Loader

ขออภัยที่ไม่ได้ศึกษากฎครับ

Started by Neosiris, November 02, 2009, 11:02:29

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

   ต้องกราบขออภัย ทุกท่านด้วยครับ ที่ได้แนะนำตัวโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทรงเจ้า ร่างทรงไปโดยไม่ได้ศึกษากฎของสมาชิกครับ

ต้องของอภัยครับ


  ผมอยากทราบเกี่ยวการตั้งหิ้งบูชาเทพฮินดูพร้อมรูปประกอบ  ท่านผู้มีคุณ ท่านใดพอจะทราบ ขอได้โปรดชี้แจ้งให้ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ


       มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หาได้เกิดมาเพื่อการเก็บเกี่ยวไม่ แต่หากเกิดมานั้นไซร้เพื่อแบ่งปันแท้    โอม

ลองเข้าไปศึกษาดูในกระทู้นี้นะครับ http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=835.msg น่าจะพอช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องการจัดหิ้งบูชาได้ไม่มากก็น้อยครับ  
WELCOME TO HINDUMEETING

เรียน สมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ของเว็บ HinduMeeting
ขอความกรุณาทุกท่านศึกษากฎ กติกา มารยาทของเว็บด้วยนะครับ

http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1423.0


ไม่ให้อภัย เพราะไม่เคยโกรธจ้า...... สาธุ นอกจากเกิดมาเพื่อแบ่งปันแล้ว ยังเกิดมาเพื่ออโหสิด้วยจ้า สาธุ สาธุ สาธุ

โอม  โกรธคือโง่ โมโหคือแม่พระกาลีป่าวงับ หุๆ


ขอบคุณที่ให้อภัยมณีจ้า

ถ้าโมโห ก็ไม่ใช่พระแม่ครับ เพราะถ้าแค่โทสะยังระงับไม่ได้

ไม่ว่าพระองค์ใด พวกเราก็คงไปไม่ถึงครับ

แต่คุณกาลิทัส ครับ สาเหตุที่ทำให้เกิดพระแม่กาลีนั้นก็มาจาก การบันดาลโทสะที่ ทรงโกรธต่อพระศิวะมิใช่รึครับ

ในตอนที่พระศิวะทรงใช้จักรตัดเศียรพระกุมารคเนศป่าวครับ

ถ้าข้อความนี้ผิดประการใด ผู้รู้โปรดชี้เเนะด้วยครับ



ปล. ไม่ใช่จะชวนทะเลาะนะครับคุณพี่ แต่อยากจะรู้ความจริงที่ศึกษามาครับว่าผิดถูกประการใดครับ ถ้าล่วงเกินไปอภัยมณีด้วยเด้อครับ 

ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณยีนส์ขรา กรุณาชี้แจงกำเนิดแห่งมหากาลีมาตา ด้วยเจ้าคร่า.....เร้ว อีกสักทีนะคะ คุณNeosiris ขา ที่คุณบอกกล่าวมาอ่ะ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระแม่ทรงเสียพระทัยที่ทรงเสีย พระคเณช บุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระนาง จึง ทรงสำแดงฤทธิ์ ให้เห็น เป็น ปางค์ ต่างๆ ของพระอุมา ทั้ง 9 ปางค์ ใช่ป่ะคะ ส่วนกำเนิดพระศรีมหากาลี รอให้คุณยีนส์มาแถลงนะคะ ขอบคุณค่ะ

จำได้ว่าเท่าที่ทราบนะครับ

ภาคแห่งพระแม่กาลีนั้น เกิดมาจากมีอสูรตนหนึ่ง ((จำไม่ได้แล้ว เอาคร่าวๆ แล้วกันนะครับ)) ได้รับพรให้ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารได้ เพราะเมื่อใดก็ตามโลหิตตกลงสู่พื้นปฐพี ก็จะงอกเกิดเป็นอสูรตนใหม่ขึ้นมา เหล่าเทพทั้งปวงเข้าต่อสู้กับอสูรนั้นแต่ก็ไม่สามารถต้านทานจำนวนเหล่าอสูรไว้ได้ ดังนั้นแล้วร้อนถึงพระแม่ละครับ จึงทรงเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญตบะ เพื่อหาวิถีทางจำกัดอสูรนั้น และได้ให้พระขันทกุมารทรงเฝ้าบริเวณด้านหน้าที่พระองค์บำเพ็ญตบะอยู่ แต่แล้วพระศิวะด้วยความร้อนพระทัย จึงเดินทางไปพบพระแม่ครับ เข้าหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะพระขันทกุมารทรงเฝ้าอยู่ ตามดำรัสของพระมารดา เท่านั้นเอง พระศิวะโกรธพระขันทกุมารที่ทรงห้าม จึงต่อสู้กัน จะเรียกว่าต่อสู้คงไม่ถูกนัก พระขันทกุมารได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามอยู่แล้ว แต่กลับไม่สุ้พระบิดา ได้แต่ตั้งรับเอาไว้ครับ ส่วนบิดา ฮ่าๆๆๆ โกรธครับ เอาเป็นอาตายเลยทีเดียว สุดท้ายเวลาผ่านไปหลายวัน ขณะนั้นพระขันทกุมารเพรี้ยงพร้ำ พระศิวะกำลังจะสังหารแต่แล้ว ก็ต้องตกใจสุดขีดครับ ที่เห็นพระแม่มหากาลี พระองค์ดำ พระองค์ใหญ่ น่าหวาดกลัว ผงะเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เกิดมาจากโทสะครับ พระองค์บำเพ็ญตบะเสร็จพอดี แหะๆๆๆๆ

คราวนี้ถึงคราวอสูรครับ พระองค์ฟาดฟัน พอเลือดอสูรหยดพื้นดินก็เกิดเป็นอสูรตัวใหม่ คราวนี้พระองค์ได้อุบายใหม่ครับ พอฟันคอเสร็จก็แลบลิ้นดูดเลือดอสูรจนหมด ไม่เหลือเลือดหยดลงปฐพีครับ ฆ่าแบบนี้จนหมดครับ จึงเป็นตำนานวาทำไมพระองค์จึงมีรูปลักษณ์ต้องแลบลิ้น และบางคนก็เชื่อว่าพระองค์ชอบดื่มเลือด ((จริงๆ แล้วคงจำเป็นมากกว่าครับ))

ประมาณนี้ครับ

ขออนุญาตินิดนึงค่ะ ผิดถูกประการใด ขออภัยด้วยนะคะ
   เรื่องราวของพระแม่มีมากมาย แต่ละตำราก็ว่ากันไปต่างๆนานา
ตามศรัทธาของแต่ละท่าน แต่อยากจะให้ทุกท่าน อ่านแล้วพิจารณา
ว่าสมเหตุผลหรือไม่นะคะ ยกตัวอย่างเช่น
   บางตำรา กล่าวว่า พระแม่ทรงพิโรธ ที่พระศิวะตัดเศียรพระพิคเณศ
ขอให้พวกเรามองสักนิดนึงงว่าา.......
   แม่...ที่รู้ว่า ลูกโดนทำร้ายย อารมณ์ของแม่ตอนนั้นจะเป็นอย่างไรคะ
ถ้าถามคนที่เป็นแม่ทุกคน จะตอบเหมือนกันว่า เสียใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
จะบอกว่าโกรธ คนๆนั้น คงไม่ใช่แม่แน่นอน เช่นเดียวกับพระแม่ ท่านก็เสียใจ
ที่ต้องสูญเสียลูกทั้งคน คงร่ำไห้แทบขาดใจ 2มือของแม่ คงเฝ้ากอดประคอง
พยายามทำทุกอย่างให้ลูกฟื้นคืนสติ  และด้วยบุญญาธิการของท่าน จึงบันดาล
ให้เกิดขึ้นเป็น10-20กร มองเห็นภาพกันมั้ยคะ
   และที่บอกว่า พระแม่โกรธพระศิวะ ขอให้ท่านนึกให้ดีๆ ลึกๆ แล้วจะเข้าใจว่า
พระแม่มีความรัก เคารพ และศรัทธาพระศิวะอย่างเปี่ยมล้น ภรรยาที่มีจิตเช่นนี้ จะโกรธ
สามีได้หรือคะ คงน้อยพระทัยมากกว่านะ  ในตำนานนี้ท่านได้แฝงปริศนาธรรมไว้2เรื่อง
คือ
1.แม่ผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมรักลูกดั่งดวงใจ พยายามทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุข หรือพ้นทุกข์
จึงบันดาลให้เกิดเป็นกรมากมาย เพื่อนวดเฟ้น หรือประมาณว่าทำๆๆๆๆๆให้ลูกฟื้นให้ได้
2.ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนโยน อ่อนไหวง่าย เมื่ออารมณ์แปรปรวน ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
จากหญิงที่เคยสวยงาม เมื่ออารมณ์ต่างๆเข้ามากระทบ ก็อ่อนไหวไปตามอารมณ์นั้นๆ
เช่นตอนพระแม่ปราบอสูร เมื่อทรงเหน็ดเหนื่อย และพิโรธ ทำให้รูปลักษณ์ของท่านเปลี่ยนไป
กลายเป็นดุร้ายและน่ากลัวได้
   คนที่มีแฟน ลองสังเกตแฟนตัวเองดูนะคะ เวลาผู้หญิงทำงานเหนื่อยๆ เป็นไงคะ
หน้าตาเหี่ยว เคร่งเครียด บางคนผมเฝ้ากระเซิงไม่สวยเหมือนปรกติใช่ป่ะคะ
ยิ่งตอนโกรธเนี่ยย....คงไม่ต้องบอกว่า หน้าตาตอนนั้นจะเป็นเช่นไร....5555
คุณผู้หญิงทั้งหลายย ขอให้เป็นข้อคิดละกันค่ะ
    เวลาที่เราศึกษาเรื่องเทพ อย่าคิดว่าไกลตัวจนเข้าไม่ถึง ให้ลองคิดว่า
ถ้าท่านเป็นพ่อ-แม่ ของเรา  ในแต่ละเหตูการณืที่เกิดขึ้น จะเป็นเช่นไร
แค่นี้ก็จะเข้าใจ หนังสือหรือตำนาน เขาเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนุก น่าติดตาม
ถ้าเขียนด้วยธรรมะล้วนๆ อ่านๆไปก็น่าเบื่อ เลยต้องมีการเสริมแต่งเพื่อให้ได้อรรถรส
ในเรื่องของเทพก็เช่นเดียวกันค่ะ ทุกเรื่องของแต่ละ่ท่าน แฝงคติธรรมให้เราคิดเสมอ
ใครอ่านแล้วคิดได้ ก็มองเห็นแสงสว่าง ใครอ่านแล้วคล้อยตามกก็สุดแต่บุญของแต่ละบุคคลค่ะ
หวังว่า จะเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆให้กับสมาชิกได้บ้างนะคะ ขอบคุณค่ะ


กำเนิดพระแม่มหากาลี

อสูรศุมภะและอสูรนิศุมภะ กษัตริย์อสูรพี่น้องได้ขึ้นมาจากบาดาลมาเพิ่มพลังอำนาจด้วย
ได้พรจากพระพรหมในลักษณะเดียวกับมหิษาสูรในกลุ่มอสูรมียอดฝีมืออยู่หลายตนโดย
เฉพาะมาธูอสูรเป็นอสูรที่เคยได้รับพรจากพระศิวะให้มีชีวิตที่เป็นอมตะแม้เลือดหนึ่งหยด
หล่นถึงพื้นดินจะให้กำเนิดอสูรเป็นจำนวนมากแบบไม่มีวันสิ้นสุด ต่อมาอสูรกลุ่มนี้เที่ยว
รุกรานอสูรกลุ่มอื่นและลุกลามสู่แดนสวรรค์ของเหล่าเทวดา จนได้โอกาสเอาสวรรค์
เป็นเมืองขึ้นได้ปกครองสวรรค์อยู่นาน 1,000 ปีเต็ม จนบรรดาเทวดาที่ถูกขับไล่จากสวรรค์
ได้จัดพิธีบวงสรวงต่อพระแม่ภควตี เป็นอีกพระนามหนึ่งของพระแม่ศักติ-ศิวา ทุรคาเทวีอุมา
-ปราวตี อัมพิกา)เพื่อให้พระแม่ประทานพรในการช่วยปราบอสูรร้ายตนนี้พระแม่อุมา-ปราวตี
ทรงแบ่งภาคเป็น พระแม่กาลิกาหรืออีกพระนามหนึ่งว่า พระแม่กาลราตรีมีผิวดำน่ากลัวด้วย
มายาอันยิ่งใหญ่ของพระแม่ศักติ-ศิวา ได้แสดงรูปโฉมงดงามเป็นพระแม่อัมพิกา ขี่สิงห์โตเป็น
สัตว์พาหนะเสด็จสู่สนามรบโดยมีพระแม่กาลิกา เสด็จตามไปด้วย ฝ่ายอสูรเห็นเข้า ก็บังเกิดความ
รักใคร่ท่ามกลางสถานการณ์ในสนามรบการต่อสู้ในสนามรบยังผลให้อสูรล้มตายเป็นจำนวนมาก
จนพระแม่อัมพิกาเริ่มบันดาลโทสะและบังเกิดพระแม่อีกปางหนึ่งพวยพุ่งออกจากหน้าผากของ
พระแม่อัมพิกา เรียกขานพระแม่ปางนี้ว่า "มหากาลี"...
พระแม่มหากาลี เทพธิดาแห่งความตาย ห่มหนังเสือ คลุมพระองค์ด้วยหนังช้าง ทรง
มาลัยกระโหลกมนุษย์ พุงแห้งปากกว้างใหญ่ ถือบ่วงบาศก์ ตรีศูลเป็นอาวุธ รูปร่างดำ
สนิท พระแม่กาลีได้จับอสูร ช้าง ม้า วัว ควาย และ อาวุธทั้งหลาย ในสนามรบเข้าสู่
ปากและกลืนสู่ท้องที่แห้งแบน เล่นเอาอสูรหวาดกลัวกระจัดกระจายหนีไปคนละทิศ
ละทาง ฝ่ายอสูรพี่น้องไม่ยอมแพ้ ได้บัญชาให้มาธูอสูรเข้าสู่สนามรบ เพื่อหมายจะ
สยบพระแม่กาลี การต่อสู้ในคราวนี้ ทวีความเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม เพราะบรรดาฝ่าย
เทพสตรี อันเป็นชายาแห่งมหาเทพทั้งหลาย เสด็จมาช่วยเหลือในภาคอิทธิฤทธิ์ไม่ว่า
จะเป็น นางพราหมณี พระชายาแห่งพระพรหม พระมหาวีระลักษมี ชายาแห่งวิษณุ
เทพ นางศังกรี ชายาแห่งพระรุทรเทพ(พระศิวะ) พระนางเถามารี ชายาแห่งพระ
ขันธกุมาร อินทราณีชายาแห่งพระอินทร์ พระนางยมนา ชายาแห่งพระยมราช ฯลฯ
  ซึ่งในการรบครั้งนี้สร้างความยุ่งยากให้กับพระแม่กาลีมาก เพราะทันทีที่เลือด ของ
มาธูอสูรหยอสู่พื้นดิน ก็กลายเป็นอสูรเกิดขึ้นมาอีกนับพันนับหมื่นเพิ่มเป็นทวีคูณ ใน
ที่สุดพระแม่มหากาลีได้ทำสมาธิถึงพระศิวะเพื่อให้ช่วยไขความกระจ่าง พระศิวะเทพ
บอกแก่พระนางมหากาลีว่าอสูรตนนี้ได้พรจากเราให้มีชีวิตเป็นอมตะวิธีแก้เคล็ดมีประ
การเดียวคืออย่าให้เลือดของอสูรตกถึงพื้นดินแม้แต่หยดเดียว ก็จะชนะศึก พระแม่
มหากาลี จึงสนองพระบัญชา นางวิ่งไปรอบสนามรบเพื่อกัดกินอสูรและดื่มเลือดจน
หมดสิ้นจนสังหารอสูรมาธูให้สิ้นชีพได้ในที่สุด
  ท้ายสุดอสูร 2 พี่น้องต้องออกรบด้วยตนเอง พระแม่กาลิกาใช้ขวานตัดมือ ตัดขา
และตัดหัวจนอสูรหมดสิ้นอิทธิฤทธิ์ สิ้นชีพในที่สุด....
พระแม่กาลีดีใจที่อสูรสิ้นซาก พระนางวิ่งเต้นไปทั่วจักรวาลจนสั่นสะเทือนเทวดา
มนุษย์ และสัตว์น้อยใหญ่ล้มตายกันด้วยอำนาจแห่งพระบาทของพระนางกาลี เป็นอัน
มาก ความเดือดร้อนนี้ เทพเทวดาทั้งหลายได้เข้าเฝ้าพระอิศวร ให้ช่วยคิดหาหนทาง
ช่วยเหลือจักรวาล ด้วยพระศิวะเองก็ยังทรงกลัวในความดุดันของพระนางกาลี แต่พระ
องค์ทรงทราบจุดอ่อนของนาง
เนื่องจากพระนางกาลีนั้นมี 2 ดวงจิต คือ ดวงจิตหนึ่ง เป็นดวงจิตแห่งพระแม่อุมา-
ปราวตี ซึ่งมั่นคงและภักดีต่อพระศิวะเทพ ส่วนอีกดวงจิตหนึ่งเป็นของนางกาลี ซึ่ง
อวตารมาในรูปลักษณ์โหดร้าย น่ากลัว เพื่อปราบอสูรด้วยเหตุนี้เองพระศิวะมหาเทพ
จึงได้อุทิศร่างของพระองค์เพื่อรองรับแผ่นดินไว้ คราใดที่พระนางมหากาลีจะกระทืบ
เท้าลงก็จะยั้งไว้เพราะเห็นร่างของพระสวามีอันเป็นที่รักนอนทอดพระองค์อยู่ซึ่งเรื่อง
นี้ ถ้าจะวิเคราะห์กันในรายละเอีอดแล้ว ย่อมมีนัยยะบ่งบอกว่า แท้จริงแล้วธาตุคู่ที่อุป
มาดั่งสุริยัน-จันทราแห่งจักรวาลตามลักษณะทวิลักษณะที่ยึดถือกันนั้นอาจแปรเปลี่ยน
ได้แทนที่พระศิวะเทพ ซึ่งเป็นฝ่ายบุรุษจะเป็นสุริยัน กลับแปรธาตุเป็นจันทรา เพราะ
หนึ่งสัญญลักษณ์พระจันทร์นั้นเป็นปิ่นปักบนมุ่นมวยผมของพระศิวะ สอง เศียรพระ
ศิวะมีพระคงคาซึ่งกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียแ ละสาม การนอน
ทอดพระองค์นั้น เป็นสัญญลักษณ์ของฝ่ายรองรับซึ่งถือเป็นธาตุในฝ่ายจันทราทั้งสิ้น
ในขณะที่ฝ่ายพระนางมหากาลีนั้นได้ถูกสลับธาตุเป็นฝ่ายสุริยัน ธาตุไฟเป็นฝ่ายกระ
ทำ นางเกิดที่ภูเขาหิมาลัยสำเร็จมรรคผลโดยการกระโดดลงกองไฟ อวตารทั้งหมด
ล้วนเป็นสัญญลักษณ์ของการรบพุ่ง เป็นสตรี(สตี) คนแรกที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือจักร
วาล ดังนั้น พระนางอุมาจึง เป็นเทพเจ้าพระองค์เดียว ที่สามารถแปรเปลี่ยนธาตุเป็น
ฝ่ายรุกและฝ่ายรบ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมลัทธิบูชาพระนางในฐานะของศักติ จึงได้
รับความนิยมมาก
ในคราวนั้น พระภควตี มิอาจข่มพระทัยเข้าสู่สมาธิไปในศิวะโลกได้พระนางได้เข้า
เฝ้าพระแม่ศักติ-ศิวาซึ่งเป็นภาคสมบูรณ์เพื่อขอให้ทรงมีบัญชาต่อคำทูลขอของเหล่า
ทวยเทพทั้งหลาย พระนางทรงรับปากที่จะดำเนินการช่วยเหลือเทวดาเหล่านั้น ทรง
มีพระบัญชาให้พระแม่อัมพิกา ปางอวตารแห่งพระองค์ ไปแจ้งข่าวอันเป็นมงคลต่อ
เทวดาทั้งหลาย
พระแม่อัมพิกา แจ้งให้เหล่าทวยเทพทราบว่า พระแม่ศักติ-ศิวาจะทรงแบ่งภาคเป็น
พระแม่กาลิกาหรืออีกพระนามหนึ่งว่าพระแม่กาลราตรี มีผิวดำ น่ากลัว ด้วยมายาอัน
ยิ่งใหญ่แห่งพระแม่ศักติ-ศิวา ได้แสดงรูปโฉมงามเป็นพระแม่อัมพิกา ขี่สิงห์โตเป็น
สัตว์พาหนะเสด็จสู่สนามรบ โดยมีพระแม่กาลิกา เสด็จตามไปด้วย
พระแม่ภควตี(พระแม่อุมาปางหนึ่ง)ได้รับสั่งให้อสูรวางอาวุธและกลับคืนสู่โลกบาดาล
เสีย หากยังดื้อรั้นก็จะประหารให้สิ้น ด้วยความหยิ่งทะนง ของอสูรจึงเริ่มต้นด้วยการ
ยิงธนูใส่พระแม่ แต่พระนางทรงปัดป้องไว้ได้
ในที่สุด พระแม่กาลิกา ทรงใช้ขวานตัดมือข้างซ้ายของอสูรออกจากร่าง แต่อสูรก็
ยังเข้าต่อสู้กับพระแม่อย่างห้าวหาญ ด้วยการใช้ตะบองในมือฟาดใส่มือพระแม่ พระ
แม่ทรงใช้ขวานจามแขนข้างขวาอีกข้างอสูรไร้แขน กลับใช้เท้าที่เหลืออยู่ไล่ถีบพระ
แม่ พระแม่จำใจตัดขาทั้งสองข้างของอสูรเสียตามด้วยการใช้ขวานตัดศรีษะอสูรออก
จากร่าง อสูรตนนั้นเสียชีวิตทันที ฝ่ายบริวารอสูรเห็นกษัตริย์อสูรของตนเสียชีวิต ต่าง
ก็หนีไม่คิดชีวิตกลับสู่เมืองบาดาลตามเดิม
การบูชาพระแม่กาลีนั้นน้ำแดงเป็นสิ่งสำคัญเพราะน้ำสีแดงนั้นคือพลังชีวิตที่เคลื่อน
ไหว อุปมาดั่งโลหิตอสูร ดอกไม้ที่ควรแก่การสักการะบูชานั้นคือ สีแดง อาจจะเป็น
คอกชบาสีแดง หรือ ดอกกุหลาบสีแดงก็ได้ ส่วนธูปหอม กำยาน ถวายประทีป และ
การอารตีไฟ เป็นเรื่องปกติที่ถือปฏิบัติของชาวฮินดูมานานแล้ว และเมื่อเทศกาลสำ
คัญหรือวันอันเป็นมงคลก็ควรจะจัดวาง ผลไม้มงคลถวายต่อพระแม่เจ้า หรือถ้าบาง
คนเชื่อว่าโปรดกิจกรรมทางโลก อาจแทนสัญญลักษณ์ด้วยศิวลึงค์ตั้งตรงหน้า หรือ
ถวายของบูชา อาจจะเป็นมะเขือยาวสีม่วงก็ได้เช่นกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ บทสวดสรร
เสริญต่อพระนางเพื่อให้น้ำพระทัยของพระนางเยือกเย็นลง....

นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว

หนังสืออ้างอิง...ตำนานมหาเทพฉบับสมบูรณ์
ตราปมีลมหายใจ  ย่อมมีเวลาสมาธิ

ชื่นใจทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงประวัติพระมหามาตา ขอบพระคุณคุณทิวลิปสีม่วง และคุณพี่กุหลาบขาว กะ คุณ ยีนส์ มากมายค่ะ ที่กรุณานำประวัติพระแม่มาลงให้ได้ทราบกันอีกครั้ง  สาธุ ขอพระมหามาตา จงเจริญ

เข้าใจถูกซะที ขอบพระคุณทุกท่านครับผม

  โอมเทพเทวารักษาและประทานพรทุกท่านครับ