Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ลองภูมิ

#1
Quote from: Legacy on February 25, 2011, 22:34:29
Quote from: visarut on February 24, 2011, 20:45:34
รบกวนว่าถ้าแปลงไฟล์คลิปสุดท้ายเป้นmp3แล้วโพสด้วยน่ะครับ
ขอบคุณครับ
นมัสศิวะ

ผมทำให้แล้วครับ
http://www.4shared.com/audio/1gN4xRlU/OM_NAMAH_SHIVAYA.html
 

ปกติชอบฟังบทสวดขององค์เทพ แต่พอได้ฟังบทนี้ กลับรู้สึกขนลุก ซู่ไปทั่วศีรษะเลย แปลกดีครับ
#2
นานๆเข้ามาที โห้ น้องเรารับมือหนักเลยนะ เหนื่อยก็พักบ้างนะ ยีนส์น้องรัก   
#3
มาอวยพรเช่นเดียวกันครับ ขอให้เพื่อนๆชาวฮินดูมิตติ้งทุกคน ปีใหม่นี้ ผมขอพรจากทวยเทพทั่วจักรวาล ขอพระองค์โปรดจงบันดาลให้ทุกๆท่าน จงรวย ณ บัดนาว เพี้ยง... รวยๆๆๆๆๆๆ 
#4
ผมยังอยู่เพียงแต่แอบดูห่างๆ เพียงอยากจะให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาได้แสดงบทบาทบ้าง ยังให้กำลังใจทีมงานทุกคนครับ ....สวัสดี
#5
เขานับถือศาสนาที่เขานับถือเป็นสรณะสูงสุด เราก็นับถือศาสนาเราเป็นสูงสุด แล้วจะเหมือนกันได้อย่างไร ก็ต่างคนต่างนับถือ คนที่ยกสิ่งที่นับถือสูงสุดมาข่มกัน ก็แสดงว่า เขาคนนั้นมิได้เข้าใจในสัจธรรมที่แท้จริง สุดท้ายไม่เขาก็เราก็ต้องมีอันสลายไป มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งที่ถกเถียง เมื่อต่างคนต่างอยู่คนละฝั่งก็ย่อมไม่เข้าใจ ละเว้นเสีย ถือว่าให้ศึกษา อย่าเอาใจไปวางกับสิ่งที่โกรธ เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอต่อสิ่งที่เราเคารพ

พระผู้เป็นเจ้าและพระพุทธเจ้าท่านทรงต้องการเพียงเท่านั้นจริงๆ ....สวัสดี
#6
แถมอีกสามรูป เป็นร่างทรงของทางวัดครับ ทั้งสามพระองค์(พอดีว่าปีนี้ถ่ายมาน้อยมากไว้ดูของท่านก็แล้วกันนะครับ )







#7
รูปนี้เป็นซุ้มของสมาชิกเว็บอีกท่านหนึ่ง ท่านจิ้งจอกพันหน้า และโปรดสังเกตดูรูปวาดข้างด้วยของใครหว่า ...คริคริ





#8
รูปนี้เป็นซุ้มของท่านกาลปุตราครับ และท่านกาลปุตราก็อยู่ในรูปด้วย อยากรู้ว่าคนไหนต้องพิจารณาเอาเองครับ (แอบถ่ายเขามา )คริคริ

อาจจะไม่ค่อยชัดนะครับ

#10
ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นทิศของเทพ ทิศมหาโชคครับ ถือว่าเป็นทิศที่ดีครับ

ส่วนทิศ ตะวันตกเฉียงใต้เป็นทิศ นรกครับ ประตูนรกจะเปิดทางนี้ครับ
#16
เอาละคงได้เวลาที่ปล่อยภาพสุดสวยมาให้ชม แบบว่าเก็บไว้นานเกือบปีแล้ว ไม่มีโอกาสได้โพสเลย ยังไงเลยเอามาโพสให้ชมเล็กๆน้อย ก่อนงานจะเริ่มต้นใหม่เร็วๆนี้ครับ เอาละมาชมกันเลย....
#17
Quote from: กาลิทัส on July 30, 2010, 10:01:45
อย่างพี่ลองภูมิว่าแหละครับ

ผมเคยไปซื้อกำยานสามห่อ ก็ขายให้ปกติดี ไปอีกทีบอกไม่ขายปลีกต้องซื้อหลายๆ ถุงเพราะเขาขายส่ง
พอเดินเล่นพาหุรัดอีกสองรอบกลับไปใหม่ ก็ซื้อปลีกได้ปกติครับ

แต่ต้องยอมรับว่า กำยานที่นั่นหอมมากครับ


คอนเฟริม์ กำยานร้านนี้หอมมาก ถูกต้องนะครับ..
#18
อื้มไปร้านนี้ ต้องขอบอกก่อนนิดนึงนะ บางครั้งอาจจะพลาดโอกาสในการเช่าบูชาไป คือว่าร้านนี้ เจ้าของร้านเขาจะเป็นคนอินเดียและขาไม่ดี และจะมีคนขายอีกคนคือผู้หญิง(ไม่ทราบสถานะ) แต่ส่วนมากแล้วชายอินเดียจะเป็นอยู่ประจำ จะพูดไงดี คือบางครั้งเขาก็ไม่อยากขายคือตามอารมณ์ เขาจะพูดว่า คนขายไม่อยู่ เพื่อนผมหลายคนหน้าแหกมาแล้ว ผมไปซื้อหลายๆครั้ง เขาก็เป็นคนขาย แต่เพื่อนผมหลายๆคนไปซื้อบ้าง เขาจะบอกไม่ขายดื้อๆไปซะงั้น แล้วครั้งหลังสุดถ้าจำไม่ผิดไปกับ น้องคนหนึ่งจะไปหาซื้อกำยานกัน เขาบอกคนขายไม่อยู่เฉยเลย ซึ่งตามจริงแล้ว เขานั้นแหละคนขาย เรื่องนี้คงแล้วแต่วาสนานะครับ แต่ส่วนตัวผมไปทุกครั้ง ได้ซื้อทุกครั้งครับ
#19
   พี่ก็ยังอยู่เด่อ น้องยีนส์ เพียงแต่ระยะนี้อยู่แต่กับคนแก่ เพลินไปหน่อย แต่ก็แวะมาดูบ่อยๆอยู่นะ น้องเรา พี่เป่งกำลังใจเด่อ  
#20
Quote from: ฟ้าใส on June 14, 2010, 21:48:55
อ้าวว.....

ฟ้าเพิ่งจะไปขอท่านเรื่องความรักมา อย่างงี้ก็แห้วอ่ะดิ ....เห้อ มีใครช่วยให้คำแนะนำได้บ้างมั้ยคะ ว่ามีเทพองค์ใดที่พอจะให้พรในเรื่องของความรัก ความสมหวังได้บ้าง อ่านแล้วอย่าเพิ่งคิดว่ามันเรื่องไร้สาระนะคะ เพราะฟ้ามีความเชื่อว่าถ้าดวงชะตาเราดี อยู่ในศิลธรรม เราสามารถที่จะช่วยให้คนที่เป็นคู่เรานั้นดีขึ้นด้วยได้เช่นกัน


ความรัก เป็นเหมือนพรหมลิขิต ถึงเวลาก็มีมาถ้ามีกรรมสัมพันธ์ และก็จะจากเมือถึงเวลาอันสมควร มิต้องไปขอร้อง ขอพรจากผู้ใดหรอก รู้ว่าเหงา ใครก็เป็นทั้งโลก อยากไขว้คว้า หารักที่สมหวัง แต่จะมีกี่รายที่เป็นเช่นนั้น สุดท้ายก็จากกันแบบไม่เหลือเยื้อใย มีรักก็มีทุกข์ มีพบก็มีจาก แต่ผู้คนก็ยังวิ่งหาความรักกันมากมาย ......อนิจจัง หนอ
#21
Quote from: กาลิทัส on June 21, 2010, 08:59:52
เบี่ยงเบนประเด็นไปไกล สำหรับคำถามของท่านเจ้าของกระทู้ครับ

และดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในกระทู้นี้ คือ " มายาแห่งพระเป็นเจ้า "

ทุกอย่าง มีเกิด ล้วน มีดับ

ทุกอย่างเริ่มจากเหตุ และ ถึงจะเกิดผลลัพธ์ตามมา

อย่าไปคิดว่า เป็นเทพทำไมถึงพิโรธ หรือว่าให้คำสาปมั่วซั่ว ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีว่า

1. พระขันทกุมาร ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะพรมั่วซั่ว ที่พระองค์ต้องถือกำเนิดมาตามแก้หรือ ? )
แล้วสรุปว่า พรอันมั่วซั่ว ที่ทุกคนว่านั้นเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระขันทกุมาร

2. พระเคนช ทรงถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุใด ? (ไม่ใช่เพราะโทสะแห่งพระแม่ปารวตีหรือ ?)
ที่ต้องการรักษาหน้าประตูวังไม่ให้ผู้คนบุกรุกเข้ามายามวิการ แล้วสรุปว่าพระแม่มีโทสะเป็นสิ่งไม่ดี หรือ เป็นเหตุแห่งกำเนิดพระเคนช

ผมนำมาให้พิจารณาแค่สองข้อนี้ เนื่องจากผมอาจไม่เก่งเรื่องประวัติเทพเจ้า หรือ ทฤษฎีทางเทววิทยา แต่ให้พิจารณาว่า ทุกอย่างเกิดจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล ถ้าพระองค์ไม่ทำให้เกิดเหตุ แล้วผลต่างๆ จะตามมาหรือไม่ ??

ถ้าพระนารัดมุนี ไม่ดำเนินเรื่อง ประวัติเทพเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

******************************************************

สำหรับ เทวรูปที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นพระตรีมูรติก็ดี พระสดาศิวะก็ดี ล้วนแต่มุ่งเน้นให้คนยึดดี ทำดี เป็นที่ยึดเหนี่ยว ไปขอบารมีเรื่องความรัก หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆ สุดท้ายก็คือการคิดในสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราอิ่มเอิบ ให้เกิดปิติ ทั้งนั้น กราบไหว้ด้วยใจอันบริสุทธิ์ดีกว่าครับ ดีกว่าจะไปนั่งไหว้ท่าน แล้วถามว่า ท่านคือใครหนอ? ใช่หรือไม่หนอ? ความเคลือบแคลงทั้งหลายเหล่านี้ อาจทำให้ความอิ่มเอิบในการบูชาลดน้อยลงครับ

อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ไหว้ตามที่ท่านอยากไหว้เถิด

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือพระตรีมูรติ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระตรีมูรติ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาเทพเจ้าตรีมูรตินั้นได้รับทราบด้วยบทมนต์

-- ถ้าคุณคิดว่าพระองค์คือสดาศิวะ ท่านก็ไหว้พระองค์ด้วยบทบูชาพระศิวะ บทบูชานั้นจะนำส่งไปหาพระสดาศิวะด้วยบทมนต์เช่นกัน

******************************************************

ส่วนเรื่องพราหมณ์ท่านจะทำการบรวงสรวงได้นั้น ด้วยตามที่ท่านศึกษาร่ำเรียนมาด้วยสายพราหมณ์ที่ศึกษาพระเวททั้งหลาย อะไรที่ผิดไปจากเทวลักษณะ แน่นอน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่รักษาและดำรงไว้ศึกศาสนา ย่อมต้องทำในสิ่งที่ถูกและเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วเทวลักษณะเทพจะผิดจะเพี้ยนไปตามกาลเวลา จนไม่เหลือเค้าโครงแห่งเทวลักษณะดั้งเดิมตามพระเวทไว้อย่างที่เห็นเทวรูปทั้งหลายตามตลาดพระทั่วไปเช่นกัน

ฝากไว้เพียงเท่านี้ และขอความกรุณาเพื่อนๆ ทั้งหลาย โปรดออกความเห็นให้เป็นสุภาพชนด้วยครับ จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

กาลิทัส
เว็บมาสเตอร์


น้องกาลิทัสตอบได้ดีจริงๆ แหม่ถูกใจมากๆ งั้นรับกะเทยไปสักสองนางนะ 55555

พี่อยากจะให้เพื่อนๆน้องๆไปอ่านประวัติของคุรุองค์ต่างๆของทางศาสนาหน่อยก็ดีนะ จะได้เข้าใจมากขึ้น ว่าศาสนาเป็นอย่างไร มาอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร และเพื่ออะไร ?????จะได้ไม่มาเถียงกัน นั่งปรีดดดดดดดดหน้าร้อนอยู่หน้าคอม

[HIGHLIGHT=#00b0f0]ฝากไว้เตือนใจ[/HIGHLIGHT]

จะโทษใครให้มองดูตัวเราก่อน

เราไม่ดีเองที่รู้มาก เราไม่ดีเองที่ไม่ศึกษา เราไม่ดีเองที่ตั้งกระทู้ เราไม่ดีเองที่ตอบกระทู้ และท้ายสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ [HIGHLIGHT=#ff0000]ตัวเรา [/HIGHLIGHT]
#22
มีวันหนึ่งได้ไปนมัสการพระปฏิบัติดีรูปหนึ่ง ท่านมีใจความที่น่าฟังมากว่า บางครั้งเราจะโทษคนอื่นไม่ได้หรอก เพราะคนเราไม่มักจะมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง แต่มักจะมองดูผิดผู้อื่น และท่านก็กล่าวต่อไปว่า ตามจริงแล้ว [HIGHLIGHT=#ff0000]เรานั้นแหละที่ผิดเอง [/HIGHLIGHT]เพราะ เราไปสร้างให้เขามา เราไปทำให้เขารัก เราไปทำให้เขาอยู่กับเรา ก็เพราะตัวเรานี้แหละที่ เป็นคนเริ่มตั้งแต่แรก.....
#25
ไม่ค่อยได้เข้ามานาน เป็นอะไรกันครับพี่น้อง คนไทยด้วยกัน ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่ายครับพี่น้อง พี่น้องเอ่ย ... 


เด๊ยวตามอ่านก่อน เขาเป็นอะไรกัน  
#26
การประกอบสมาธิกรรมฐานบูชาต่อพระแม่คายตรี (GAYATRI DEVI)

การประกอบพิธีกรรมทำสมาธิบูชาต่อพระแม่ คายตรี นับได้ว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์พระเวททั้งหลาย กด้วยการประกอบสมาธินี้ขึ้นอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน (ในตอนเช้า กลางวัน เย็น และตอนค่ำ บุคคลผู้ประกอบสมาธินี้จะได้รับซึ่งความสำเร็จความสมบูรณ์ทางร่างกายจิตใจและวิญญาณ
การท่องสวดมนตร์บูชาต่อพระแม่คายตรี เพื่อจะได้รับซึ่งการมีสตินึกคิดทั่วไป เพื่อให้เกิดพลังอำนาจที่ไม่มีวันจบสิ้น ความหมายที่แท้จริงของ คายตรี-มนตร์มีว่า

"ข้าแต่พระแม่ผู้มีความมั่นคงถาวรอันบริสุทธิ์ , พระผู้มีความกรุณา เมตตาที่แท้จริง , พระผู้สร้างมิติทั้ง 3 พวกเราขอน้อมกราบต่อพระแม่พระผู้ทรงประทานแสงสว่าง ความรุ่งเรืองและความฉลากแก่พวกเรา "การประกอบสมาธิบวงสรวงบูชาต่อพระแม่ คายตรี สามารถทำลายล้างความลุ่มหลงใหลทั้งหมดให้บังเกิดพลังปราณ (PRANA) ให้การมีชีวิตที่ยืนยาว ความรุ่งเรืองและโชคลาภ มนตร์นี้เป็นกุญแจที่จะไขเปิดประตูแห่งความรู้สึกสำนึกแห่งจักรวาลได้

วิธีปฏิบัติกิจประกอบพิธีบูชาต่อพระแม่ คายตรี
1.  เวลาที่ดีที่สุดในการประกอบพิธีทำสมาธิคือ ตอนเช้าตรู่ ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น และในช่วงตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตก
2.  สถานที่ ที่จะประกอบสมาธิ จะต้องเป็นห้องหรือบริเวณใดก็ได้ที่จัดเอาไว้สะอาด อากาศแจ่มใส

3.   อาสนะ ที่นั่งจะต้องถาวรและประจำ จะต้องปูด้วยหนังสัตว์ เสื่อหรือผ้าสะอาด
4.  จะต้องนั่งในอาสนะที่ทำเป็นรูปดอกบัว ( ปัทมาสนะ PADMASANA) หรืออาสนะที่สมบูรณ์อย่างใดก็ได้
5.   จะต้องนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ
6.   การนั่งจะต้องนั่งนิ่งสงบไม่ขยับไปที่อื่นใด ในขณะท่องสวดมนตร์ รักษาคอ ศีรษะ และลำตัวให้ตั้งตรง
7.  อยู่ในความสงบ ไม่หวั่นกลัวสิ่งใด
8.  จุดการบูร ประทีป หรือตะเกียงในห้อง เพื่อให้เกิดมีแสงสว่างในชั่วขณะหนึ่งและเพ่งดูเปลวไฟด้วยดวงตาแห่งจิต โดยสวดคายตรี-มนตร์
9.   ในการสวดท่องมนตร์นี้ การทำสมาธิรำลึกถึงความหมายแห่งมนตร์และสร้างมโนภาพในดวงจิต ในรูปแห่งพระแม่ คายตรี ( 5 พักตร์)
10. ด้วยการสร้างมโนภาพแห่งพระแม่ ประกอบด้วยพยางค์ 24 พยางค์ แบ่งเป็นหัวข้อ ๆ ละ 8 พยางค์
11.  มนตร์นี้เป็นมนตร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเวท ทำสมาธิพร้อมกันในระหว่างทำสันธโยปาสนา(SANDHYOPASANA)
12. มนตร์คายตรี ในพระฤคเวท สวดเพื่อได้รับซึ่งแสงสว่างเพื่อความรุ่งเรือง
13. มนตร์นี้ระบุถึงเทพเจ้าดั่งแสงสว่าง และต่อพระอาทิตย์ผู้เป็นเครื่องหมายแห่งแสงสว่างทั้งหมด
14. คายตรี มนตร์เป็นส่วนหนึ่งแห่งเทพโดยตรง ที่ทรงมอบให้พวกฤษี นักพรตเอาไว้
15. พระแม่คายตรี ทรงเป็นพระมารดาแห่งพระเวททั้งหมด (ต้นกำเนิดแห่งความฉลาดที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล)
16. มนตร์นี้เป็นกุญแจที่จะไขเปิดประตูแห่งความสุขความสำเร็จแห่งจักรวาล
17. ฤษี วิศวามิตร (VISHVAMITRA) เป็นผู้ค้นพบ คายตรี มนตร์
18.  คายตรีมนตร์ ปรากฏครั้งแรกในพระคัมภีร์ ฤคเวท และต่อมาอยู่ในพระคัมภีร์อชุรเวท และสามเวท และในพระอุปนิษัท ทั้งหลาย
19. มนตร์นี้ได้ให้กำเนิดจักรวาล เพราะว่า มนตร์นี้จะต้องประกอบขึ้น พร้อมกับการทำสมาธิต่อแสงไฟ เปรียบเหมือนดั่งพระอาทิตย์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวใจที่สำคัญต่อมนุษย์ชาติทั้งหมด
20. พระแม่คายตรีก็คือพลังอำนาจแห่งเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ มนตร์บูชานี้นำมาซึ่ง ความรู้ ความฉลาด ทรัพย์สมบัติ ความบริสุทธิ์ และการเป็นอิสระหลุดพ้นจากบาป
21. สันธโยปาสนา หรือคายตรี- อุปาสนา (UPASANA) หมายถึงการทำสมาธิบูชาซึ่งจะสร้างการเชื่อมโยงด้วยรัศมีที่สูงสุด ที่รวบรวมไว้ใน คายตรี มนตร์
#27



การกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ คายตรี เพื่อความสมประสงค์
บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาการบูชาต่อพระแม่ คายตรี เพื่อความสำเร็จสมประสงค์ จำเป็นต้องสวดสรรเสริญบูชาเพื่อความสำเร็จก่อน และหลังจากการทำสมาธิบูชา เขาทั้งหลายจะต้องบูชาเพื่อความสมาปรารถนาที่ตั้งใจไว้  เพื่อความกระจ่างแห่งปัญญา ต่อมา จะต้องไม่มีข้อแคลงใจแต่อย่างใดต่อการบูชานี้ ซึ่งจะทำให้สำเร็จสมประสงค์แห่งคำสัตย์อธิฐาน เป็นสิ่งแรกและต่อมาจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆที่ขาดซึ่งพลังแห่งความจำ สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ พวกเขาจะต้องหลั่งน้ำบูชาต่อพระอาทิตย์ในตอนรุ่งเช้าโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และท่องสวดมนตร์คายตรีมนตร์ 10 ครั้ง ภายใน 4 อาทิตย์จะต้องปฏิบัติติดต่อกันแล้ว จะทำให้กลายเป็นคนปกติเหมือนเดิมได้ และยังเพิ่มพูนความฉลาดและขยันให้มากขึ้น
เขาทั้งหลายผู้ที่ต้องการจะได้ซึ่งกิจการงามที่ดีขึ้นไปอีกและผู้ปรารถนาจะได้รายได้ดี , ผู้ปรารถนาทรัพย์สมบัติและการงานที่ดีจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ลักษมีในรูปแห่งพระแม่ คายตรี (ซึ่งรวมร่างแห่งพระแม่ สรัสวตี ลักษมี กาลี เป็นพระองค์เดียว)





ข้อปฏิบัติ
1.    การปฏิบัติในการทำสนธนา (SADHANA) จะต้องประกอบขึ้นในวันศุกร์เสมอ เป็นประจำก่อนที่จะชำระร่างกาย ให้ใช้น้ำมันทาผิวผสมขมิ้นผง ชโลมให้ทั่วร่างกายแล้วจึงอาบน้ำชำระร่างกายต่อไป
2.    ให้นำผ้าไหมสีเหลืองมาปูบนที่นั่ง ที่ซึ่งจะต้องนั่งสมาธิ โดยให้โปรยผงขมิ้นสีเหลืองลงบนด้ายสายสิญจ์ ให้สวมใส่ผ้าสีเหลืองและใช้ดอกไม้สีเหลืองต่อการกราบไหว้บูชาภาพหรือเทวรูปของพระแม่คายตรี และจัดอาหารถวาย ( ประสาท PRASADA ) ภายหลังจบพิธีแล้ว
3.    ในการทำสมาธิจะต้องทำสมาธิถึงพระแม่ คายตรี หรือพระแม่ลักษมี ที่แลเห็นได้ว่าพระแม่ทรงสวมใส่สาหรี สีเหลืองและประทับนั่งบนหลังช้าง
4.    ท่องสวดมนตร์ของพระแม่ คายตรีด้วยคำลงท้ายว่า "ศรีม" (SRIM) ดังมนตร์ต่อไปนี้
โอมฺ ภูร ภวัช สวัช , โอมฺ ตัต สวิตุร วเรนะยัม ภรโค เทวัศยะ ธีมหิ , ธิโย โย นัชประโจทะยาต, ศรีม
คำแปล
"ข้าแต่พระแม่แห่งสวรรค์ พระแม่ คายตรี-แม่ลักษมี , ขอให้พระแม่ทรงโปรดต่อการการไหว้บูชาครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอให้ทรงประทานพระเมตตาด้วยสุขภาพ , ทรัพย์สมบัติ ความร่ำเริงและความสุขสันติต่อข้าพเจ้าด้วย ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้งหมดสมประสงค์ด้วยเถิด ขอน้อมคารวะต่อพระแม่"
ขอให้ประกอบสนธนา นี้เป็นประจำทุกวันศุกร์ เป็นเวลาติดต่อกัน 3 เดือน สิ่งขัดขวางหรืออุปสรรคทั้งหมดจะถูกขจัดไปสิ้น และความปรารถนาจะสำเร็จสมบูรณ์โดยพระเมตตาแห่งพระแม่
#28
พระ แม่คายตรี (GAYATRI พระมารดาแห่งพระเวท)


                 สิ่งสูงสุด , ความสำนึกอันบริสุทธิ์ก็คือ ปะระพรมหมณ์ (PARABRAHMAN)
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพแห่งเทพเจ้า , ความสำนึกอันอยู่เหนือนี้ก็คือ พลังอำนาจแห่งพระคายตรี พระแม่ทรงเป็นต้นเหตุเริ่มแรกแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง นั้นก็คือ สิ่งนี้และสิ่งนั้นที่เกิดขึ้น เมื่อพระแม่ทรงแบ่งภาคแห่งตรีคุณส์ (TRIGNAS) หรือ 3 ลักษณะ คือ สัตตะวะ (SATTNA การทรงตัว) ราชส์ (RAJS ตัณหา) และตัมส์ (TAMASการเกียจคร้าน) การนำมาซึ่ง 3 คุณลักษณะให้รวมกันจะได้ พระพรหม พระวิษณุเทพ พระศิวะเทพ , พระพรหมทรงควบคุม ราชส์คุณ, พระวิษณุ-สัตตะวะคุณ  ส่วนพระศิวะเทพคือ ตัมส์คุณ  , พระแม่คายตรีทรงได้รับการกราบไหว้บูชา โดยเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์นี้ว่าเป็นพระมารดา ดั้งนั้นพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ จึงทรงเปรียบได้เหมือนพระราชโอรสของพระแม่คายตรี พระแม่คายตรีทรงนำทั้ง 3 พระองค์เข้าสู่ แค่ (เปล) หามแห่ท้องฟ้า (อากาศ) ซึ่งผูกมัดไว้โดยเชื่อแห่งพระเวทย์ทั้ง 4 โดยมีคำว่า "โอม" เป็นเพลงกล่อมเด็ก พระแม่ทรงกล่อมให้พระกุมารทั้ง 3 หลับ เมื่อทรงเห็นพระกุมารหลับด้วย คุณส์ทั้ง 3 พระแม่จึงหายองค์จากไป เป็นเวลายาวนาน , เทวะทั้ง 3 พระองค์ (ตรีมูรติ) ได้ทรงตื่นจากการนอนและเริ่มร้องไห้เสียงดัง ด้วยความแปลกพระทัยที่ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า และด้วยพลังคุณส์ทั้ง 3 ต่อมาทั้ง 3 พระองค์ได้เที่ยวค้นหาพระมารดาของพระองค์ ทั้ง 3 พระองค์จึงทรงนั่งกรรมฐานอยู่เป็นเวลายาวนาน
              ด้วยพลังแห่งกรรมฐานนี้ได้เผาไหม้จักรวาล พระแม่คายตรีจึงทรงปรากฏกายต่อหน้าพระกุมารทั้ง 3 ถึงแม้ว่าพระนางจะขจรกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยคุณลักษณะแห่งเทวะ พระนางทรงได้แปลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงามมาก สวยที่สุดในจักรวาล ทรงสวมใส่ด้วยเสื้อผ้า (สาหรี) สีแดง พวงมาลัยห้อยไปมารอบพระศอและพระพักตร์ของพระนางเหมือนดั่งพระจันทร์เต็มดวง พระนางทรงมี 3 พระเนตร และที่พระนลาฤทรงเจิมด้วยผงชาตสีแดง พระนางทรงมี 8 กร ทรงถือดอกบัว หอยสังข์ ตะบองและอาวุธอันทรงพลังทั้งหลาย พระนางทรงสวมกำไลข้อมือจำนวนมากและมีแหวนเต็มนิ้วมือ ประดับด้วยเพชรพลอยอันมีค่า
พระนางทรงเสด็จเข้าใกล้พระโอรสของพระนางและทรงมีเหงื่อไหลออกมาจากพระพักตร์ดั่งเม็ดไข้มุก ต่อมาพระนางทรงอุ้มพระกุมารทั้งสามและทรงตรัสเรียกพระนามว่า พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ

                พระตรีมูรติได้วิ่งเข้าหาพระมารดาของพระองค์  พระแม่ทรงจุมพิตและกอดรัดพระกุมารทั้งสามบ่อยๆครั้ง และทรงมีรับสั่งว่า

"โอ่ ลูกรัก แม่ได้สร้างลูกขึ้นมาด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่แตกต่างกันไป แม่เคยอยู่กับพวกเจ้าเป็นเวลายาวนานในครั้งก่อน ดังนั้นแม่ต้องการให้พวกเจ้าได้มีพลังอำนาจแห่งการสร้าง การคุ้มครอง และการทำลายล้าง ได้ด้วยการให้พวกเจ้าถือพรต จนกระทั้งดวงวิญญาณ ซึ่งจะมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจแห่งจักรวาลนี้ด้วยเจ้าทั้ง 3 องค์ แม่จะอยู่กับพวกลูกเสมอจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร ในไม่ช้านานนัก พวกลูกๆ จะได้ตระหนักในตัวแม่ด้วยตนเอง โดยพรของแม่ ดังนั้นขอให้บูชาในรูปแห่งพระแม่คายตรี แม่จะยินดีต่อการกราบไหว้บูชานี้ และนำมาซึ่งความสำเร็จความอุดมสมบูรณ์ ขอให้สวดมนตร์บูชาแม่ในช่วงเวลาที่เกิดความสับสนหรือต้องการความช่วยเหลือ"
               เมื่อทรงตรัสดังนี้แล้วพระแม่ได้ให้พรต่างๆแล้วทรงหายร่างจากไป




#29
Quote from: เสือร้องไห้ on April 05, 2010, 01:52:44
ดีค่ะดีค่ะ  พี่ลองภูมิ  รอชมด้วยอีกคนคะ  ส่วนคาถาบุพเพสันนิวาสเนี่ย  มีไหมค่ะ 

ถ้ามีขอหน่อยนะคะ  รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนอะคะ  เเต่จำไม่ได้คะ

คาถาบุพเพเหรอ   ไปลดเชฟก่อน เดี๋ยวก็มา  
#30
การสวดมนตร์บูชาต่อพระแม่คายตรี (คายตรีมนตร์) (GAYATRI-MATRA)

ยา สันธยา มัณฑลคะตา ยา ตรี มูรติ สวะรูปิณี /
สรัสวตี ยา สาวิ-ตรี ตามะ วันเท เวทะ-มาตะรัม //

ความหมาย
พระแม่แห่งวงล้อมสุริยะคติ พระผู้ทรงเป็นที่รวมแห่งเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ พระผู้ทรงเป็นทั้งพระแม่ สรัสวตี และพระแม่ สาวิตรี ข้าพเจ้าขอน้อมกราบพระองค์พระแม่ คายตรี (พระมารดาแห่งพระเวททั้งหลาย)

ยา วิศวะ ญาณนี เทวี ยา ตรีมูรติ- สวรูปิ- ณี /
คายตรี รูปิณี ยา หิ ตามะ วันเท สัปตะ มาตฤตามะ //

ความหมาย
พระแม่ผู้ทรงเป็นพระมารดาแห่งโลกทั้งหลาย พระผู้ทรงเสด็จมาในรูปแห่งเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ และพระผู้ทรงเสด็จมาในรูปแห่งพระแม่ คายตรี ข้าพเจ้าขอน้อมกราบต่อพระองค์ในรูปแห่งพระมารดาทั้ง 7 พระองค์


ปล.เรื่องนี้ยาวมากครับ โปรดติดตามชม ไปเรื่อยๆนะครับ เนื่องจากจะมีการสอนในเรื่องการสวดมนตร์แบบนับนิ้วด้วยครับ(ยังไม่แน่ใจว่าจัดอยู่ในหมวดใดดีเพราะมีการเล่าเรื่องผสมกับคำมนตร์)
#31
พระ กมล โลจนะ (KAMALA LOCHANA)


ภาคอวตารที่ 16 (ภาคสุดท้ายแล้วครับ) ของพระทัตตเตรยะ เกิดขึ้นในวันขึ้น 12 ค่ำเมื่อดวงดาวพระเคราะห์ เรวะติ (REVATI) สุกสว่างในวันพุธตอนใกล้รุ้งเช้า เพราะสายรัศมีแห่งพระเนตร ดอกบัวของพระองค์ พระองค์จึงทรงได้รับสมญานามว่า พระกมลโลจนะ ภาคนี้เป็นภาคเต็มแห่งสวรรค์ อันเป็นที่รวมแห่งความผาสุก เต็มไปด้วยความสัตย์ ในภาคนี้พระองค์ทรงพรรณนาถึงความเร้นลับแห่งพระธรรมต่อสาวกทั้งหลาย ด้วยพระพลังอำนาจแห่งเทพเจ้าที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมค้ำจุนต่อคนทั้งหลาย ต่อครอบครัว และต่อจักรวาลด้วยความรู้ทั้งหมดที่เรียกว่า พระธรรม การยึดมั่นในพระธรรมและสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งดีงามจะบังเกิดต่อตัวท่าน นี้คือสาระสำคัญแห่งการสั่งสอน ในภาคอวตารที่ 16 นี้ของพระทัตตะเตรยะ
            พระทัตตะเตรยะ ทรงประกาศว่า   "ดังเช่นข้าได้มอบหมายให้ตัวข้าเองและได้กลายมาเป็นพระกุมารแห่งฤษี อัตริ กับนางอันสุยะ ในทำนองเดียวกัน ข้าได้ให้ตัวข้าต่อผู้เครารพบูชาทั้งหมดนี้ ผู้ใดมอบตัวเองในการบูชาต่อข้า ในคำอย่างอื่นๆต่อคนทั้งหลายนั้น ผู้ที่ได้กลายเป็นบุตรของข้า ข้าก็จะกลายเป็นบุตรของเขาเช่นกัน "

               เรื่องนี้ได้พิสูจน์ความเป็นจริงหลายประการ สำหรับผู้ที่เคารพบูชาที่จริงใจ พระทัตตะเตรยะจะทรงปรากฏองค์ให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้พบกับความสุขสันติ ที่ควรจดจำเอาไว้มี 16 อวตาร และน้อมถวายความเคารพต่อพระองค์ในทุกๆวัน ด้วยมนตร์ 16 ข้อ ดังนี้


1.    โอมฺ ทรัม โยคิราชายะ นะมะหะ

2.    โอมฺ ทรัม อัตริวรทายะ นะมะหะ

3.    โอมฺ ทรัม ทตาเตรยายะ นะมะหะ

4.    โอมฺ ทรัม กาลาคนิศัมนายะ นะมะหะ

5.    โอมฺ ทรัม โยคิชัน วัลลภายะ นะมะหะ

6.    โอมฺ ทรัม ลีละ วิศวัมภรายะ นะมะหะ

7.    โอมฺ ทรัม สิทธะ-ระชายะ นะมะหะ


8.    โอมฺ ทรัม ญาณ-สาครายะ นะมะหะ

9.    โอมฺ ทรัม วิศวัมภร อะวะธุตายะ นะมะหะ

10.  โอมฺ ทรัม มายา-มุกตาวธุตายะ นะมะหะ

11.   โอมฺ ทรัม มายา-ยุกตาวธุตายะ นะมะหะ

12.   โอมฺ ทรัม อาทิครุเว นะมะหะ

13.   โอมฺ ทรัม ศิวะ-รูปายะ นะมะหะ

14.   โอมฺ ทรัม เทวะ เทเวศวรายะ นะมะหะ

15.   โอมฺ ทรัม ทิคัมภรา-อธุตายะ นะมะหะ

16.   โอมฺ ทรัม กมล โลกนายะ นะมะหะ

#32
พระ อะวะธุตะ ทัตตะ ทิคัมพร (AVADHUTA DATTA DIGAMBARA)

ภาคอวตารที่ 15 เกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือน อัศวิช (ASHVIJA) ภาคอวตารนี้มีนามว่า พระอะวะธุตะ ทัตตะ ทิคัมพร เรื่องนี้เกิดขึ้นในระหว่างพิจารณาพระคัมภีร์ ภัควะตัม ( BHAGAVATAM ) ซึ่งเป็นการถกกันระหว่าง พระกฤษณะและพระอุทธวะ

พระกฤษณะทรงอธิบายว่า  กษัตริย์ ยะทู (YADU) ทรงได้พบกับพระอวะธุตะ ทัตตะทิคัมพร และพระองค์ทรงสั่งสอนกษัตริย์ยะทูอันเกี่ยวกับพระคุรุ 24 องค์พระองค์ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภาคอวตารของพระทัตตะเตรยะ ที่ทรงเสด็จไปประทานพรยิ่งใหญ่แก่ นักบวช ประหลัท(PRAHALADA) เกี่ยวกับเนื่องกับความรู้แห่งความสัตย์
#33
เทวะ เทวศวร (DEVA DEVESHVARA)

ภาคอวตารที่ 14 คือ พระเทวะ เทเวศวร เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน ภาทรบัท(BHAADRAPADA) ในภาคอวตารนี้ พระพรหม พระผู้สร้าง ทรงเสด็จเข้าเฝ้าพระทัตตะเตรยะ และทูลถามพระองค์ขอทรงให้พรในการสร้างโลกทั้งหมดด้วยแสงสว่างแห่งเทพเจ้าจนกระทั้งดวงวิญญาณทั้งหลาย ไม่อาจได้รับความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ภาคอวตารครั้งนี้ ทรงเสด็จมาเพื่อทรงสั่งสอนพระอาจารย์ทั้งหลายให้ได้รับซึ่งแสงสว่าง พระทัตตะเตรยะทรงให้สัญญาต่อพระพรหมว่า พระองค์ทรงจะให้แสงสว่างต่อดวงวิญญาณทั้งหลาย
#34
ศิวะรูป (SIVARUPA)

ภาคอวตารที่ 13 แห่งพระทัตตเตรยะ ก็คือพระศิวะรูป พระองค์ทรงแบ่งภาคที่ไม่มีวรรณะ ในรูปร่างที่ไม่สะสวยและทรงอวตารประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีผลเป็นเมล็ด ในวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน ศราวัน (SHRAAVANA) ในกาลครั้งนั้น มีพรมหมณ์ท่านหนึ่งมีนามว่า บิงคล (PINGALA) ได้ทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงอยู่ในเพศพรตและอาศรมเช่นใด?" พระศิวะรูปทรงตรัสตอบว่า "ตามปกติทั่วไป อาศรมทั้งหลายมีอยู่ 4 ชนิด   

1. อยู่อย่างคนเดียว   
2. อยู่รวมเป็นครอบครัว
3. อยู่อย่างสันโดษและ
4.อยู่อย่างนักพรต .............แต่ว่าข้านั้นอยู่เหนือขึ้นไปอีกคืออยู่ในอาศรมที่ 5
"อาศรมที่ 5 คืออะไรกันเล่า?
"บุคคลผู้ที่ไม่ผูกติดกับเวลา ไม่ผูกติดกับผู้คนและไม่ติดพันธ์กับของทั้งหมดโดยปราศจากศัตรูแล้ว เขาผู้นั้นถือว่าอยู่ในจำพวกอาศรมที่ 5
เมื่อทรงตรัสเช่นนั้นแล้ว พระศิวะรูป ทัตตะเตรยะ ทรงประทานพรต่างๆต่อพราหมณ์บิงคล ด้วย
ทรงให้แสงสว่างและทรงหายร่างจากไป
#35
อาทิ คุรุ ( AADIGURU)

ภาคอวตารที่ 12 คือ ภาคพระอาทิ- คุรุ การอวตารครั้งนี้เกิดในวันเพ็ญ เดือน อาศาทะ (AASHAADA) ในครั้งก่อน ได้เกิดสงคารมต่อสู้รบกันระหว่างเทพกับอสูร ซึ่งในครั้งนี้พวกเทพได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดั้งนั้นพวกเทพโดยการนำของพระอินทร์ (อีกแล้วครับท่าน) ได้มาขอความช่วยเหลือต่อพระทัตตเตรยะ เป็นเหตุให้พระองค์จึงทรงแบ่งภาคมาในรูปแห่งพระ อาทิคุรุ   เป็นภาคแรกที่เริ่มในรูปแห่งการปกป้องคุ้มครอง พระองค์ทรงเป็นพระผู้นำพวกเทพและทรงให้พร เทพทั้งหลายให้ได้รับชัยชนะ
ในภาคอวตารนี้ พระอาทิคุรุ พระองค์ทรงได้สั่งสอน ปรัชญาที่สุงสุดต่อกษัตริย์อัลรกะ ~(ALARKA) ซึ่งเป็นพระผู้เป็นพระโอรสของพระนาง มทาลัส (MADAALASA) เกี่ยวกับแผนพิจารณาพระคัมภีร์ มรกันเทยะ ปุราณ (MARANDEYA PURANA)ในวันเพ็ญเดือนอาศาท (อยู่ในระหว่างเดือน กรกฎาคม- สิงหาคม) ซึ่งพระคัมภีร์นี้รู้จักกันดีในนามว่า พระคุรุปุราณะ ทั่วโลกทั้งหมด, บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพบูชาต่อพระคุรุในวันนั้นและพระอาจารย์จะรับศิษย์ใหม่ในวันนี้เช่นกัน
#36
พระมายายุกตะ อะวะธุตะ (MAYAYUKTA AVADHUTA)

ในวันข้างขึ้น 13 ค่ำแห่งเดือน ชเยศถะ (JYESHTHA) ภาคอวตารที่ 11 ของพระทัตตะเตรยะ ได้ถือกำเนิดขึ้น พระคุรุทรงได้เดินทางเข้าไปสู่ใจกลางป่าใหญ่ เหล่านักบวช ทุศีล และนักพรตที่มาพร้อมพระ
อาจารย์ของเตรยะ เขา ได้แสดงความเคารพต่อ พระทัตตะเตรยะ , ในครั้งนี้ทรงอวตารลงมาในรูปของงูเห่า และต่อมาทรงแปลงองค์เป็นเสือและสัตว์ร้ายในรูปแบบต่างๆเพื่อทดสอบความตั้งมั่นแน่วแน่ของเหล่านักพรต โดยเหล่านักพรตทั้งหลายต่างยืนอยู่อย่างสงบรับการทดสอบด้วยความเคารพ
              จนในที่สุด พระองค์ทรงทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่พระองค์ทรงได้แปลงเป็นชายหนุ่มรูปงามและทรงสร้างหญิงสาวสวยรูปหนึ่งอยู่ตรงหน้า และให้นางผู้นี้มานั่งบนตักของพระองค์ เพื่อเพิ่มความสับสนให้เกิดขึ้นแก่พวกนักพรตอีก ทั้งสององค์ได้เริ่มรับประทานอาหารและดื่มสุรา แสดงบทรักให้เหล่านักพรตได้เห็น ยิ่งเพิ่มความสับสนให้เกิดขึ้น นักพรตทั้งหลายส่วนใหญ่เดินหนีจากที่นั้น แต่มีอยู่ไม่กี่คนที่ยังคงเฝ้าเคารพด้วยความตั้งมั่นและด้วยเข้าใจใน พระโยคะมายานี้ของพระทัตตะเตรยะนั่นเอง
#37
มายามุกตะ อะวะธุตะ ( MAYAMUKTA AVADHUTA)


ภาคอวตารที่ 10 เกิดขึ้นในระหว่างเดือน วิศาขา (VAISHAKAA) ในวันขึ้น 14 ค่ำ ตรงกับวันพุธ เมื่อดวงดาว สวาติ ขึ้น พระทัตตะเตรยะ ทรงแบ่งภาคเป็นนักพรต พิขาจาร(ขอทาน)  ทาถูองค์ด้วยขี้เถ้าจากเชิงตะกอน พระองค์ทรงเสด็จมาในรูปมนุษย์ธรรมดามี 2 พระกร ทรงถือตะบองในมือขวา และทรงถือหม้อขอทานในมือซ้าย โดยมีสุนัขสีดำตัวหนึ่งติดตามไปด้วย
                ทรงเสด็จไปยังอาศมของนักพรตท่านหนึ่งมีนามว่า พราหมณ์ ศีละ (SHEELA) และทรงนั่งประทับตรงหน้านักพรตโดยมีใบไม้เป็นจานภาชนะไว้ใส่อาหาร ในวันนั้น พราหมณ์ศีละ กำลังประกอบพิธีกรรมบูชาต่อบรรพบุรุษของเขา เขาได้เชื้อเชิญเหล่านักพรตที่มีตำแหน่งสูงๆมาเป็นจำนวนมากมาย และพร้อมที่จะให้การต้อนรับเลี้ยงอาหาร แต่ในงานนี้เหล่านักพรตทั้งหลายต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่จะได้รับการต้อนรับนั้นเป็นขอทานตำต้อยมานั่งร่วมอาหารที่จัดไว้สำหรับนักพรตที่เชิญมา และได้มีการกล่าวว่าติเตียนว่า "ใครก็ตามผู้ไม่มีความรู้ดีในพระเวททั้งหลายแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาวงนั่งอยู่ ณ ที่นี้ได้

          พระทัตตะเตรยะ(ในร่างขอทาน) ทรงหัวเราะและมีรับสั่งถาม สุนัขของพระองค์ ให้ท่องสวดพระเวททั้งหลายออกมา มันได้ปฏิบัติตามทุกประการ เหล่านักพรตต่างตกใจเป็นอย่างมาก และเข้าในทันทีว่าเป็นพระมายาของเทพเจ้า จึงต่างพากันก้มลงกราบพระบาทของพระองค์ เรื่องนี้เป็นการแสดงให้รู้ถึงพระมายาในลักษณะอวตารเป็น "พระมายามุกตะ อะวะธุตะ "
#38
วิศวันภร อวะธุตะ ( VISHVAMBHARA AVADHUTA )

เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดี เมื่อดาวจิตร ขึ้นในวันเพ็ญแห่งเดือน จิตร (CHAITRA) ในภาคอวตารที่ 9 คือพระ วิศวันภร อวะธุตะ ในภาคอวตารนี้ พระองค์ทรงแสดงความเร้นลับของรากแห่งคำว่า "ธรัม" (DRAAM) ต่อบริวาลสาวกของพระองค์ พวกสิทธะและทรงสั่งสอนพวกเขาทั้งหลายเกี่ยวกับสาระสำคัญอันเป็นรากฐานของพระองค์ ในการไร้รูปและไร้พระนาม พระองค์ทรงแสดงพระองค์เองเพื่อสั่งสอนความลับแห่งการทำสมาธิ และพระอำนาจฤทธิแห่งมนตร์ของพระองค์ โดยทรงให้คำย่อความเกี่ยวกับมนตร์ " โอม ทรัม, โอม คุรุ ทัตตายะ นะมะหะ ( OM DRAAM , OM GURU DATTAAYA NAMAHA ) ต่อเหล่าบริวาลทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงให้พรแห่งความสุขต่อบริวาลและทรงหายร่างไป
#39
ญาณสาคร ( JNANA – SAGARA )
ภาคอวตารที่ 8 ของพระทัตตะเตรยะ   พระญาณ-สาคร หรือพระมหาสมุทรแห่งความฉลาด ด้วยลักษณะนี้แห่งเทพเจ้า ทรงได้แสดงปาฏิหาริย์ ขึ้นในระหว่างข้างขึ้น 10 ค่ำ ในเดือนผาลคุณ ในช่วงเวลาที่ดวงดาวปุนระวะสุ (PUNARVASU) ในยามรุ่งอรุณ ด้วยรูปร่างที่ทรงแสดงให้ปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกัน บุคคลธรรมดาจะไม่สามารถแปลความหมายที่แท้จริงแห่งอวตารนี้ได้ นี้ก็คือเหตุผลที่ว่าการที่พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่อคนทั้งหลายในรูปร่างที่เข้าใจได้อย่างแท้จริง พระองค์ทรงปรากฏองค์ในรูปมหาสมุทรแห่งความฉลาดและทรงแสดงความรู้ที่แท้จริงของพระองค์เอง
#40
สิทธะราช ( SIDDHARAJA )
พระนามแห่งภาคอวตารที่ ของพระทัตตะเตรยะ ที่รู้จักกันดีอีกพระนามคือ พระสิทธะราช ( กษัตริย์แห่งพวกสิทธะหรือที่แปลว่า สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ ) เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลา มาฆมัส ศุทธะ ( MAAGHAMASH SUHDDHA ) วันเพ็ญเดือนกุมภาพันธ์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ภาคอวตารนี้เป็นภาคที่น่าสนใจมาก เมื่อพระทัตตะเตรยะ ทรงแปลงภาคมาในรูปแห่งพวก สิทธะ ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อทรงทดสอบพวกโยคีที่เทือกเขาหิมาลัย และเพื่อที่จะนำเหล่าฤษีทั้งหลายให้หวนกลับคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้อง โดนทรงท่องเที่ยวอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยนี้ พระองค์ทรงได้เข้ารวมพวกสิทธะ  ทรงประกอบพิธีกรรม-โยคะ ณ พัทรกศรัม ( BADARIKASHRAMA ) อันเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา ในเทอกเขาหิมาลัย พระทัตตะ ทรงประทับนั่งอยู่ในระหว่างพวกสิทธะ และ ณ ที่นี้ทรงได้ตรัสสนทนากับพวกสิทธะมีใจความว่า



พวกสิทธะ ได้ทูลถามว่า  " พระองค์ทรงเป็นผู้ใด? "
พระทัตตะ ตรัสว่า    " ข้าก็เป็นตัวข้าเองที่หาผู้ใดเปรียบเทียบไม่ได้  "
สิทธะ               " แล้วพระอาศมของพระองค์คืออะไรอยู่ที่ไหนเล่า? "
พระทัตตะ          " ข้าไม่จำเป็นต้องมีอาศรม ข้าอยู่เพียงลำพังองค์เดียว "
สิทธะ               " งั้นก็ดี ลักษณะท่าทีและกิริยาของท่านคืออะไรกัน? "
พระทัตตะ          " ข้านั้นอยู่เหนือโยคะและกริยาทั้งหมด "
สิทธะ                " โอ่...  ดังนั้นแล้ว ใครกันเล่าที่ทรงเป็นพระอาจารย์ของท่าน? "
พระทัตตะ           " ข้านั้นเป็นบรมของครูทั้งหมด "
สิทธะ          " พระองค์ทรงยึดถือ มุทรา MUDRA ท่าแสดงแห่งโยคะ อะไรอยู่? "
พระทัตตะ        " นิรัญญัน มุทระ  ( NIRANJANA MUDRA ) ( ไม่แสดงคุณสมบัติ ) "
สิทธะ                " แล้วท่านทรงเห็นว่ามันเป็นอะไรกันเล่า ? "
พระทัตตะ            " ข้าเห็นตัวข้าเองอยู่ทุกหนแห่ง  "
สิทธะ             "  แล้วเป้าหมายของท่านนั้นคือสิ่งใดกันเล่า?  "
พระทัตตะ             " เป้าหมายของข้าก็คือการได้เห็นตัวเองที่ยิ่งใหญ่ นำทางโดยไม่มีการพึ่งพาสมาธิกรรมฐาน " (สิ่งนี้คือการนำทางที่แท้จริง)
สิทธะ             " วิถีทางของท่านนั้นเล่าคืออะไรกัน? "
พระทัตตะ         " วิถีทางของข้าก็คือ การไม่เปิดเผยตนต่อผู้อื่น "



เมื่อการโต้เถียงนี้เกิดขึ้น บรรดาเทวะแห่งสวรรค์ทั้งหลายที่ได้ท่องเที่ยวเหาะผ่านมาทางนี้ ได้หล่นลงสู่พื้นโลกต่อเบื้องพระบาทแห่งพระทัตตะเตรยะ โดยที่ไม่รู้ถึงอำนาจที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างของเทพเจ้า ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลงเข้าใจผิด พวกโยคีทั้งหลายต่างพากันคิดว่า มันเกิดขึ้นเนื่องจากพลังอำนาจแห่งพวกตนนั้นเอง ด้วยเหตุนี้ พระทัตตะเตรยะ จึงทรงได้ท้าทายพวกฤษีทั้งหลายให้เข้ามาแข่งขัน โดยส่งสิ่งที่มีชีวิตแห่งสวรรค์มาเพื่อทำการทดสอบซึ่งพลังอำนาจของพวกเขา

และในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะได้รับชัยชนะได้  พระทัตตะเตรยะจึงได้แสดงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยการเอ่ยคำเพียง 2-3 คำเท่านั้น ......"ขอทรงพระเจริญ"..... เพียงเท่านี้ บรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายก็ฟื้นพลังและมีอำนาจและกลับไปอยู่สวรรค์ตามเดิม  เหล่าสิทธะทั้งหลายได้เห็นดังนั้น ก็ได้ก้มกราบพระบาทของพระองค์และทูลขอให้พระทัตตเตรยะ ทรงรับพวกตนไว้เป็นบริวาลสาวกของพระองค์  พระทัตตเตรยะจึงทรงรับพวกสิทธะเป็นบริวาลสาวกของพระองค์