Loader

รบกวนอาจารย์ศรีหริทาส

Started by ศรีมหามารตี, December 08, 2011, 12:28:48

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

 
สวัสดีคะ ..

วันนี้มีเรื่องมารบกวนท่านอาจารย์ตุลย์ (ศรีหริทาส)  สักเล็กน้อยนะคะ
จริงๆก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย

พอดีอิชั้นไปสะดุดกับประโยคนึงดังนี้

स्वामी सर्वत्र अस्ति चेत् किमर्थं सर्वे देवालयं गत्वा तं प्रार्थयन्ति इति बालकः मातरं पृष्टवान्

स्वामी सर्वत्र अस्ति चेत् किमर्थं सर्वे देवालयं गत्वा तं प्रार्थयन्ति इति बालकः मातरं पृष्टवान्

ก็ทำเอาสะดุ้งเหมือนกันนะค่ะ ในความหมายว่าถ้าพระเป็นเจ้าที่เป็นปรพรหมนทรงสถิตอยู่ทุกที่ แล้วเราทำไมต้องไปวัดกันด้วย

ช่างเป็นคำถามที่ลึกซึ้งกินใจสำหรับอิชั้นมากมายคะ

เลยลองคีย์หาคำตอบดู ได้คำตอบจากท่านรามกฤษณะ ดังนี้

To answer this question, Sri Ramakrishna, a great Enlightened Master of the 20th century gave a beautiful answer. "There is milk all over the cow's body but we can't get it by just piercing it anywhere". Though the Cosmic Energy is available everywhere, we are not able to perceive it because it is extremely subtle. Cosmic energy is available in the most subtle form. An enlightened being or highly evolved soul knows the science of distilling this subtle energy into a gross form which we can perceive and absorb. In this form, the cosmic energy becomes available to all as a source of healing and subtle spiritual transformation

ลองอ่านคร่าวๆดูแล้วกับด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของอิชั้นแล้วยังไม่ค่อยจะจุใจเท่าไหร่
เลยใคร่อยากจะรบกวนท่านอาจารย์ตุลย์ ช่วยขยายความ ให้อรรธาธิบาย แสดงทรรศนะในแบบของท่านอาจารย์เพื่อคลายความสงสัยด้วยคะ ..

ฟรีสไตร์ไม่ว่ากันนะค่ะ หรือท่านอื่นๆจะร่วมด้วยช่วยกันก็ได้คะ เพื่อเพิ่มพูนปัญญาในการที่เราจะเข้าถึงสภาวะของพระเป็นเจ้าได้ดียิ่งขึ้นคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้า ...

               


แถมอีกสักนิดเด้อคะ ..

ว่าเมื่อไหร่จะมีผลงานทางศาสนามาให้พวกเราได้อ่านกันบ้างคะ แว่วๆมาว่ากำลังจะเริ่มแปลศรีรามจริตมานัส
श्रीरामचरितमानस



ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วคะ  ยังไงจะรอติดตามผลงานนะค่ะ พี่ตุลย์ อิอิ



พระเป็นเจ้าคุ้มครองคะ


พูดถึงเรื่องพลังจักรวาลแล้วก็ให้คิดโยงไปถึงเรื่องจักระทั้ง7



ตำแหน่งจักระทั้ง7


จักระที่ 1 ตั้งอยู่ ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ

จักระที่ 2 ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์

จักระที่ 3 อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ

จักระที่ 4  อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า อะนาหตะ  จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา

จักระที่ 5  ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ 

จักระที่ 6 อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่  และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง  ความมีสติ ความรู้แจ้ง  จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล

จักระที่ 7 อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส  จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส  ณ ตำแหน่งนี้ ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้
หน้าที่หลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด




พลังจักรวาล หรือชื่อเต็มว่า พลังไฟฟ้าสากลจักรวาล  เพราะการทำหน้าที่ของจักระทั้ง 7 ก็คล้ายกับการส่งกระแสไฟฟ้าเช่นกัน มีทั้ง พลังบวก (หยาง) พลังลบ (หยิน) ทำให้เกิดสมดุลขึ้น พลังจักรวาลนี้ ก็ไปเหมือนหลาย ๆ วิชา เช่น โยคะ กำลังภายใน ลองคิดตามหนังจีนก็คงจะรู้จักกันดี หรือปราณ  หยิน-หยางของจีน และฤาษีดัดตนของไทยด้วย รวมถึงพลังจิตแต่ต่างอยู่ที่ พลังจักรวาลเป็นพลังจากนอกโลกควบคุมการดำเนินของโลก แต่พลังจิตนั้นอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งคุณสมบัติของวิชาพลังจักรวาลเกิดจากแห่งพลังงานที่ไม่เสื่อมสลายในจักรวาล  จะเปรียบเทียบก็คือ พลังดึงดูดของแม่เหล็กที่ไม่เสื่อมสลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่พลังงานนั้นจะมีกำลังสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวัสดุที่ถูกสร้างขึ้น ส่วน พลังจักรวาลนั้นมาจากบ่อพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอนันต์ และมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต

พลังจักรวาลนี้ ไม่ค่อยยุ่งยากในการฝึกเท่าไหร่ ไม่ต้องกินมังสวิรัติ หรือแต่งงานแล้วก็ฝึกได้

พลังงานจักรวาลนี้ ควบคุมการทำงานของชีวิต จะมี ประตู อยู่ 7 ประตู  เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง ส่วนใหญ่คนจะปิด ร่างกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้  ร่างกายเรามีพลังงานห่อหุ้ม หลายคนคงรู้จักออร่ากันดี บางคนเรียกว่า กายทิพย์  ซึ่งสามารถแยกสีออกไป แต่ละบุคคล

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ได้ประดิษฐ์กล้อง ถ่ายภาพรัศมี นี้ได้แล้ว เรียกว่า กล้องเกอร์เลียน เมื่อถ่ายออกมาจะเป็นแสงสีต่าง ๆ รอบตัวเรา  เมืองไทยก็มีอยู่บ้างครับ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่   

พลังจักรวาลนี้ ช่วยให้ร่างกายของเรา สามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง และควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ จนทำให้อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวด หายไปได้น่าสนใจทีเดียว


http://www.luangputo.com/forum/index.php?topic=90.0

พลังจักรวาลนี้ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในเรื่องพระศรีกฤษณะด้วย หลังจากที่พระกฤษณะและพระพลรามได้ปราบพญากังสะลงได้แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็ทรงออกบวชและท่านอาจารย์ของพระองค์ก็ได้สอนเกี่ยวกับวิชาพลังจักรวาล จักระทั้ง7 นี้ด้วย

http://www.youtube.com/v/UFxHmhjvLF4

ความสำคัญของจักระต่างๆที่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย

จักระที่ ๑.....เป็นฐานของศูนย์พลังงานทั้งหมดในร่างกาย....เป็นธาตุดิน....เป็นศูนย์พลังสีแดง....อยู่ที่ก้นกบ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกทั้งหมด ขา ไตและลำไส้....พลังในจักระที่ ๑ นี้
ทำหน้าที่สร้างภูมิต่อต้านโรคต่าง ๆ  ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง....ถ้าฝึกจนเกิดพลังสูงมาก จักะในฐานนี้ก็จะเปิดเองโดยไม่ต้องทำอะไร

จักระที่ ๒....อยู่ที่ตรงสะดือ...เป็นธาตุน้ำ....เป็นพลังสีส้ม...เป็นศูนย์พลังที่ทำให้เกิดพลังทางเพศ....ถ้ามีคุณภาพก็จะทำให้เกิดพลังความเชื่อมั่นในตนเอง....มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่แปลก....ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี....พลังนี้ทำให้มีชีวิตชีวาและสามารถล้างพิษในร่างกายได้ด้วย....นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธ์....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รังไข่ ลูกอัณฑะ ต่อมลูกหมาก ม้าม มดลูก อวัยวะสืบพันธ์ กระเพาะปัสสาวะ....จักระที่ ๒ นี้ถ้ามีพลังมากจะสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่กล่าวมาแล้วได้ด้วย

จักระที่ ๓....อยู่ตรงกลางระหว่างหัวใจกับสะดือ....เป็นพลังสีเหลือง....เป็นธาตุไฟ.....อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ ระบบประสาทกล้ามเนื้อ ตับ ถุงน้ำดี ต่อมหมวกไต กระเพาะอาหาร....ทำหน้าที่ขับถ่ายสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ควบคุมระบบการย่อยอาหาร....จักระที่ ๓ นี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย.....ถ้ามีพลังมากจะทำให้เป็นคนร่าเริง ตื่นตัวเสมอ สามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ มีความเชื่อมันในตนเอง.....พลังในฐานนี้ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร  ลำไส้ ไส้ติ่ง ตับ ม้าม ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ  ไต เบาาหวาน

จักระที่ ๔....อยู่ตรงทรวงอก.....เป็นพลังสีเขียว...เป็นธาตุลม....อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ ต่อมไร้ท่อ ปอด แขนและขา....ศูนย์พลังนี้ทำหน้าที่ควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิต หัวใจ  ไขมันในเส้นเลือด... ...ถ้ามีพลังมากจะสามารถรักษาโรคหัวใจและเกี่ยวกับหลอดเลือดได้....ถ้ามีคุณภาพจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูง มีมนุษยสัมพันย์ดี มีเมตตาจิต....พลังในจักระที่ ๔ นี้ สามารถรับพลังจักรวาล พลังจากเทพหรือจากวิญญาณชั้นสูงได้ด้วย

จักระที่ ๕...อยู่ที่ลำคอ...เป็นพลังสีฟ้า...ธาตุอากาศ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมไธรอยด์ พาราไธรอยด์ ปาก คอ....มีหน้าที่ควบคุมระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง  การพูด เสียงและการสื่อความหมาย....ถ้ามีพลังมากจะสามารถใช้รักษาโรคปอด หลอดลม ลำคอ หอบหืด ไอ จมูก ไซนัส ผื่นคัน ผิวหนัง....นอกจากนั้นพลังในจักระที่ ๔ นี้ถ้ามีคุณภาพมาก จะทำให้เป็นคนมีความสามารถในการพูด มีวาทะศิลป์ มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักมารยาทในสังคม

จักระที่ ๖....อยู่ตรงกลางหน้าผาก....เป็นพลังสีน้ำเงินแก่....ธาตุแสงสว่าง....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมพิตูอิทารี ต่อมฐานสมองเกี่ยวกับตาข้างซ้าาย หูทั้งสองข้าง จมูก....ทำหน้ามี่เปรียบเสมือนเป็นตาที่สาม ควบคุมสติปัญญา ความนึกคิดและระบบประสาท ใช้พลังนี้ติดต่อกับเบื้องบนได้ด้วย....ใช้ทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้ด้วย

จักระที่ ๗....อยู่ตรงกลางกระหม่อม....เป็นพลังสีม่วง....ธาตุรู้....ทำหน้าที่ควบคุมระบบประสาททั้งหมดในร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมจักระทั้งหมด....จักระนี้สามารถรับพลังจักรวาลแล้วแผ่ไปทั่วร่างกายได้  สามารถสื่อติดต่อและสัมผัสกับวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ ได้....สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมไพนีล ศูนย์รวมระบบประสามตาข้างขวา







ประโยชน์ของการเรียนรู้เกี่ยวกับพลังจักระ

๑. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคภัยได้
๒. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างพลังกายทุกส่วนให้แข็งแรง
๓. พลังจักระสามารถใช้รักษาโรคให้ตนเองและผู้อื่นได้
๔. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างพลังจิต ให้เกิดจิตใต้สำนึก ที่เป็นกุศลหรือพลังบวก
๕. พลังจักระสามารถช่วยเสริมหรือแผ่ให้แก่ผู้อื่น ที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าได้ ยิ่งแผ่ให้ผู้อื่นมากก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่าขณะที่แผ่ให้ผู้อื่นนั้น ทั้งผู้ให้และผู้รับพลังจะต้องมีจิตที่สงบตั้งมั่น จึงทำใให้เกิดความปีติ และความสุข เพราะว่าร่างกายจะหลั่งสารสุขออกมา จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายมีร่างกายและจิตใจสบายเบิกบานและแข็งแรง

วิธีฝึกเสริมพลังจักระ


๑. สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยและตั้งนะโม ๓ จบ

๒. นั่งขัดสมาธิ, นับ ๑ พร้อมกับหายใจออกช้า ๆ ให้ลมออกจนหมด ....นับ ๒ หายใจเข้าช้า ๆ จนถึงก้นกบ .....  ทำเช่นนี้และนับไปด้วยจนได้ ๑๐๐ ครั้ง....นี่เป็นวิธีการเตรียมความพร้อมทางกายและใจ

๓. ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม.....ละจากการนับ.....เริ่มกำหนดจิตอยู่ที่ศูนย์พลังจักระที่ ๗....พลังสีม่วงซึ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อม....นึกถึงวงล้อที่มีสี "ม่วง" วางอยู่บนกลางกระหม่อม.....แล้วหมุนวงล้อสีม่วงนี้ด้วยจิต....เริ่มหมุนไปตามเข็มนาฬิกา หมุนไปเรื่อย ๆ ....ในระยะแรก ๆ อาจจะหมุนช้าบ้าง หรือเร็วบ้างไม่ได้ระดับสม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะว่าในระยะแรก ๆ จิตยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านบ้างเป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่....เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่นขึ้น ก็จะเห็นว่า "ล้อสีม่วง" เริ่มหมุนด้วยความเร็วช้าาลงและสม่ำเสมอ....ในที่สุดจะเห็นล้อสีม่วงชัดเจนขึ้น

๔. เมื่อเห็นล้อสีม่วงชัดเจนขึ้นมาก  ก็ไม่ต้องตกใจหรือตื่นเต้น....เพราะว่านั่นเป็นเพียงภาพนิมิตที่ปรากฏให้สติตามระลึกรู้แล้วก็ดับไปเท่านั้น....เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงทางจิตขณะนั้น....ถ้าไม่มีอะไรปรากฏก็ไม่เป็นไร...เพราะเหตุว่า "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้....ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย...ดังนั้นเพียรฝึกต่อไป คือทำเหตุให้ถึงพร้อม....สักวันก็จะเกิดผลเอง

๕. เมื่อศูนย์พลังจักระที่ ๗  นี้มีพลังในระดับสูงมาก....คือหมายถึงจิตมีความสงบตั้งมั่นแน่วแน่...จิตจะสามารถสัมผัสกับเทพ เทวดาหรือวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ ได้....แต่ก็ไม่ต้องตกใจกลัว ให้ตามระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางจิตขณะนั้น ว่าเป็นเพียงสภาวะธรรมหรือภาพนิมิตเท่านั้น....สิ่งที่ปรากฏหรือสิ่งที่สัมผัสไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลต่อท่าน...เขามาปรากฏเพราะว่า ขณะนั้นจิตของท่านมีพลังหรือมีกระแสจิตที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา จึงสื่อติดต่อและสัมผัสกันได้....มันดูเหมือนง่ายมากเลยนะ...แต่จริง ๆ แล้วไม่ง่ายหรอกจ๊ะ....ต้องใช้ความเพียรและขันติอย่างมากทีเดียว และต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องทำอย่างหักโหม ทำวันละครึ่ง ๒๐-๓๐ นาที ทุกวันสำหรับระยะแรก ๆ "ทุกอย่างสำเร็จด้วยความเพียร"

๖. เคล็ดลับในฝึกเสริมพลังจักระ...การที่จะมีจิตสงบได้นั้น...ต้องสงบจากกิเลสทั้งปวงในขณะนั้น จึงจะเป็นสมาธิที่ตั้งมั่นได้...และจะต้องเป็นผู้ที่มีปรกตินิสัย เป็นผู้มีจิต "เมตตา"  คือมีความเป็นมิตร ไมตรีกับทุกคนไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ เป็นผู้ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์สุข โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ รักผู้อื่นเสมอเหมือนรักตน....เป็นผู้มี "เมตตาพรหมวิหาร" เป็นเครื่องอยู่ของจิต....แล้วการฝึกพลังจักระจึงจะสำเร็จดังปรารถนา....ท่านก็จะสามารถสื่่อติดต่อกับโลกทิพย์ได้อย่างอัศจรรย์

สำหรับการฝึกจักระศูนย์พลังที่ ๖,ที่ ๕,ที่ ๔, ที่ ๓, ที่ ๒ และที่ ๑ (จักระฐาน).....ก็ฝึกวิธีเดียวกัน.....เริ่มในลักษณะเหมือนกันคือ....กำหนดจิตอยู่ที่ฐานนั้น ๆ  แล้วนึกถึงวงล้อสีของพลังในฐานนั้นด้วย.....จากนั้นก็หมุนตามเข็มนาฬิกา จนเกิดสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่.....จนเกิดภาพนิมิตเห็นวงล้อสีของฐานนั้นชัดขึ้น ๆ ตามลำดับของพลัง......ให้ฝึกจนครบทุกจักระ โดยเริ่มจากจักระฐานที่กระหม่อมก่อน.....แล้วเลื่อนลงไปจักระที่ ๒ และจักระที่ ๓ ลงไปจนครบทุกจักระ....เมื่่อครบทุกจักระแล้ว ให้เริ่มจากจักระที่ ๑ (จักระฐาน) ซึ่งเป็นฐานพลังสีแดง....กำหนดจิตที่วงล้อสีแดงอยู่ตรงก้นกบ....แล้วหมุนจนเกิดสมาธิตั้งมั่น.....จากนั้นก็เลื่อนไปจักระที่ ๒.....เลื่อนไปเรื่อยจนถึงจักระที่ ๗ (ฐานกระหม่อม) เป็นอันว่าครบวงจรของการสร้างพลังจักระ
ที่มา.http://khunmeaw.blogspot.com/

อ้าว เห็นอาจารย์ตุลเข้ามาแล้วไปไหนสะแล้วคะ ..


น่าสนใจนะคับ ลองไปฝึกดีกว่า ได้ผลยังไงจะมาบอกเล่านะคับ
                     
                    Jai Maa Adhi Shakti
                     जय माँ आधी शक्ति

स्वामी सर्वत्र अस्ति चेत् किमर्थं सर्वे देवालयं गत्वा तं प्रार्थयन्ति इति बालकः मातरं पृष्टवान्

स्वामी सर्वत्र अस्ति चेत् किमर्थं सर्वे देवालयं गत्वा तं प्रार्थयन्ति इति बालकः मातरं पृष्टवान्


ขอยกคัมภีร์ภควัทคีตามาตอบนะครับ

ธฺยาเนนาตฺมนิ ปศฺยนฺติ เกจิทาตฺ มานมาตฺมนา อเนฺย สำขฺเยน โยเคน กรฺมโยเคน จาปเร

บางคนเห็นอาตมาในตน(ความตรัสรู้) ด้วยฌาน บางคน เห็นด้วยตน(จิต) บางคน เห็นด้วยสางขยะโยคะ และบางคนเห็นด้วยกรรมโยคะ



และ

สมํ สรฺเวษุ ภูเตษุ ติษฺฐนฺตํ ปรเมศฺวรมฺ วินศฺยตฺสฺววินศฺยนฺตํ ยะ ปศฺยติ ส ปศฺยติ

ผู้ใดเห็นพระปรเมศวร อันดำรงอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลายสม่ำเสมอไม่เสื่อมสูญ แต่อยู่ในสิ่งที่เสื่อมสูญ ผู้นั้นได้ชื่อว่ามองเห็นแล้ว



(ศรีมัทภควัทคีตา ฉบับ ท่าน ศาสตราจารย์ รตท.แสง มนวิทูร แปล)


สำหรับผม เหมือนที่ท่านสวามีรามกฤษณะบรมหงศ์ว่าไว้ คือ แม้เราจะทราบว่า นมโคอยู่ในตัวโคทั่วไป เราก็ไม่เฉือนโคเพื่อจะเอานม ผู้เห็นพระเจ้าที่ซ่านไปในทุกสิ่งย่ิอมฝึกฝนทิพยจักษุอินทรีย์จนแก่กล้า ท่านเหล่านั้นย่อมไม่จำเป็นต้องกระทำการบูชาใดๆหรือไปสักการะี่ที่สถานใดๆอีก เพราะท่านประจักษ์ว่าสวภาวะของท่านรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ส่วนท่านที่มีภูมิด้อยลงมาก็อาจสามารถทำ มานสปูชา หรือการบูชาโดยไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของ แต่เป็นการบูชาด้วยใจ ส่วนเราท่านซึ่งเป็นปุถุชน ทิพยจักษุใดๆก็ไม่มี ไม่ได้ฝึกฝนทางโยคะ ย่อมต้องอาศัยการไป "ทรรศัน" หรืออาศัย พระรูปต่างๆตามเทวสถานเพื่อน้อมนำให้เกิดภักติขึ้นภายในใจก่อน ซึ่งการบ่มเพาะภักตินี้เท่ากับการตั้ง อีศวรปณิธานะ หรือการตั้งจิตมุ่งมั่นต่อพระเจ้า ตามหลักโยคะ อันเป็นฐานรากของสมาธิ ดังนั้น แม้ว่าจะทราบด้วยหลักการตามคัมภีร์แล้วว่าพระเป็นเจ้าอยู่ในทุกสิ่งก็ตาม ก็เป็นแต่การทราบด้วยสมอง ต่อเมื่อทราบด้วยใจแล้ว เห็นด้วยทิพยจักษุของตนอันฝึกดีแล้ว การไปวัดวาอาจเว้นเสียก็ได้  แต่บรรดามุนี และท่านนักบุญทั้งหลายที่เราเชื่อว่าท่านได้บรรลุแล้วในอดีต ก็ยังคงไปยังเทวสถานประกอบกรณียะต่างๆเช่นการสักการะบูชาหรือ สงเคราะห์สาธุชนทั่วไป เพราะท่านเห็นว่าการทำเช่นนั้น เป็นการปฏิบัติอันงามตามจารีตที่ทำต่อกันมา

เหมือนในรามจริตมานัส ท่านสวามีตุลสีทาสก็กล่าวไว้ว่า การไปชุมนุม(สัตสังฆ์)นั้น (ซึ่งโดยปกติชุมนุมตามเทวสถาน) เป้นโอกาสที่จะได้พบคนดี การไปชุมนุมย่อมเกิดบุญกุศลและผลนานาประการ


ดังนั้น ผมจึงยังคิดว่าการไปเทวสถาน หรืออย่างๆน้อยๆการบูชาพระด้วย ปฏิบัติบูชาเป้นสิ่งควรกระทำต่อไปครับ

ธฺยาเนนาตฺมนิ ปศฺยนฺติ เกจิทาตฺ มานมาตฺมนา อเนฺย สำขฺเยน โยเคน กรฺมโยเคน จาปเร

บางคนเห็นอาตมาในตน(ความตรัสรู้) ด้วยฌาน บางคน เห็นด้วยตน(จิต) บางคน เห็นด้วยสางขยะโยคะ และบางคนเห็นด้วยกรรมโยคะ



ดังนั้น แต่ละคนก็ย่อมเกิดโอกาสเห็นพระเป็นเจ้าไปตามวิถีปฏิบัติและอนุสัยสันดานรวมทั้งวาสนาของตน ผู้มีปัญญาอาจเห็นพระเป็นเจ้าเป็นอบุคคลก็ได้  ส่วนผู้ปฏิบัติกรรมโยคะ หรือเป็นนักปฏิบัติก็อาจเห็นด้วยการปฏิบัติของตนเองซึ่งอาจเป็นพระเป็นเจ้าแบบบุคคลก็ได้

สมํ สรฺเวษุ ภูเตษุ ติษฺฐนฺตํ ปรเมศฺวรมฺ วินศฺยตฺสฺววินศฺยนฺตํ ยะ ปศฺยติ ส ปศฺยติ

ผู้ใดเห็นพระปรเมศวร อันดำรงอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลายสม่ำเสมอไม่เสื่อมสูญ แต่อยู่ในสิ่งที่เสื่อมสูญ ผู้นั้นได้ชื่อว่ามองเห็นแล้ว


ดังนั้น ผู้ใดเห็นพระเป็นเจ้าผู้ไม่เสื่อมสูญ แต่อยู่ในสิ่งเสื่อมสูญ(สรรพชีพ และไร้ชีพทั้งหลาย แม้แต่เทวรูปต่างๆ)ย่อมชื่อว่าเห็น  สิ่งอันเสื่อมสูญก็ย่อมเป็นเครื่องมือให้เราได้เห็นพระเป็นเจ้าได้ ดังนี้


ขออภัยด้วยนะครับที่ตอบช้า เพราะงานเยอะจริงๆ ส่วนงานตอนนี้ กำลังแปลบทสวดมนตร์ของเทพมณเฑียรและรวมบทพื้นฐานของทุกพระองค์ รวมถึงบทที่สำคัญเช่น รามรักษาสโตตร ฯลฯ ว่าจะทำถวายวัดครับ ส่วนศรีรามจริตมานัส เป็นงานระยะยาวตลอดชีวิต สบายใจก็แปล ไม่สบายใจก็หยุดครับ ก็แล้วแต่พระกรุณาธิคุณครับว่าจะเสร็จตอนไหน
และว่าจะทำวิจัยเกี่ยวกับฮินดูซักเรื่องเอาไว้ขอตำแหน่งวิชาการนะครับ 5555

โอ้ .. มิบังอาจไปเร่งเร้าอะไรค่ะ  แค่ท่านอาจารย์ตุลย์สละเวลามาตอบก็นับว่าเป็นพระคุณแล้ว
เป็นทั้งความรู้สำหรับตัวอิชั้นเองและเพื่อนสมาชิกท่านอื่นๆด้วย

ถ้าอย่างนั้นขอใช้โอกาสนี้ อวยพรปีใหม่ล่วงหน้าเลยละกัน
สำหรับฮินดูชนอย่างพี่แล้ว ชีวิตนี้คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าพระพรของพระเป็นเจ้านะค่ะ
ขอพระเป็นเจ้าคุ้มครองพี่คะ

ส่วนผลงานทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ถ้าเสร็จเรียบร้อยอย่างไรแล้ว
ก็กรุณาแจ้งบอกให้ทราบกันด้วยเด้อคะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรอ่านหมด อิอิ

ล่าสุดนี่เพิ่งฝากเพื่อนซื้อหนังสือของท่านอาจารย์ประมวลมาคะพี่ เห็นออกเป็นไตรภาค
เลยฝากให้เพื่อนสอยมาเล่มนึง



อธิบายได้ดีค่ะทำให้เข้าใจอะไรได้เยอะขึ้น

ขอบพระคุณในคำพรครับ ขอพระเป้นเจ้าประทานพรเช่นกันนะครับ

ส่วนหนังสือของท่านอาจารย์คงไปซื้อมาอ่านในช่วงวันหยุดนี้ครับ