุโมทนาประสบการณ์ ทุกท่าน

ประเด็นของผมอาจต่างจากคุณเขี้ยวกาลี คือผมก็ว่าไปตามหลักการทางวิชาการนะครับ ไม่ได้อิงประสบการณ์ตรง

ประเด็นของผมอาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบารมีหรืออะไรแนวนั้น

เพราะประเด็นของผมคือ

ที่อ้างๆว่าทำกันแบบตันตระนั้น ก็ผิดแล้วครับ  เพราะอย่างที่บอก ปกติการทำบูชาแบบตันตระ ไม่ใช้ พอไปอ่าหนังสือบางเล่มที่เล่าว่าสมัยโบราณเขามีเรื่องเพศ บูชาด้วยเลือด แล้วก็เลยทึกทักไปว่า เออ ถ้าเราเอาไปทำที่บ้านเองก็ได้ ตามที่เรานึกๆฝันๆไปเอง เรียกว่าบูชาแบบตันตระวิธีแล้ว
(ยิ่งสมัยนี้ ในสังคมไทยเราถึงขนาดมีสถานที่อ้างว่า ทำบูชาแบบตันตระ  แล้วเอา "ตันตระ" ไปเป็นไตเติ้ลซะด้วย ทั้งๆที่ทำพิธีฮินดูแบบผิดๆถูกๆอ้างว่าเป้นตันตระอีกตะหาก)


แม้แต่การบุชาตามแบบตันตระ มันมีระเบียบวิธีการของมัน มีมนตร์ มุทรา ฯลฯ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การเรียนรู้จากคุรุ ไม่ใช่ทึกทักทำเอง

ประเด็นของผมคือ ขนาดตันตระที่มีระเบียบวิธี มีคุรุยังเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายแล้ว   การบูชามั่วๆของเราเองไม่ยิ่งอันตรายกว่าอีกหรือ

อันนี้แล้วแต่บุคคล ครับไม่เกี่ยวหรอกครับ  ได้แต่หลักการบางทีอาจไม่ได้อะไรเลยแล้วแต่บุคคล บางทีวิชาการเยอะไปเท่านั้นครับ

อันนี้ผมมองต่างจากคุณเขี้ยวกาลีนะครับ

คุณกาลิทัส เอ่อ อันนี้คงไม่ผิดกฏนะครับเพียงแต่มุมมองต่างกัน คงไม่ใช่การทุ่มเถียงกัน แต่คุยกันด้วยเหตุผลครับ

ประการแรก ผมเป็นนักวิชาการ ก็จำเป็นต้องตอบไปตามหลักวิชาที่เรียนมา

สอง  ผมคิดว่า ถ้าอะไรๆ โดยๆเฉพาะเรื่องทางศาสนา อิงกับประสบการณ์ส่วนบุคคลเสียทั้งหมดจะเกิดปัญหา
สมมุติว่า ผมมีประสบการณ์ไปนั่งสมาธิหรืออะไรบางอย่าง แล้วผมพบว่า พระคเณศในนิมิตผม ไม่ได้มีพระเศียรช้าง เพื่อนอีกคนไปบำเพ็ญออกมาบอกว่า พระคเณศ มีพระเศียรเป็นอย่างอื่นอีก คราวนี้ แต่ละคนก็จะทุ่มเถียงกัน ไม่ยอมใคร เพราะยึดเอาประสบการณ์ของตัว
สมมุติให้สุดโต่งไปอีกว่า เพื่อนผมเกิดนิมิต(ซึ่งสามารถตั้งข้อสงสัยได้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะของแบบนี้อาจเกิดจากหลายสิ่งก็ได้เช่น มินิมิตจริงๆ เกิดจากจิตใจ สับสน เจ็บป่วย ฯลฯ)เทพบอกให้ทำอย่าง อีกคนท่านบอกให้ทำอีกอย่าง(ทั้งสองคนมีประสบการณ์ทางศาสนาพอๆกัน เรียนรู้เรื่องศาสนามาพอๆกัน ฯลฯ) คราวนี้จะยุติยังไงล่ะครับ?

ฉะนั้นผมคิดว่า เราควรยึดตามหลักวิชาหรือตามหลักการเพราะศาสนาฮินดูไม่ใชข่ศาสนาเลื่อนลอยที่อิงกับประสบการณ์ของบุคคลอย่างเดียว
แต่เป็นศาสนา ที่มีมิติของเหตุผลสูงเช่นเดียวกัน(ถ้าลองศึกษาปรัชญาอินเดียดูจะพบว่า เป้นหลักการที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล) และมี คัมภีร์ต่างๆเป็นรากฐานเช่นเดียวกับศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเวท ซึ่งมีคุรุ หรือพระอาจารย์ทั้งหลายได้ทำการอรรถาธิบายมานาน มีนักปราชญ์และครูอาจารย์มากมาย
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรละเลย มิฉะนั้น ถ้าเราจะทำอะไรก็ได้ตามใจเราคือคิดอะไรก็ได้ตามใจเราโดย ทำไปภายใต้ความเชื่อของเราว่านี่เป็นศาสนาฮินดู มิเท่ากับว่า เราปฏิบัติอย่างไม่สมควรต่อศาสนาฮินดูหรือครับ


ผมนั่นเห็นคุณค่าของทั้งสองอย่าง คือมิติทางประสบการณ์ทางศาสนาของแต่ละคนก็มีคุณค่าในฐานะศาสนิกชน(และควรตรวจสอบตรวจทานประสบการณ์นั้นๆอย่างมีโยนิโสมนสิการ) แต่เราก็ควรให้ความสำคัญกับหลักการต่างๆที่มีในศาสนาด้วย

อันนี้ก็มองต่างมุมนะครับ

อ่อ เพิ่มเติมอีกนิดครับ  ตันตระ (ตนฺตฺร) หมายถึง ลัทธิตันตระ
ส่วน ตันตริก (ตนฺตฺริก) หมายถึงผู้รับนับถือลัทธิตันตระ ครับ อันนี้เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจครับ

แล้วแต่บุคคล เป็นความคิดของแต่ละบุคคล

นำคลิปวีดีโอ  เหล่าอโฆรี ที่อยู่กับศพกินกับศพ ใช้ของศพ นั่งนอนใช้ชีวิตทุกอย่างกับศพ มาประกอบคำอธิบายของคุณหริทาสนะค่ะ

อย่างไรแล้วก็อย่าเพิ่งอาเจียนกันไปสะก่อนละ อิอิ

http://www.youtube.com/v/W0bGrvKVxac&feature=related

http://www.youtube.com/v/fAIv7R8yk5c&feature=related


http://www.youtube.com/v/u_rJu_20Aps&feature=related


http://www.youtube.com/v/n8lDTLlmvwk&feature=related


http://www.youtube.com/v/PknfxJHwpuI&feature=related


Oh noooooooooooo! คะคะคะเค้ากินเนื้อศพจิงจิงอ่า ดูท่าเหมือนอร่อยด้วย ทึ่ง โอยม่ายหวายแล่ว ขอบคุณพี่ศรีมหามารตีนะคะที่มาเอามาให้ชม ข้าวผัดที่กินไปแทบทะลักย้อนออกมา
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

ไม่แนะนำอย่างแรงคะ คนรู้จักของมิเชล์ทำไม่ถูกคะ ศาสนาของฮินดูอยู่ในกฎของการกินไม่เนื้อสัตว์ และโดยเฉพาะการเมคเลิฟกับแฟน ไม่แนะนำคะ ท่านไม่โปรดแบบนี้แน่นอน คอมเฟริ์มคะ

อืมค่ะมิเชลล์ไปบอกกับเขาแล้ว แล้วเอาความรู้ที่พี่หลายคนให้ไว้ไปปริ๊นให้เขาอ่าน เขาถึงกับอึ้งมีสีหน้าหวาดกลัว เพราะมิเชลล์ถามว่าพี่สามารถกินอุจาระ ปัสสาวะ หรือซากศพได้หรือเปล่าถ้าทำได้ก็ สามารถเมคเลิฟ ต่อหน้าพระแม่ได้ค่ะ
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

โลกเรามีอะไรที่แปลก ในความคิด ความเห็น

 
   ตามหลักปรัชญาแล้ว ....
   
   พวกศากตะ (शाक्त ) นี่ถือว่าจิตบุรุษหรือมโนเป็นเพศชาย  และสสารเป็นเพศหญิง
   สสารก็คือ ''ประกฤติ '' นั่นเอง   บ้างก็เรียกประกฤติว่าเป็นประธาน

 
   ลัทธิศากตะเชื่อว่าเมื่อบุรุษกับประกฤติ
   เพศหญิง - เพศชายมารวมกัน ก็จะเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้น

   นี่เป็นความคิดที่สิบถอดกันมาในลัทธิของตัวผู้ - เมีย  คล้ายหยินกับหยาง


   ดังนั้นพวกศากตะจึงมีประเพณีที่แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้
   พิธีกรรมของพวกศากตะประกอบด้วยการเสพของห้าอย่างหรือห้ามอ อย่างที่หลายๆท่านก็คงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

   โดยมีมัทยะ  ( सुरा  - เหล้า ) , มังสะ  ( मांस - เนื้อ ) , มัสยะ ( मत्स्य - ปลา ) , ไมถุน ( मिथुन  การเสพเมถุน )  , และมุทระข้าวต่าว

   การกระทำแบบนี้พวกเข้าถือกันว่าเป็นการทำให้กายกับจิตเข้ารวมเป้นอันหนึ่งอันเดียวกันตามหลักปรัชญาของลัทธินี้

    แม้กระทั่งเมื่อปี คศ . 1300  ก็ยังมีศากตะพวกหนึ่งเรียกว่าธูกิ ออกล่าคนเอามาบูชายัญเลยคะ

    ระวังให้ดีพวกที่ไปป่าพราราณสีบ่อยๆ  อิอิ  ปัจจุบันนี้พวกฝรั่งจะกลัวมากคะ  เพราะยังมีคนแอบทำกันอยู่

   
   


   

   


Quote from: ศรีมหามารตี on April 08, 2011, 18:19:23

    การกระทำแบบนี้พวกเข้าถือกันว่าเป็นการทำให้กายกับจิตเข้ารวมเป้นอันหนึ่งอันเดียวกันตามหลักปรัชญาของลัทธินี้

    แม้กระทั่งเมื่อปี คศ . 1300  ก็ยังมีศากตะพวกหนึ่งเรียกว่าธูกิ ออกล่าคนเอามาบูชายัญเลยคะ

    ระวังให้ดีพวกที่ไปป่าพราราณสีบ่อยๆ  อิอิ  ปัจจุบันนี้พวกฝรั่งจะกลัวมากคะ  เพราะยังมีคนแอบทำกันอยู่

   
   


   

   

เอ๋อ ยังมีอีกหรอคะเนี่ย
โอม เจ มาตา กี รักสุดหัวใจเลย พระแม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ

ตราบใดที่ท้องฟ้ายังมีดวงจันทร์ ตราบนั้นนามพุ่มพวงจะไม่เลือนหาย

ตอบเรื่องแบบนี้ ไม่ีมีครับ ขอบอก แต่ถ้ามีคนทำก็เข้าใจไรผิด เหมือนที่อินเดียที่ยนังหลงถวาย เลือดให้พระองค์ ท่านเป็นเทพที่บริสุทธิ์เหนือกว่าสิ่งท้งปวงเพราะฉะนั้น เรื่อง กาม คงไม่มีท่านละได้หมดไม่งั้นไม่ได้เป็นพระแม่มหากาลีมาริอัมมา เรื่องการเสพสังวาสต่อพระองค์มีแต่ที่อินเดีย แต่ต้องเข้าใจเรื่อง อาตมันของพระองค์ และเข้าถึงพระองค์  แถมยังต้องรู้เรื่อง กามาสุตราสูตรก่อน อย่างลึกซึ้ง การนำเลือดไปป้ายที่เทวรูปถือเป็นเรื่องผิดมหันต์ไม่มีใครทำกัน อินเดียมีหลาย นิกายต้องเข้าใจ แต่ว่าพระแม่กาลี เป็นนิกายแท้ที่มาจากอินเดียทางใต้ หรือ ทมิฬ จากการศึกษาของ เรา 21 ปีที่บูชามา ไม่มี พราหณ์ท่านได้ใช้วิธีนี้ มันผิด และก็ ท่านจะไม่สถิตย์ในเทวรูปต่อไป เพราะสกปรกแปดเปื้อน ด้วยเลือดมนุษย์ ผู้ชุ่มด้วยกิเลส  ส่วนเรื่องเสพ สังวาสกันปัจจุบันไม่มีแล้วเพาะขาดผู้รู้และัเข้าถึงพระองค์ ไม่มีใครทำแล้ว และสิ่งที่สถิตย์ในองค์พระแม่ก็ เปงวิญญาณดวงอื่่นที่ปรารถนา ดูการเสพกาม และดลในให้กระทำ หรือว่า อาศัยผู้บูชา แฝงร่างเพื่อเสพกามอีกที พระองค์แท้ ๆไม่อยู่ดู และกินเลือดมนุษย์ ส่วนเรื่องการเตือน คงเตือนได้ยาก ผมจะทะเลาะกันเปล่า ๆ เป็นกรรมของเค้าที่ หลงเป็นมิจฉาทิฐิ