Loader

ภาพ Ten Mahavidya Series

Started by chaty, February 10, 2010, 14:29:50

Previous topic - Next topic

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Quote from: jaidevima on February 12, 2010, 19:50:03
ส่วนพระนางชินมัสตา เคยอ่านพบว่า พระนางจะประทับอยู่เหนือนางระตีที่กำลังสังวาสกับพระกามเทพ เป็นปริศนาธรรมที่ว่า การกำเนิด กับความตายเป็นของคู่กัน death feeds life

แต่ถ้าให้เรามอง เรานึกถึงลัทธิบูชาเจ้าแม่ดินที่โบราณมากๆ ในสมัยที่ยังมีการบูชายัญด้วยเลือดและชีวิตมนุษย์อยู่น่ะค่ะ ความเห็นส่วนตัวนะคะ


     พระแม่ดินในยุคโบราณที่คุณJaidevema ว่านี้หมายถึง  พระปฤถิวี  พระธรณีหรือเปล่าค่ะ

     จริงๆในยุคโบราณตั้งแต่สมัยยุคหินมาแล้ว  การบูชาเทวี หรือผีพื้นเมือง โดยเฉพาะผีผู้หญิง   ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วคะ 

      ว่าก็ว่าเถอะ  เทวีหลายๆองค์ที่อยู่ในทศมหาวิทยา  ที่เราคุยๆกันอยู่ในกระทู้นี้  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของการบูชาเพื่อจุดประสงค์นี้ทั้งสิ้นคะ

      จริงๆการบูชาเพศหญิงหรือการยกย่องเพศหญิงให้มีฐานะสูงสุด  ก็มีมานมนานมากแล้วคะ  ก่อนสมัยรุ่นพระเวทด้วยซ้ำ

    ไล่มาเลยนะค่ะ  คติที่ยกย่องเพศหญิงที่เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ หรือการให้กำเนิด มีมาตั้งแต่สมัย ยุคหิน

ยุคอารยธรรมรุ่นแม่น้ำสินธู   พอมาถึงยุคพระเวทตอนปลาย คาดว่าความเชื่อในคตินี้จะค่อยๆเสื่อมลง

  แต่ก็พบว่ายังไม่ลดบทบาทไปสะทีเดียว   เพราะหลังๆมาก็ยังมีลัทธิศักติที่แสดงถึงพลังตรงนี้ขึ้นมาอีกทีนึงคะ

  อีกทั้ง ทศมหาวิทยา อิชั้นว่าเป็นรูปที่ต้องการจะสื่อถึงพลังตรงนี้ได้ดีเลยทีเดียวคะ


   


เอาพระศรีมาตังกีมาให้ดูนะค่ะ  .. อิอิ








  แถมอีกสองภาพได้มะค่ะ

เป็นพระศรีลักษมี  กับพระกุมารี กาลีของเรา 







พระกาลีปางนี้  แม่บอกว่ารับแต่หนม  ส่วนเลือด งดไว้ก่อน 55555  น่ารักจัง




   


ว่าแต่
สองท่านนั้นเป็นใครอะคัฟ
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

สองท่านไหนค่ะ หมายถึงท่านรามาคริชนะ ปะค่ะ 


เราไม่ได้หมายถึงพระแม่ธรณีที่บีบวยผมน่ะค่ะ ถ้าเป็นพระนางไกอาของ
กรีกอาจจะใกล้เคียงกว่า


เรียกการบูชาเจ้าแม่เพื่อควาอุดสมบูรณ์ ความอยูรอดของชุมชน เผ่า โดยรวมๆอย่างที่คุณกิฟว่านั่นแหละ โดยมากในสังคมเกษตรโบราณจะผูกพันกับผืนดิน และยกย่องความสามารถในการให้กำเนิดแรงงานของสตรี

กระทั่งประจำเดือนที่เรารังเกียจกันว่าเป็นของสกปรกในยุคนี้ ก้ได้รับการนับถือว่าเป็นโลหิตอันทรงพลัง โลหิตแห่งการให้กำเนิดมาแล้ว
      

งืมมม
คัฟ
สองคนนะคัฟ
ที่เป็นพราม
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

เลิศคะ คุณ jaideveimaa


  คุณนี่ก็ศึกษาเยอะเหมือนกันนะ อิอิ


February 15, 2010, 22:32:15 #49 Last Edit: February 15, 2010, 22:34:45 by กาลปุตรา
น้องกิ๊ฟต๋า (ขอโทษที่หายไปนาน งานยุ่ง แถมต้องเก็บผักใน Facebook อีก)

คัมภีร์พระเวท (Veda) กับ คัมภีร์อเวสตะ (Avesta) นั้น เขาเป็นพี่น้องคลานตามกันมา มีกำเนิดในช่วงยุคอินโด-ยูโรเปียน

ดังจะเห็นเทพเจ้าในยุคพระเวทเริ่มต้น (โบราณ) นั้นจะมีชื่อคล้ายกับในคัมภีร์อเวสตะ เกือบทั้งหมด แต่จะออกเสียงเพี้ยนกันไปบ้าง

โดยจะกล่าวถึงเทพเจ้าอาทิ วรุณาสูร, อินทระ, อัคนิ ฯลฯ คล้ายๆ กัน ต่อมาชาวอารยันได้อพยพเข้าสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำสินธุ แล้วเข้าครอบครองนครฮารัปปา และ โมเฮนโจ-ทาโร (แถบปากีสถานในปัจจุบัน) เมื่ออารยันเริ่มเข้ามายึดดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็เริ่มรับเอาลัทธิความเชื่อของนครทั้ง 2 เข้ามาผสมผสานเพิ่มเติม

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า การนำศาสนามาใช้ในการควบคุมการเมืองในสมัยโบราณนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เมื่ออารยันเคลื่อนพลเข้ามาก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนศาสนาเดิมของตนกันบ้าง อันเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมของชมพูทวีปในยุคต้น

เมื่อนานไปชาวอารยันได้รุกคืบต่อเข้าสู่ดินแดนอินเดียตอนเหนือ ก็ได้กลืนกินเทพเจ้าดั้งเดิมของเขามาไว้อีก โดยในสมัยนั้นาวอารยันนั้นนับถือพระวรุณเป็นเทพเจ้าสูงสุด แต่เมื่อชาวอารยันต้องทำสงครามกับชาวพื้นเมืองของอินเดียโบราณ เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งจึงเริ่มโดดเด่นขึ้น นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งสายฟ้าและสงคราม นามว่า "อินทร์" ซึ่งเป็นเทพเจ้าเก่าในคัมภีร์พระเวทเบื้องต้น

นับแต่นั้นมาพระอินทร์จึงได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นเทพเจ้าสูงสุด เมื่อชาวอารยันได้เข้ายึดปักหลักในอินเดียตอนเหนือได้ เขาก็เริ่มรับเอาเทพเจ้าพื้นเมืองเข้ามารวมไว้อีก แล้วสถาปนาให้เป็นเทพเจ้าชั้นรอง เช่น รุทระ, สีดา, ปารวตี, อิฑา, คงคา, ยมุนา เป็นต้น นี่จึงเป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมและศาสนาพราหมณ์ในยุคของอารยันในอินเดีย

ต่อมาเมื่อชาวอารยันเริ่มครอบครองอินเดียได้อย่างเป็นปึกแผ่น ความต้องการในพระอินทร์ก็ลดลง เมื่อชีวิตเป็นสุข ไม่ต้องเร่ร่อน ไม่ต้องทำสงคราม ชาวอารยันก็เริ่มมีเวลามองหาสัจธรรมมากขึ้น โดยเริ่มมองว่า คนเรานั้นมี 3 รูปแบบ มีเกิด มีทรงอยู่ มีตาย, มีตมะ มีรชะ มีสัตตวะ เหมือนเหรียญที่มี 3 ด้าน เขาก็เริ่มมองหาพระผู้เป็นเจ้าองค์ใหม่มาให้เหมาะกับความต้องการ

ดังนั้นจึงไปดึงเอาเทพเจ้าในพระเวทบางองค์มาเป็นเทวาธิษฐานแทนการเสื่อมสลาย เช่น รุทระ ซึ่งเดิมเป็นเทพเจ้าแห่งลมป่า ที่ดุร้ายเกรี้ยวกราดชอบการสังหารดุคนป่าเถื่อน แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นเทพเจ้าที่ใจดี ประทานพรตามที่มนุษย์ปรารถนาทุกประการ อีกทั้งยังเป้นเทพเจ้าแห่งสมุนไพรยารักษาโรคอีกด้วย อันเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของพระศิวะในเวลาต่อมา

มีการดึงเอาพระวิษณุ ซึ่งเดิมเป็นเทพเจ้าชั้นรอง และเป็น 1 ใน 12 เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เข้ามาเป็นเทวาธิษฐาน แทนการทรงอยู่ เพราะ วิษณุนั้นมีรากศัพท์มาจาก "การแผ่ขยาย" อันหมายถึงการเจริญเติบโต

แล้วดึงเอาปรมาตมันพรหมเดิม เข้ามาเป็นเทวาธิษฐาน แทนการเริ่มกำเนิด จากนั้นต่อมาจึงเกิดเป็น "ตรีมูรติ" ขึ้นในยุคฮินดู (ตรงนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากศาสนาพราหมณ์ถูกอิทธิพลของศาสนาพุทธ เข้าแย่งชิงพื้นที่ความเชื่อเดิม ตรงนี้จะไว้กล่าวที่หลัง)

หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการดูดกลืนเอาเทพเจ้าพื้นเมืองต่างเข้ามาเป็นภาคหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ถ้าเป็นเทพเจ้าพื้นเมืองชาย ก็จะถูกจัดไว้เป็นภาคหนึ่งของมหาเทพทั้งสาม แต่ถ้าเป็นเทพเจ้าสตรีก็จะถูกจัดไว้เป็นภาคหนึ่งของเทวีศักติทั้งสาม

อาทิเช่น มารีอัมมันเป็นต้นก็จะถูกดูดกลืนมาเป็นภาคหนึ่งของพระอุมา ซึ่งจะเห็นได้บ่อยครั้งในวัฒนธรรมของอินเดีย โดยใช้คำกล่าวว่า "พระผู้เจ้านั้นมีหนึ่งเดียว แต่พระองค์นั้นแบ่งภาคออกเป็นมากมายตามหน้าที่" หรือ "สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่หนทางเข้าสู่มีหลากหลาย"

นี่เองจึงเป็นที่มาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบันของวัฒนธรรมแห่งชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีบางสายพัฒนาไปถึงการรวมเอา พระยะโฮวาห์, พระเยซู, พระพุทธเจ้า, พระอัลเลาะห์, เหล่าจื้อ, มหาวีระ, คุรุนานัก เข้ามารวมเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าในศาสนาฮินดูด้วยก็มี จนเกิดเป็นนิกายใหม่ๆ ขึ้นมากมาย

อันศาสนาใดไม่มีนิกาย ศาสนานั้นได้ชื่อว่าจะเป็นศาสนาที่กำลังจะตาย ตรงนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าทุกศาสนาต้องมีการพัฒนา ต้องมีนิกาย
[HIGHLIGHT=#ffff00]
[HIGHLIGHT=#ffff00]อันจิตมนุษย์นั้นชอบวิ่งออกไปแสวงหาพระเจ้าจากวัตถุภายนอก[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]จนลืมย้อนมองดูพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง อันสถิตอยู่ในใจเรา[/HIGHLIGHT]
[/COLOR][/HIGHLIGHT][/FONT]

โห
ชอบบบบบบ
ขอบคุณพี่ออส
ก๊าฟฟฟฟฟ
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

 

   เลิศคะพี่ออส  ขอบคุณมาก  ที่มาโพสตอบให้ความรู้เพื่อนๆคะ

    เหมือน อหุรา ของอิหร่าน  ของกับอสุราของฮินดูเลยพี่  อิอิ


    อย่าเป็นเหมือนพี่ยีนส์ละ   เจ้านั้น ชอบเลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ทำฟาม ในเกมส์

  ส่วนพี่ออสเรา  ชอบเก็บผัก  555


เอางี้สิ พี่ชั้นแต่ละคน  เอิ้กๆ 


ไหนๆก็ไหนๆ ได้คุยกันเรื่อโซโรอัสเตอร์แล้ว ใครมีข้อมูลเกี่ยวกะพรรคเม้งก่าในดาบังกรหยกบ้างไหคะ
เห็นว่ามีการบูชาไฟศักสิทธ์และต้นกำเนิดาจากเปอร์ชียร์เหมือนกัน เม้งก้่าในนิยายคือโซโรอัสเตอร์ที่มาเติบโตในจีนใช่ไหคะ

ขอตัวไปฝึกกงเล็บกระดูกขาวก่อนนะคะ
      

อ้อ ขอโทษเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ ที่ทำให้กระทู้แตกไปหน่อย
จากอินเดีย แถกไปอังกฤษ ออกไปกรีก วกกลับมาอิหร่าน แล้วเลยไปจีน
      

Quote from: jaidevima on February 16, 2010, 00:49:54
ไหนๆก็ไหนๆ ได้คุยกันเรื่อโซโรอัสเตอร์แล้ว ใครมีข้อมูลเกี่ยวกะพรรคเม้งก่าในดาบังกรหยกบ้างไหคะ
เห็นว่ามีการบูชาไฟศักสิทธ์และต้นกำเนิดาจากเปอร์ชียร์เหมือนกัน เม้งก้่าในนิยายคือโซโรอัสเตอร์ที่มาเติบโตในจีนใช่ไหคะ

ขอตัวไปฝึกกงเล็บกระดูกขาวก่อนนะคะ
เม่งก่า วิวัฒนาการมาเป็นงานกินเจด้วยนะครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Ming_Cult
http://en.wikipedia.org/wiki/Manichaeism

ศาสนานี้เข้ามาจีนสมัยราชวงศ์ถัง และหายไปจากจีนสมัยราชวงศ์หมิง

ขอบคุณค่ะ สรุปคือไม่ใช่โซโรอัสเตอร์ แต่เป็น มานี
      

 

   เอาอย่างนี้คะ  คุณ Jaidevemaa เพื่อไม่ให้เป็นการแตกประเด็น  และผิดจุดประสงค์หลักของเจ้าของกระทู้ไป


   เราก็มาพูดถึงเทพในศาสนาฮินดู  ที่มีต้นกำเนิด การปรากฎรูป รวมถึง  มีรากเหง้ามาจากคติอื่นๆที่ใกล้เคียงคะ


  อิชั้นว่าการศึกษาเช่นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก  ในหลายๆด้าน  เช่นประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา  คติชนวิทยา  เทวศาสตร์

โบราณคดี  สังคมศาสตร์  และอะไรๆอีกมามายคะ


งั้นเริ่มจากบ้านเราเป็นไงคะ ฮิๆๆ
ไม่นานมานี้ได้เห็นเครื่องรางของขลังชนิดนึงที่ทำให้ถึงกับต้องกุมอกอุทานว่า โอ้วววว

เครื่องรางชนิดนั้นเรียกว่า เหรียญแม่อุมาแปดแหก  เป็นการพยายามโยงเอาเรื่องพระแม่เจ้าเข้ากับเอ่อ....อีเป๋อน่ะคะ

คงไม่ถามนะคะว่าถ้าเป็นอีเป๋อแล้ว ไอ้แปดแหกที่ว่ามันแหกอะไร และใช้ในเรื่องทำนองไหน
      

Quote from: jaidevima on February 16, 2010, 08:34:11
ขอบคุณค่ะ สรุปคือไม่ใช่โซโรอัสเตอร์ แต่เป็น มานี

แต่มันวิวัฒนาการมาจากโซโรอัสเตอร์ครับ



....แปดแหก เอามาให้ชม สำหรับคนที่อยากรู้ว่า ...แปดแหกเป็นยังไง

Quote from: giftzy_69 on February 15, 2010, 21:04:23
พระกาลีปางนี้  แม่บอกว่ารับแต่หนม  ส่วนเลือด งดไว้ก่อน 55555  น่ารักจัง




   


รูปนี้ที่คุณกิ๊ฟเอามา คือรูป ท่านสวามีรามกฤษณะ ปรมหงส์ และภรรยาท่าน

ซึ่งตามประวัติของท่านเล่าว่า ท่านได้พำนักอยู่ ณ เทวาลัยทักษิเณศวร ในกัลกัตตา
ซึ่งเป็นวัดของพระแม่กาลี ตามความนิยมนับถือของชาวเบงคอลีทั่วๆไป
เล่ากันว่า วันหนึ่งท่านได้สวดอ้อนวอน จนเทวรูปพระแม่กาลีในวัดเสด็จลงมาจากแท่น มารับเอาเครื่องบูชาอาหารต่างๆ และให้ภรรยาท่านปรนนิบัติด้วยตนเอง

ท่านมรณภาพ ในปีพ.ศ. 2429 และเป็นครูของท่านสวามีวิเวกานันทะ นักบวชที่มีชื่อเสียงทั่วโลก

เรื่อง คติแบบรวมเข้า ของศาสนาฮินดูนี่ นับว่าเป็นลักษณะเด่นที่สำคัญอันหนึ่งครับ

จริงๆแล้วศาสนาโบราณอื่นๆ ก็มีลักษณะเช่นที่ว่านี้เหมือนกัน แต่ศาสนาฮินดู ออกจะแปลกไปอย่างหนึ่ง คือ
ประการแรกศาสนาฮินดู เป็นศาสนาโบราณ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ตราบในปัจจุบัน ดังนั้นทำให้เกิดความซับซ้อนบวกสับสน ในทางเทวตำนาน พิธีกรรม และความเชื่อ ของเก่าบวกใหม่ ของใหม่ทำเก่า ของเก่าดูใหม่ ฯลฯ

ประการที่สองศาสนาฮินดู ไม่ได้ดำรงอยู่ในฐานะศาสนาโบราณ ที่ยังผูกพันกับสังคมเกษตร และวิถีแบบชนเผ่า แต่ได้ผ่านการปรับปรุง พัฒนาในเชิงความคิด รวมทั้งการปะทะสังสรรค์กับพุทธศาสนาและความเชื่ออื่นๆ จนในที่สุด มีลักษณะของความเป็นปรัชญาความคิดที่ลึกซึ่งสูงส่ง  และยังพยายาม ตีความ"ของเก่า"ให้มีความลึกซึ่งอีกด้วย

กรณี พระทศมหาวิทยาก็เช่นเดียวกัน ผมเข้าใจว่า เดิมคงเป็นอย่างที่อาจารย์ออส และคุณกิ๊ฟ พูดถึง คือการรวบรวมเอาพระแม่ต่างๆมาไว้ในหมวดเดียว เช่นเดียวกับกรณีของเทพเจ้าอื่นๆ เช่น พระคเณศ พระศิวะ ปางต่างๆ
แต่ทศมหาวิทยา ถูกตีความในแง่ปรัชญามากเป้นพิเศษ อาศัยพื้นฐานของ ลัทธิตันตระ ทำให้พระแม่เหล่านั้นมีความหมายมากขึ้น

ทั้งนี้ ตัวลัทธิตันตระเอง ก็มีพื้นฐานมาจากความคิดโบราณเช่นเดียวกัน

ผมเห้นด้วยอย่างยิ่งว่าหากเรา ศึกษาศาสนาจากจุดยืนต่างๆ ทั้ง โบราณคดี จิตวิทยา สังคมศาสนา มานุษยวิทยา ฯลฯ เราก็อาจเข้าใจความเชื่อมโยงกับศาสนาอื่นๆ และเข้าใจความคิดมวลรวมของมนุษยชาติได้

และเราก็จะเข้าใจที่มาของตนเองด้วย


แต่ทั้งนี้ อย่างไรก้ตามศาสนาฮินดู ไม่ได้ดำรงอยู่ในฐานะ "ศาสตร์หรือภูมิปัญญาโบราณ" เท่านั้น แต่ยังดำรงอยู่ในศาสนนาที่มีความเชื่อ หลักศรัทธา และปรัชญาที่ซับซ้อน จุดยืนต่อเทพเจ้า และความเชื่อในศาสนาฮินดูจึงมีต่างๆกัน

กราบขอบพระคุณ พี่ตุล ศรีหริทาสมากๆคะ  สาธุ อิอิ


Quote from: ตรีศังกุ on February 17, 2010, 06:51:22


....แปดแหก เอามาให้ชม สำหรับคนที่อยากรู้ว่า ...แปดแหกเป็นยังไง




  ขำคำว่าแปดแหกเนี่ยละคะ  เอิ้กๆๆๆๆ   


Quote from: giftzy_69 on February 17, 2010, 11:54:24
กราบขอบพระคุณ พี่ตุล ศรีหริทาสมากๆคะ  สาธุ อิอิ

แหมมิต้องกราบขอบพระคุณอะไรขนาดน้าน 555555 สาธุครับ

อุ้ย ตายแล้ว ขอ ยาด้มป้าหน่อยเร้วๆๆๆๆ เห็นแล้วจาเป็นลม.........

 

ยมดม  หรือ  ยาด้มคะ  55555   

จะเป็นลมเมื่อเห็นพระแม่แปดแหกเหรอค่ะ  อิอิ 

จริงๆเห็นชื่อนี้  จำได้ว่ามีพระนามนึงในร้อยแปดกาลี  พระนามนั้นไม่ขอเอ่ยว่าแปลว่าอะไร  แต่ค่อนข้างล่อแหลมเหมือนกันคะ


  พระแม่ติโลตมา



 

   ขออนุญาติลงรูปเพิ่มและกันนะค่ะ  อิชั้นเห็นว่ามีบางรูปที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับพระทศมหาวิทยา  อยู่บ้าง

  แม้บางรูปจะไม่เกี่ยวก็ไม่เปนไรคะ ดูกันสวยๆ  เห็นว่าเป็นบอดรูปคะ  อิอิ



   











   พูดถึงพระมาตังกี  หรือกระกาฬ สรัสวตีที่ถือวีณา  แต่เป็นรูปศรีมาตังกี ใครมีก็เอามาแบ่งกันชมมั้งนะค่ะ

  อิชั้นไม่ค่อยได้เห็นคะ อิอิ


ยังไงก็ขอพรและพระบารมีแห่งพระดักชินกาลี

และพลังแห่งทศมหาวิทยา ทั้งหมด

คุ้มครองปกป้องเพื่อนๆใน hm จ้า







ความหมายของคำว่า ติโลตตมา(ติละ+อุตตมะ)
तिलोत्तमा

"Tila" is the Sanskrit word for sesame seed and "uttama" means better or higher.

Tilottama therefore means the being whose smallest particle is the finest or one who is composed of the finest and highest qualities.

ขอบคุณทุกท่านมากน่ะคับที่มาให้ความรู้ในกระทู้นี้ ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก ขอบคุณจิงๆคับ
โอม สวสิทธิปะรายักกะกายะ นมัช มหาเทพผู้ประทานอำนาจสูงสุดทั้งปวง

ก่อนที่พระแม่ปารวตีได้เป็นมเหสีพระศิวะ พระกามเทพท่านถูกพระศิวะลงโทษโดยการเผาร่างของท่าน ท่านไม่มีร่างแล้วไม่ใช่หรอครับ
พระศิวะลงโทษเพราะทำลายสมาธิ พระกามเทพท่านยิงศรดอกไม้หรือ"ปุษปศร"ใส่พระศิวะ จนพระศิวะโกรธ ลงโทษโดยการเผาร่าง
ภายหลังพระศิวะประทานพรให้พระกามเทพไปเกิดใหม่เป็นลูกของพระกฤษณะ

เพราะพระกามเทพไม่มีร่างแล้ว มีร่างอีกทีก็หลังพระกฤษณะถือกำเนิดขึ้นตามที่พระแม่รตีขอพรพระศิวะ ภายหลังพระกามเทพ(ตอนนั้นมีแต่จิต)ไปเกิดเป็นลูกพระกฤษณะกับนางรุกมินี ชื่อ ปรัทยุมนะ

...

ผมกลับคิดว่าพระแม่เหยียบบนร่างใครก็ได้ อาจเป็นพวกคนธรรพ์กับนางอัปสรา หรือบางทีเป็นพระศิวะกับพระแม่ปารวตีก็ได้นะครับ เพราะอาจเอาคติพระแม่กาลีเหยียบบนร่างพระศิวะ

แต่บางทีก็ว่าเป็นพระกามเทพ กับพระแม่รตี

ขอบคุณคุณหริทาสค่ะ

อย่างคุณหริาสบอกนั่นหละค่ะ ว่าการศึกษาเรื่องนี้มันสนุกตรงที่ได้รู้ ได้เข้าใจความเชื่อของคนในสมัยก่อน ที่เป็นรากเหง้าของความเชื่อปัจจุบัน

ศาสนาฮินดูมีความพิเศษตรงที่เป็นศาสตร์โบราณที่ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน จึงมีทั้งพาร์ทที่เกี่ยวกับความเชื่อยุคดั้งเดิม และพาร์ทที่เป็นปรัชญาขั้นสูงที่ผ่านการคิดการตีความของปราชญ์ตีคู่มาด้วย

เราเองถึงแม้จะสนใจในเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้เป็นนักวิชาการที่สนใจเพื่อเขียนตำราหรือเอาโทเอาเอก แต่สนใจในฐานะผู้บูชา ดังนั้นจึงไม่อาจละเลยในส่วนที่เป็นmystics หรือเทวอำนาจ