Loader

รบกวนหน่อย

Started by บุตรีศรีมหาสิทธิวินายก, December 27, 2011, 07:16:26

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

ทำไมพราหม์ จึเอาพระศรีศากยะโคดมบรมพุทธเจ้า ผู้เจริญพร้อมด้วยวิชาและจรณะ ไปเป็นเพียงปางหนึ่งของ มหานารายณ์ พร้อมตั้งชื่อว่ามายาโมหะ แปลว่าผู้หลอกลวง ผมสงสัยมาก ช่วยตอบที อนาคตกาล กัลกิยาวตาร จะทำลายพระพุทธศาสนา

ขอยกบทความของคุณแด่ศานติอันนิรันด์มาให้อ่านค่ะและก็คิดว่าหลายท่านคงจะเคยอ่านกันมาแล้ว

"พระพุทธเจ้า พระเอกผู้หลอกลวงของฮินดู บทเรียนที่มักถูกลืม"

อินเดียหันจากพราหมณ์ มาหาพุทธศาสน์ ศาสนาพราหมณ์อันเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งพัฒนามาเป็นศาสนาที่เรียกในปัจจุบันว่า ฮินดู นับถือเทพสูงสุด ซึ่งในพุทธกาลได้แก่พระพรหม เทพที่เก่าแก่ที่สุดของฮินดู ผู้มีอำนาจสร้างสรรค์ดลบันดาลสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตและสังคมของมนุษย์ ศาสนาพราหมณ์นั้น ได้จัดตั้งวางระเบียบสังคมด้วยระบบวรรณะ และกำกับวิถีของสังคมนั้นด้วยข้อกำหนดแห่งพิธีบูชายัญ บนฐานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท โดยอ้างอำนาจสูงสุดของพระพรหมเทพเจ้า ในระบบวรรณะ ๔ นั้น พระพรหมทรงสร้างและจัดสรรสังคมมนุษย์ โดยแบ่งคนให้มีศักดิ์และสิทธิ์ตามชาติกำเนิด ไม่มีทางแก้ไข เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ได้สอนให้มนุษย์รู้ว่าธรรมสูงสุดส่วนพระพรหมและเทพทั้งปวง เป็นเพียงเพื่อนร่วมสังสารวัฏที่มนุษย์พึงอยู่ร่วมด้วยเมตตา โดยต่างก็เป็นไปตามธรรม พร้อมกันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศหลักการให้ถือว่าคนทั้ง ๔ วรรณะมีสถานะเสมอกัน ไม่มีการแบ่งแยกแตกต่าง มวลมนุษย์เสมอกันโดยธรรมจะแตกต่างกันไปก็ด้วยการทำกรรม ดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า


บุคคลไม่เป็นคนถ่อยทรามเพราะชาติกำเนิด ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นคนถ่อยทราม เพราะการกระทำ เป็นพราหมณ์เพราะการกระทำ [ขุ.สุ.๒๕/๓๐๕๑๓๔๙]


สังฆะของพระพุทธเจ้าจึงเปิดรับคนทั้ง ๔ วรรณะเท่าเทียมกัน ดังคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า แม่น้ำสินธู แม่น้ำสรัสวดี แม่น้ำจันทภาคา แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และมหินที ทั้งหมดนี้เมื่อหลั่งไหลมา สาครย่อมรับไว้ ชื่อเดิมก็สลัดหาย รู้กัน แต่ว่าเป็นสาครเหล่าชน ๔ วรรณะนี้ก็เช่นกัน บรรพชาในสำนักของพระองค์ (พระพุทธเจ้า) ย่อมละชื่อเดิม รู้กันแต่ว่าเป็นพุทธบุตร [ขุ.อป.๓๒/๓/๓๙]


อีกด้านหนึ่งคือการบูชายัญในพระไตรปิฎก มีเรื่องราวจารึกไว้หลายพระสูตรที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงพบปะสนทนาโต้ตอบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่มีชื่อเสียงและผู้ปกครองบ้านเมือง โดยทรงใช้วิธีการทางปัญญา ทำให้เขาเลิกล้มพิธีบูชายัญที่เอาใจเทพเจ้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการเบียดเบียนคนและสัตว์ ให้เขาหันมาบำเพ็ญทานเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกันในหมู่มนุษย์เอง เมื่อการต่อสู้ทางปัญญาเข้มข้นขึ้น และพระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไป พิธีบูชายัญก็ลดความสำคัญลง แม้แต่พราหมณ์ก็สละวรรณะออกมาบวชเป็นพระภิกษุกันมากขึ้น ๆ ทำให้สถานะของศาสนาพราหมณ์สั่นคลอนอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป พระพุทธศาสนาก็ยิ่งเจริญแพร่หลายกว้างขวาง จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะที่ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยทะนุบำรุงอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์อย่างทั่วถึง และคุ้มครองในความเป็นธรรมเสมอเหมือนกัน นอกจากไม่ให้อภิสิทธิ์แก่วรรณะพราหมณ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชถึงกับทรงประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และทรงย้ำการห้ามบูชายัญนี้บ่อยครั้งในศิลาจารึกที่โปรดให้เขียนไว้ในท้องถิ่นดินแดนต่าง ๆ นับว่าเป็นการหักล้างหลักการของศาสนาพราหมณ์อย่างถึงรากถึงฐาน แน่นอนว่า ระบบวรรณะ และการบูชายัญเป็นสิ่งที่พราหมณ์จะต้องพยายามรักษาไว้ให้มั่นคงที่สุด หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตเพียง ๕๓ ปี ( นับแบบของเราว่า พ.ศ. ๓๑๓ แต่นับอย่างฝรั่งว่าประมาณ พ.ศ. ๒๙๘ )พวกพราหมณ์ก็โค่นล้มราชวงศ์โมริยะลง โดยพราหมณ์นามว่า ปุษยมิตร ซึ่งรับราชการเป็นเสนาบดีอยู่ในวัง ได้ปลงพระชนม์กษัตริย์เสีย แล้วพราหมณ์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เอง ตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อว่าศุงคะ มีเรื่องบันทึกไว้ว่า ราชาปุษยมิตรได้ประกาศศักดา โดยรื้อฟื้นการบูชายัญ เฉพาะอย่างยิ่งยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คืออัศวเมธ อันได้แก่การฆ่าม้าบูชายัญ นอกจากนั้น ราชาปุษยมิตรได้ทำลายพระพุทธศาสนา เผาวัดกำจัดพระภิกษุสงฆ์ โดยถึงกับในค่าศีรษะแก่ผู้ฆ่าพระภิกษุได้ รูปละ ๑๐๐ ทินาร์* [Dutt, Sukumar. The buddha and Five After-Centuries. (London:Luzac and Company Limited, 1955,p.164] แต่เรื่องของปุษยมิตรอยู่ในยุคที่มีเอกสารน้อย จึงไม่มีรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ราชาปุษยมิตรทำลายพระพุทธศาสนาไม่ได้มาก เพราะครองดินแดนของราชวงศ์โมริยะไว้ได้เพียงบางส่วน มีผู้ตั้งอาณาจักรอื่น ๆ ขึ้น แตกแยกออกไป และพระพุทธศาสนาก็ยังรุ่งเรืองต่อมาในหลายถิ่น เช่น ในอาณาจักรบากเตรีย ที่เราเรียกว่า แคว้นโยนกของกษัตริย์เชื้อชาติกรีก พระนามว่าพระเจ้าเมนานเดอร์หรือมิลินทะ แห่งแคว้นสาคละ หรือสากละในปัญจาบปัจจุบัน ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ (ราว ๑๕๐ ปีหลังยุคพระเจ้าอโศกมหาราช) เทพเจ้าองค์ใหม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาในศาสนาพราหมณ์นั้น คือพระวิษณุ (ได้แก่พระนารายณ์) และพระศิวะ (ได้แก่พระอิศวร) ในยุคต่อจากนี้ ตลอดเวลาระยะยาว พราหมณ์ได้พยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งอย่างรุนแรง และอย่างละมุนละม่อม รวมทั้งการสร้างนารายณ์อวตารปางที่ ๙ ที่เรียกว่าพุทธาวตาร หรือที่พราหมณ์เองเรียกว่าปางมายาโมหะ และศิวะอวตาร ตลอดจนตั้งคณะนักบวชฮินดูขึ้นมาเลียนแบบสังฆะ เดี๋ยวนี้ชาวฮินดูสร้างเทวาลัย บางพวกวางรูปพระนารายณ์ไว้ตรงกลาง แล้วบางแห่งก็เอารูปพระพุทธเจ้าไปวางไว้ข้าง ๆ ให้เป็นบริวาร การที่เขาทำอย่างนี้ เป็นเรื่องยุคหลัง ๆ ที่สืบมาแต่ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ครั้งนั้น ทางฝ่ายฮินดูแต่งเรื่อง โดยสร้างหลักคำสอนใหม่ขึ้นมา บอกว่าพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่จะอวตารลงมากู้และแก้ปัญหาของโลกเป็นระยะ ๆ แล้ว ครั้งหนึ่งก็ได้อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าของเราก็กลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เขาบอกว่า บูชาพระพุทธเจ้าได้ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นพระนารายณ์ที่อวตารลงมา ว่าแล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปไปไว้ในเทวาลัยของฮินดูด้วย โดยเอาพระนารายณ์ตั้งตรงกลาง แล้วเอาพระพุทธรูปไปวางไว้ข้าง ๆ เป็นการค่อยประสานกลมกลืนกันไป แต่ที่เขาบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ดูเหมือนเป็นการยกย่องนั้น ถ้าศึกษาสักหน่อย ก็จะรู้ว่าเป็นการมุ่งร้าย เพราะเขาบอกว่า


พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อทำหน้าที่หลอกลวงคน ลัทธิฮินดูบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางมายาโมหะ คือปางหลอกลวงคน หลอกลวงอย่างไร คือเขาแต่งเป็นเรื่องว่า มีมนุษย์จำนวนมากที่เป็นพวกของอสูรร้ายเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและต่อพระเวท พระนารายณ์ก็เลยอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหลอกลวงคนเหล่านี้เอามารวมเข้าด้วยกันไว้ เพื่อช่วยให้เทพเจ้าทำลายคนเหล่านี้ได้สะดวกทีเดียวหมดเลย หมายความว่า ฮินดูให้พระพุทธเจ้าเป็นพระเอกในบทบาทของผู้หลอกลวง และถือว่าชาวพุทธก็คือพวกลูกน้องของอสูร


พราหมณ์ใช้พระนารายณ์มาชิงอินเดียกลับไป ไหน ๆ ได้พูดพาดพิงถึงการที่ฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารแล้ว ก็ควรจะพูดให้เข้าใจชัดเจนขึ้นสักนิด เรื่องนารายณ์อวตารนี้เกิดขึ้นในยุคคัมภีร์ปุราณะของฮินดู ปุราณะ แปลง่าย ๆ ว่า เรื่องโบราณก็คล้ายกับคำว่าตำนาน แต่เป็นตำนานของฮินดูโดยเฉพาะคัมภีร์ปุราณะมีทั้งหมด ๑๘ คัมภีร์ แต่ก่อนเคยเข้าใจกันว่าเก่าแก่มาก แต่เวลานี้รู้กันลงตัวหมดแล้วว่า แต่งขึ้นเริ่มแรกในคริสต์ศตวรรษ ที่ ๔ (ราว พ.ศ. ๘๕๐) และแต่งกันเรื่อย ๆ มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ (ราว พ.ศ.๑๔๕๐) แต่ปราชญ์บางท่านว่าถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (ราว พ.ศ.๒๐๕๐) เรื่องเอาพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ที่เรียกว่าพุทธาวตารนั้น ปรากฏขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๑๐๐ คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์แรกที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร คือ "วิษณุปุราณะ" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แต่งในช่วง พ.ศ.๙๔๓-๑๐๔๓ และบรรยายไว้ยืดยาว ชาวฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารเพื่ออะไร ไม่ควรเดา ถ้าต้องการรู้ชัดก็อ่านข้อความในคัมภีร์ปุราณะที่เป็นต้นแหล่ง ก็จะได้ความแน่นอน ขอยกข้อความในคัมภีร์วิษณุปุราณะ ตอนสำคัญมาให้ดู ตอนหนึ่งว่า "พวกอสูร มีประหลาทะ เป็นหัวหน้า ได้ขโมยเครื่องบูชายัญของเทพยดาทั้งหลายไป แต่เหล่าอสูรเก่งกล้ามาก เทพยดาปราบไม่ได้ พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จึงทรงนิรมิตบุรุษแห่งมายา (นักหลอกลวง) ขึ้นมาเพื่อให้ไปชักพาเหล่าอสูรออกไปให้พ้นจากทางแห่งพระเวท ..... บุรุษแห่งมายานั้นนุ่งห่มผ้าสีแดง และสอนเหล่าอสูรว่า การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นบาป..... ทำให้พวกอสูรเป็นชาวพุทธและชักพาให้หมู่ชนอื่น ๆ ออกนอกศาสนา พากันละทิ้งพระเวท ติเตียนเทพยดาและพราหมณ์ทั้งหลาย สลัดทิ้งสัทธรรมที่เป็นเกราะป้องกันตัว เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าโจมตีและฆ่าอสูรเหล่านั้นได้"


อีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ในการสงครามระหว่างเทพยดากับเหล่าอสูร เทพยดาได้ปราชัย และมาขอให้องค์พระเป็นเจ้า (พระวิษณุ=พระนารายณ์) ทรงเป็นที่พึ่ง องค์พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงมาอุบัติเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ มาทรงเป็นองค์มายาโมหะ (ผู้หลอกลวง) และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา และละทิ้งพระเวท แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นอรหันต์ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น" ญาติโยมอาจสงสัยว่า ทำไมจะไปล่อให้อสูรออกนอกศาสนาเสียละ ทำให้เขานับถือไม่ดี หรือตอบง่าย ๆ ว่า พราหมณ์หรือฮินดูถือว่า อสูรเป็นศัตรูของเทวดา เมื่ออสูรมารู้พระเวท ทำพิธีบูชายัญ เป็นต้น ก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจ เทวดาก็ปราบไม่ได้ เหมือนอย่างเรื่องข้างต้น พระนารายณ์จึงอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรกับพวกออกไปเสียจากศาสนาฮินดู (ให้เลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญเป็นต้น) แล้วจะได้หมดฤทธิ์ หมดพลังอำนาจ เสร็จแล้วพวกเทวดาจะได้สามารถปราบหรือกำจัดอสูรได้สำเร็จ หมายความว่า พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อมาหลอกเหล่าอสูร ซึ่งเป็นศัตรูของเทวดาให้หลงผิดเลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญ เป็นต้น แล้วอสูรจะได้หมดฤทธานุ-ภาพ คือมาช่วยให้เทวดาปราบอสูรได้สำเร็จ และก็หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหมดนี้คือพวกอสูร ซึ่งจะต้องถูกปราบถูกกำจัดต่อไป คัมภีร์ภาควตปุราณะ ซึ่งเป็นปุราณะที่สำคัญที่สุดกล่าวว่า "เมื่อกลียุคเริ่มขึ้นแล้ว องค์พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า โอรสของราชาอัญชนะ (ที่จริงเป็นพระอัยกาของพุทธเจ้า) เพื่อชักพาเหล่าศัตรูของเทพยดาทั้งหลายให้หลงผิดไปเสีย มาสอนอธรรมแก่เหล่าอสูร ทำให้พวกมันออกไปเสียจากพระศาสนา พระองค์จะทรงสั่งสอนเหล่าชนผู้ไม่สมควรแก่ยัญ พิธีให้หลงผิดออกไป ขอนอบน้อมแด่องค์พุทธะ ผู้บริสุทธิ์ ผู้หลอกลวงเหล่าอสูร" ที่ว่ากลียุคนั้น ทางฮินดูถือว่ามีเครื่องหมายแสดงให้รู้คือ เมื่อใดการแบ่งแยกวรรณะทั้ง ๔ เริ่มผ่านคลายเสื่อมสลายลง ก็แสดงว่ากำลังเริ่มเข้าสู่กลียุค ตอนนี้ คัมภีร์ปุราณะก็กล่าวบรรยายไว้ด้วยว่า เมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรและพวกให้หลงผิดออกไปจากศาสนาฮินดูเรียบร้อยแล้วต่อไป เมื่อสิ้นกลียุคแล้ว พระองค์ก็จะอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นอวตารปางที ๑๐ (ต่อจากพระพุทธเจ้าซึ่งเขาจัดเป็นปางที่ ๙ ) ชื่อกัลกี (กัลกยาวตาร) เพื่อกำจัดกวาดล้างฆ่าเหล่าอสูรนั้นให้หมดสิ้น แล้วเสด็จกลับคือสู่สรวงสวรรค์ ต่อแต่นั้น โลกก็จะกลับเข้าสู่ยุคทอง


คัมภีร์มหาภารตะ ก็ได้เขียนเติมแทรกข้อความต่อไปนี้ไว้ "เมื่อเริ่มกลียุค องค์พระวิษณุเจ้าจะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นโอรสของราชาสุทโธทนะ และจะเป็นสมณโล้นออกสั่งสอนด้วยภาษามคธ ชักพาเหล่าประชาชนให้หลงผิดประชาชนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนหัวโล้นไปด้วย และนุ่งห่มผ้าเหลือง พราหมณ์ก็เลิกทำพิธีเซ่นสรวง และหยุดสาธยายพระเวท..... ลำดับนั้น เมื่อสิ้นกลียุค พราหมณ์นามว่ากัลกี ผู้เป็นบุตรแห่งวิษณุยสะ จะมาถือกำเนิด และกำจัดเหล่าพวกอนารยชนคนนอกศาสนาเหล่านั้นเสีย"


อันคัมภีร์หนึ่งเขียนไว้ ให้รู้สึกเป็นประวัติศาสตร์(แบบเทียม ๆ) ว่า "บัดนี้ องค์พระวิษณุเจ้า มีพระทัยรำลึกถึงกลียุค จึงได้เสด็จลงมาอุบัติเป็นพระโคตมะ ศากยมุนี และสอนธรรมของพุทธศาสนาเป็นเวลา ๑๐ ปี ครั้งนั้น ราชาสุทโธทนะครองราชย์ ๒๐ ปี แล้ว ราชาศากยสิงหะครองราชย์ ๓๐ ปี ในตอนต้นแห่งกลียุคนั้น วิถีแห่งพระเวทได้ถูกทำลาย และประชาชนได้ไปนับถือพุทธศาสนากันหมด เหล่าชนผู้ถือองค์พระวิษณุเป็นสรณะ ได้ถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้ว" ต่อมา พวกฮินดูนิกายไศวะสายศังกราจารย์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพวกไวษณพ ก็ได้นำวิธีการนี้มาให้ด้วย โดยสอนว่าศังกราจารย์เป็นอวตารของพระศิวะ (พระอิศวร) เพื่อมากำจัดพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ดังข้อความใน "ศังกรทิควิชยะ" ว่า "เทพยดาทั้งหลาย ได้มาร้องทุกข์แด่องค์พระศิวะเป็นเจ้าว่า พระวิษณุได้เข้าสิงสู่ในร่างของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์เพื่อประโยชน์ของตน บัดนี้ เหล่าชนผู้เกลียดชังพระศาสนา ผู้ดูหมิ่นพราหมณ์ ดูหมิ่นธรรมแห่งวรรณะและอาศรมธรรมได้มีจำนานมากเต็มผืนแผ่นดินไม่มีบุคคลใดประกอบยัญพิธีเพราะคนทั้งหลายได้กลายไปเป็นคนนอกศาสนา (=นอกศาสนาฮินดู) คือเป็นพุทธ เป็นพวกกาปาลิก เป็นต้น ทำให้เหล่าเทพยดาทั้งหลายไม่ได้เสวยเครื่องเซ่นสังเวยองค์พระศิวะเป็นเจ้า (ได้ทรงสดับแล้ว) ก็ได้โปรดเห็นชอบกับเหล่าเทพยดา เสด็จอวตารลงมาเป็นศังกราจารย์ เพื่อกู้คำสอนแห่งพระเวท ในฟื้นคืนกลับมา เพื่อให้สากลโลกมีความสุขและทำลายความประพฤติชั่วให้หมดสิ้นไป" ตามที่ยกมาให้ดูให้ฟังนี้ ก็คงจะเห็นได้เองว่า เรื่องนารายณ์อวตารแสดงความรู้สึกและเจตนาที่แท้ของฮินดูต่อพุทธศาสนาอย่างไร เช่น จะเห็นว่าเขาถือว่าการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนาหมายถึงการเริ่มต้นของกลียุค เขาถือว่าชาวพุทธเป็นพวกอสูร และพระพุทธเจ้ามาทรงสั่งสอนนี้ ไม่ได้มาสอนด้วยเจตนาดี แต่ตั้งใจมาชักจูงอสูรคือชาวพุทธให้หลงผิด และที่ว่าหลงผิดก็คือจุดที่เขาโกรธแค้นมากว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนเลิกบูชายัญ (โยงไปถึงเรื่องการให้เลิกแบ่งวรรณะ)


เรื่องนี้ ก็ต้องตื่นกันเสียทีอีกด้วย บางท่านไม่ทราบเรื่องชัด เห็นว่าฮินดูนับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตาร ก็คือ นับถือเท่ากับเป็นพระเจ้าของเขา ก็เลยกลายเป็นไม่รู้ทัน ขอให้มองง่าย ๆ


๑. มองในแง่กาลเวลา พระพุทธเจ้าปรินิพานล่วงไปแล้วตั้งพันกว่าปี ฮินดูเพิ่งจะมาว่าเป็นนารายณ์อวตารลงมา ไม่เข้าเรื่องกัน
๒. มองในแง่ของพระพุทธศาสนาเอง เรื่องพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็น ใครก็ตาม ขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศานาไม่ยอมรับเรื่องเทพเจ้า ยิ่งใหญ่ที่สร้างสรรค์ดลบันดาลโลกและชีวิต
๓. มองในแง่ของฮินดูที่อยู่ข้างนอกว่ามีท่าทีต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร ก็ชัดว่า ไม่ได้คิดในทางที่ดี พระพุทธเจ้ากลายเป็นผู้หลอกลวง เอาชาวพุทธที่เขาว่าเป็นพวกอสูรไปแยกไว้ เพื่อให้พวกเทวดามากำจัดต่อไป น่าสงสัยด้วยว่า ชาวฮินดูที่กำจัดพระพุทธศาสนาและชาวพุทธในยุคต่าง ๆ ต่อมา จะอาศัยคำกล่าวในคัมภีร์อย่างนี้ไปเป็นข้ออ้างด้วยบ้างหรือเปล่า นอกจากนั้น คำในคัมภีร์ปุราณะ เช่นที่ยกมานี้ ฟ้องถึงสภาพในเวลานั้นว่า พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองมีผู้นับถือมาก และศาสนาพราหมณ์เสื่อมถอย จึงกลายเป็นเหตุให้ฮินดูร้อนรนเอาจริงเอาจังอย่างหนักที่จะหาทางกำจัดให้ได้ และมองเห็นทางที่แยบคาย หรือหมดทางอื่น จึงคิดวิธีใหม่โดยสร้างทฤษฎีขึ้นมากลืน

ที่มา:http://wongmalatorn-say.exteen.com/20071006/entry-1
                                                                                                                  

เข้าใจแล้ว รู้สึกลังเลกับเทพที่บ้านละ จะทิ้ง หรือ บูชาต่อ อันไหนดีครับ

คิดให้ีดีก่อนนะว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เทพเจ้าหรือมนุษย์?
มนุษย์ไม่ใช่หรือที่แต่งเรื่องราวเพื่อโจมตีศาสนาอื่น?
แล้วเทพเจ้าไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
เทพเจ้ามีความผิดด้วยหรือ?
ทางทีดีเคารพบูชาพระเป็นเจ้าต่อไปเถอะ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของท่านเลย
                                                                                                                  

ครับ จะเคารพต่อไปครับ แต่ว่ามีคนเคยมาเล่าให้ฟังว่า พระศิวะ พระนารายณ์ ไม่มีอยู่จริง หลวงพ่อฤษีลิงดำท่านเคยไปถามเทวดาแล้ว ได้คำตอบว่า มีเพียงพระพรหมเท่านั้น เรื่องจริงไหมครับ

เรื่องเทพเทวดาเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน
ต้องเห็นเองและสัมผัสเองเท่านั้นถึงจะรู้
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่
เราเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
เราเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริง

ส่วนเรื่องอวตารของพระวิษณุนั้นในบางตำนานก็ไม่มีพุทธาวตารแต่เป็นพระบัลรามหรือพระพลรามอวตาร
                                                                                                                  

อีกอย่างนะถ้าเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง
แล้วศาสนานี้จะดำรงคงอยู่มาเนิ่นนานจนถึงบัดนี้หรือ
ที่สำคัญพวกพราหมณ์ นักบวช ฤาษีหรือโยคีในสมัยก่อน
ที่คร่ำเคร่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดตบะญาณอันสูงส่งเพื่อเข้าถึงพระเจ้านั้น
หากไม่มีพระเป็นเจ้าอยู่จริงแล้วพวกเขาจะเคร่ำเคร่งปฏิบัติตนเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
แล้วเชื่อหรือว่านัีกบวชหรือโยคีพวกนี้จะไม่มีญาณวิเศษที่พอจะหยั่งรู้
ได้ว่าเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพนับถือนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่จริงอย่างไร
                                                                                                                  

 
Quote from: Darin on December 27, 2011, 09:04:09
คิดให้ีดีก่อนนะว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เทพเจ้าหรือมนุษย์?
มนุษย์ไม่ใช่หรือที่แต่งเรื่องราวเพื่อโจมตีศาสนาอื่น?
แล้วเทพเจ้าไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
เทพเจ้ามีความผิดด้วยหรือ?
ทางทีดีเคารพบูชาพระเป็นเจ้าต่อไปเถอะ
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของท่านเลย

ผมชื่นชมและเห็นด้วยกับความเห็นของคุณ Darin ครับ

ฝากถึงคุณบุตรีศรีมหาสิทธิวินายก หากสิ่งที่คุณเคารพศรัทธาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น รวมถึงยืนอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาอย่างมีสติและปัญญา ก็ขอให้ดำรงความความศรัทธานั้นไว้เถิดครับ เพราะบางสิ่งบางอย่าง หลายความคิด หลายทฤษฏี หากวิตกหรือคิดมากไป รังแต่จะรบกวนใจเสียเปล่าๆ หากคุณเชื่อมั่นในสิ่งที่ศรัทธา สิ่งเหล่านั้นก็จะบังเกิดผลดีกับตัวคุณเองครับ

ส่วนตัวผมก็นับถือทั้งพุทธและเทพเจ้าทางฮินดู ก็ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมาก ถ้าเราศรัทธาในสิ่งที่ดี ไม่มีบาป สิ่งต่างๆก็ย่อมจะสร้างความสบายใจให้กับตัวผู้บูชาครับ เพราะทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี