Loader

ประวัติของท่าน "มานิกา วาสะกา" นักบุญแห่งไศวะนิกาย

Started by กาลิทัส, June 03, 2009, 08:34:13

Previous topic - Next topic

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

สืบเนื่องจากกระทู้

[t=318.0]

ผมเลยถือโอกาสนำเอาประวัติของท่าน "มานิกา วาสะกา" มาลงให้เพื่อนๆ อ่านกันครับ





มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

สถานที่หนึ่งชื่อว่าตรีรุวาดาวูร์ในเมืองปันดิยา ผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณนั้นนับถือศาสนาพราหมณ์ และยึดคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด และที่ตรีรุวาดาวูร์นี่เอง มีชายหญิงคู่หนึ่งนับถือคำสอนทางศาสนาอย่างเคร่งครัดเสมอมา จึงส่งผลให้เค้าทั้งสองมีลูกชายที่ดี มีความสามารถ และมีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก พวกเขาตั้งชื่อให้ลูกชายว่า "วาดาวูร์" (บางคนเรียกว่า วาตาวูระ) ตามชื่อเมืองครับ

เมื่อเด็กชายเจริญวัยขึ้น ความฉลาดและรอบรู้ของเค้าก็ยิ่งเปร่งประกายออกมามากขึ้นเรื่อยๆ วาดาวูร์เชียวชาญเกี่ยวกับคัมภีร์ทางศาสนาทุกๆ ประเภท ไม่เพียงแต่ความสามารถทางด้านคัมภีร์เท่านั้น แต่วาดาวูร์เชี่ยวชาญในทุกแขนงวิชา ทั้งการบริหาร และการปกครอง รวมถึงคุณงามความดีต่างๆ ที่วาดาวูร์ ใช้ซื้อใจคนในตรีรุวาดาวูร์ ดังนั้นแล้วเค้าจึงเป็นที่รัก และสรรเสริญ ในตรีรุวา จนกระทั่งความสามารถเหล่านี้ ได้ยินถึงหูของ "อริมาดานา ปรันยัน" ราชาแห่งเมือง มาดูรัย พระองค์ทรงให้ตำแหน่งในการบริหารประเทศแก่วาดาวูร์ และเค้าก็ทำหน้าทีเหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม

เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยหัวใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาในศาสนา เค้าเริ่มรู้จักคิดถึงความจริง ความไม่จริง ของชีวิตต่างๆ บนโลก ความเจ็บปวด อันเนื่องมากจาก โรคภัยไข้เจ็บ การเกิด และการตาย ดังนั้นสิ่งที่วาดาวูร์ต้องการคือ โลกแห่งพระเป็นเจ้าศิวะเทพ  อันหลีกหนีการความเจ็บปวดทั้งหลาย  ดังนั้นแล้วทุกขณะที่เค้าไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้ราชการ วาดาวูร์จะกำหนดจิตของตนไว้ที่ดอกบัวรองบาทพระศิวะ (ดั่งเหมือนข้ารองบาทแห่งพระเป็นเจ้า) เสมอ  เค้ามักจะชักชนผู้มีความรู้ทางพระเวทมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอยู่เสมอ แต่สำหรับพระเวทที่มีความลึกซึ้งยากที่จะตีความทำให้วาดาวูร์ตระหนักเสมอว่า การที่เค้าจะมีคุรุซักคนในทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง วาดาวูร์รู้ตัวดีว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานที่เค้าจะพบคุรุจริงๆ ดังนั้นขณะที่เค้าต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามเมืองต่างๆ เค้าก็จะเสาะแสวงหาคุรุไปด้วยพร้อมๆ กัน

วันหนึ่งขณะที่พระราชากำลังประชุมการบริหารประเทศอยู่นั้น หัวหน้ากองทหารม้า ได้เข้ามาแล้วแจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้กองทัพม้าขาดแคลนทางกองทัพต้องการหาม้าใหม่เข้ามาแทนม้าเก่าที่ทั้งอายุมาก เจ็บป่วย ล้มตายไป ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้มาดูลัย มีกองทัพที่ออนแอ ขาดแสงยานุภาพ เมื่อความถึงพระราชาจึงสั่งให้ไปหาซื้อมาดี แต่ก็เป็นงานหนักอีก ที่จะหาม้าดีๆ ถูกลักษณะ ดังนั้นแล้วจึงมอบหมายให้วาดาวูร์รับงานนี้ แทนที่วาดาวูร์จะรู้สึกไม่พอใจที่ต้องเหนื่อยไปซื้อม้า เค้ากลับดีใจมาก เพราะนี่เป็นโอกาสที่เค้าจะได้ไปต่างเมือง เพื่อไปเสาะแสวงหาคุรุอีกทางหนึ่ง และเค้าก็คิดว่านี่คือโอกาสที่พระเป็นเจ้าได้ประทานมาให้ วาดาวูร์ได้เข้าไปสวดมนต์ถวายแก่พระโสมะสุนดารา (พระศิวะ) ภายในวัด และทำเครื่องหมายอันแสดงตนว่าเป็นศิวะสาวก โดยการใช้ผงวิภูติ ป้ายตามร่างกาย และเขียนพระนามแห่งพระศิวะลงที่ริมฝีปากก่อนออกเดินทาง

วาดาวูร์เริ่มต้นออกเดินทางซื้อม้าพันธุ์ดี และเงินที่พระราชาให้เพื่อปฏิบัติภารกิจนี้มากพอที่จะทำให้วาดาวูร์เดินทางไปจนถึง ตรีรุปิรันตุรัย

พระศิวะทราบถึงความตั้งใจ และจิตใจอันมั่นคงของวานาวูร์ จึงตัดสินพระทัยที่จะเป็นคุรุถ่ายทอดวิชาความรู้ และหลักธรรมต่างๆ โดยพระองค์ได้ทรงแต่งพระวรกายเป็นพราหมณ์และได้พำนักอยู่ใต้ต้นคุรุณตะ ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณวัดตรีรุปิรันตุรัย และให้เหล่าสาวกเทพปลอมตัวผู้ศึกษาพระเวทนั่งรายล้อมพระองค์อยู่

ทางด้านวานาวูร์ เข้าไปในวัด และได้ยืนสงบนึ่งอยู่เบื้องหน้าเทวรูปภายในวัด และเริ่มสวดมนต์บูชาพระองค์พร้อมกับหลั่งน้ำตาด้วยความรักและบูชาในองค์พระศิวะ จากนั้นวานาวูร์ได้เดินไปรอบๆวัดใกล้กับบริเวณต้นไม้ที่พรามหณ์(พระศิวะ) พำนักอยู่ วานาวูร์ได้ยินเสียงการบูชาพระนามแห่งองค์พระศิวะเทพ (หระ, หระ) เพียงเสียงการบูชาแค่นี้ทำให้หัวใจของเขาเหมือนโดนหลอมละลายในทันทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เค้าหันมองหาเสียงนั้นและเพียงชั่วครู่หนึ่งที่เค้าได้เห็นหน้าพรามหณ์(พระศิวะ) เหมือนกับมีสิ่งดึงดูดให้เค้าเดินเข้าไปหาพราหมณ์ เค้ามองพราหมณ์ผู้นั้นด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด เพราะช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดี ความรัก ความเคารพอันเปี่ยมล้น วาดาวูร์วิ่งเข้าไปหาพราหมณ์ เหมือนกับพ่อกับลูกที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาเป็นเวลานาน เขาก้มลงแตะเท้าพราหมณ์เพื่อแสดงความเคารพ



ด้วยความกรุณาของพระศิวะ วานาวูร์ระลึกได้ขึ้นมาทันทีว่าพราหมณ์ผู้นี้เป็นพระศิวะเจ้าที่ทรงลงมาเพื่อเป็นคุรุแห่งตนเป็นแน่แท้ จึงได้แตะพระบาท และสวดมนต์วิงวอนต่อพราหมณ์ " โอ้ พระเป็นเจ้า ช่วยรับข้าพเจ้าเป็นข้ารองพระบาท ของประองค์และโปรประทานพรให้แก่ข้าด้วยเทอญ"

เมื่อได้ยินดังนั้นพระศิวะเทพจึงได้แปลงพระองค์กลับเป็นพระศิวะดังเดิมและก้มลงมองวานาวูร์ การทดสอบความมั่นคงทางจิตใจของวานาวูร์ที่มีต่อองค์พระศิวะเทพเป็นอันจบสิ้น พระองค์มอบภาระหน้าที่ในการบริหารประเทศให้แก่วานาวูร์ ความสบาย ความมั่งคั่งรำรวย เพื่อทดสอบว่าวานาวูร์จะหลงไปกับลาภ ยศ สรรเสริญเหล่านั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่วานาวูร์ได้กระทำมาตลอดนั้นทำให้วานาวูร์ผ่านการทดสอบของพระองค์ไปได้ วานาวูร์สวดมนต์อ้วนวอนอีกครั้ง

**** เด๋วมาต่อครับ **** ยาวแฮะ



มาต่อกันครับ

วานาวูร์สวดมนต์อ้วนวอนอีกครั้ง

" โอ้ พระเป็นเจ้าผู้ซึ่งเป็นพลัง เป็นดังจุดกำเนิดแห่งจักรวาลทั้งปวง พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งเป็นที่รัก!!!
โอ้ พระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งทำให้ดวงใจของข้าพเจ้าหลอมละลาย!!!
โอ้ พระเป้นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมจะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ร่างกาย จิตใจ หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ!!!
โอ้ พระเป็นเจ้า ผู้ประเสริฐ
โอ้ พระเป็นเจ้า ผู้นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์
โอ้ พระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งเป็นมหาสมุทรแห่งความสุขสำราญ
โอ้ พระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งเป็นดั่งน้ำอมฤทธิ์

ข้าพเจ้าขอกราบเบื้องบาทพระองค์"

เมื่อวานาวูร์สวดมนต์อ้อนวอน พร้อมร้องเพลงสรรเสริญแก่พระเป็นเจ้าเสร็จ วานาวูร์ ก็ปลดเครื่องประดับต่างๆ ออกแล้วถวายเครื่องประดับที่มีค่าเหล่านั้นแก่คุรุ และประพฤติตนเยี่ยงสันยาสีคนหนึ่ง เขาใช้ผงวิภูมิ ทาตามตัว อันเป็นสัญลักษณ์แก่ผู้บูชาพระศิวะเทพ กำหนดจิตไว้ที่ดอกบัวที่อยู่ที่เท้าของคุรุ

เมื่อวานาวูร์สำรวมจิตอยู่ที่ดอกบัวที่เท้าของคุระ วานาวูร์ก็ตั้งจิตเพื่อเข้าสู่สมาธิ และเมื่อวานาวูร์ตื่นจากสมาธิ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเขานั้นมีความรักต่อพระเป็นเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และเกิดมาเพื่อบูชาต่อพระองค์ จากนั้นเขาก็ได้นำมาลัยไปวางที่เท้าของคุรุ พระองค์ทรงพอพระทัยในการกระทำของวานาวูร์ จึงได้ให้ชื่อใหม่แก่เขาว่า “ มานิกา วาสะกา” และใช้ชื่อนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระเป็นเจ้าได้บอกให้มานิกาวาสะกาพำนักอยู่ ณ.ตรีรุ ปิรันทูรัย แล้วพระองค์ก็หายตัวไป

เมื่อพระเป็นเจ้าและคุรุหายไป มานิกาวาสะกา รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่ต้องห่างไกล แต่สุดท้ายและในที่สุดเมื่อเขาระลึกได้ถึงคำสอนของคุรุที่ว่า เพียงแค่ระลึกถึงพระเป็นเจ้า พระองค์ก็จะอยู่ข้างกายเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาสบายใจขึ้น และดำเนินชีวิตด้วยความอิ่มเอม โดยมีพระเป็นเจ้าและคุรุเป็นที่ตั้ง

คนรับใช้ใกล้ชิดของพระราชาที่ติดตามมากับมานิกา วาสะกา เล็งเห็นแล้วว่าในหลายวันที่ผ่านมา หัวหน้าภารกิจลืมภาระหน้าที่ในการเดินทางในครั้งนี้เสียหมดสิ้นแล้ว จึงได้เตือนเขาถึงสาเหตุการมาในครั้งนี้ เมื่อมานิกาวาสะกาได้ฟังคำเตือน จึงได้ส่งคนรับใช้นั้นกลับไปยังพระราชวัง เพื่อส่งข่าวแก่พระราชาว่าม้าที่พระองค์สั่งจะไปถึงมาดูรัยภายในหนึ่งเดือนนี้  พร้อมกันกับข่าวที่คนรับใช้ใกล้ชิดคาบมาบอกเกี่ยวกับที่วานาวูร์ละเลยหน้าที่ ทำให้พระราชาทรงโกรธ แต่พระองค์ก็ยังอดทนรอม้าตามที่วานาวูร์ได้ส่งข่าวมา

ทางด้านตรีรุ ปิรันทูรัย, มานิกาวาสะกา อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับพระเป็นเจ้า เขาลืมพระราชา เขาลืมจุดมุ่งหมาย และคำมั่นสัญญาต่างๆ จนหมดสิ้น เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดที่พระราชาให้มาเพื่อซื้อกองทัพม้าไปกับการสร้างวัด

หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป พระราชาทรงพิโรธอย่างมาก ที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามสัญญา พระองค์จึงได้ส่งสาสน์มาให้โทษเขา พร้อมกับคำข่มขู่ต่างๆ นาๆ

เมื่อได้รับสาสน์จากพระราชา มานิกา วาสะการู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก เขาไปวัดและสวดมนต์บูชาแก่พระเป็นเจ้าผู้ปกป้อง ให้เค้าผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไปอย่างราบรื่น และคืนนั้นเองพระเป็นเจ้าก็ปรากฎพระองค์ในความฝันของเค้าในรูปของคุรุ  เขากล่าวแก่พระองค์ว่า “ ท่านคุรุผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะนำมาดีกลับไปยังเมืองมาดูรัยได้อย่างไร ขอให้ท่านช่วยให้ภาระหน้าที่ของข้าพเจ้าผ่านพ้นไปด้วยดี ขอเพียงแค่ให้พระราชาทรงยืดระยะเวลาให้ข้าพเจ้าจากหนึ่งเดือนไปจนถึงช่วงเทศกาล อวานิมูรัม ((ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าเป็นเทศกาลนี้มีการบูชาพระแม่มีนัคชีด้วย)) ด้วยเถิด

คุรุหายตัวไปหลังจากที่มอบอัญมนีที่มีค่ามากชิ้นหนึ่งให้กับวานาวูร์

เช้าวันถัดมา มานิกาวาสะกาเข้าไปบูชาพระเป็นเจ้าก่อนริ่มเดินทางกลับมาดูลัย

เขาดินทางมาพบพระราชา และนำอัญมนีที่ได้จากคุรุมอบให้แก่พระราชาเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ได้ใช้เงินที่พระราชาให้ไปซื้อม้านำไปสร้างวัดเสียหมด ((เหมือนเป็นหลักประกัน)) จากนั้นเค้าก็เริ่มอธิบาย ว่าเขาได้ซื้อมาด้วยเงินทั้งหมดแล้วแต่ขณะนี้เฝ้าคอยเวลาที่เป็นฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลที่จะนำม้าเหล่านั้นเข้าสู่มาดูรัย และเวลาที่ดีที่สุดคือในวันแห่งเทศกาล อวานิมูลัม ซึ่งในระหว่านั้นเขาต้องกลับไปดูแลม้าก่อน เพื่อนำมามาส่งในวันนั้น

เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้นก็กล่าวขอโทษแก่มานิกาวาสะกาที่หุนหันพลันแล่นส่งสาสน์ไปข่มขู่โดยไม่ทันได้ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น และจากนั้นเขาก็ได้สั่งให้สร้างโรงม้าขนาดใหญ่ สำหรับม้าพันธุ์ดีที่จะมาถึง