มนต์ นั้น เปรียบได้กับพลังแห่งมหาเทพ และมหาเทวี ที่ทรงประทานอานุภาพของพระองค์ในรูปของอักขระและเสียงที่มีอำนาจ ดังนั้นการเปล่งเสียงสูงต่ำนั้นถือเป็นกระแสแห่งพลังของการสวดมนต์ภาวนา การสวดมนต์นั้นจะช่วยในการกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับ กิเลส ตัณหา ราคะ และความอยากต่าง ๆ จนสามารถก่อให้เกิดอำนาจและกระแสพลังอันมหาศาล พลังเหล่านี้นอกจากทำให้จิตสงบ มีสามธิแล้ว ยังสามารถแปรรูปมาใช้กับหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้อีก ฉะนั้นการสวดมนต์ด้วยใจที่สงบเท่านั้น ย่อมนำมาซึ่งอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ และเพื่อที่จะเป็นกถศโลบายให้จิตแน่วนิ่งนั้น การกำหนดจิตผ่านลูกประคำถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย
1. ลูกประคำที่ร้อยเป็นพวงขายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะร้อยเรียงด้วยลูกไม้ต่างชนิดกันไป แต่นับรววมได้ 108 เม็ด ในสายของฮินดูแล้ว นิยมใช้ประคำที่ร้อยจากเมล็ด "รุทรากษะ" ซึ่งคนไทยแปลว่า เเมล็ดน้ำตาพระศิวะ" เมล็ดดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเมล็ดสีแดง มีหลายขนาดให้เลือก เมล็ดเล็กแพงกว่าเมล็ดใหญ่ นอกจากนี้ความแพงยังดูกันที่แฉกและเหลี่ยมที่ได้มาตรฐานอีกด้วย เพราะเมล็ดที่สมบูรณ์นั้น จะมี 8 แฉก พวงประคำ ที่สมบูรณ์เช่นนี้หายากมาก มีราคาแพง ซึ่งราคาตกประมาณเส้นละหมื่นบาทขึ้นไป นอกจากเมล็ดดังกล่าวแล้ว ในสายของพระวิษณุเทพใช้เมล็ดที่ได้จากต้นตุลสี (กระเพรา)
"รุทรากษธ" มีความสำคัญอย่างไร ว่ากันว่า เมล็ดผลไม้ชนิดนี้นั้นนำมาซึ่งความศักสิทธิ์ และสามารถขับไล่บาปทั้งหลายให้หมดไป เพียงแค่สวดด้วยการนับประคำนี้ พระศิวะเทพเคยเล่าให้พระนางปราวตี ถึงที่มาของเมล็ดรุทรากษะ ว่า
"โอ่...พระนางมเหศวรี (อีกพระนามหนึ่งของ พระนางอุมา) จงรับฟังถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมล็ดรุทรากษะ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติที่ได้กราบไหว้บูชาเรา
คราวหนึ่งเราได้ประกอบสมาธิกรรมฐานเป็นเวลาเนิ่นนานอยู่หลายพันปีแห่งสวรรค์ ถึงแม้จะควบคุมสำรวมในการประกอบสมาธิ แต่กระนั้นจิตใจของข้าไม่อยู่คงที่ คงล่องลอยไปยังที่ไกลโพ้น จนข้าสด้งตื่นตกใจจากการสำรวม และลืมตาขึ้นจากความที่ต้องการช่วยเหลือจักรวาล หยดน้ำตาของข้าก็ล่วงหล่นสู่พื้นดิน ทั้งที่ขณะนั้นดวงตาของข้าได้ลืมเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จากหยดน้ำตาของข้านี้ได้ก่อให้เกหิดต้นรุทรากษะขึ้น ต้นไม้นี้ได้ออกลูกมาเป็นจำนวนมาก เหล่าพันธุ์ไม้นี้ได้เจริญขึ้นในดินแดน เคาฑะ, มธุรา, ลังกา, อโยธยา, มลัย, สหยะ และ แคว้นกาสี อันแคว้นใดที่มีพันธ์ไม้นี้เจริญงอกงามย่อมสามารถทำลายบาปให้หมดสิ้นไป
อันสีสันต่าง ๆ ของเมล็ดรุทรากษะนั้น มีอยู่ 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และ ดำ ซึ่งจำแนกตามวรรณะตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้ สีขาว-สำหรับวรรณะพราหมณ์ สีแดง-สำหรับวรรณะกษัตริย์ สีเหลือง-สำหรับวรรณะไวศยะ และสีดำ-สำหรับวรรณะศูทร เมล็ดรุทรากษะขนาดที่วิเศษที่สุด ย่อมเทียบเคียงกับลูกสมอ หรือแม้จะมีขนาดเท่าเมล็ดพุทราก็ได้รับประโยชน์และความผาสุกยิ่งใหญ่ พวงมาลัยอื่นอันจะนำความเป็นมงคลและได้รับความสำเร็จสมดั่งที่ปราถนาเทียบเท่าสร้อยที่ทำด้วยเมล็ดรุทรากษะเป็นไม่มี
ผู้สวมใส่แม้เพียงเมล็ดรุทรากษะเพียงเมล็ดเดียว ไว้บนศรีษะหรือตามร่างกายของเขาแล้ว จะไม่ตกสู่นรกแห่งยมราชเลยเพราะผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นบริวารแห่งคณะศิวะเทพ คนนั้นจะมีวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพทั้ง 5 พระองค์ อันประกอบด้วย พระสุริยะเทพ, พระคเนศ, พระแม่ทุรคา, พระรุทรเทพ และ พระวิษณุเทพ และเป็นที่รักใคร่จองเทพเจ้าทั้งหมด นี่เป็นที่มาและความศักสิทธิ์ของเมล็ดรุทรากษะที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท
2. วิธีการนับประคำนั้น จะใช้นิ้วหัวแม่มือแน้วกลางข้างขวาเท่านั้น ห้ามใช้นิ้วชี้เป็นอันขาด การนับนั้นจะนับจนครบ 108 ลูก แล้วนับย้อนกลับในเม็ดที่ 108 ด้วยถือว่าเป็นลูกที่ 1 ใหม่ ทั้งนี้จะไม่นิยมในการนับข้าม เมรุ (เม็ดยอดสามชั้นที่มีสายร้อยประคำสอดออกมา) การนับนั้น นิยมนับทีร่บริเวณใกล้กับหัวใจหรือใกล้จมูก เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของการกำหนดสมาธิและห้ามอย่างเด็ดขาดในการถือลูกประคำต่ำกว่าสะดือของตนเอง
3. ลูกประคำควรเก็บรักษาไว้ให้ดี หมั่นทำความสะอาด และห่อผ้าเก็บไว้ในที่อันควร
4. ข้อปฏิบัติในการนั่งสวดมนต์นั้น จะต้องอาบน้ำ ล้างมือ ล้างเท้า ล้างปากให้สะอาดก่อนทุกครั้ง หากไม่สะดวกในการอาบน้ำ อาจจะแค่ล้างมือและบ้วนปากให้สะอาดก็ได้ การสวดมนต์ภาวนานั้น ต้องกำหนดจิตพุ่งตรงไปที่คาถา หรือมนต์ในบทนั้น ๆ การเปล่งเสียงสวดก็ไม่ควรช้า หรือ เร็วเกินไป
5. การสวดมนต์นิยมสวดที่หน้าแท่นบูชาเเทวะรูป หรือถ้าจำเป็นต้องสวดในสถานที่ซึ่งไม่มีเทวะรูป ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกแทนก็ได้
6. หลังผ่านการสวดมนต์อย่างแน่วแน่แล้ว จึงค่อยตั้งจิตอธิฐานขอพร ด้วยจิตที่เชื่อมั่นในเทวานุภาพ
7. สำหรับผู้ที่มีครูบาอาจารย์ (ครูเทพ หรือ ครูมนุษย์) ซึ่งอาจมีมนต์พิเศษสำหรับตน จงอย่าเปิดเผยมนต์นี้ให้คนอื่นทราบเด็ดขาด เพราะนั่นคือรหัสพิเศษซึ่งมีความศักสิทธิ์เฉพาะตนเท่านั้น การบอกความลับนี้จะทำให้มนต์นี้เสื่อมความขลังในทันที
การอารตีไฟ หรือ พิธีบูชาไฟ นั้น ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชา ชาวฮินดูถือว่า พิธีกรรมทั้งหลายจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟหลังผ่านพิธีดังกล่าว จะวางตะเกียงอารตีไว้หน้าแท่นบูชา แล้วผู้ร่วมพิธีใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง คว่ำลงบนเปลวไฟในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วนำฝ่ามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ดวงตา และใบหู เพื่อเปิดทวารในการรับรู้ซึ่งสัมผัสพิเศษขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้หมดไป
หลังพิธีเสร็จสิ้น ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิฐานเพื่อแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ในโลกว่า "โอม สานติ ศานติ ศานติ " เป็นอันว่าพิธีนั้นผ่านไปโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว
***จากหนังสือตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ เรียบเรียงโดย มนตรีจัทร์ศิริ
ขอบคุณค่ะ เป็นความรู้ที่ดีค่ะ
ว่าจะหามานับอยู่เหมือนกัน