Loader

ไม่ได้ตั้งแต่จะให้เกิดเรื่องใหญ่ แต่แ&#

Started by เด็กชาย ไวษณพ, June 12, 2010, 23:09:43

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

คือ ปอ แค่ สงสัยนะครับ  คิดว่า คงมีหลาย ๆ คนสงสัยอย่างผม  ผมทราบมาว่า องค์เทพเจ้าที่ประดิษฐานอยู่หน้า CTW คือ องค์พระศิวะ 5 พระเศียร หาใช่พระตรีมูรติไม่  และได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับพระตรีมูรติแล้ว ก็สงสัยว่า  มันจะเกี่ยวกันไหมกับการที่ย้ายองค์ท่านจากเดิมที่เคยประทับเป็นสง่าที่ห้าง CTW ฝั่ง Zen แต่มาย้ายมาไว้ด้าน Isetan ข้าง ๆ องค์พระคเนศ  โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่า ท่านคงพิโรธที่ทางห้าง ทำให้ทุกคนเข้าใจพระนามของท่านผิด ๆ หรือป่าว อีกอย่าง การย้ายท่านจากที่เดิม ก็เป็นการไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่ พอไฟไหม้ ตรงส่วน Zen ไหม้เกลี้ยง ฝั่งที่ท่านประทับอยู่ไม่เป็นอะไรเลย  คิดเหมือนกับผมหรือป่าวครับ ไขข้อข้องใจหน่อยดิ

อีกอย่าง ผู้บริหาร CTW เป็น คริสต์นะ ถ้าจำไม่ผิด เพราะเค้าทำหนังสือพลังแห่งชีวิตแจก
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]โอม...ตวะเม ตวะมาตา จะ บิตา ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ พันธุศจะ สะขา ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ วิทะยา ทรวิณัม ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ สรวัม มะมะ เทวะ เทวะ [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าท่านไม่น่าจะพิโรธง่ายๆหรอกนะครับ

ทุกอย่างย่อมเดินไปตามทางของมัน

เทพเจ้าไม่ได้จะมาทรงอยู่เหนือโชคชะตา  หรือรู้สึกไม่พอพระทัยอะไรสักอย่างก็ดลบัลดาลสิ่งไม่ดีๆขึ้นมาให้เป็นเช่นนั้น

ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ  ทุกคนต้องยอมรับผลของวิบากแห่งกรรมที่ได้กระทำกันมาครับ ...



ถึงต่อให้ตั้งศาลหรือเทวาลัยเลิศเลอดีขนาดไหน  หรือหาที่ประดิษฐานหรือฮวงจุ้ยดีๆ   ก็ไม่อาจสามารถต้านทานพลังแห่งธรรมชาติหรือผลของกรรม

ได้หรอกครับ

คือถ้าว่ากันตามหลักกรรมวิบากแล้ว  มันก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยครับ  อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ที่ว่ามานี้เปนแค่ความเห็นของผมนะครับ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับหลายๆท่าน  แต่โดนส่วนตัวแล้วจุดประสงค์ของผมคือไหว้เทพเพื่อการหลุดพ้นควบคู่ไปกับการใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่างๆ    มิได้ไหว้หวังผลเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือแค่สักแต่ขอ  หรืองมงายเอาแต่เพียงฝ่ายเดียว


 

พระตรีมูรติของแท้ต้องมีสามหน้า

แต่ทำไมไม่มีใครคิดบ้างว่า


นี่เปนพระตรีมูรติตามคติไทย

หรือคือศิลปะไทยนั่นเอง


จะย้ายท่านไปไหน

ท่านก็อยู่ทุกที่ในอากาศแหละ



อันนี้ตองคิดว่า ทำไมเค้าต้องซีเรียสกันด้วยว่า เป็นพระศิวะห้าเศียร



เป็นพระตรีมูรติตามคติไทยไม่ได้เหรอ


ไม่งั้น พระคเนศคุณปัญญาก้อแย่สิ


มีซิกแพคด้วย



ตามคติพรามณ์ พระพิฆเนศผู้มีพุงใหญ่โตดั่งจักรวาล


แต่ปัญญามาสร้าง มีซิกแพกด้วย ยังกะเทพกรีก


^^



ลองคิดดูนะครับ
แม้นภูเขาจะสูงเสียดฟ้า ก็เตี้ยกว่าผืนหญ้าที่คลุมมัน

ไม่เคยเห็นเลยค่ะ


ใครมีรูปช่วยมาโพสแบ่งปันกันดูได้ไหมเอ่ย ????
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นกระทู้เรื่องนี้โดยเฉพาะหรือกระทู้อื่นๆ คงต้องรบกวนท่านกาลิทัสหรือน้องอักษรชนนีครับ

เรื่องนี้กล่าวสั้นๆไว้ก่อนว่า ท่านพระราชครูวามเทพมุนี ท่านพิจารณาแล้วเห้นว่าพระตรีมูรติที่เวิร์ลเทรด เป็นพระสทาศิวะ หรือพระปัญจมุขีศิวะนะครับ ดังนั้นเมื่อทางห้างไม่ยอมเปลี่ยนชื่อตามที่ท่านพิจารณา ท่านจึงไม่ไปประกอบพิธีบวงสรวงให้ครับ ซึ่งทางคณะพราหามณ์ไทยตกลงกันว่าจะไม่ยอมไปทำพิธีในที่ที่เรียกขานพระนามเทพเจ้าไม่ถูกต้องหรือมีเทวลักษณะที่ผิดครับ

Quote from: หริทาส on June 17, 2010, 20:59:00
เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นกระทู้เรื่องนี้โดยเฉพาะหรือกระทู้อื่นๆ คงต้องรบกวนท่านกาลิทัสหรือน้องอักษรชนนีครับ

เรื่องนี้กล่าวสั้นๆไว้ก่อนว่า ท่านพระราชครูวามเทพมุนี ท่านพิจารณาแล้วเห้นว่าพระตรีมูรติที่เวิร์ลเทรด เป็นพระสทาศิวะ หรือพระปัญจมุขีศิวะนะครับ ดังนั้นเมื่อทางห้างไม่ยอมเปลี่ยนชื่อตามที่ท่านพิจารณา ท่านจึงไม่ไปประกอบพิธีบวงสรวงให้ครับ ซึ่งทางคณะพราหามณ์ไทยตกลงกันว่าจะไม่ยอมไปทำพิธีในที่ที่เรียกขานพระนามเทพเจ้าไม่ถูกต้องหรือมีเทวลักษณะที่ผิดครับ

น่าจะเป็นจากกระทู้นี้นะครับพี่หริทาส http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=137.0 ที่พี่ได้เคยเขียนเอาไว้เกี่ยวกับศาลที่หน้าเวิร์ลเทรด หรือเซ็นทรัลเวิร์ลในปัจจุบัน

ผมขอนุญาตยกข้อความที่พี่เคยกล่าวไว้มาลงในกระทู้นี้อีกครั้งนะครับ
.
Quote from: หริทาส on March 04, 2009, 19:32:00
เรื่องพระตรีที่เวิร์ลเทรด ผมได้เคยนำลงไว้ในบอร์ดเก่าแล้วนะครับ

ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจเรื่องตรีมูรติก่อนนะครับ
ตรีมูรตินั้นแปลว่า สามรูป ซึ่งมิใช่ชื่อของเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษ แต่เป็นทฤษฎ๊การแบ่งหน้าที่ ของเทพเจ้าสูงสุด(อีศวรหรือสคุณพรหมัน)ซึ่งในปรัชญาอินเดีย ถือว่า พระเจ้าสูงสุดนั้น ได้ปรากฏออกมาในสามลักษณธ เพื่อกระทำหน้าที่ สามอย่าง คือ สรรค์สร้าง รักษา และทำลาย คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ และพระศิวะ ตามลำดับ
ตรีมูรติ จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นรูปเคารพ แบบสามองค์รวมกัน แต่จะแยกเป็นสามองค์เลยก็ได้ หรือในบางครั้ง ก็มีคการ เอารูปเคารพทั้งสามองค์มารวมเป้นองค์เดียวซึ่งปรากฏในหลายลักษณะ เช่นในอินเดียที่มีสามพระเศียร หรือพระศิวเอกบาทในไศวนิกาย ในศิวลึงค์บางรูปแบบ หรือหากศึกษารูปเคารพในศิลปะเขมร จะพบว่ามีการทำรูปเคารพสามองค์ โดยมีเทพเจ้าที่เคารพตามนิกายอยู่ตรงกลาง เช่นพระศิวะ และมีเทพเจ้าเล็กๆสององค์งอกออกมาจากด้านข้าง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในบางท้องถิ่น ยังมีการถือว่า คุรุในสมัยโบราณบางท่านเป้นพระตรีมูรติ เช่น ท่านคุรุทัตตเตรยะ ซึ่งเดิมเป็นเทวตำนานที่แพร่หลายเฉพาะในแคว้นมหาราษฏร์เท่านั้น ให้กลายมาเป็นองค์อวตารของพระตรีมูรติ และมีการโฆษณาอย่างแพร่หลาย เช่นในสื่อโทรทัศน์หรือสิ่งพิมพ์  ในนิกายสมารตะก็จะถือว่าพระคุรุทัตตาเตรยะ เป็นผู้สืบทอดคำสอนในสายอไทฺวตะเวทานตะ และ เป็นผู้รจนาคัมภีร์อวฑูตคีตาด้วย เรื่องราวของพระคุรุทัตตเตรยะ ปรากฏในเรื่อง คุรุจริต ครับ

ส่วนเรื่องพระตรีมูรติที่เวิลเทรดอย่างนี้ครับ
ผมก็ได้ยินมา อย่างที่ได้เล่าไว้อ่ะครับเรื่องที่ท่านพระราชครูวามท่านปฏิเสธในการทำพิธี (ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าพราหมณ์ในราชสำนักถือปฏิบัติว่าจะไม่ทำพิธีที่ผิดแบบแผน และ เทพเจ้าไม่ถูกต้อง)


และถ้าเราพิจารณาจากปฏิมาณวิทยา ของรูปเคารพที่เราเรียกกันว่าพระตรีมูรติที่เวิร์ลเทรดนะครับ
จะเห็นได้ว่า เป็นเทวรูปที่มี 5 พระเศียร และที่พระนลาฏจะปรากฏพระเนตรที่สาม ซึงถ้าประมวลจากลักษณะดังกล่าวจะพบว่า
เป็นพระ ปัญจมุขีศิวะ หรือพระ สทาศิวะ ครับ
ในคัมภีร์และบทสรรเสริญต่างๆ จะมีการบรรยายไว้เสมอว่า พระศิวะ ทรงมีห้าพระเศียร(ปัญจวักตระ) ซึ่งเป้นลักษณะเฉพาะของพระศิวะ รวมทั้งการมีพระเนตรที่พระนลาฏนั้น นอกจากพระศิวะ แล้ว ก็มักจะปรากฏในเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระศิวะ และพระแม่ศักติในลัทธิตันตระเท่านั้นครับ
และหากเราศึกษารูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ฮินดูในเขมร เราจะพบเทวรูปในลักษณะนี้อยู่ครับ ดังตัวอย่าง เช่น ที่ปรากฏในวัดภู จำปาสัก ซึ่งเป็นรูปพระตรีมูรติที่มีสามองค์แยกจากกันครับ

เท่าที่ทราบข้อมูลมาอีก คือรูปพระสทาศิวะ(ที่เรียกกันว่าพระตรีมูรติ)นี้ แต่เดิมเป้นรูปเคารพอยู่ที่วังเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้างเวิร์ลเทรดในปัจจุบันครับ แต่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ครับ แต่ไหงกลายเป็นพระตรีไปไม่รู้ เพราะใครก็ไม่ทราบ


โดยสรุปที่เวิลล์เทรดคือ พระสทาศิวะ หรือพระศิวปัญจมุขีครับ จะเป็นพระตรีมูรติก็ต้องมีรูปพระวิษณุและพระพรหมด้วยครับถึงจะเรียกว่าพระตรีมูรติได้

นอกจากนี้ ผมได้รับฟังมาจากท่านพระครูญาณสยมภูว์(พราหมณ์ขจร นาคเวทิน)ว่า เมอื่ตอนพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จงานงานเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร ได้ถวายเทวรูปพระตรีมูรติ(แบบของเวิลล์เทรด) พระองค์ท่านทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า "นี่พระตรีมูรติหรือ" คือพระองค์ท่านทรงทราบว่า ที่จริงแล้วพระตรีมูรติเป็นอย่างไรที่ถูกต้อง เพราะทางคณะพราหมณ์ได้เคยถวายเทวรูปพระทัตตาเตรยะ ทองคำ นานมาแล้ว ครับ เล่ากันว่า ผู้บริหารกรุงเทพทำหน้าเลิ่กลั่กกันใหญ่ครับ

WELCOME TO HINDUMEETING

เรียน สมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ของเว็บ HinduMeeting
ขอความกรุณาทุกท่านศึกษากฎ กติกา มารยาทของเว็บด้วยนะครับ

http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1423.0


 
Quote from: คุณ บาส on June 12, 2010, 23:43:56
ท่านไม่พิโรธหรอกครับ เทพต้องประกอบด้วย พรมวิหาร 4 ถึงจะเป็นเทพได้
ส่วนที่ว่าเป็นเทวรูปพระศิวะนั้น ผมไม่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร


แต่หลายครั้งพระศิวะท่านก็พิโรธนะครับ

-ตอนที่พระกามเทพยิงธนูแห่งความรักใส่พระศิวะ แล้วท่านโมโห เผลอลืมตาที่3ทำให้พระกามเทพกลายเป็นขี้เถ้า
-ตอนพ่อนางสตีทำพิธี แล้วพูดจาดูถูกพระศิวะทำให้นางสตีรับไม่ได้ เลยเผาตัวเองตาย ความทราบถึงพระศิวะ........เลยเสกอสูรจากปอยผมตนเอง ให้ลงไปทำลายพิธี และอสูรตนนั้นก็ตัดหัวพระทักษะลงกองไฟ
-ตอนที่ทศกัณฐ์ไปถึงเขาไกรลาศ แล้วขย่มภูเขาไกรลาส พระศิวะท่านพิโรธ เลยใช้พระบาทกดทับทศกัณฐ์จนออกมาไม่ได้ ภายหลังทศกัณฐ์ก็สวดบูชาพระศิวะจนท่านหายพิโรธ
ฯลฯ

ความเป็นเทพนั้น ยังโกรธง่ายกว่าพรหม มากมายครับ
พอดี พระศิวะ เป็นเทวะกำเนิด... คือ ไม่จำเป็นต้องเคลื่อน
และเนื่องจากเป็นอธิบดีแห่งเทพทั้งปวง
เป็นพลังงานของจักรวาล (กาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้)
จึงต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป...

จะว่าไป ถึงพระศิวะจะเป็นโยคี ผู้ชอบดิ่งในสมาธิตบะ
แต่โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า เป็นมหาเทวะผู้เอาใจยากมากผู้หนึ่ง
คือ ค่อนข้างเอาแต่ใจพอควร..ตามความเห็นผมนะ
ท่านไม่ได้ไม่โกรธหรอก อย่างมากแค่ข่มได้เร็ว
ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายผิดปกติไปเลย
เอาใจยากกว่าเทพองค์ใดๆ ทั้งสิ้น..

นั่นแสดงว่า สมาธิตบะ ไม่ได้ล้าง "โทสะ" ได้เลย
มันแค่เอาหินไปทับหญ้า..
กดไว้นานๆ เวลามันเด้งกลับ ยิ่งแรงกว่าปกติ


เหตุการณ์หลายครั้งที่ืืทรงกริ้ว...ก็กริ้วเกินความจำเป็น
เป็นผู้ใหญ่ ไม่ควรโกรธ...
เท่าที่อ่านหรือดูหนัง จะเห็นว่า ท่านโกรธง่ายมาก
ชอบการสรรเสริญเยินยอ...
ใครเอาใจเก่ง บูชาเลิศ ตบะเยี่ยม
ก็ประทานพรทั้งนั้น เพราะให้สัจจะเอาไว้

จะเห็นว่า ในปกรณ์ต่างๆ พระศิวะประทานพรทีไร
ก็มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย..ให้เทพองค์อื่นมาตามแก้อยู่ร่ำไป
ความดีที่ผมเห็นอย่างเดียว คือ การบรรดาลโครงสร้างของจักรวาล
นอกนั้น ก่อเรื่องยุ่งเหยิงตลอด..ก็เพราะการประทานพรนี่แหละ


ไม่รู้สิ.. โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า
ถ้าเป็นคน.. ผมคงคบลำบาก เพราะเอาใจยาก
และส่งผลดี ผลเสีย ได้ค่อนข้ารุนแรงง..ไม่เข้าใกล้จะดีกว่า
อย่างนี้กระมัง จึงเป็นตัวอย่าง
ให้มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย รู้จักการ "ประจบสอพลอ"

โดยส่งตัว ผมบูชาท่านในฐานะมหาเทพ..
แต่ไม่ได้ขอพรอะไร..
เพราะไม่รู้ว่า วันไหนอารมณ์ดี วันไหนอารมณ์ไม่ดี
แล้วถ้าขอพรไป จะต้องแลกด้วยอะไรรึเปล่า...
ผมขอพรกับองค์ที่อารมณ์เป็นกลางจะสบายใจกว่า
ไม่ใช่ท่านไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่า จริงๆ แล้วท่านเข้าถึงยาก

แต่ถ้าเป็นพวกขี้ขอ ขอดะ.. ก็อาจจะให้ก็ได้นะ..


เอ่อ... แล้วทำไมคุณไม่ลงด้วยหละว่า คนที่ขอพรหนะ อสูร ที่หวังอำนาจเกินตัว
พระศิวะท่านโปรดผู้ที่กระทำบำเพ็ญตบะ ข่มอินทรีย์
ไม่ว่า เทพ มนุษย์ อสูรหรือผู้ใดทำการบำเพ็ญตบะ ข่มอินทรีย์ ท่านก็มาโปรดให้พรทั้งนั้นแหละ
โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร อย่างไร เพราะท่านให้ความเท่าเทียมเสมอกัน
ท่านตัดสินที่การกระทำ แต่คนขอนั้นเอาไปทำไม่ดีเอง ไม่ใช่ความผิดของพระศิวะเลยนะ

ขึ้นว่าเทพ ต้องมีแต่ความเมตตาล่ะความโกรธโทสะได้ทุกอย่างครับ

การบูชาเทพในแต่ล่ะวันจำเป็นด้วยหรอครับว่าต้องบูชาในวันที่ท่านอารมณ์ดี หากเราเป็นผู้บูชาท่านเป็นผู้นอบน้อมท่านด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์แล้วเราไปบูชาท่านในวันที่ท่านอารมณืไม่ดี ท่านจะลงโทษเราหรอครับ ผมว่าถ้าท่านอารมณ์ไม่ดีแล้วเราไปบูชาท่านสวดมนต์ตราถวายท่านจะประทานพรให้เรามากกว่านะเพราะอารมณ์ท่านจะสงบ เพราะมีคนที่จงรักภักดีมาปรณิบัติ  ส่วนการถวายของ ท่านคงไม่เรื่องมากในการเลือกหรอกครับ เทพทรงเสวยทิพย์ครับ การบูชาด้วยอาหารผลไม้เปรียบเหมือนกับการถวายปรณิบัติรับใช้ครับท่านไม่ได้เรื่องมากครับ แล้วการขอพรท่านให้พรได้เสมอโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ถ้าเรารู้จักขอ  ขอแล้วก็ควรขวนขวายแสวงหาไม่ใช้นั้งงอมืองอเท้าให้สิ่งที่ปราถนามาสู่ตัวเองแบบไม่ต้องทำอะไร
ยกตัวอย่างขอให้กิจการงานเจริญรุ่งเรือง หากเราขยันทำงานพรที่เราขอไว้ก็จพสำเร็จผลองค์ท่านจะช่วยเกื้อหนุนอีกครับ หากเราไม่ขยันเอาแต่นั้งรอให้งานรุ่งเรืองมันก็ไม่สำเร็จหรอกครับ  ท่านเป็นผู้เข้าถึงยากหรอ? ผมว่าทุกคนทุกวรรณะ ก็เข้าถึงได้ทุกคนล่ะหากเรามีจิตศัทธาเป็นที่ตั้งมั่น ท่านก็ทรงรับรู้ในความประสงค์ดีของเราที่มีต่อท่านแล้ว
วงการมายา ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นสมรภูมิรบ และ การผูกสัมพันธ์ไมตรี ทั้งจริงและจอมปลอม

มายา ความหมายของมันช่างลึบลับเหลือเกิน

วงการมายาไม่ใช่ของเล่นทั่วไป เข้าแล้วออกยาก ระวังเอาไว้

Quote from: Oam on June 18, 2010, 20:29:21
ความเป็นเทพนั้น ยังโกรธง่ายกว่าพรหม มากมายครับ
พอดี พระศิวะ เป็นเทวะกำเนิด... คือ ไม่จำเป็นต้องเคลื่อน
และเนื่องจากเป็นอธิบดีแห่งเทพทั้งปวง
เป็นพลังงานของจักรวาล (กาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้)
จึงต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป...

จะว่าไป ถึงพระศิวะจะเป็นโยคี ผู้ชอบดิ่งในสมาธิตบะ
แต่โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า เป็นมหาเทวะผู้เอาใจยากมากผู้หนึ่ง
คือ ค่อนข้างเอาแต่ใจพอควร..ตามความเห็นผมนะ
ท่านไม่ได้ไม่โกรธหรอก อย่างมากแค่ข่มได้เร็ว
ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายผิดปกติไปเลย
เอาใจยากกว่าเทพองค์ใดๆ ทั้งสิ้น..

นั่นแสดงว่า สมาธิตบะ ไม่ได้ล้าง "โทสะ" ได้เลย
มันแค่เอาหินไปทับหญ้า..
กดไว้นานๆ เวลามันเด้งกลับ ยิ่งแรงกว่าปกติ


เหตุการณ์หลายครั้งที่ืืทรงกริ้ว...ก็กริ้วเกินความจำเป็น
เป็นผู้ใหญ่ ไม่ควรโกรธ...
เท่าที่อ่านหรือดูหนัง จะเห็นว่า ท่านโกรธง่ายมาก
ชอบการสรรเสริญเยินยอ...
ใครเอาใจเก่ง บูชาเลิศ ตบะเยี่ยม
ก็ประทานพรทั้งนั้น เพราะให้สัจจะเอาไว้

จะเห็นว่า ในปกรณ์ต่างๆ พระศิวะประทานพรทีไร
ก็มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย..ให้เทพองค์อื่นมาตามแก้อยู่ร่ำไป
ความดีที่ผมเห็นอย่างเดียว คือ การบรรดาลโครงสร้างของจักรวาล
นอกนั้น ก่อเรื่องยุ่งเหยิงตลอด..ก็เพราะการประทานพรนี่แหละ


ไม่รู้สิ.. โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า
ถ้าเป็นคน.. ผมคงคบลำบาก เพราะเอาใจยาก
และส่งผลดี ผลเสีย ได้ค่อนข้ารุนแรงง..ไม่เข้าใกล้จะดีกว่า
อย่างนี้กระมัง จึงเป็นตัวอย่าง
ให้มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย รู้จักการ "ประจบสอพลอ"

โดยส่งตัว ผมบูชาท่านในฐานะมหาเทพ..
แต่ไม่ได้ขอพรอะไร..
เพราะไม่รู้ว่า วันไหนอารมณ์ดี วันไหนอารมณ์ไม่ดี
แล้วถ้าขอพรไป จะต้องแลกด้วยอะไรรึเปล่า...
ผมขอพรกับองค์ที่อารมณ์เป็นกลางจะสบายใจกว่า
ไม่ใช่ท่านไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่า จริงๆ แล้วท่านเข้าถึงยาก

แต่ถ้าเป็นพวกขี้ขอ ขอดะ.. ก็อาจจะให้ก็ได้นะ..


....


ต้องเรียนอย่างนี้นะค่ะ ...  ตอนแรกกะว่าจะไม่ยุ่ง  แต่พอได้อ่านแล้วมันปิ๊ดๆคะ .. อิอิ   

บอกตรงๆว่าจริงๆแล้วอิชั้นก็ไม่ได้เก่งกาจสามารถอะไรมาจากไหน  และมิได้ต้องการจะมาแย้งอะไรกับใคร

   แต่... อิชั้นก็กลัวว่าหลายๆท่านที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในวงการนี้   รวมทั้งมีความศรัทธาในองค์พระศิวะเป็นพิเศษจะเกิดการเข้าใจผิดกันไปได้

   ดั่งนั้นตัวหนังสือของอิชั้นทุกตัวในกระทู้นี้  จะถือว่าเป็นความปราถนาดีที่มีต่อเหล่าศิวะสาวกนะเจ้าค่ะ

   ขออนุญาติแสดงความเห็นบ้างในฐานะที่อิชั้นก็เป็นสาวกคนหนึ่งที่บูชาและมีความจงรักภักดีต่อพระปศุบดีศิวะเจ้าเหมือนกัน   ....

และถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดา  แต่ในที่นี้อิชั้นก็มีสิทธิ์มีโอกาสที่จะแสดงความเห็นส่วนตัวบ้าง .. ใช่ไหมคะ


   
น่าขำนะค่ะที่หลายๆความเห็นต่างก็พูดถึงพระบิดาแห่งจักรวาลในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป  อีกทั้งยังเอาความคิดความเห็นของตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยปราศจากวิจารณญาณและหลงเชื่อใน

   เทพนิยายสะเต็มร้อยแบบไม่ยั้งคิด

   พร่ำพรรณาถึงอะไรเสียๆหายๆเกี่ยวกับพระองค์  สาดโคลนโยนสีใส่ท่านแบบสุดสวิงริงโก้อิโต้บั้ม   ประหนึ่งราวกับว่าครั้งหนึ่งตัวชั้นเคยอาศัยอยู่ ณ ตีนเขาไกรลาศ


จริงอยู่ว่าทั้งตัวอิชั้นและหลายๆท่านในที่นี้ไม่มีใครเคยไปถึงจุดนั้น   และไม่มีใครเคยได้สัมผัสถึงทิพยภาวะที่แท้จริงของพระองค์

   แต่ในส่วนของหลักฐานข้อเท็จจริง  ในแง่ของเทพนิยายหรือเทพปกรณัมมันก็มีอยู่ให้เห็นทงโท่แล้วนิค่ะ  ว่ามันจริงแค่ไหน  สักกี่เปอเซ็นต์ที่จริง

   แต่ละลัทธินิกายก็ต่างแต่งเรื่องกุเรื่องสร้างเรื่องเพื่อเอาดีเข้าใส่แด่พระเจ้าที่ตนเองนับถือมากเป็นพิเศษ 

แล้วถามหน่อยว่ากับปกรณ์พวกนี้จะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน  ตัดสินว่าเรื่องที่คุณกำลังหลงเชื่ออยู่นั้นว่ามันจริง


แต่ในขณะเดียวกันนั้น  ในแวดวงวิชาการเทววิทยาที่ศึกษาในส่วนของเทพปกรณัมกันจริงๆ  ก็แนะว่า   

   ปกรณ์ส่วนใหญ่ที่แสดงถึงบุคลิกภาพของเทพต่างๆนั้นมุมหนึ่งก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม ความคิด  ตลอดจนความเชื่อของคนโบราณ

   ที่เล่าผ่านเทพปกรณัม   หาใช่ตัวตนที่แท้จริงไม่   


   ทั้งนี้เราก็ไม่ควรจะมองข้ามเทพปกรณัมไปสะทีเดียว  เพราะอย่างที่ก็ทราบกันดีว่าเรื่องราวต่างๆล้วนแล้วแฝงไปด้วยนัย ตลอดจนคำสอนดีๆ

    ผ่านตัวหนังสือ โดยอาศัยเทพเป็นตัวละคร  ดั่งนั้นอิชั้นก็คิดว่าเราควรเลือกเสพย์แต่สิ่งดีๆ   สิ่งที่เป็นสาระ
 

ความเห็นส่วนตัวนะค่ะ  ขึ้นชื่อว่าเทพ  ไม่ว่าจะชั้นพรหมชั้นสวรรค์ไหนๆ  ท่านก็ต้องดีกว่าเรา ประเสริฐกว่าเราเสมอ  ถ้าไม่ดีก็ไม่รู้ว่าจะมาก้มหน้าก้มตากราบไหว้กันไปทำไม

    เราเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา  คงมิอาจเทียบเทียมทานกับพระองค์ได้หรอกคะ


    และยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมหาโยคีแบบพระศิวะด้วยแล้ว   ก็เชื่อว่าพระองค์ต้องประเสริฐกว่าปุถุชนคนธรรมดาแน่นอนคะ

    อ้างอิงตามความหมายนะค่ะ โยคี = โยค + อีปัจจัย โยค = วิริยะ หรือความเพียร หรือประกอบ อี = มี

     ตามความหมายเลยคะโยคี คือ ผู้สละสู่ป่า  จะเป็นการสืบต่อหัวใจของวิถีทางแห่งการรู้แจ้งที่แท้ จริง


      ดั่งนั้นการเป็นโยคีบุคคล เป็นผู้ที่พัฒนาจิต วิญญาน เป็นลำดับคะ
   

       เป็นดั่งเนยที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ไม่ว่าอยู่ฐานะใด ก็ไม่ผสมกลมกลืนกับน้ำ สามารถปฏิบัติหน้าที่ทางสังคม อย่างสมบูรณ์
      

       มีจิตเหนือสภาวะที่มากระทบทั้งมวล สามารถมีวิถีชีวิตที่บริสุทธิ์  ทำอารมณ์ให้ตัดขาดจากโลกภายนอก   

       แสวงหาแต่ความหลุดพ้นปราศจากความอยาก ความกลัว และความโกรธ ผู้ใด ฝึกได้เช่นนี้ ย่อมเป็นโยคีบุคคล และก็ทั้งชายกับหญิงอิชั้นว่าก็ไม่แตกต่างกัน ล้วนเป็นจิต วิญญาน อาศัย ร่าง เท่านั้น  ผู้ใดได้สภาวะ ความจริงย่อมบังเกิดเหนือมายาแห่งโลกและจักรวาลทั้งมวล



     กับอีกประเด็นนึงที่บอกว่าไหว้เพื่อขอดะ หรือเป็นมนุษย์ที่สักแต่ขอ  ตรงนี้เห็นว่าจะเป็นไปทุกคนนั้นก็หาไม่   บางคนเค้าก็เลือกบูชาเทพในแบบที่สร้างสรรค์

      และในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ  ก็ควรที่จะบูชาเทพตามหลักพุทธธานุสติ  คือไหนๆก็เลือกที่จะเดินตามรอยท่านแล้ว

     ก็ยึดเอาแบบอย่างในความดีของท่าน   นำมาใช้นำมาปฎิบัติ  อิชั้นเชื่อคะ เชื่อว่าถ้าพระองค์ทรงมองดูเราปฎิบัติตัวดี เดินตามรอยทางท่าน ยึดเอาท่านเป็นแบบอย่าง

     พระองค์จะต้องทรงพอพระทัยแน่ๆ


      ที่อิชั้นพร่ำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการจะให้เหล่าศิวะสาวกพอจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับพระองค์ท่านนะค่ะ  สำหรับสิ่งที่อิชั้นอธิบายมามันก็น้อยนิดเหลือเกิน

     เพราะก็ด้วยความรู้ที่มีจำกัด  แต่ถ้าไปเทียบกับความศรัทธาที่ตัวอิชั้นมีต่อเทพพระองค์นี้ และไม่ว่าจะเทพองค์ไหนใดๆในโลก มันมากมายสุดจะพรรณาได้คะ


     ฝากไว้เท่านี้คะ  อิชั้นทิ้งคลิปวีดีโอ หนึ่งร้อยแปดพระนามขององค์พระศิวะเจ้าเพื่อให้พวกเราสวดพระนามสรรเสริญแด่องค์มหาเทวโยคีผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล     และเทพที่ทรงมีเมตตาต่อมนุษย์มาตลอด อย่างหาที่สุดไม่ได้คะ 



        http://www.youtube.com/v/OwrZ8aJBcyA




   
    ....  ขอพรและและบารมีแห่งองค์พระศิวะ คุ้มครองเหล่าสาวกผู้ภักดีนะค่ะ
         
   
   
 


ผมก็ไหว้พระศิวะนะครับ ฟังแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยจะดี 

อยากให้ผู้รู้มาอธิบายอะครับ ว่าจริงๆประวัติท่านเป็นอย่างไร คือ 

แล้วงี้ผมไปไหว้ท่าน  ส่วนใหญ่ก็ขอพรนะครับ แต่ขอให้ครอบครัวผมมีความสุข อะไรอย่างนี้

หรือขอให้ท่านดูแลแม่ผมที่อยู่ต่างจังหวัดได้มั้ยครับ จะเป็นการประจบมั้ยเอ่ย .. งง

ขออนุญาตินะครับ  ผมเห็นว่าข้อความบางข้อความของคุณ Oam ไม่สมควรเท่าไหร่
เช่น '' ถ้าเป็นคนผมคงคบลำบากเพราะเอาใจยาก  และส่งผลดีผลเสียได้ค่อนข้างรุนแรง ไม่เข้าใกล้จะดีกว่า ''
 
ผมว่าคุณ oam แสดงทรรศนะด้านเดียวที่มีต่อองค์พระศิวะอะครับ  ด้านดีๆทำไมไม่เอามานำเสนอบ้าง

หลายๆท่านก็อธิบายแล้วนะครับ ว่าท่านประทานพรกับสาวกที่มีจริตเช่นไร  อยากให้คุณเข้าใจด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องเทพประวัติผมอาจจะไม่รู้ดีเท่าคุณนัก  แต่ก็อยากให้คุณนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลาง  อย่ามองอะไรเพียงแค่ด้านเดียว
ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีผมว่าก็ต้องมีปนกันไปในส่วนของประวัติ  แต่ถ้าคุณจะกล่าวก็อยากให้กล่าวในสัดส่วนที่เหมาะสม


   ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่าง  กับสิ่งที่ผมได้เคยศึกษาประวัติเกี่ยวกับองค์พระศิวะมาบ้างนะครับ  ในปางนาฐราช  ปางนี้สอนอะไรชาวโลกเยอะและแฝงไปด้วยคำสอนที่เป็นประโยชน์มากมายหลายทาง
   ผมคิดว่าเพื่อนๆหลายท่านในที่นี้คงจะเคยผ่านตามาบ้างแล้วสำหรับผลงานของท่านอาจารย์ไมเคิล ไร้ ที่แสดงความเห็นผ่านประติมากรรมรูปเคราพในปางนาฐราช


   ลอกในหนังสือฝรั่งคลั่งผีเลยนะครับ และขอให้เครดิสท่านอาจารย์ผู้เป็นเลิศด้านภารตะวิทยา ที่จากพวกเราไปแล้วด้วยครับ

   หวังว่าพอจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆในบอร์ดนี้บ้างนะครับ ....




(1.)   กลอง  (ในพระหัตถ์ขวาด้านหลัง) คือการสรรค์สร้าง     กับอัคนี ( ในพระหัตถ์ซ้ายด้านหลัง )  คือการทำลายล้าง

(2.)   พระกรและพระหัตถ์คู่ซ้ายขวา   ซึ่งแทนการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง    กางออกไปในระดับเสมอกัน    บ่งเป็นนัยว่ามีเกิด  ย่อมมีดับ

(3.)   ดวงเนตรทั้งสองข้าง   ข้างหนึ่งหมายถึงสุริยัน   อีกข้างหนึ่งหมายถึงจันทรา   

(4.)  พระศิวะทุกปางใส่ต่างหูต่างกัน    ต่างหูด้านซ้ายเป็นแบบหญิง  ต่างหูด้านขวาเป็นแบบชาย   

(5.) พระเกศาของพระศิวะยาวสยายสะบัดยื่นออกไปทั้งซ้ายขวา  เป็นสัญลักษณ์แทนผู้บำเพ็ญพรต  ละทิ้งชีวิตทางโลก    แต่ในขณะเดียวกันพระเกศายังประดับด้วยพระคงคาและจันทร์เสี้ยวอันเป็นเทพสตรี

(6.) แม้พระศิวะจะร่ายรำ  ขยับพระหัตถ์พระบาท  และพระกรอย่างต่อเนื่อง   แต่พระพักตร์กลับสงบนิ่งเฉยและไร้ความรู้สึก  อย่างนี้เป็นการสอนว่า  การเกิดดับของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่โดยตลอดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา (ดังเช่นการร่ายรำ) ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องธรรมดาเราจึงไม่ต้องไปทุกข์ร้อนกับมัน  ( แสดงด้วยพระพักตร์ที่นิ่งเฉย )   


(7.)
วงกลมที่ล้อมพระศิวะ ::  แสดงขอบเขตแห่งการร่ายรำอันเป็นตัวแทนของจักรวาลทั้งมวล   โดยมีขอบด้านนอกเป็นเปลวไฟ   และมีขอบด้านในเป็นน้ำมหาสมุทร

(8.) พระหัตถ์


            (8.1) พระหัตถ์ขวาด้านหลัง ::  ทรงถือกลองรูปร่างคล้ายๆนาฬิกาทราย  ( เอวขอด )    กลองเล็กๆใบนี้ให้จังหวะประกอบการฟ้อนรำของพระศิวะ   ที่สำคัญก็คือเสียงกลองเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆทั้งมวล

            (8.2) พระหัตถ์ด้านหน้า ::  แบออกเรียกว่าอภัยมุทรา (abhaya  mudra )  หมายความว่า  จงอย่าได้มีความกลัวเลย  ซึ่งบ่งว่าพระศิวะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง

            (8.3) พระหัตถ์ซ้ายด้านหลัง :: ถืออัคนี  อันเป็นสัญลักณ์แห่งการทำลายล้าง  ในที่นี้หมายถึงล้างความชั่ว  อวิชชาให้หมดไป  เพื่อเปิดทางแห่งการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมาใหม่

(9.)
พระกรซ้ายด้านหน้า  ::  พาดขวางลำตัวระดับอก  ในลักษณะคล้ายๆงวงช้าง    ซึ่งตีความกันว่าเป็นงวงของพระคเณศ  ผู้ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ  และเป็นบุตรของพระ
ศิวะด้วยนั่นเอง

(10.) พระบาทซ้าย :: ยกขึ้นมาจากพื้น  หมายถึงการหลุดพ้นจากวัฐสงสาร

(11.)  พระบาทขวา :: เหยียบอยู่บนอปัสมารา ( ทมิฬเรียกว่า มุยิลกัน )  ซึ่งเป็นตัวแทนของอวิชชา   เมื่ออวิชาถูกเหยียบไม่ให้โผล่ขึ้นมาบดบังความจริง   ก็จะทำให้วิชา(ความรู้แจ้งเห็นจริง ) ปรากฎขึ้น   

(12.) งู :: ทั้งที่ขดอยู่รอบคอ  แขนและข้อมือ  หมายถึงพระศิวะทรงควบคุมขุมพลังชีวิต

(13.) พระคงคา :: ได้รับการเก็บไว้ในพระเกศาเพื่อลดความแรงของสายธารที่ไหลจากสรวงสวรรค์มายังโลกบนยอดเขาหิมาลัย  (หรือเขาไกลลาศ

ที่ประทับของพระศิวะนั่นเอง )

(14.) จันทร์เสี้ยว :: บ่งถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะปรากฎของดวงจันทร์เป็นข้างขึ้นข้างแรม  ซึ่งหมายถึง  พระศิวะได้สร้างสรรค์ให้เกิดฤดูต่างๆ  (ที่แปรเปลี่ยนไปโดยตลอด)  และยังให้พลังชีวิต


ขอบคุณและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนมาช่วยกันให้ความรู้ในทางที่ถูกที่ต้องเกี่ยวกับปกรณ์นะครับ




นิทานก็ส่วนนิทานครับ

เต่าเดินช้า กระต่ายวิ่งเร็ว ข้อนี้เป็นความจริง

ไม่เคยมีเต่าและกระต่ายตัวใดในโลกมาวิ่งแข่งกันดังในนิทาน

อ่านเทวปกรณ์แล้ว พึงพิจารณาด้วยครับ

Quote from: น้ำส้ม on June 19, 2010, 04:21:01
ผมก็ไหว้พระศิวะนะครับ ฟังแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยจะดี   

อยากให้ผู้รู้มาอธิบายอะครับ ว่าจริงๆประวัติท่านเป็นอย่างไร คือ   

แล้วงี้ผมไปไหว้ท่าน  ส่วนใหญ่ก็ขอพรนะครับ แต่ขอให้ครอบครัวผมมีความสุข อะไรอย่างนี้

หรือขอให้ท่านดูแลแม่ผมที่อยู่ต่างจังหวัดได้มั้ยครับ จะเป็นการประจบมั้ยเอ่ย .. งง

ไหว้ไปเถอะครับ  ขอแบบนั้นผมว่าไม่เป็นอะไรหรอก  เห็นคุณถามมาอย่างนี้ก็น่าเห็นใจ

บางอย่างเฉยได้ก็เฉยครับ  แค่รับฟังแล้วรับมาพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนพอ ว่าแท้ที่จริงแล้วข้อเท็จจริงเป็นเยี่ยงไร

ถ้าไปสนมากจิตของคุณจะตกเปล่าๆ   

   ทำทุกอย่างเหมือนเดิมนั้นละครับ      ดีไม่ดีท่านจะเมตตาคุณด้วยซ้ำ เชื่อผม ...

ฟัง ๆ แล้ว ก็ เห็นใจคุณพี่โอม อาจเป็นเพราะมีความ น้อยใจ อะไรในองค์พระสทาศิวะ พระเป็นเจ้า หรือเปล่าครับ อย่างเช่นขอพร
แล้วไม่ได้ อะไรประมาณนี้ (เดาเอาส่วนตัวครับผม) คือโดยส่วนตัึวผมคิดว่า ไม่มีใคร ไหว้แล้วไม่ขอพร หรอกครับ อย่างน้อย ก็ ขอความสันติสุข หรือ อะไรสักอย่างอ่ะ ที่เค้าจะขอไม่มีใครไม่ขอหรอกผมว่านะ ขนาดตะกี้ผมไหว้ผมยังขอพรเผื่อพี่เลยอ่ะเอาน่าคุณพี่โอม อย่างน้อยๆ คุณพี่ ก็ ลืมไปอีกอย่างน่ะ ข้อดีของพระองค์ คือ เป็น กำเนิดแห่งคำศักดิ์สิทธิื์ ที่คุณพี่นำมาใช้ เป็นชื่อนั่นคือ
คำว่า โอม  ไงครับ




         
         
         
         

เทพแต่ละองค์มีลักษณะไม่เหมือนกันครับ

ถ้าทำพลาดก็เจอเรื่องแย่ๆ ถ้าเรื่องดีๆก็ไม่มีปัญหาอะไร

เหมือนมันจะไปกันใหญ่ ... สุดท้าย ผมว่า ท่านจะลงโทษพวกเรามากกว่า ที่ต่างก็เป็นลูกๆของพระองค์ท่าน  แต่มาผิดเนื้อ ผิดใจกันในเรื่องแบบนี้

[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]โอม...ตวะเม ตวะมาตา จะ บิตา ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ พันธุศจะ สะขา ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ วิทะยา ทรวิณัม ตวะเมวะ[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff][HIGHLIGHT=#000000]ตวะเมวะ สรวัม มะมะ เทวะ เทวะ [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]



Quote from: จิ้งจอกพันหน้า on June 19, 2010, 06:10:00
อย่างไรเสียหาก มีข้อสงสัยในการเข้าถึงพระเป็นเจ้าท่านอย่างใด ก็อยากให้คุณพี่ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ในบอร์ด ได้ นะครับ พี่โอมสามารถไปขอคำแนะนำได้ เช่นน้องเบน (โอมมหาบารมีเทวา)
น้องเบนก็ เก่งอยู่ในระดับหนึ่ง
โดย สังเกตุจาก ข้อความที่น้องเบนโพสไว้ ด้านบน ดูและ เป็นที่น่าประทับใจมากครับ ขอชมเชย จากใจ จ้า ..แต่ไม่รู้ว่าน้องเบน จะยินดีหรือมีเวลาว่างช่วยคุณพี่โอม
หรือเปล่า อ่ะ

ขอพระเป็นเจ้าประทานพรทุกๆ ท่าน ที่สำคัญ ขอพระสทาศิวะเจ้าประทานพรให้คุณพี่โอม เป็นกรณีพิเศษ ครับผม

                     


พี่กี้ครับ เบนก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกครับ แค่เป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งที่มีจิตศัทธาต่อพระเป็นเจ้าอย่างตั้งมั่นและจริงใจ ส่วนถ้าคุณโอมอยากจะปรึกษาอะไรนิดๆหน่อยๆเกี่ยวกับการเข้าถึงพระเป็นเจ้าเบนก็จะยินดีรับคำปรึกษาครับ
วงการมายา ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นสมรภูมิรบ และ การผูกสัมพันธ์ไมตรี ทั้งจริงและจอมปลอม

มายา ความหมายของมันช่างลึบลับเหลือเกิน

วงการมายาไม่ใช่ของเล่นทั่วไป เข้าแล้วออกยาก ระวังเอาไว้

โห เยี่ยมมากน้องเบน ของคุณครับผม

Quote from: โอม มหา บารมี เทวา   โอม on June 18, 2010, 23:01:38
ขึ้นว่าเทพ ต้องมีแต่ความเมตตาล่ะความโกรธโทสะได้ทุกอย่างครับ

การบูชาเทพในแต่ล่ะวันจำเป็นด้วยหรอครับว่าต้องบูชาในวันที่ท่านอารมณ์ดี หากเราเป็นผู้บูชาท่านเป็นผู้นอบน้อมท่านด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์แล้วเราไปบูชาท่านในวันที่ท่านอารมณืไม่ดี ท่านจะลงโทษเราหรอครับ ผมว่าถ้าท่านอารมณ์ไม่ดีแล้วเราไปบูชาท่านสวดมนต์ตราถวายท่านจะประทานพรให้เรามากกว่านะเพราะอารมณ์ท่านจะสงบ เพราะมีคนที่จงรักภักดีมาปรณิบัติ  ส่วนการถวายของ ท่านคงไม่เรื่องมากในการเลือกหรอกครับ เทพทรงเสวยทิพย์ครับ การบูชาด้วยอาหารผลไม้เปรียบเหมือนกับการถวายปรณิบัติรับใช้ครับท่านไม่ได้เรื่องมากครับ แล้วการขอพรท่านให้พรได้เสมอโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ถ้าเรารู้จักขอ  ขอแล้วก็ควรขวนขวายแสวงหาไม่ใช้นั้งงอมืองอเท้าให้สิ่งที่ปราถนามาสู่ตัวเองแบบไม่ต้องทำอะไร
ยกตัวอย่างขอให้กิจการงานเจริญรุ่งเรือง หากเราขยันทำงานพรที่เราขอไว้ก็จพสำเร็จผลองค์ท่านจะช่วยเกื้อหนุนอีกครับ หากเราไม่ขยันเอาแต่นั้งรอให้งานรุ่งเรืองมันก็ไม่สำเร็จหรอกครับ  ท่านเป็นผู้เข้าถึงยากหรอ? ผมว่าทุกคนทุกวรรณะ ก็เข้าถึงได้ทุกคนล่ะหากเรามีจิตศัทธาเป็นที่ตั้งมั่น ท่านก็ทรงรับรู้ในความประสงค์ดีของเราที่มีต่อท่านแล้ว


[HIGHLIGHT=#ffff00]คุณเบนคะ คุณพูดได้ตรงกับความคิดของดิฉันเลยคะ ขอให้พระแม่อวยพรคุณเบนนคะ[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]ถึงดิฉันจะไม่ได้เก่งในเทวปกรณ์หรือตามจารีตประเพณีมากนักแต่ความศรัทธาเท่านั้นแหลคะ [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]ที่จะทำให้ทุกสิ่งล้วนประสบผมสำเร็จ พระเป็นเจ้าทรงมีมายาต่างๆมากมายนับไม่ถ้วน[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]เราจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์หรอคะ ว่าพระองค์ทรงมีจริตแบบนั้น ก็มาจากปกรณ์ทั้งสิ้น[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]หากคุณบูชาพระกาลี คุณต้องกินเลือดหรอคะ ดิฉันว่า ต้องใช้สติ บวกกับความเป็นจริงนะคะ[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]ปล. ความคิดเห็นแสดงได้คะ แต่อย่าแรง เข้าใจลูกของพ่อที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกบ้างนะคะ ว่าพวกเค้าหละน้นจะรู้สึกยังไง?[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffc000]หากมีศรัทธาแล้วไซร้ ก็ควรทำให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี  เพื่อศรัทธาที่มีนั้นจะได้มีค่า และหาข้อติเตียนไม่ได้[/HIGHLIGHT]

ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว
ผมอยากขอความกรุณาจากท่านที่มีความรู้ในด้านเทวะวิทยา
ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามซึ่งก็ถืเป็นความรุ้แล้ว
ช่วยอธิบายตามหลักของเทวะวิทยาให้ทราบด้วยครับ
เพื่อเป็นวิทยาทานต่อๆไป  โดยส่วนตัวผมก็ไม่รู้อะไรมากนัก
จึงขอความกรุณาจากท่านผู้ที่มีความรู้ด้านนี้  หรือพอจะมีความรู้มากน้อยไม่ว่ากันครับ
เพื่อประโยชน์และเป็นความรู้ให้สมาชิกท่านอื่นๆต่อไปครับ
ขอบพระคุณครับ
 

พฤษภกาสรอีกกุญชรอันปลดปลง
   โททนต์เสน่คงสำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์   สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

 
เฮอ!.............นี่แหละครับ มนุษย์  อวดดี  อวดเก่ง  อวดรู้   ใช้วาจาทำร้ายจิตใจกันเอง   เพื่อประโยชน์อันใดเล่า  เสียดสี  สร้างหลุมพลาง  มนุษย์ทำได้ทั้งนั้น  ทำง่าย  คิดตื้น  ไม่ต้องหาข้อพิสูจน์ใดๆหรอกครับ  เมื่อเราศรัทธาในองค์ใดก็กราบไหว้ ศึกษาความเป็นมาเพื่อรู้ให้ถึงแง่คติที่แอบแฝง  เราเลือกเองได้  คิดเองได้  แม้นใครไม่ศรัทธาก็อย่าไปว่าเค้าผิด ทุกคนมีสิทธิเลือก เมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องใช้สติพิจารณาว่าเหตุนั้นเกิดมาอย่างไร  ความคิดที่แตกต่างไม่ได้แสดงให้คนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี  เพียงแต่เค้าคิดไม่เหมือนเรา  ผมเองแทบไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยก็ว่าได้  แต่ที่ได้ มาจากการศึกษาในองค์ท่านคือความเมตตา  การให้อภัย  การบำเพ็ญเพื่อให้ได้ซึ้งบารมี  แบ่งปันให้ผู้อื่น สร้างความสุขให้ผู้อื่น  กุศลนี้จะได้แก่คนที่ปฏิบัติ องค์ท่านนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่าหาใครพิสูจน์ได้ไม่  ที่มีให้เห็นได้คือความศรัทธาเท่านั่น  อันปฏิมากรรมที่สร้างให้เห็นนั้นล้วนเพียงแต่เป็นตัวแทนองค์เทพเท่านั้นหาได้มีอิทธิพลเหนือธรรมชาติได้หรอกครับ ถ้าองค์ศิวะเจ้าทรงรับรู้ องค์ท่านคงเสียใจที่สาวกยึดติดกับรูปลักษณ์  รูปกาย  แต่มิได้สนใจในคติธรรมเลย  ผมสรุปให้เลยนะครับว่า  ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ สามัคคีกัน ร่วมใจสร้างความดี  ให้ความเมตตาต่อกันนะครับ เพื่อความเจริญในชีวิตทุกคนนะครับ 



จงใช้ใจ       อย่าใช้ตา
จงใช้ความรู้สึก   อย่าใช้อารมณ์

รื่องนี้ อธิบายยากนะครับ
เทพหนึ่งองค์ อาจมีได้หลายภาค
แต่ละภาค อาจทำหน้าที่ต่างกัน ในแต่ละสถานที่

พระภาคใด ที่ไม่ได้คลุกคลีกับมนุษย์
ย่อมไม่มีความเข้าใจมนุษย์
แม้มนุย์อาจถือว่าเป็นลูกหลานของเทพพหรม
ก็ไม่ได้หมายความว่า
เทพพรหม จะเข้าใจมนุษย์เสมอไป

ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี แบบมนุษย์
ความเหมาะสมในกาละเทศะแบบมนุษย์
เทพ พรหม เทวดา บางหมู่เหล่า
ก็ไม่เข้าใจ

เปรียบเหมือนคนที่อยู่ต่างวัฒนธรรมกัน
ย่อมเข้าใจกันได้ยาก

แต่หากพระภาคที่ไม่ยุ่งกับมนุษย์
ต้องมา "ข้องเกี่ยว" กับมนุษย์แล้วล่ะก็
ความวุ่นวายทั้งปวง ก็บังเกิดขึ้น
ด้วยความไม่เหมาะสมของกาละเทศ
ของทั้งเจ้า ทั้งคน นั่นเอง

หาเราดูจากปกรณ์ เหมือนอ่านนิยาย
ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่บอกไปแล้ว
อันนี้ ไม่เกี่ยวกับปรัชญาทางเทวะศาสตร์นะครับ
ผมหมายถึง หากเราดูแต่ character ของตัวละคร เท่านั้น

เรามักจะเจอคำว่า
พรศิวะ เป็น "ผู้ลี้ลับ" "เข้าถึงใจได้ยาก"
หากเกิดเหตุการณ์อันใดที่แปลกๆ
อะไรๆ ก็จะไปเหมาๆ เทๆ ไปเป็นว่า
เป็นเพราะ "พระปารถนา และความลี้ลับของพระศิวะ"
หรือไม่ก็  "ศิวะบันดาล" เทือกๆ นี้ไปหมด

ถ้า character นี้ เป็นจริง
แสดงว่า ท่านเปรียบเสมือนผู้ใหญ่
ที่ "เข้าใจยากมาก" ท่านหนึ่ง

บางครั้งก็ใจดี ดีใจหายกันไปเลย
บางครั้ง ก็ขี้หงุดหงิด
บางครั้ง ก็มี bias
บางครั้งก็ลุ่มลึก
บางทีก็ เอาแต่ใจ ทะเลาะกับมเหสี ก็มี

และหากเราดูๆ ไป..
การให้พร หลายครั้ง ก็เกิดสิ่งดีงาม
แต่หลายครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนมากมาย

จนมนุษย์ จับเอาลักษณะนี้ มาเป็น concept ว่า
พระศิวะ มักให้พรที่เหนือธรรมชาติ
อะไรก็ตามที่ "ผิดปรกติ" "แปลกพิศดาร"
ก็ให้ขอจากพระศิวะ

ดังนั้น มนุษย์ปัจจุบัน
จึงตะบี้ตะบันขอพรกันไม่หยุดหย่อน
เพียงหวังว่า "ปาฏิหารย์" จะบังเกิด

สำหรับผม เทพพรหม เกือบทุกองค์
ผมรู้สึก "เฉยๆ"
จะมีแค่ องค์ สององค์ เท่านั้น
ที่เราขอพร เป็นประจำ
เพราะรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษ
แต่ไม่ได้ขอเพราะคาดหวัง
เพราะ ไม่มีใคร ฝืนกฏของกรรมได้
แม้จะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตาม
นอกนั้น "สักการะ" ปกติ ไม่ได้ขอพร
แต่ถวายพระพร ถวายกุศล ก็เท่านั้น

แม้แต่ผู้ใหญ่โตนั้น
ยังต้องปลดอณูลงมาใช้กรรม
แสดงว่า กฏของกรรม ไม่มีข้อยกเว้น
และเป็นจริงเสมอ
ถ้าไม่ปลดอณูลงมา ก็หนักๆ อยู่
และสักวัน ก็ต้องชดใช้ด้วยตนเอง

หากเรามอง ในมุมของพุทธศาสนา
เหตุปัจจัยเห่งการก่อเกิดทั้งปวง คือ "อวิชชา"
อวิชชานี้ ไม่มีที่กำเนิด มันเกิดเอง
เหมือนเป็นธาตุ ที่มีอยู่เองในธรรมชาติ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น เทวะ เทวี
ก็เกิด กำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ
อันมีอวิชชา เป็น "ต้นธาตุ" นั่นเอง

จริงอยู่ เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีหน้าที่
จัดกรวาล ดวงดาว ธาตุ
พลังงานต่างๆ ในธรรมชาติ
ต้องมีการควบคุมอย่างสมดุลย์
มันก็ต้องมีการบริหารจัดการกันเอง
ตามธรรมชาติของกระแสพลังงาน

กระแสพลังงานในธรรมชาติ
ย่อมแสดงรูปลักษณ์ออกมาได้ต่างๆ นาๆ
ซึ่งขอใช้คำว่า  spirit ของธรรมชาติ
ดังนั้น ความเข้าใจของผม
เทพ-พรหม น้อยใหญ่ ก็คือ
spirit ของธรรมชาติในระดับต่างๆ นั่นเอง

เนื่องด้วย "อวิชชา" ก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง
เป็นรากเหง้าของ "กิเลส" ทั้งปวง
เทพ-พรหม ก็มีกิเลส ไม่ต่างกับมนุษย์
ทั้งที่มีมาก มีน้อย

และเทพพรหม แต่ละพระองค์
ก็มีลักษณะนิสัย แตกต่างกันไป
ไม่เห็นต่างกับมนุษย์ตรงไหนเลย

บางนิกายของคริส ยังมองพระเจ้ากับมนุษย์
ด้วยมุมมองที่ต่างกัน
มุมหนึ่ง มองว่า มนุษย์เป็นเพียง "ธุลี" ที่พระเจ้าปั้นขึ้น
อีกมุมหนึ่งมองว่า
พระเจ้า ปารถนา ให้มนุษย์ เป็น "ฉายา" ของพระองค์
มีความเหมือนพระองค์มากที่สุด
เป็นมุมมอง ที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
มันก็แล้วแต่คนจะมองกัน และตีความกันไป

บางคน อาจบอกว่า เรามีอหังการมากหรือ
ถึงเปรียวมนุษย์ กับพระเป็นเจ้า
แต่หากเรามองอย่างกลางๆ ว่า
พระเจ้า ก็คือ spirit ของธรรมชาติ
ดังนั้น spirit ก็มีกิเลสนะ.. เพราะยังมี  "อวิชชา"

หากมองจาก "ศรัทธา" ก็อาจเลี่ยงบาลี
ได้ว่า "เป็นมายาของพระเป็นเจ้า"
จะแสดงอะไร อย่างไร ก็เขียนให้ดีได้ทั้งนั้น

แต่หากเรามองทางปรัชญา...
ก็จะศึกษาเฉพาะหลักการ และตรรก
เพิกเสียซึ่งความยินดี ยินร้าย ในอารมณ์ทั้งปวง
ดูเฉพาะเหตุผล และองค์ประกอบ
ของหลักธรรม เท่านั้น

ผมเคยเห็น เคยได้รู้ ว่า
มีเรื่องของการวิเคราะห์เทวะปกรณ์ของกรีก
แต่ไม่เห็นมีของฮินดู
ถ้าเราจับเอาแต่ละพระองค์มาเป็นตุ๊กตาตัวละคร
ก็คงจะสนุกดี

และถ้าเราไม่ "เหมา" ว่า อะไรๆ  ก็เป็น
"เทวะปารถนา" หรือ "ความลี้ลับ"
หรือ "god's will" ไปเสียหมด
ก็น่าจะมีความเป็นกลางในการรู้จักศรัทธามากขึ้น

สำหรับผม
หากขอพร ก็มักขอจากสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้
แต่ไม่อยากขอพร เพราะหวังสิ่งที่เป็น "ปาฏิหารย์"
เพราะถ้ามันไม่เกิดขึ้น เราก็เสียพลังใจไปเปล่าๆ
เพราะเข้าใจว่า เทพพรหม เป็น "ผู้เปิดโอกาส"
แต่โอกาสนั้น เราต้องเป็นผู้สร้างให้มีก่อน
แล้วท่านเป็น "ผู้ผลักดัน"
แต่จะดันได้แค่ไหน มันก็อยู่ที่ "กรรมของเราเอง"

เทวดา ไม่ใช่มนุษย์
บางหมู่เหล่า ที่ไม่เคยเป็นมนุษย์
ย่อมไม่ทราบความคิด ความรู้สึก จิตใจ แบบมนุษย์
อย่างแท้จริง
เราจะไปหวังอะไรมากมายกับสิ่งเหล่านี้

ยิ่ง "ขอ" ให้ท่านช่วยมาก ก็เป็นหนี้ท่านมาก
action = reaction เสมอ
ถ้าเราประกอบเหตุปัจจัย ให้สมบูรณ์พร้อม
ไม่ต้องขอ ท่านก็ต้องมาช่วย
หรือแค่คิด ท่านก็ต้องร้อนอาสน์มาช่วยอยู่ดี
แต่ถ้า "ตอแย" แล้วท่านช่วย ก็ติดหนี้พอกพูน

ท่านเป็น "ผู้สร้าง" โครงสร้างในระดับต่างๆ
แต่ตัวท่านเองก็ "ถูกสร้าง" จากธรรมธาตุ เช่นกัน
หากมองในแง่ของ "ผู้ถูกสร้าง"
ไม่ว่ามนุษย์ หรือ พระเป็นเจ้า ก็
"ถูกสร้าง" โดยธรรมชาติ ด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้น ธรรมธาตุ อันเป็นกลาง
จึงมีอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่มีสูง ต่ำ เล็ก หรือ ใหญ่

ต่อให้ไปรวมกับพระเป็นเจ้าได้
ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะดำรงค์สภาพแห่งความเป็นพระเป็นเจ้าด้วยตนเอง
ถึงเวลหนึ่ง เมื่อกรรมส่งผล ก็หลุดออกมาอยู่ดี
หรือถ้าเป็นอณูบริสุทธิ์ ก็ยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้อณูใหญ่
ไม่ได้เกิดความ "โปร่งโล่ง ไร้อัตตา" อย่างแท้จริง

สำหรับผม
ไม่มีธรรมธาตุใดบริสุทธิ์ เท่ากับความหมดไปซึ่ง อวิชชา
ไม่มีความหลุดพ้นใด หมดจด เท่ากับ ความไร้อัตตาแท้จริง

เพราะแม้แต่เทพพรหม ผู้เป็นสุขสูงสุด ในปรมาตมัน
ยังมีความ "เป็น" และ "หน้าที่ ที่ต้อง "ดำรงสภาพ" นั้นๆ
ซึ่งถือเป็น "ภาระ" อันไม่อาจ "จบกิจ" ได้ตลอดกาล
ถึงจะมีกิเลส "บางเฉียบ" แต่ก็ไม่ถือว่า "หมดจด"

ความปารถนาอันใด ในองค์พระเป็นเจ้า
ก็ขอเพียง ได้ถวายพระพร และทำอะไรให้ท่านได้บ้าง
ไม่อยากต้องเป็นฝ่าย "ขอ" อยู่ร่ำไป
แต่ถ้าท่านจะให้เรา เราก็รับ
แต่ถ้าไม่ให้ ก็ไม่ตื้อขอ.. เพราะกลัวเป็นหนี้
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ถือว่าเป็นหนี้
แต่เรารู้อยู่ในใจว่า ธรรมชาติ ต้องสร้างสมดุลย์

เหมือนเรา deal กับธนาคาร
ถ้าเรากู้บ่อยๆ ดอกเบี้ยมันก็เพิ่มมากขึ้นๆ
แต่ถ้าเรามีตังค์มาก
ธนาคาร เขาก็ต้องมาขอให้เราไปฝากเอง
แต่ถ้าเราฉลาดกู้ ก็อาจรวยได้เหมือนกัน
ธนาคารก็ต้องเห็นเราเป็นลูกค้าชั้นดีเหมือนกัน

พระเป็นเจ้า ก็เป็นผู้ควบคุมกลไกของธรรมชาติ
เปรียบเหมือนนายธนาคารนั่นเอง
ทีนี้ จะกู้กับธนาคารไหน ก็ต้องดูนิสัยนายธนาคารด้วย นั่นแหละ

Quote from: โอม มหา บารมี เทวา   โอม on June 18, 2010, 23:01:38
ขึ้นว่าเทพ ต้องมีแต่ความเมตตาล่ะความโกรธโทสะได้ทุกอย่างครับ

การบูชาเทพในแต่ล่ะวันจำเป็นด้วยหรอครับว่าต้องบูชาในวันที่ท่านอารมณ์ดี หากเราเป็นผู้บูชาท่านเป็นผู้นอบน้อมท่านด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์แล้วเราไปบูชาท่านในวันที่ท่านอารมณืไม่ดี ท่านจะลงโทษเราหรอครับ ผมว่าถ้าท่านอารมณ์ไม่ดีแล้วเราไปบูชาท่านสวดมนต์ตราถวายท่านจะประทานพรให้เรามากกว่านะเพราะอารมณ์ท่านจะสงบ เพราะมีคนที่จงรักภักดีมาปรณิบัติ  ส่วนการถวายของ ท่านคงไม่เรื่องมากในการเลือกหรอกครับ เทพทรงเสวยทิพย์ครับ การบูชาด้วยอาหารผลไม้เปรียบเหมือนกับการถวายปรณิบัติรับใช้ครับท่านไม่ได้เรื่องมากครับ แล้วการขอพรท่านให้พรได้เสมอโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ถ้าเรารู้จักขอ  ขอแล้วก็ควรขวนขวายแสวงหาไม่ใช้นั้งงอมืองอเท้าให้สิ่งที่ปราถนามาสู่ตัวเองแบบไม่ต้องทำอะไร
ยกตัวอย่างขอให้กิจการงานเจริญรุ่งเรือง หากเราขยันทำงานพรที่เราขอไว้ก็จพสำเร็จผลองค์ท่านจะช่วยเกื้อหนุนอีกครับ หากเราไม่ขยันเอาแต่นั้งรอให้งานรุ่งเรืองมันก็ไม่สำเร็จหรอกครับ  ท่านเป็นผู้เข้าถึงยากหรอ? ผมว่าทุกคนทุกวรรณะ ก็เข้าถึงได้ทุกคนล่ะหากเรามีจิตศัทธาเป็นที่ตั้งมั่น ท่านก็ทรงรับรู้ในความประสงค์ดีของเราที่มีต่อท่านแล้ว

อ่านแล้วขนลุกอ่ะคับ ไม่ได้เข้าบอร์ดมานาน มาเจอกระทู้ที่คุณพี่เบนตอบอันนี้แล้ว อึ้งคับ เพราะไม่เคยเห็นพี่เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว
ถ้าเมฆจะตอบ เมฆก็คงตอบแบบพี่เขาแหละคับ ยังไงก็อยากให้ทุกคนมองพระเป็นเจ้าทุกองค์ว่า เป็นผู้ใหญ่ที่เราควรเคารพครับ ไม่ว่าท่านจะมีลักษณะแบบไหนนิสัยแบบไหนหรืออารมณ์แบบไหนก็ตามเพราะท่านก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราทุกคนล่ะครับ เมฆอยากฝากข้อคิดนี้ไปให้คนที่กำลังคิดว่า เทพองค์นี้ควรไหว้ไหม? ให้เราคิดซะว่าคนที่ทำดีสอนเราดีหรือเป็นผู้มีพระคุณคุ้มหัวเรานี้ควรยกมือไหว้เขาหรือป่าว

เบี่ยงเบนประเด็นไปไกล สำหรับคำถามของท่านเจ้าของกระทู้ครับ

และดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในกระทู้นี้ คือ " มายาแห่งพระเป็นเจ้า "

ทุกอย่าง มีเกิด ล้วน มีดับ

ทุกอย่างเริ่มจากเหตุ และ ถึงจะเกิดผลลัพธ์ตามมา

อย่าไปคิดว่า เป็นเทพทำไมถึงพิโรธ หรือว่าให้คำสาปมั่วซั่ว ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีว่า

1. พระขันทกุมาร ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะพรมั่วซั่ว ที่พระองค์ต้องถือกำเนิดมาตามแก้หรือ ? )
แล้วสรุปว่า พรอันมั่วซั่ว ที่ทุกคนว่านั้นเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระขันทกุมาร

2. พระเคนช ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะโทสะแห่งพระแม่ปารวตีหรือ ?)
ที่ต้องการรักษาหน้าประตูวังไม่ให้ผู้คนบุกรุกเข้ามายามวิการ แล้วสรุปว่าพระแม่มีโทสะเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระเคนช

ผมนำมาให้พิจารณาแค่สองข้อนี้ เนื่องจากผมอาจไม่เก่งเรื่องประวัติเทพเจ้า หรือ ทฤษฎีทางเทววิทยา แต่ให้พิจารณาว่า ทุกอย่างเกิดจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ถ้าพระองค์ไม่ทำให้เกิดเหตุ แล้วผลต่างๆ จะตามมาหรือไม่ ??

ถ้าพระนารัดมุนี ไม่ดำเนินเรื่อง ประวัติเทพเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

******************************************************

สำหรับ เทวรูปที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นพระตรีมูรติก็ดี พระสดาศิวะก็ดี ล้วนแต่มุ่งเน้นให้คนยึดดี ทำดี เป็นที่ยึดเหนี่ยว ไปขอบารมีเรื่องความรัก หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆ สุดท้ายก็คือการคิดในสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราอิ่มเอิบ ให้เกิดปิติ ทั้งนั้น กราบไหว้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ดีกว่าครับ ดีกว่าจะไปนั่งไหว้ท่าน แล้วถามว่า ท่านคือใครหนอ? ใช่หรือไม่หนอ? ความเคลือบแคลงทั้งหลายเหล่านี้ อาจทำให้ความอิ่มเอิบในการบูชาลดน้อยลงครับ

อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ไหว้ตามที่ท่านอยากไหว้เถิด

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือพระตรีมูรติ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระตรีมูรติ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาเทพเจ้าตรีมูรตินั้นได้รับทราบด้วยบทมนต์

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือสดาศิวะ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระศิวะ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาพระสดาศิวะด้วยบทมนต์เช่นกัน

******************************************************

ส่วนเรื่องพราหมณ์ท่านจะทำการบรวงสรวงได้นั้น ด้วยตามที่ท่านศึกษาร่ำเรียนมาด้วยสายพราหมณ์ที่ศึกษาพระเวททั้งหลาย อะไรที่ผิดไปจากเทวลักษณะ แน่นอน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่รักษาและดำรงไว้ศึกศาสนา ย่อมต้องทำในสิ่งที่ถูกและเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วเทวลักษณะเทพจะผิดจะเพี้ยนไปตามกาลเวลา จนไม่เหลือเค้าโครงแห่งเทวลักษณะดั้งเดิมตามพระเวทไว้อย่างที่เห็นเทวรูปทั้งหลายตามตลาดพระทั่วไปเช่นกัน

ฝากไว้เพียงเท่านี้ และขอความกรุณาเพื่อนๆ ทั้งหลาย โปรดออกความเห็นให้เป็นสุภาพชนด้วยครับ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

กาลิทัส
เว็บมาสเตอร์

ขอบคุณพี่กาลิทัสครับ^^
 

พฤษภกาสรอีกกุญชรอันปลดปลง
   โททนต์เสน่คงสำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์   สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

ความนัยและความลึกลับที่ีองค์เทพเป็นผู้สร้างขึ้นมานั้นจะแฝงด้วยความนัยทุกประการยากที่จะหยั่งถึง
-ถ้าพูดถึงการประทานพรนั้น องค์เทพทุกพระองค์ที่ประทานพรมาแล้วเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมานั้น ถ้าดูและคิดใหดีๆจะแฝงความรู้
และความนัยให้คิด และสอนให้รู้ว่าเมื่อได้พรอันยิ่งใหญ่มาแล้วควรจะประพฤติตนเป็นคนดี ใม่ใช่เอาพรและอำนาจทีได้รับมาทำให้คนอื่น
เดือดร้อน แล้วผลสุดท้ายก็จบด้วยความตายของบุคคลนั้น
-หนังที่เกี่ยวกับองค์เทพนั้นจะสอนให้เรารู้ถึงการทำความดี ดูแล้วต้องคิด ไม่ใช่ดูเพื่อการบันเทิง ไม่ใช่ว่าดูแล้วมาวิจารณ์ว่าองค์เทพ
องค์นั้นดี หรือ ไม่ดี หรือว่าให้พรแล้วต้องให้องค์เทพองค์อื่นๆ ตามแก้ทุกครั้งไป

ผมอาจจะไม่มีความรู้ด้านนี้สักเท่าไหร่ ถ้ารุนแรงไปก็ขอโทษด้วย
......การทำความดีนั้นไม่ต้องไปบอกใคร ไม่ต้องให้ใครรู้ใครเห็น ตนเองเป็นผู้รู้ผู้เห็นก็พอ.....

Quote from: กาลิทัส on June 21, 2010, 08:59:52
เบี่ยงเบนประเด็นไปไกล สำหรับคำถามของท่านเจ้าของกระทู้ครับ

และดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในกระทู้นี้ คือ " มายาแห่งพระเป็นเจ้า "

ทุกอย่าง มีเกิด ล้วน มีดับ

ทุกอย่างเริ่มจากเหตุ และ ถึงจะเกิดผลลัพธ์ตามมา

อย่าไปคิดว่า เป็นเทพทำไมถึงพิโรธ หรือว่าให้คำสาปมั่วซั่ว ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีว่า

1. พระขันทกุมาร ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะพรมั่วซั่ว ที่พระองค์ต้องถือกำเนิดมาตามแก้หรือ ? )
แล้วสรุปว่า พรอันมั่วซั่ว ที่ทุกคนว่านั้นเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระขันทกุมาร

2. พระเคนช ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะโทสะแห่งพระแม่ปารวตีหรือ ?)
ที่ต้องการรักษาหน้าประตูวังไม่ให้ผู้คนบุกรุกเข้ามายามวิการ แล้วสรุปว่าพระแม่มีโทสะเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระเคนช

ผมนำมาให้พิจารณาแค่สองข้อนี้ เนื่องจากผมอาจไม่เก่งเรื่องประวัติเทพเจ้า หรือ ทฤษฎีทางเทววิทยา แต่ให้พิจารณาว่า ทุกอย่างเกิดจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ถ้าพระองค์ไม่ทำให้เกิดเหตุ แล้วผลต่างๆ จะตามมาหรือไม่ ??

ถ้าพระนารัดมุนี ไม่ดำเนินเรื่อง ประวัติเทพเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

******************************************************

สำหรับ เทวรูปที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นพระตรีมูรติก็ดี พระสดาศิวะก็ดี ล้วนแต่มุ่งเน้นให้คนยึดดี ทำดี เป็นที่ยึดเหนี่ยว ไปขอบารมีเรื่องความรัก หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆ สุดท้ายก็คือการคิดในสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราอิ่มเอิบ ให้เกิดปิติ ทั้งนั้น กราบไหว้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ดีกว่าครับ ดีกว่าจะไปนั่งไหว้ท่าน แล้วถามว่า ท่านคือใครหนอ? ใช่หรือไม่หนอ? ความเคลือบแคลงทั้งหลายเหล่านี้ อาจทำให้ความอิ่มเอิบในการบูชาลดน้อยลงครับ

อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ไหว้ตามที่ท่านอยากไหว้เถิด

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือพระตรีมูรติ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระตรีมูรติ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาเทพเจ้าตรีมูรตินั้นได้รับทราบด้วยบทมนต์

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือสดาศิวะ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระศิวะ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาพระสดาศิวะด้วยบทมนต์เช่นกัน

******************************************************

ส่วนเรื่องพราหมณ์ท่านจะทำการบรวงสรวงได้นั้น ด้วยตามที่ท่านศึกษาร่ำเรียนมาด้วยสายพราหมณ์ที่ศึกษาพระเวททั้งหลาย อะไรที่ผิดไปจากเทวลักษณะ แน่นอน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่รักษาและดำรงไว้ศึกศาสนา ย่อมต้องทำในสิ่งที่ถูกและเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วเทวลักษณะเทพจะผิดจะเพี้ยนไปตามกาลเวลา จนไม่เหลือเค้าโครงแห่งเทวลักษณะดั้งเดิมตามพระเวทไว้อย่างที่เห็นเทวรูปทั้งหลายตามตลาดพระทั่วไปเช่นกัน

ฝากไว้เพียงเท่านี้ และขอความกรุณาเพื่อนๆ ทั้งหลาย โปรดออกความเห็นให้เป็นสุภาพชนด้วยครับ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

กาลิทัส
เว็บมาสเตอร์


น้องกาลิทัสตอบได้ดีจริงๆ แหม่ถูกใจมากๆ งั้นรับกะเทยไปสักสองนางนะ 55555

พี่อยากจะให้เพื่อนๆน้องๆไปอ่านประวัติของคุรุองค์ต่างๆของทางศาสนาหน่อยก็ดีนะ จะได้เข้าใจมากขึ้น ว่าศาสนาเป็นอย่างไร มาอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร และเพื่ออะไร ?????จะได้ไม่มาเถียงกัน นั่งปรีดดดดดดดดหน้าร้อนอยู่หน้าคอม

[HIGHLIGHT=#00b0f0]ฝากไว้เตือนใจ[/HIGHLIGHT]

จะโทษใครให้มองดูตัวเราก่อน

เราไม่ดีเองที่รู้มาก เราไม่ดีเองที่ไม่ศึกษา เราไม่ดีเองที่ตั้งกระทู้ เราไม่ดีเองที่ตอบกระทู้ และท้ายสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ [HIGHLIGHT=#ff0000]ตัวเรา [/HIGHLIGHT]

Quote from: nonger1981 on June 23, 2010, 06:56:53
ความนัยและความลึกลับที่ีองค์เทพเป็นผู้สร้างขึ้นมานั้นจะแฝงด้วยความนัยทุกประการยากที่จะหยั่งถึง
-ถ้าพูดถึงการประทานพรนั้น องค์เทพทุกพระองค์ที่ประทานพรมาแล้วเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมานั้น ถ้าดูและคิดใหดีๆจะแฝงความรู้
และความนัยให้คิด และสอนให้รู้ว่าเมื่อได้พรอันยิ่งใหญ่มาแล้วควรจะประพฤติตนเป็นคนดี ใม่ใช่เอาพรและอำนาจทีได้รับมาทำให้คนอื่น
เดือดร้อน แล้วผลสุดท้ายก็จบด้วยความตายของบุคคลนั้น
-หนังที่เกี่ยวกับองค์เทพนั้นจะสอนให้เรารู้ถึงการทำความดี ดูแล้วต้องคิด ไม่ใช่ดูเพื่อการบันเทิง ไม่ใช่ว่าดูแล้วมาวิจารณ์ว่าองค์เทพ
องค์นั้นดี หรือ ไม่ดี หรือว่าให้พรแล้วต้องให้องค์เทพองค์อื่นๆ ตามแก้ทุกครั้งไป

ผมอาจจะไม่มีความรู้ด้านนี้สักเท่าไหร่ ถ้ารุนแรงไปก็ขอโทษด้วย
......การทำความดีนั้นไม่ต้องไปบอกใคร ไม่ต้องให้ใครรู้ใครเห็น ตนเองเป็นผู้รู้ผู้เห็นก็พอ.....

Quote from: ลองภูมิ on June 23, 2010, 09:14:27
จะโทษใครให้มองดูตัวเราก่อน

เราไม่ดีเองที่รู้มาก เราไม่ดีเองที่ไม่ศึกษา เราไม่ดีเองที่ตั้งกระทู้ เราไม่ดีเองที่ตอบกระทู้ และท้ายสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ [HIGHLIGHT=#ff0000]ตัวเรา [/HIGHLIGHT]

เห็นด้วยกับความคิดเห็นของทั้งสองท่านครับผม   

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ผมขอเสนอความคิดเห็นนะครับ แต่ ไม่ใช่เรื่องที่พูดกันนะครับ ขอพูดถึงเรื่อง สี่แยก ราชประสงค์ ทุกท่านในที่นี้ คงจะรู้ว่า สี่แยกราชประสงค์ คือ สี่แยกเทวดา ถูกต้องไหมครับ การที่ สี่แยกนี้ เกิดขึ้นขึ้นเนื่อง ด้วยการที่ สี่แยกนั้น มี เทรูปมามาย โดยที่ผู้ที่ก่อสร้าง เชื่อในพลังแห่งเทพเจ้า จึงสร้าง ขึ้น เนื่อง ด้วยเอาไว้ทานพลังแห่งกัน และกัน จะได้ไม่ให้พลัง อีกฝ่าย ทำลาย อีกฝ่าย นะครับ ไม่เชื่อ ก็ลองสำรวจดูนะครับ ว่าจริงไหม ไปดูได้นะครับ ว่าทุกตำแหน่งของเทพเจ้า จะ ประจันหน้า กันอยู่เลย ยกตัวอย่างเช่น พระตรีมูรติ จัตั้งประจันหน้ากับ พระพรหมฝั่งตรงข้าม และยังมีอีกหลายองค์เลยครับ อย่างเช่นนารายณ์ ทรง สุบรรณ พระแม่ลักษมี อีก เยอะเลย ครับ อันนี้เป็นความรู้ที่ผมเคยได้ยินมานะครับ อาจจะถูกต้องหรือ ผิด ผมก็ไม่รู้ แต่ที่ สังเกตุ และ ด้วยเหตุผลที่ เขาบอกมาก็น่าเชื่อเหมือนกัน

เบนไปสักการะแถวนั้นทีไร ไม่ค่อยสังเกตุเลยอ่ะว่าท่านประจันหน้าเข้าหากัน

หุหุหุ ขอพรเสร็จเข้าเซนเลยอ่ะ แต่เดี่ยวนี้ไม่มีให้เดินและเศร้า (T_T)
วงการมายา ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นสมรภูมิรบ และ การผูกสัมพันธ์ไมตรี ทั้งจริงและจอมปลอม

มายา ความหมายของมันช่างลึบลับเหลือเกิน

วงการมายาไม่ใช่ของเล่นทั่วไป เข้าแล้วออกยาก ระวังเอาไว้

ผมคิดว่าการที่ท่านให้พรอสูรจนเกิดความเดือดร้อนก็เพื่อให้บรรดาเหล่าทวยเทพได้ลงมาปราบเพื่อเสริมบารมีกับเทพองค์นั้น ๆ มากกว่าครับ..ทำไมไม่มองว่าท่านเสียสละพระองค์ขนาดไหน...ทั้งตอนกวนเกษียรสมุร..ทั้งตอนที่มารับพระแม่คงคาไว้ที่มวยผมจะหาเทพองค์ได้มีเสียสละอย่างท่านก็ยากอยู่นะขอรับ.....ไหนจะต้องสูญเสียพระแม่สตีอันเป็นที่รักไปอีก..น่าสงสารท่านนะครับ


ขอบคุณโรงหล่อ ไปโรงหล่อมา เห็นเข้าปั้น ต้นแบบไว้เลยขอถ่ายรูปมา

พระพักตร์งามมากๆครับผม

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]