Loader

อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน

Started by Purple_Tulip, April 16, 2010, 13:49:44

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

   ได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีและชอบมากๆค่ะ
เลยก๊อปมาให้เพื่อนๆสมาชิกได้ใช้พิจารณากัน
มิได้มีเจตนาจะกล่าวว่าผู้ใดค่ะ



ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่  ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จั?การไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
หลวงพ่อเจ้าอาวาส
มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกร??จายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ

เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร
สวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

' อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา '


โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

ถ้าเรายังเป็น  โรค อยู่ในใจ  ไม่  พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย

หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน   

ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง

ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย

ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย                                    

ที่มา  http://www.missladyboys.com/webboard/index.php?showtopic=4326

โอ.... สาธุ สาธุ สาธุ ครับท่าน อ่านไปก็อมยิ้มไป สถานการคล้ายๆที่ไหนสักแห่งคิดก่อน อ่อ...........555+
ขอบพระคุณสำหรับการ นำเรื่องมาเล่าสู่กันฟังครับผม
ชอบครับ ชอบ ชอบ ชอบ

เป็นเรื่องเล่าที่เรียบง่าย แต่ได้ข้อคิดเกินกว่าตัวหนังสือที่เขียนบรรยายไว้

ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้จริงๆที่นำข้อคิดสะกิดใจดีๆแบบนี้มาฝาก

ขออนุโมทนาจากใจจริงครับ
WELCOME TO HINDUMEETING

เรียน สมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ของเว็บ HinduMeeting
ขอความกรุณาทุกท่านศึกษากฎ กติกา มารยาทของเว็บด้วยนะครับ

http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1423.0

ขอบคุณครับ เรื่องสั้นๆ แต่ความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก

ขอบคุณมากๆคัฟ
ได้ข้อคิดในมุมมองใหม่ๆ
เพิ่มขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณคัฟ

ขอบพระคุณค่ะ ได้แง่คิดดี ๆ หลายอย่างเลยค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


อ่านแล้วได้ข้อคิดมากมายครับ