Loader

การสักการะเทพเจ้า

Started by Om Sakthi Parasakthi, February 21, 2010, 16:45:41

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

นมัสเต พี่น้องชาว HM ทุกท่านคะ

วันนี้พิมมี่อยากจะนำเสนอหลักการบูชาพระเป็นเจ้า ในสไตล์ที่พิมมี่ทำอยู่ บอกตรงๆนะคะ ว่าพิมมี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่คะ ไม่ใช่พราหมณ์หรือคุรุที่รู้เรื่องมากแต่ประการใด แต่ศรัทธาของพิมมี่เกินวัยวุฒิแน่นอนคะ อิอิ

การบูชาในแบบฉบับพิมมี่นั้น จะเน้นการบูชาแบบปุถุชนคนธรรมดาคะ ข้อเน้นคะว่าปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้บูชาอิงตามลัทธิเทวะมาบอก หรือ
นิมิตต่างๆ รวมไปถึงการบูชาแบบพราหมณ์คะ พิมมี่ว่าคนไทยสมัยนี้นะคะ มักจะบูชาเทพเจ้าเกินรูปแบบฐานะและสถานภาพของตนคะ (ขอโทษนะคะที่แรงไปแต่ตามความรู้สึกจริงๆคะ ผิดยังไงก็ขออภัยมาด้วยนะคะ)


การบูชาแบบพิมมี่ ก็มีดังนี้คะ
๑ พิมมี่จะไม่ทำพิธีหรือบูชาอะไรเกินจากสถานภาพความเป็นปุถุชนธรรมดาคะ แค่ร้องเพลงสรรเสริญ อารตรี รวมไปถึงการถวายอาหารต่างต่อองค์เทวะ
๒ พิมมี่จะไม่ทำโฮมัม หรือการก่อกองกูณท์ในบ้านคะ เพราะพิมมี่เชื่อว่า บ้านคือบ้านคะ วัดคือวัด
๓ ในสถานะตอนนี้พิมมี่เองยังเป็นนักศึกษาที่กำเรียนหนังสืออยู่ ยังต้องขอตังค์จากคุณพ่อคุณแม่ พิมมี่จะบูชาท่านด้วยสิ่งของที่หาได้ง่ายมากคะ ซึ่งในการบูชาแต่ละครั้งของพิมมี่ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลยคะ หากพิมมี่พอมีกำลัง และไม่เดือดร้อนตัวเองรวมถึงบุคคลรอบข้าง พิมมี่ถึงจะจัดหาซื้อดอกไม้ที่สวยงามและดูแล้วพิเศษกว่าดอกไม้ที่พิมมี่บูชาในเวลาปกติคะ เช่น พิมมี่เองจะปลูกดอกไม้ และนำดอกไม้นั้นมาบูชาคะ ส่วนตัวพิมมี่เอง ก็บูชาพระแม่ดุรกาคะ ก็จะปลูกสะเดาไว้ในบ้าน และจะนำใบของสะเดามาทำเป็นมาลัยถวายพระแม่เทวีของพิมมี่คะ ส่วนผลไม้ พิมมี่ปลูกกล้วยไว้ในบ้านคะ เพราะหลังบ้านเป็นสวน ก็เลยตัดลงมาบูชาบ่อยๆ
๔ พิมมี่ไม่เชื่อเด็ดขาดว่า ผลไม้มงคลต่างๆไหว้ขึ้นมาแล้วจะทำให้ชีวิตของคนเรานั้นดีขึ้นได้คะ แต่พิมมี่เชื่อว่า ถ้าเราบูชาด้วยจิตใจที่เป็นมงคล ไม่คิดอกุศล และดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท รวมถึงคิดดีประพฤติดี ปฎิบัติดี พิมมี่เชื่อว่าชีวิตของเราจะเป็นมงคลยิ่งกว่าชื่อผลไม่ที่เราบูชาอีกคะ
๕ พิมมี่ไม่เชื่อคะว่าการพกผ้ายันต์ ของขลังต่างๆรวมไปถึง วัตถุมงคลอะไรก็แล้วแต่จะสามารถกันสิ่งชั่วร้ายหรือความหายนะได้คะ พิมมี่เชื่อว่า
หากเรามีสติ กระทำแต่ความดี และไม่คิดร้ายกับใคร อานิสงค์แห่งความดีนี้จะเป็นเกาะปกป้องเราคะ ไม่จำเป็นต้องไปหาสิ่งของเหล่านั้นมาครอบครองไว้ให้เมื่อยแลเกะกะ แต่ถ้ามีไหว้เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และ เพื่อความเป็นมงคล พิมมี่ถือว่าเป็นสิ่งดีคะ สรุปนะคะ ถ้าคุณทำดี คิดดี ความเลวร้ายก็มาครอบงำคุณไม่ได้หรอกคะ
๖ พิมมี่ไม่ต้องไปแสวงหาหรือไปวัดหรือสำนักต่างๆคะ อาจจะไปบ้าง เพื่อสักการะ แต่จะไม่ไปในรูปแบบของการหวังผลจากเทพเจ้าคะ จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาเทวะจากไหนเลยนคะ แค่เราทำดี คิดดี หัวใจเราเนี่ยแหละ ก็คือวัดที่ยิ่งใหญ่สวยงามแห่งพระเป็นเจ้าแล้วคะ
ดวงประทีปของพระองค์ก็จะถูกจุดขึ้นมาตลอดเวลาคะ 
๗ พิมมี่เคยอ่านข้อความของผู้ที่ศรัทธา ในศาสนาฮินดูท่านนึงคะ ว่า ก้อนหินก็คือพระคเณศ และ ต้นหญ้าก็คือพระแม่ศักติ ทำให้พิมมี่ทราบว่าพระเป็นเจ้าสถิตกับเราทุกที่คะ ไม่จำเป็นต้องไปหาเทวรูปแพงๆมาบูชา แค่มีศรัทธา ก็งามยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้แล้วหละคะ
๘ ในบางครั้งที่พิมมี่ขาดทรัพย์ในการบูชาพระเป็นเจ้า พิมมี่ จะแค่ยกมือไหว้ และสวดพระนามของพระแม่อย่างตั้งใจคะ พิมมี่เชื่อว่า พระองค์คงไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากความรักของลูกที่มีต่อแม่หรอกคะ
๙พิมมี่จะไม่ขอผลตอบแทนจากเทวะ คะ พรที่พิมมี่ของทุกครั้งคือ สติ ปัญญา อุเบกขา และความสัมเร็จคะ ถ้าเรามีสี่อย่างนี้บวกกับการทำมาหากินอย่างสุจริต เราจะมีชีวิตที่ดีโดยไม่ต้องไปขอพรแบบหวังผลประโยชน์เลยคะ

นี่คือหลักการบางส่วนของพิมมี่ในการบูชาเทพเจ้า แบบนักศึกษา แต่ศรัทธายิ่งใหญ่ และยังต้องใช้เงินพ่อแม่อยู่ ยังไงก็ลองนำหลักการไปใช้หรือประยุกต์ดูนะคะ อีกอย่างพิมมี่ขอสนับสนุน ข้อความของคุณพี่เกียร์ไนท์คะ บ้านคือบ้าน วัดคือวัด บ้านจะแต่งยังไงจะให้เป็นเหมือนวัดก็คงไม่ได้หรอกคะ

อยากให้ทุกท่านช่วยแนะนำแนวทางของพิมมี่ เพื่อที่พิมมี่จะได้ปรับปรุงและแก้ไขในข้อบกพร่องนะคะ ขอบพระคุณคะ
[HIGHLIGHT=#ffc000]หากมีศรัทธาแล้วไซร้ ก็ควรทำให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี  เพื่อศรัทธาที่มีนั้นจะได้มีค่า และหาข้อติเตียนไม่ได้[/HIGHLIGHT]

ขอโทษนะคะ ภาษาไทยผิดเยอะมาก เด๋วจะมาแก้ไขให้นะคะ
[HIGHLIGHT=#ffc000]หากมีศรัทธาแล้วไซร้ ก็ควรทำให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี  เพื่อศรัทธาที่มีนั้นจะได้มีค่า และหาข้อติเตียนไม่ได้[/HIGHLIGHT]

February 21, 2010, 17:52:28 #2 Last Edit: February 26, 2010, 17:08:20 by แต่ก็มิได้นำพา
ถ้าขอพรหรือหวังผลอะไรที่สำคัญมากๆ เช่น ขอให้ร่ำรวย มีเงินใช้ คนที่ขอต้องทำตัวตรงข้ามกับสิ่งที่ขอ ทำตัวสงบเสงี่ยม

ในเรื่องราวเทพนิยายต่างๆ เทพองค์นั้น อสูรตนนี้ได้พร ไม่ใช่แค่นั่งพนมมือไม่กี่ชั่วโมงแล้วขอนั่นขอนี่
แต่กว่าจะได้พร เกือบเอาชีวิตไปเสี่ยง ถือศีลเป็นวันๆ บางคนถึงกับทรมานตนเอง จนเทพลงมาประทานพร

ตัวอย่างต่อไปนี้คือผู้ได้รับพรจากพระเจ้า

-ท้าวภคีรถ
ยอมทรมานตนเอง เพื่ออัญเชิญพระแม่คงคาลงมาโลกมนุษย์ เพื่อชำระบาปให้บรรพบุรุษของตนเองที่ล่วงเกินฤษีกบิล(พระวิษณุอวตาร) และเชิญพระศิวะมารองรับพระแม่เพื่อไม่ให้โลกสะเทือน

-ทศกัณฐ์ ยอมตัดหัวทั้ง10ของตนเองเพื่อขอพรพระพรหม สุดท้ายพระพรหมต้อง(จำใจ)ประทานพรให้ แต่ไม่ได้ให้พรว่ามนุษย์ฆ่ามันไม่ได้

-พราหมณ์สุทามา เพื่อนเก่าของพระกฤษณะ ไปหาพระกฤษณะอย่างเจียมตนเองมาก เจียมตัวสุดๆ แต่พระกฤษณะท่านต้อนรับอย่างดีมาก ทั้งๆที่พราหมณ์สุทามาไม่ได้ต้องการการต้องรับที่ดีมากมาย แต่เนื่องจากสุทามาพราหมณ์เดินทางมาไกลมากๆ เพื่อมาเยี่ยมพระกฤษณะเท่านั้น และแกไม่มีความโลภ ท่านเลยประทานพรให้มีความร่ำรวยอย่างที่สุด

-ชยัทรัถ กษัตริย์แคว้นสินธุ ผัวนางทุหศาลาในมหาภารตะ ลักพาตัวนางเทราปทีจากพี่น้องปาณฑพ สุดท้ายพี่น้องไปตามนางกลับมาได้ ถูกลงโทษโดยการโกนหัวกษัตริย์แคว้นสินธุ และสร้างความแค้นอย่างที่สุด และทรมานตนเองเพื่อขอพรพระเจ้า จนพระเจ้าเสด็จมาพบ มันขอพรที่เทพไม่อยากประทานพรข้อนี้ให้ คือขอให้ฝ่ายเการพรบชนะ ท่านเลยประทานพรแต่ให้เงื่อนไขว่ารบชนะแค่ครั้งเดียว มันก็บอกว่าครั้งเดียวก็ดีแล้ว และก็เป็นไปตามนั้น.....ฝ่ายเการพฆ่าแท่ทัพคนสำคัญของฝ่ายปาณฑพได้

และอีกหลายๆคน ถึงแม้เป็นอสูรก็ตาม
กว่าจะได้พรมาแต่ละครั้ง ไม่ใช่แค่สวดมนต์ หรือมานั่งแต่งองค์ทรงเครื่องเทวรูป แบบนี้ขอ10อย่าง ท่านคงจะให้แค่2-3อย่าง
ถ้าเปลี่ยนมาเป็นถือศีล นุ่งผ้าขาว กินมือเดียวหรือ2มื้อ ขอ10อย่าง ท่านอาจจะใจดีให้สัก8-9-10อย่าง หรืออาจจะให้มากกว่านี้

February 21, 2010, 18:45:53 #3 Last Edit: February 21, 2010, 18:49:44 by sacred avatar
อ่านแล้วรู้สึกดี ค่ะ ยังมีคนในสังคมที่บูชพระเป็นเจ้า ตามแนวคิดเจ้าของกระทู้ ถือ ว่า ดี ถึงบางข้อ ดิฉันอาจมีความคิดต่างไปบ้างแต่ ที่จริงแล้ว ก็ แนวทางศรัทธาจากใจเหมือนกัน

หมายเหตุ ความคิดส่วนบุคคลไม่ว่ากันนะค่ะ

ขอพูด ถึง คุณ ตรีศังกุ บางข้อหน่อยนะค่ะ เราอาจมีความเห็นที่ต่างกันบ้างคงไม่ว่ากัน

ดิฉันบูชาพระเป็นเจ้าตามแบบความเชื่อแล้วศรัทธาในใจ จึงมีความคิดเห็นบางอย่างที่ต่างกัน เพราะดิฉันไม่เคยบูชาพระเจ้าในรูปแบบหนังภารตะ หรือ ตามตำราที่ว่าด้วยหลายอย่าง เพราะตามความจริงของมนุษย์แล้วไม่ต้องตัดคอถึง10คอค่ะ แค่ ปลายมีดกีดโดนเนื้อตรงคอ ก็สะกดคำว่า ตาย ได้แล้วค่ะ เพราะ ไม่เชื่อเรื่องที่พระองค์จำใจให้พร แต่ พระองค์ต้องทรงเห็นจิตใจแห่งศรัทธา ณ.ตอนนั้น และ ทุกครั้ง เพราะคงไม่มีใครหลอก พระเป็นเจ้าแห่งศรัทธาได้ 


เพราะฉนั้น ดิฉัน การบูชาทุกครั้งทำด้วยความบริสุทธิ์ แต่จะบอกว่า ไม่เคยขอพรนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะดิฉันคือหนึ่งคนที่ไม่โกหกตัวเอง ดังนั้น ดิฉันจึงขอพรทุกวัน เพราะ ดิฉันจะกล่าวต่อหน้าศรัทธาของดิฉันว่า(ขออนุญาต นะค่ะ เพราะ ต้องขอยกตัวอย่างคำพูดคนๆนึงที่มีศรัทธากับพระเจ้าเหมือนกัน แต่ มีแนวคิดที่ต่างค่ะ)

ลูกเป็นคนๆนึงที่มีกิเลศตัณหาเยี่ยงมนุษย์พึงมี พระองค์คือความเป็นธรรม พระองค์คือสัจจะ พระองค์ทรงมีรอยยิ้มซึ่งเปรียบเสมือนพรติดตัวอยู่อย่างตลอดเวลา เพราะฉนั้น พระองค์ทรงเห็นด้วยพระองค์เองโดยไม่ต้องมีใครตัดสินหรือชี้นำพระองค์ พระองค์ คือ ต้นกำเนิดของคำว่า พ่อ และ แม่ ดั่งนั้น คำว่าผู้ให้และเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ลูกปฎิบัติตามพระองค์มาตลอด .......


ดังนั้น ดิฉันจะเชื่อในความเป็นจริง ไม่ว่าความสุข ความเป็นอยู่ ในปัจจุบัน และ อนาคต เพราะนั่นคือคำตอบ และ บทตัดสินว่า คนนั้น ศรัทธาจริงหรือศรัทธาลวงค่ะ สิ่งนั้นคือ รอยยิ้มที่พระเจ้าทรงให้เรามีรอยยิ้มนั้น ติดตัวเราเช่นกัน

**ไม่ว่ากันนะค่ะ คือ ความเชื่อและความคิดส่วนบุคคลค่ะ ถ้าขัดกับหลักการใดขออภัยค่ะ
[HIGHLIGHT=#ffffff]
ภควาน จักรวาลชนนี
[/HIGHLIGHT]

เพราะ..สังคม ประเมิณค่า ที่จนรวย คนจึงสร้าง..เปลือกสวย ไว้สวมใส่

หากสังคม..วัดค่า ที่ภายใน  คนจะสร้าง..จิตใจ ที่ '' ใฝ่ดี''





Quote from: sacred avatar on February 21, 2010, 18:45:53
ดิฉันไม่เคยบูชาพระเจ้าในรูปแบบหนังภารตะ หรือ ตามตำราที่ว่าด้วยหลายอย่าง

   เห็นด้วยกับประโยคนี้มากๆครับ  การบูชาพระเป็นเจ้านั้นจะอ้างอิงตามหนังอินเดีย  หรือเทพนิยายต่างๆเสมอไปนั้นเกรงว่าจะไม่ได้  เพราะอย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นเพียงแค่หนังหรือแค่เทพนิยายเท่านั้น  และไม่เถียงว่าในหนังหรือเทพนิยายนั้นมีนัยยะที่ดีแฝงไว้  แต่ในความเป็นจริงการบูชาที่ดีนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์พึงมีคือ "ความศรัทธา"  คำจำกัดความคำว่าศรัทธาของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันไป  จึงไม่แปลกที่แต่ละคนจะแสดงความศรัทธาของตนออกมาในรูปแบบซึ่งแตกต่างกัน  หากทุกคนปฏิบัติตนโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาของตนแล้วไซร้  จึงยากที่จะตัดสินได้ว่าผู้ใดถูกหรือผู้ใดผิด

   
   
   

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

เห็นด้วยกับแนวทางการบูชาโดยส่วนใหญ่ค่ะ

ส่วนเรื่องการขอพร เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความโลภหรืออะไร แต่พึงสงวรณ์ไว้ว่าเราขอในลักษณะที่ผู้บูชา ขอความช่วยเหลือ ความพึ่งพา ไม่ใช่เดียลกันว่า ถ้าสำเร็จแล้วฉันจะให้นั่นให้นี่ ถวายนั่นถวายนี่


และเชื่อในพระวินิจฉัยของพระเป็นเจ้าว่าสิ่งที่เราได้รับ หรือไม่ได้รับนั้นล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับเรา ล้วนแล้วแต่เป็นพระกรุณาจากพระเป็นเจ้าที่เรานับถือ


ส่วนเรื่องยันตราและเครื่องรางนั้นเราเห็นต่างออกไป การผูกยันตรา การสร้างเครื่องราง เป็นศาสตร์โบราณอีกศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในเกือบทุกลัทธินิกาย ถ้าศาตร์จำพวกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีความหมายหรือใช่ไม่ได้จริง ย่อมสูญหาย ไม่มีผู้สิบทอด หรือกระทั่งรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
      

ความรู้สึกแรกเลยเมื่ออิชั้นได้อ่านกระทู้นี้จบลง    ต้องขอบอกเลยคะว่าพูดอะไรไม่ออกจริงๆ
รู้สึกดีใจ   ปลื้มใจจริงๆ    กับกระทู้ที่มีสาระเช่นนี้    ตลอดจนเจตนาดีของเจ้าของ
กระทู้ที่ต้องการให้เพื่อนๆท่านอื่นได้รับทราบข้อเท็จจริงบางอย่าง    และความเห็นส่วนตัว    ในทรรศนะของท่านอื่นๆแม้ว่าจะเห็นต่างกันบ้าง    แต่อิชั้นเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่เรามี   และมีโดยเท่าเทียมกัน   มีอยู่ในตัวเต็มเปี่ยมเลยนั้นก็คือความศรัทธาต่อพระเป็นเจ้าคะ  อิชั้นเชื่อมั่นล้านเปอเซ็นตรงนี้ว่าไม่มีใครจะน้อยหน้าไปกว่าใครได้

มีบ้างบางส่วนที่อยากจะเพิ่มเติมเข้าไป    ในจุดนี้ถ้าจะเห็นต่างหรือมองคนละมุมกับท่านอื่นก็กราบขออภัยด้วยคะ
สิ่งที่อิชั้นอยากจะให้เพิ่มเติมเข้าไปในการสักการบูชาพระเป็นเจ้านั้นก็คือ  คุณต้องเป็นคนดีคะ  และหมั่นกระทำความดีคะ   ไล่กันมาเลยตั้งแต่ดีต่อบุพการี  ครูบาอาจารย์  ตลอดจนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันคะ
โดยส่วนตัวแล้วนะค่ะ  อิชั้นเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นลัทธินิกายศาสนาใดในโลก  พระเป็นเจ้าต้องโปรดคนดีคะ
แม้ว่าตัวอิชั้น  และเพื่อนๆทุกคนมา ณ วันนี้  อาจจะคิดว่าจะยังดีไม่พอ  แต่อิชั้นว่า  เรามาเริ่มกันใหม่ได้คะ
แค่คุณคิดว่าจะเป็นคนดี  อิชั้นก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะต้องทรงรับรู้รับทราบในเจตนาดีในส่วนลึกๆของคุณคะ

ก็เห็นด้วยนะค่ะ  อย่างที่ท่านอื่นๆได้กล่าวไปในเรื่องของอามิสบูชา  การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของตลอดจนปัจจัยต่างๆ
แต่อิชั้นเห็นตามสมควรคะ  ว่าไม่ควรจะเดือดร้อนตัวเอง  เดือดร้อนคนอื่น  ทำได้ตามความสามารถตามกำลังคะ

เชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า  สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าอิชั้น  ตลอดจนเพื่อนๆทุกคนที่เห็น  ไม่ว่าจะเป็นตัวอิชั้นหรือท่านอื่นๆ
ไม่มีใครจะสามารถทราบได้ว่าสิ่งเหล่านั้น  ใช่มายาของพระเป็นเจ้า  มายาสวรรค์หรือไม่
เพราะฉะนั้น  อิชั้นว่าทำแต่พอควรเถอะ  ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนคนอื่นเป็นพอ


คงไม่ต้องบอกหรือเปรียบเทียบกับ ฤษี โยคี โยคินี ตลอดจนผู้ที่สำเร็จญาณขั้นสูง   ที่สามารถสัมผัสกับพลังของพระเป็นเจ้าได้    ท่านเหล่านั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย   ไม่มีแม้แต่กระทั่งมูรติ หรือเทวรูป  แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านเหล่านั้นมีคือใจคะ  ใจที่น้อมเข้าหาพระเป็นเจ้าเสมอ

มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะเพิ่มเติมคือ  พบว่ามนุษย์สมัยนี้ยึดติดกับวัตถุและพิธีกรรมมากไป  จนมองข้ามสารัตถะที่แท้จริง  ตลอดจนหลักคำสอนของศาสนาไปคะ   ตรงนี้อิชั้นไม่อยากจะให้ผู้ที่กำลังเข้ามาในวงการนี้มองข้ามตรงจุดนี้ไปคะ   แล้วคุณจะรู้ว่าแก่นแท้จริงๆของศาสนาคืออะไร  อยู่ตรงไหน และมุ่งเน้นอะไร


สรุปนะค่ะ  สำหรับกระทู้นี้คือ   อิชั้นเพิ่มเรื่องการเป็นคนดีประพฤติปฎิบัติตัวดีเข้าไปด้วยคะ   เชื่อว่าพระเป็นเจ้าจะต้องโปรดคุณแน่   ความจริงคำถามในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับอิชั้นมาแล้วนะ  แล้วก็ได้มีโอกาสไปเรียนถามอาจารย์ท่านหนึ่งที่อิชั้นให้ความเคราพเป็นพิเศษ   มา ณ วันนี้เลยอยากยกคำพูดของท่านมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันคะ   เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง  ไม่มากก็น้อยนะค่ะ

“  องค์เทพจะโปรดผู้บูชาที่เป็นคนดีเท่านั้น  ดังนั้นผู้บูชาเทพจึงจำเป็นที่จะต้องประกอบแต่คุณงามความดีเป็นพื้นฐาน  เป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน  จึงจะทำให้จิตผ่องใสเกิดพลังที่จะเชื่อมโยงไปถึงองค์เทพบนสวรรค์ได้   


ดังนั้นถ้าไม่ทำความดี   อย่าว่าแต่จะทำให้เทพเจ้าทรงเมตตาเราไปตลอดรอดฝั่ง

แม้กระทั่งผู้ที่สวดมนต์ได้ยาวๆ  หรือคล่องแคล่วเพียงใด  ก็ไม่มีพลังที่จะทำให้เทพเจ้าทรงตอบรับ  เสียงสวดมนต์ของคนชั่ว  ที่ดวงจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความขุ่นมัวมืดทึบ  จะตะโกนสวดดังขนาดไหน  ก็ไม่เท่าเสียงกระซิบของคนที่มีจิตใจผ่องใส  ปิติสุขในอำนาจความดีของเค้าหรอกคุณ


เป็นอีกกระทู้หนึ่งที่เยี่ยมมากๆเลยครับ
โอม ทัต ปูรูชยา วิดมาเฮ วักรา ทุนดายา ดีมาฮี ทะโน ทันติ ปราโชดายะ 

ทางฮินดูู ของทางอินเดีย เขาบูชากันแบบ พื้นดิน ทุกอย่างวางกับพื้นเอาใบตองรอง
แต่เมืองไทยเราทุกอย่างต้องใส่พานถวาย เพระาถือเป็นของสูง


จริงๆคนไทยสมัยก่อนก็ใช้ใบตองนะครับ

สำนวนไทยยังมีคำว่า"พิธีรีตอง"
พระใบตองมันใช้แทบทุกพิธีอ่ะครับ