Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Oam

#1
เปลี่ยนจากเทียนไข เป็น ลูกลอยน้ำมันดีกว่าครับ
เลือกภาชนะที่สวยถูกใจ เหมาะสม ....
แล้วก็ซื้อลูกลอย และใส้เทียนที่ใช้กับลูกลอย
ได้ที่ร้านค้าข้างวัดเล่งไน่ยี่ (มังกรกมลาวาส) เยาวราชครับ

ตัวลูกลอยใช้ได้นาน ทน แช่ในน้ำมันได้เป็นเดือนๆ
แล้วตัวใส้ ก็ดึงลงนิดหน่อย ไม่ให้ส่วนที่จุดไฟออกมามาก
ก็จะประหยัดน้ำมันได้มากครับ จุดได้ครั้งละหลายชั่วโมง

เวลาดับ ก็หยดน้ำมันพืช หรือน้ำมันตะเกียงที่ใช้จุด
ลงบนใส้ตะเกียง อย่างนี้ จะใช้ใส้จุดได้อีกหลายครั้งครับ

ไม่มีน้ำตาเทียนหกเลอะเทอะ
แต่ต้องเลือกภาชนะที่ทนความร้อนสักหน่อย
เช่น แก้วเนื้อหนา หรือ กระเบื้องเคลือบที่หนาหน่อย ก็ดีนะครับ
เพราะเวลาจุดแล้ว นานๆ ไป น้ำมันจะร้อนขึ้นครับ
#2
โดยรวมดีแล้วนะครับ...

แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ผมว่า...
หมู่พระพุทธ สลับเอาพระพุทธชินราชขึ้นไว้ตรงกลางจะงามขึ้นครับ

ส่วนหมู่เทพ เพิ่มพระขันธกุมาร อีกสักองค์ ก็จะครบครับ
ถ้าอยากได้มากกว่านั้น ก็ ศิวลึงค์ อีก 1 ครับ...

#3
ชอบรัสมีด้านหลังอ่ะครับ
ได้มาจากที่ไหนเหรอครับ?
ช่วยบอกที...

ขอบคุณครับ
#4
ผมเข้าใจคนละอย่างกับคุณกาลิทัสครับ...

เท่าที่ทราบ

สหัมบดีพรหม เป็นเหมือนชื่อตำแหน่ง ของประธานแห่งพรหม ที่ดูแลทางพระพุทธศาสนา
เป็นองค์ที่ทูลเชิญให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรม เพื่อโปรดสรรพสัตว์ เมื่อทรงตรัสรู้ใหม่ๆ
ดังเช่นมีใน บทอาราธนาธรรม ตอนพระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนา ว่า..

"พรัหมา จะ โลกา, ธิปตี สะหัมปะติ,
กัตอัญชลี อันธิวารัง อะยาจาถะ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,

เทเสตุ ธัมมัง อนุกัมปิมัง ปะชัง ฯ

ท้าวสหัมบดีพรหม, เป็นบรมในพรหมา,

ทรงฤทธิศักดา กว่าบริษัททุกหมู่พรหม,

น้อมหัตถ์นมัสการ ประดิษฐาน ณ ที่สม,

ควรแล้วจึงบังคม ชุลีบาทพระสัมมา,


ขอพรอันประเสริฐ วะระเลิศมโหฬาร,

ว่าปวงสัตว์ในโลกา กิเลสน้อยก็ยังมี,

ขอองค์พระจอมปราชญ์ ธรรมราชตรัสรู้ดี,

โปรดปวงประชาชี ขอจงโปรดแสดงธรรม,


นิมนต์เถิดท่านเจ้าขา ผู้ปรีชาอันเลิศล้ำ,

โปรดแสดงพระสัทธรรม เทศนาแลวาที,

เพื่อให้สำเร็จผล แก่ปวงชนบรรดามี,

สู่สุขเกษมศรี สมดังเจตนาเทอญฯ

ในตำราทางพระพุทธศานา มักกล่าวถึง "สหัมบดีพรหมา" ว่าเป็น "ประธานแห่งพรหม (ทางพระพุทธศาสนา)
และถ้าจำไม่ผิด...พรหมองค์นี้ (ตำแหน่งนี้) ก็ยังจะมีหน้าที่ อาราธนาสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย
ให้ทรงแสดงธรรมในอนาคตกาลอีกด้วย

แต่ผมไม่เคยเห็นว่า ในพระพุทธศาสนา มีการกล่าวถึงชื่อ "พรหมธาดา" ในที่ใดเลย

สำหรับ พรหมธาดา เทวตา นั้น...
ผมเข้าใจว่า.. เป็น พรหม ใน "ตรีมูรติ"...
ซึ่งบ้างก็ว่าเกิดจากดอกบัวที่งอกออกจากพระนาภี (สะดือ) ของพระนารายณ์
ดังที่เห็นในรูปทับหลัง นารยณ์บรรทมสินทธุ์
ดังนั้น พรหมธาดา ก็คือ หนึ่งในตรีเทพของศานาฮินดู คือ ศิวะ นารยณ์ พรหม นั่นเอง
ส่วน "เทวตา" นั้น เข้าใจว่า เป็นเหมือน "ชื่อสกุล" หรือ "ชื่อวงศ์" ของพรหมองค์นี้
ซึ่งองค์ท่าน ก็ถือเป็น "ประธาน" หรือ "ราชา" แห่งพรหมวงษ์ นี้...

และเช่นกัน.. ผมยังไม่เคยเห็นตำราในศาสนาฮินดูกล่าวถึงพรหมที่ชื่อว่า "สหัมบดี"

ผมเข้าใจว่า เป็นคนละองค์กัน

เคยเห็นในสมุดลายไทย เขาก็วาด พรหมธาดา สหัมบดีพรหมมา และอิศวรพรหม คนละแบบกัน
เข้าใจว่า ตั้งใจให้เป็นคนละองค์กัน...

แต่หากแปลตามรูปศัพท์ สหัมบดีพรหม ก็คือ สห + อธิบดี + พรหม
แปล่ว่า "พรหมผู้เป็นใหญ่ในหมู่พรหมทั้งปวง" ...

ดังนั้น หากนับว่า พรหม มีวงศ์เดียว มีประธาน องค์เดียว
หรือ พรหม มีองค์เดียว (คือ พรหมธาดา ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู)
... ก็อาจนับได้ว่า เป็นองค์เดียวกัน ก็เป็นได้

ความเข้าใจของผม อาจผิดพลาดก็เป็นได้นะครับ...
#5
ขอขอบคุณคุณสิรวีย์ สำหรับคำชี้แจงและคำอธิบาย นะครับ..ชัดเจนดีครับ
ถือว่า คำอธิบายนี้ ช่วยเสริมและเพิ่มพูนความรู้ให้กับผม
และผู้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้เป็นอย่างดีครับ

ลำดับพิธีของไทย มีความละเอียด และผสมผสาน
กับวัฒนธรรมและศาสนาได้อย่างกลมกลืน
หากพวกเราได้ทราบถึงรายละเอียดดังกล่าวนั้น
ดังที่คุณสิรวีย์ได้กรุณาอธิบายไว้ในกระทู้นี้ เป็นตัวอย่าง
ก็จะเข้าใจลำดับพิธี และเนื่อหาสาระที่ถูกต้องดียิ่งขึ้นครับ

โดยส่วนตัวแล้ว หากเป็นไปได้ ไมว่าจะในกระทู้ใดๆ ที่มีภาพ (พิธีกรรม)
หากผู้ตั้งกระทู้ไม่ลำบากเกินไป
ขอความกรุณาใส่อธิบายเพิ่มเติม เชิงเกร็ดความรู้
ถึงความเป็นมาเป็นไป ของขั้นตอนนั้นๆ ไว้ด้วย จะเป็นการดียิ่งครับ
อาจไม่ถึงกับละเอียดมาก แต่ก็พอให้เข้าใจได้ชัดเจน

คุณสิรวีย์ เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับนักโพสทุกท่านครับ

ผมก็ขอให้พระเป็นเจ้า ได้ทรงโปรดอวยพระพร
ให้คุณสิรวีย์ประสบผล ดั่งที่ได้ตั้งปารถนาอธิษฐานไว้ทุกประการ ครับ
#6
Quote from: สิรวีย์ on November 08, 2010, 13:59:03
ลำดับจากนั้นเจ้าหน้าที่แจกธูปแก่ผู้เข้าร่วมพิธีทุกคน เพื่อตั้งสัตยาธิษฐานขอพรจากเทพเจ้าทั้งสามพระองค์ แล้วจึงเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานปักธูปหางที่เครื่องสังเวย


ขออนุญาติเรียนถามคุณสิรวีย์ครับ ว่า คำว่า "สั้ตยาธิษฐาน" นั้น เขาระบุในขั้นตอนของพิธีกรรมเช่นนั้นหรือไม่...

ผมลองค้นความหมายของคำนี้ดู จากพจนานุกรมฉบับพุทธศาสน์ ได้ความดังนี้ครับ...

สัตยาธิษฐาน       การตั้งความจริงเป็นหลักอ้าง , ความตั้งใจแน่วแน่มุ่งต่อผลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยการอ้างความจริงเป็นหลักประกัน

ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นการอธิษฐานขอผลอันยิ่งใหญ่ ประการใดประการหนึ่ง
โดยอ้างอิงสัจจะบารมีอันพึงกระทำด้วยความยิ่งยวดเป็นประกัน
ซึ่งปกติ เราก็จะตั้งจิต "อธิษฐาน" เฉยๆ...

แต่หากมีการตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว ย่อมมีผลานิสงส์สูงส่ง
ด้วยสัจจะบารมีอันยิ่งยวดประการใดประการหนึ่ง ดังที่ได้ให้สัจจะไว้

เช่น การขอตั้งสัตยาธิษฐาน ตั้งใจแน่วแน่ใจบวชในพระบวรพุทธศาสนา
โดยมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เอาชีวิตเข้าแลก อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
เพื่อขอให้จบกิจ บรรรลุถึงซึ่งวิมุติธรรมในชาติปัจจุบันนี้
เป็นการตั้งความปารถนาอย่างแรงกล้า เพื่อขอบรรลุซึ่งผลอันยิ่งใหญ่ เป็นต้น

หรือ ตอนที่ "พระอชิตะกระทำสัตยาธิษฐาน"
มีตัวอย่างดังนี้ครับ...

...ความเดิมจากตอนที่แล้ว... นอกจากพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธะ
จะขันอาสาที่จะไปตามหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาแล้ว
พระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นเลิศทางด้านต่างๆ
ก็ได้ขันอาสาที่จะไปหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานสักเพียงใด

ก็ยังไม่มีพระอสีติมหาสาวกรูปใดที่จะสามารถนำบาตรมาถวายคืน
แด่พระบรมศาสดาได้เลยแม้สักรูปเดียว
ในที่สุด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรับสั่งกับท่านอชิตภิกษุว่า
"อชิตะ...เธอจงไปนำบาตรของตถาคตมาเถิด"


เมื่อท่านอชิตภิกษุได้ฟังพระบรมศาสดาทรงรับสั่งเช่นนั้น ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมาว่า
"เหตุการณ์ในวันนี้...มันช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ขนาดพระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธานุภาพเป็นอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น กลับไม่มีผู้ใดที่จะสามารถนำบาตรมาถวายคืนแด่พระพุทธองค์ได้เลย
ส่วนตัวเรานั้นยังเป็นภิกษุปุถุชนธรรมดา ผู้ถูกกิเลสครอบงำอยู่
เหตุไฉนหนอ...พระจอมไตรจึงตรัสสั่งให้เราแสวงหาบาตร จะต้องมีเหตุพิเศษสำหรับเราเป็นแน่"



ครั้นแล้ว ท่านอชิตภิกษุก็ได้ลุกขึ้นไปยืนอยู่กลางแจ้ง
จากนั้นก็ได้มองขึ้นไปบนอากาศ แล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า

"อันตัวเรานี้...ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เพื่อหวังประพฤติพรหมจรรย์ และรื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏสงสาร
หากว่าศีลของเรายังบริสุทธิ์มิได้มีสิ่งใดด่างพร้อย
ก็ขอให้บาตรของพระบรมศาสดา จงมาสถิตในมือของเราด้วยเถิด"


เมื่อท่านอชิตภิกษุกระทำสัตยาธิษฐานจบลง ท่านก็ได้เหยียดมือออกไป
ในทันทีที่มือทั้งสองได้เหยียดออกไปจนเกือบจะสุดแขน
บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตกลงมาจากนภากาศ
มาประดิษฐานอยู่ที่มือของท่าน เสมือนเป็นการบอกเหตุว่า...

บาตรใบนี้เป็นบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐยิ่งกว่าพระอสีติมหาสาวกและเหล่าพระสาวกทั้งหลาย
การที่พระอชิตะสามารถรับบาตรของพระบรมศาสดาได้นั้น
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่พระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า
แต่พระอชิตภิกษุผู้นี้...ที่แท้ก็คือหน่อเนื้อแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่จะได้มาตรัสรู้ธรรมในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า


อันนี้ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง

หรือแม้แต่กระทั่งการตั้งสัตยาธิษฐานของเหล่าทหารก็ตามที

ผมมีความรู้สึกว่า "สัตยาธิษฐาน" เป็นสิ่งที่ปุถุชนธรรมดาสามัญ มิอาจกระทำได้โดยง่ายนัก
หรือหากจะกระทำ ย่อมต้องมีสัจจะบารมียิ่งยวด และไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้บ่อยครั้ง

เพราะว่า...ถ้าหากคิดในทางกลับกัน (ความเห็นส่วนตัว) ว่า...
หากตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว ไม่สามารถกระทำได้ตามสัจจะที่ลั่นไว้ได้
ย่อมเกิดผลในทางตรงข้าม ก็อาจเป็นได้

ในที่นี้ ผมเข้าใจว่า ถ้าตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว ทำได้ ย่อมส่งผลอันเลิศตามความปารถนา
แต่หากกระทำสัจจะเช่นนั้นทำไม่ได้ ก็อาจให้ผลในทางตรงกันข้ามอย่างที่สุด เช่นกัน

จึงอยากเรียนถามคุณสิรวีย์ ว่า ในพิธีกรรมดังกล่าว...
เขาให้ ตั้ง "สัตยาธิษฐาน" กันขนาดนั้นเชียวหรือครับ??

แต่หากผมเข้าใจผิดด้วยประการใด ก็ขอให้คุณสิรวีย์ ได้ให้ความกระจ่างด้วยครับ
#7
รื่องนี้ อธิบายยากนะครับ
เทพหนึ่งองค์ อาจมีได้หลายภาค
แต่ละภาค อาจทำหน้าที่ต่างกัน ในแต่ละสถานที่

พระภาคใด ที่ไม่ได้คลุกคลีกับมนุษย์
ย่อมไม่มีความเข้าใจมนุษย์
แม้มนุย์อาจถือว่าเป็นลูกหลานของเทพพหรม
ก็ไม่ได้หมายความว่า
เทพพรหม จะเข้าใจมนุษย์เสมอไป

ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี แบบมนุษย์
ความเหมาะสมในกาละเทศะแบบมนุษย์
เทพ พรหม เทวดา บางหมู่เหล่า
ก็ไม่เข้าใจ

เปรียบเหมือนคนที่อยู่ต่างวัฒนธรรมกัน
ย่อมเข้าใจกันได้ยาก

แต่หากพระภาคที่ไม่ยุ่งกับมนุษย์
ต้องมา "ข้องเกี่ยว" กับมนุษย์แล้วล่ะก็
ความวุ่นวายทั้งปวง ก็บังเกิดขึ้น
ด้วยความไม่เหมาะสมของกาละเทศ
ของทั้งเจ้า ทั้งคน นั่นเอง

หาเราดูจากปกรณ์ เหมือนอ่านนิยาย
ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่บอกไปแล้ว
อันนี้ ไม่เกี่ยวกับปรัชญาทางเทวะศาสตร์นะครับ
ผมหมายถึง หากเราดูแต่ character ของตัวละคร เท่านั้น

เรามักจะเจอคำว่า
พรศิวะ เป็น "ผู้ลี้ลับ" "เข้าถึงใจได้ยาก"
หากเกิดเหตุการณ์อันใดที่แปลกๆ
อะไรๆ ก็จะไปเหมาๆ เทๆ ไปเป็นว่า
เป็นเพราะ "พระปารถนา และความลี้ลับของพระศิวะ"
หรือไม่ก็  "ศิวะบันดาล" เทือกๆ นี้ไปหมด

ถ้า character นี้ เป็นจริง
แสดงว่า ท่านเปรียบเสมือนผู้ใหญ่
ที่ "เข้าใจยากมาก" ท่านหนึ่ง

บางครั้งก็ใจดี ดีใจหายกันไปเลย
บางครั้ง ก็ขี้หงุดหงิด
บางครั้ง ก็มี bias
บางครั้งก็ลุ่มลึก
บางทีก็ เอาแต่ใจ ทะเลาะกับมเหสี ก็มี

และหากเราดูๆ ไป..
การให้พร หลายครั้ง ก็เกิดสิ่งดีงาม
แต่หลายครั้งก็ทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนมากมาย

จนมนุษย์ จับเอาลักษณะนี้ มาเป็น concept ว่า
พระศิวะ มักให้พรที่เหนือธรรมชาติ
อะไรก็ตามที่ "ผิดปรกติ" "แปลกพิศดาร"
ก็ให้ขอจากพระศิวะ

ดังนั้น มนุษย์ปัจจุบัน
จึงตะบี้ตะบันขอพรกันไม่หยุดหย่อน
เพียงหวังว่า "ปาฏิหารย์" จะบังเกิด

สำหรับผม เทพพรหม เกือบทุกองค์
ผมรู้สึก "เฉยๆ"
จะมีแค่ องค์ สององค์ เท่านั้น
ที่เราขอพร เป็นประจำ
เพราะรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษ
แต่ไม่ได้ขอเพราะคาดหวัง
เพราะ ไม่มีใคร ฝืนกฏของกรรมได้
แม้จะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตาม
นอกนั้น "สักการะ" ปกติ ไม่ได้ขอพร
แต่ถวายพระพร ถวายกุศล ก็เท่านั้น

แม้แต่ผู้ใหญ่โตนั้น
ยังต้องปลดอณูลงมาใช้กรรม
แสดงว่า กฏของกรรม ไม่มีข้อยกเว้น
และเป็นจริงเสมอ
ถ้าไม่ปลดอณูลงมา ก็หนักๆ อยู่
และสักวัน ก็ต้องชดใช้ด้วยตนเอง

หากเรามอง ในมุมของพุทธศาสนา
เหตุปัจจัยเห่งการก่อเกิดทั้งปวง คือ "อวิชชา"
อวิชชานี้ ไม่มีที่กำเนิด มันเกิดเอง
เหมือนเป็นธาตุ ที่มีอยู่เองในธรรมชาติ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น เทวะ เทวี
ก็เกิด กำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ
อันมีอวิชชา เป็น "ต้นธาตุ" นั่นเอง

จริงอยู่ เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีหน้าที่
จัดกรวาล ดวงดาว ธาตุ
พลังงานต่างๆ ในธรรมชาติ
ต้องมีการควบคุมอย่างสมดุลย์
มันก็ต้องมีการบริหารจัดการกันเอง
ตามธรรมชาติของกระแสพลังงาน

กระแสพลังงานในธรรมชาติ
ย่อมแสดงรูปลักษณ์ออกมาได้ต่างๆ นาๆ
ซึ่งขอใช้คำว่า  spirit ของธรรมชาติ
ดังนั้น ความเข้าใจของผม
เทพ-พรหม น้อยใหญ่ ก็คือ
spirit ของธรรมชาติในระดับต่างๆ นั่นเอง

เนื่องด้วย "อวิชชา" ก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง
เป็นรากเหง้าของ "กิเลส" ทั้งปวง
เทพ-พรหม ก็มีกิเลส ไม่ต่างกับมนุษย์
ทั้งที่มีมาก มีน้อย

และเทพพรหม แต่ละพระองค์
ก็มีลักษณะนิสัย แตกต่างกันไป
ไม่เห็นต่างกับมนุษย์ตรงไหนเลย

บางนิกายของคริส ยังมองพระเจ้ากับมนุษย์
ด้วยมุมมองที่ต่างกัน
มุมหนึ่ง มองว่า มนุษย์เป็นเพียง "ธุลี" ที่พระเจ้าปั้นขึ้น
อีกมุมหนึ่งมองว่า
พระเจ้า ปารถนา ให้มนุษย์ เป็น "ฉายา" ของพระองค์
มีความเหมือนพระองค์มากที่สุด
เป็นมุมมอง ที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
มันก็แล้วแต่คนจะมองกัน และตีความกันไป

บางคน อาจบอกว่า เรามีอหังการมากหรือ
ถึงเปรียวมนุษย์ กับพระเป็นเจ้า
แต่หากเรามองอย่างกลางๆ ว่า
พระเจ้า ก็คือ spirit ของธรรมชาติ
ดังนั้น spirit ก็มีกิเลสนะ.. เพราะยังมี  "อวิชชา"

หากมองจาก "ศรัทธา" ก็อาจเลี่ยงบาลี
ได้ว่า "เป็นมายาของพระเป็นเจ้า"
จะแสดงอะไร อย่างไร ก็เขียนให้ดีได้ทั้งนั้น

แต่หากเรามองทางปรัชญา...
ก็จะศึกษาเฉพาะหลักการ และตรรก
เพิกเสียซึ่งความยินดี ยินร้าย ในอารมณ์ทั้งปวง
ดูเฉพาะเหตุผล และองค์ประกอบ
ของหลักธรรม เท่านั้น

ผมเคยเห็น เคยได้รู้ ว่า
มีเรื่องของการวิเคราะห์เทวะปกรณ์ของกรีก
แต่ไม่เห็นมีของฮินดู
ถ้าเราจับเอาแต่ละพระองค์มาเป็นตุ๊กตาตัวละคร
ก็คงจะสนุกดี

และถ้าเราไม่ "เหมา" ว่า อะไรๆ  ก็เป็น
"เทวะปารถนา" หรือ "ความลี้ลับ"
หรือ "god's will" ไปเสียหมด
ก็น่าจะมีความเป็นกลางในการรู้จักศรัทธามากขึ้น

สำหรับผม
หากขอพร ก็มักขอจากสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้
แต่ไม่อยากขอพร เพราะหวังสิ่งที่เป็น "ปาฏิหารย์"
เพราะถ้ามันไม่เกิดขึ้น เราก็เสียพลังใจไปเปล่าๆ
เพราะเข้าใจว่า เทพพรหม เป็น "ผู้เปิดโอกาส"
แต่โอกาสนั้น เราต้องเป็นผู้สร้างให้มีก่อน
แล้วท่านเป็น "ผู้ผลักดัน"
แต่จะดันได้แค่ไหน มันก็อยู่ที่ "กรรมของเราเอง"

เทวดา ไม่ใช่มนุษย์
บางหมู่เหล่า ที่ไม่เคยเป็นมนุษย์
ย่อมไม่ทราบความคิด ความรู้สึก จิตใจ แบบมนุษย์
อย่างแท้จริง
เราจะไปหวังอะไรมากมายกับสิ่งเหล่านี้

ยิ่ง "ขอ" ให้ท่านช่วยมาก ก็เป็นหนี้ท่านมาก
action = reaction เสมอ
ถ้าเราประกอบเหตุปัจจัย ให้สมบูรณ์พร้อม
ไม่ต้องขอ ท่านก็ต้องมาช่วย
หรือแค่คิด ท่านก็ต้องร้อนอาสน์มาช่วยอยู่ดี
แต่ถ้า "ตอแย" แล้วท่านช่วย ก็ติดหนี้พอกพูน

ท่านเป็น "ผู้สร้าง" โครงสร้างในระดับต่างๆ
แต่ตัวท่านเองก็ "ถูกสร้าง" จากธรรมธาตุ เช่นกัน
หากมองในแง่ของ "ผู้ถูกสร้าง"
ไม่ว่ามนุษย์ หรือ พระเป็นเจ้า ก็
"ถูกสร้าง" โดยธรรมชาติ ด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้น ธรรมธาตุ อันเป็นกลาง
จึงมีอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่มีสูง ต่ำ เล็ก หรือ ใหญ่

ต่อให้ไปรวมกับพระเป็นเจ้าได้
ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะดำรงค์สภาพแห่งความเป็นพระเป็นเจ้าด้วยตนเอง
ถึงเวลหนึ่ง เมื่อกรรมส่งผล ก็หลุดออกมาอยู่ดี
หรือถ้าเป็นอณูบริสุทธิ์ ก็ยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้อณูใหญ่
ไม่ได้เกิดความ "โปร่งโล่ง ไร้อัตตา" อย่างแท้จริง

สำหรับผม
ไม่มีธรรมธาตุใดบริสุทธิ์ เท่ากับความหมดไปซึ่ง อวิชชา
ไม่มีความหลุดพ้นใด หมดจด เท่ากับ ความไร้อัตตาแท้จริง

เพราะแม้แต่เทพพรหม ผู้เป็นสุขสูงสุด ในปรมาตมัน
ยังมีความ "เป็น" และ "หน้าที่ ที่ต้อง "ดำรงสภาพ" นั้นๆ
ซึ่งถือเป็น "ภาระ" อันไม่อาจ "จบกิจ" ได้ตลอดกาล
ถึงจะมีกิเลส "บางเฉียบ" แต่ก็ไม่ถือว่า "หมดจด"

ความปารถนาอันใด ในองค์พระเป็นเจ้า
ก็ขอเพียง ได้ถวายพระพร และทำอะไรให้ท่านได้บ้าง
ไม่อยากต้องเป็นฝ่าย "ขอ" อยู่ร่ำไป
แต่ถ้าท่านจะให้เรา เราก็รับ
แต่ถ้าไม่ให้ ก็ไม่ตื้อขอ.. เพราะกลัวเป็นหนี้
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ถือว่าเป็นหนี้
แต่เรารู้อยู่ในใจว่า ธรรมชาติ ต้องสร้างสมดุลย์

เหมือนเรา deal กับธนาคาร
ถ้าเรากู้บ่อยๆ ดอกเบี้ยมันก็เพิ่มมากขึ้นๆ
แต่ถ้าเรามีตังค์มาก
ธนาคาร เขาก็ต้องมาขอให้เราไปฝากเอง
แต่ถ้าเราฉลาดกู้ ก็อาจรวยได้เหมือนกัน
ธนาคารก็ต้องเห็นเราเป็นลูกค้าชั้นดีเหมือนกัน

พระเป็นเจ้า ก็เป็นผู้ควบคุมกลไกของธรรมชาติ
เปรียบเหมือนนายธนาคารนั่นเอง
ทีนี้ จะกู้กับธนาคารไหน ก็ต้องดูนิสัยนายธนาคารด้วย นั่นแหละ
#8
ความเป็นเทพนั้น ยังโกรธง่ายกว่าพรหม มากมายครับ
พอดี พระศิวะ เป็นเทวะกำเนิด... คือ ไม่จำเป็นต้องเคลื่อน
และเนื่องจากเป็นอธิบดีแห่งเทพทั้งปวง
เป็นพลังงานของจักรวาล (กาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้)
จึงต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป...

จะว่าไป ถึงพระศิวะจะเป็นโยคี ผู้ชอบดิ่งในสมาธิตบะ
แต่โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า เป็นมหาเทวะผู้เอาใจยากมากผู้หนึ่ง
คือ ค่อนข้างเอาแต่ใจพอควร..ตามความเห็นผมนะ
ท่านไม่ได้ไม่โกรธหรอก อย่างมากแค่ข่มได้เร็ว
ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายผิดปกติไปเลย
เอาใจยากกว่าเทพองค์ใดๆ ทั้งสิ้น..

นั่นแสดงว่า สมาธิตบะ ไม่ได้ล้าง "โทสะ" ได้เลย
มันแค่เอาหินไปทับหญ้า..
กดไว้นานๆ เวลามันเด้งกลับ ยิ่งแรงกว่าปกติ


เหตุการณ์หลายครั้งที่ืืทรงกริ้ว...ก็กริ้วเกินความจำเป็น
เป็นผู้ใหญ่ ไม่ควรโกรธ...
เท่าที่อ่านหรือดูหนัง จะเห็นว่า ท่านโกรธง่ายมาก
ชอบการสรรเสริญเยินยอ...
ใครเอาใจเก่ง บูชาเลิศ ตบะเยี่ยม
ก็ประทานพรทั้งนั้น เพราะให้สัจจะเอาไว้

จะเห็นว่า ในปกรณ์ต่างๆ พระศิวะประทานพรทีไร
ก็มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย..ให้เทพองค์อื่นมาตามแก้อยู่ร่ำไป
ความดีที่ผมเห็นอย่างเดียว คือ การบรรดาลโครงสร้างของจักรวาล
นอกนั้น ก่อเรื่องยุ่งเหยิงตลอด..ก็เพราะการประทานพรนี่แหละ


ไม่รู้สิ.. โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า
ถ้าเป็นคน.. ผมคงคบลำบาก เพราะเอาใจยาก
และส่งผลดี ผลเสีย ได้ค่อนข้ารุนแรงง..ไม่เข้าใกล้จะดีกว่า
อย่างนี้กระมัง จึงเป็นตัวอย่าง
ให้มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย รู้จักการ "ประจบสอพลอ"

โดยส่งตัว ผมบูชาท่านในฐานะมหาเทพ..
แต่ไม่ได้ขอพรอะไร..
เพราะไม่รู้ว่า วันไหนอารมณ์ดี วันไหนอารมณ์ไม่ดี
แล้วถ้าขอพรไป จะต้องแลกด้วยอะไรรึเปล่า...
ผมขอพรกับองค์ที่อารมณ์เป็นกลางจะสบายใจกว่า
ไม่ใช่ท่านไม่ดี แต่ผมรู้สึกว่า จริงๆ แล้วท่านเข้าถึงยาก

แต่ถ้าเป็นพวกขี้ขอ ขอดะ.. ก็อาจจะให้ก็ได้นะ..
#9
อ่อ..ขอบคุณครับ คุณวิชัยบุตร
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย..

ถ้าเช่นนั้น ผมเข้าใจว่า
โอมฺ โสหํ หํสา เป็นองค์ภาวนา
หรือ คำบริกรรม สำหรับภาวนา
ได้หรือไม่ครับ?
เหมือนกับการภาวนาว่า ศิวะ-ศักติ
เหมือนกับภาวนาคู่กับลมหายใจไป

แต่เนื่องจาก
โอมฺ โสหํ หํสา
ไม่ได้เป็นการนำจิตไปรวมกับพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้น ขณะภาวนา จึง "ไม่" ส่งจิตออกไปหาพระผู้เป็นเจ้า
ใช่หรือไม่ครับ..???
แต่เป็นเพียง มนตรา สำหรับ ภาวนา เท่านั้น

#10
ผมมิบังอาจเป็น "ตัวพ่อ" อะไรหรอกครับ
สติปัญญาน้อยนิด แถมยังมีจำกัด...มิอาจเอื้อม..

เอ.. ทำไม ไม่เห็น mention
เวปมาสเตอร์ 3 ท่าน เป็น "ตัวพ่อ" บ้างล่ะครับ
ทรงภูมิแน่นพุงกันหมดเลยนะนั่น..

แถมยังมี โหราจารย์ อย่างคุณกาลปุตรา อีก

ผมนี่ ไม่ติดฝุ่นขี้เล็บท่านเหล่านี้เลย

พี่ก็เป็นแค่ [HIGHLIGHT=#ff0000]"นายพรานแก่ๆ"[/HIGHLIGHT] แหละครับ น้อง [HIGHLIGHT=#ffff00]"จิ้งจอกฯ"[/HIGHLIGHT]
#11
เอ..ผมยังงงๆ อยู่นะครับ..
ที่ผมตอบนี่ มันเกี่ยวกับการเข้าทรงตรงไหนเหรอครับ

ทางวัชรยาน เขามีลักษณะการฝึกอย่างนี้จริงๆ
มันเป็นการทำจิตเป็นสมาธิ เพ่งจิตนาการ
การพยายามหลอมรวมจิตใจ ของตัวเอง กับ spirit
ที่เรียกว่า ธรรมบาล.. ที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง
ให้การชี้นำ และฟอกจิต ไปสู่ความหลุดพ้น
ตามวิถี และหลักสูตรของเขา

มันอาจมีพื้นฐานบางอย่างคล้ายกับการเชื่อมกระแส
ของการเข้าทรง...แต่มันไม่ใช่การเข้าทรง
พวกที่ทรง โดยทั่วไป เราจะเข้าใจว่า เขาถูกครอบงำ
และครอบครองจิตใจไปเลย

แต่ผู้ที่ฝึกวิชาอย่างนี้..เพียงแต่ทำตัวและปรับบุคลิก
ให้เหมือนกับลักษณะของสิ่งที่ตนกำลังเชื่อมอยู่
ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น..

เหมือนกับเรามี idol แล้วพยายามเข้าถึง idol คนนั้น
ให้ได้มากที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจ
เพื่อให้ผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว ให้สนิทที่สุด
เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำพาสู่ความหลุดพ้น

แต่ผู้ที่จะนำทางนั้น เป็น spirit
ผู้ฝึกต้องทำตัวให้เข้ากับท่านให้ได้เนียนที่สุด
ไม่ได้ให้ท่านมาครอบงำจิตใจ
แต่แน่นอน เมื่อเชื่อมได้แล้ว
ย่อมมีการถ่ายทอดพลังงานได้
เช่นเดียวกับการถ่ายทอดพลังานที่เป็น "คลื่น" นั่นเอง

ไม่เห็นเกี่ยวกับการเข้าทรงตรงไหน
เพราะไม่มีใครมาครอบงำจิตใจใคร
เนื่องจากต้องมี "สติ" พร้อม..และฝึกฝนอย่างเป็นขั้นตอน
ตามที่คุรุ เป็นผู้สอน
ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาตั้งหลายปี
กว่าจะฝึกพื้นฐาน และรู้ว่า ใครเหมาระกับการฝึก
ตามแบบฉบับขององค์ใด มีหลักสูตรเป็นขั้นเป็นตอน
ไม่ใช่มั่วๆ ซั่วๆ... มันก็จะกลายเป็นบ้า เข้ารกเข้าพง
หรือเป็นการเข้าทรงไป..ซึ่งผิดเต็มๆ

ทั้งหมด ไม่มีการเข้าทรงแต่ประการใดเลย


แต่ต้องยอมรับว่า พิธีกรรมของวัชรยาน
ย่อมเกี่ยวเนื่องด้วยจิตภาพ วิญญาณ จิต และสมาธิ อยู่เสมอ
เช่นพิธีทิ้งกระจาด ตลอดระยะเวลากระทำพิธี
ก็ต้องกำหนด มันดาลา (มนฑล) จิตภาพต่างๆ
ประกอบกับรหัสมือ หรือ มุทระ และมนตรา มากมาย
มันเป็นเรื่องของพิธีกรรม ความเชื่อ และวิชาของเขา

เท่าที่ผมได้อ่าน การฝึกทางวัชรยาน
เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้ว ย่อมเข้าสู่พุทธเกษตร
หรือ มันดาลา ของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
พระองค์ใด พระองค์หนึ่งได้..
ด้วยอาศัยการประสานใจเป็นหนึ่งเดียวกับท่านโดยสมบูรณ์
แล้วอาจไปบำเพ็ญต่อในโลกหลังความตาย
ตามที่ตนปารถนา หรือซักฟอกอย่างหมดจด
ตั้งแต่ยังมีธาตุขันธ์ในโลกมนุษย์นีก็อาจเป็นได้

ซึ่งผมเข้าใจว่า concept นี้ ก็คล้ายกับของฮินดู
ที่ จขกท. ยกประเด็นขึ้นมาถามน่ะครับ

นั่นคือ การเข้าถึงพระเป็นเจ้า หรือ อะไรก็ตาม
ด้วยความสนิทแนบเน่น เป็นเนื้อเดียวกัน
แต่อาจต่างกันบางอย่าง เช่น ฮินดู ต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า
มหายาน เชื่อมเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ให้สำเร็จคุณวิเศษตามหลักสูตร
หรือให้ไปบำเพ็ญต่อหลังความตาย
หรือบำเพ็ญจนหลุดพ้นตั้งแต่ยังไม่ละสังขาร

ทั้งนี้ ก็มีพื้นฐานคล้ายคลึงกัน

ผมไม่ได้ออกนอกประเด็นไปไหน
เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และความคล้ายคลึงเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้ชี้นำไปในทางที่เสื่อมแต่ประการใด
กรุณาเข้าใจตามนี้นะครับ

ก็ขอให้อ่านอย่างมีวิจารณญาณกันสักหน่อย
สงสัย ผมคงปูพื้นฐานให้น้อยไป
เลยต้องไปคิดกันเอาเอง แล้วคิดว่าผมพยายามชักนำ
ออกนอกลู่นอกทาง หรือพยายามทำให้ไขว้เขว
กลายเป็นบาปเป็นกรรมไปเสียอย่างนั้น..

และถ้าใครจะว่า จะตำหนิใคร ก็กรุณาอ่านให้เข้าใจมากๆ ก่อน
ถ้าคิดว่า ไม่ถูกต้องสมควรอย่างไร
ให้บอกกันได้ ด้วยความสุภาพ
มิเช่นนั้น ผลกรรมนั้น จะตกกับตัวผู้เข้าใจผิดเสียเอง

อีกประการหนึ่งใครเขาจะสื่ออะไรกับใครได้นั้น
ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะพอใจ หรือไม่พอใจ เพราะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
บอร์ดนี้ ไม่ได้มีไว้ระบายความไม่พอใจ
ที่มีต่อทัศนะ หรือความเชื่อของคนอื่น...
แต่มีไว้แบ่งปันความรู้ และเสริมสร้างมิตรภาพมากกว่า
#12
หากเป็นอย่างที่คุณวิชัยบุตรเข้าใจ
ผมก็ขอเข้าใจต่อว่า.. มันก็คือ
การพยายามเข้าไปรวมเป็นปรมาตมันเดียวกับพระเป็นเจ้านั่นเอง

วิธีการนี้ ผมเข้าใจว่า ยังประยุกต์ใช้กับทางวัชรยานด้วย
เช่น หากเราเหมาะสมที่จะฝึกวัชรธรรมของพระธรรมบาลโพธิสัตว์องค์ใด
เราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ ถึงลักษณะนิสัย ท่าทาง กริยาอาการ
ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ที่เราพยายามจะเชื่อมสัญญาณด้วย
ให้ท่านมาเป็นพี่เลี้ยงเรา เรียกว่า "เราคือท่าน ท่านคือเรา"
เชื่อมกระแสกันตลอด เป็นพี่เลี้ยงให้
จนกว่าเราจะเข้มแข็ง และเดินเองได้จริงๆ
และยังมีขั้นตอนอีกมากมาย

แต่ไม่ใช่ว่านึกจะฝึกองค์ไหนก็ตะบี้ตะบันฝึกตามใจฉัน
การฝึกทางวัชรยาน ต้องอาศัยคุรุ หรือ ครู
เป็นผู้พิจารณาให้ก่อน และครูคนนั้น ต้องเป็นสายธรรมของพระโพธิสัตว์องค์นั้นๆ
โดยตรง ไม่ใช่ว่า ใครๆ ก็ฝึกให้ใครได้...จึงเรียกว่า เป็น "นิกายลับ"
และใช้เวลาในการพิจารณาเลือกองค์ที่เหมาะสมแก่ศิษย์
เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี กว่าจะเลือกได้..

เท่าที่ผมรู้มา ก็ประมาณนี้
วัชรยาน ก็คือ ความเชื่อเรื่องวิญญาณแบบท้องถิ่น + ฮินดู + มหายาน นั่นเอง
ตามที่ผมเข้าใจนะครับ ดังนั้น จึงมี concept คล้ายๆ กัน
#13
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมเคยเรียนถามคนที่เคารพกันท่านหนึ่ง
รู้จักกันเป็นการส่วนตัวว่า..
ท่านบูชาเทพที่มีความสัมพันธ์กับท่าน
แต่ทำไมไม่เห็นท่านต้องทำอารตี....
เพียงจุดธูป และจุดเทียน ปกติ ตามธรรมเนียมไทย

ท่านก็ชี้แจงว่า..

การถวายอารตี เป็นการบูชาด้วยเตโชธาตุ
อันเป็นธาตุบริสุทธิ์ และเป็นธาตุที่ใช้ทำลายความไม่ดีทั้งปวง
เช่น การใช้ไฟบรรลัยกัลป์ ทางฮินดูเชื่อว่า
เป็นการเคลื่อนพลังของพระศิวะเป็นเจ้า
ออกมาในรูปแบบของคลื่น ที่ทำให้เกิดไฟเผาผลาญเพื่อล้างโลก
เพราะโลกโสมมมากไปแล้ว ก็ต้องทำลายทิ้ง เพื่อสร้างใหม่

ดังนั้น เตโช จึงสื่อถึง การทำลายไปซึ่งความไม่ดีทั้งปวง
การขจัดเสียซึ่งความโง่ การบูชาด้วยธาตุบริสุทธิ์ ประการหนึ่ง
และสื่อถึงความสว่าง อันหมายถึงปัญญา อีกประการหนึ่ง

มีคนให้ความรู้ผมเพิ่มเติมว่า..
เทวรูปฮินดู มักขัดพระพัตรให้เป็นเงา ดูสว่าง
เนื่องจากยามเช้า กระแสพระญาณของเทพเจ้าต่างๆ
จะแผ่ผ่านเทวรูป โดยกระแสจะแผ่มาทางพระพักตร
เหมือนเป็นเวลาที่ท่านเปิดสถานีเพื่อรับข้อความ
และส่งกระแสการประธานพร ผ่านเทวรูปนั่นเอง
ดังนั้น การอารตียามเช้า จึงถือว่าสำคัญมาก
และจะแกว่งไฟ ที่หน้าพระพักตร ด้วย..

แต่หากเทวรูปใด มีพระญาณแบ่งมาสถิตย์อยู่ประจำก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ปกติ ผู้ว่าฯ หรือ นายก ไม่จำเป็นต้องอยู่จวน หรือทำเนียบ เสมอไป
มีลูกน้อง มีการสื่อสารด้วยจิตวิธีอื่นๆ อยู่ไหนๆ ก็รับรู้ และทำงานได้ครับ
เทวรูป ก็เหมือนกับอุปกรณ์สื่อสารอย่างหนึ่ง
ระหว่างมนุษย์ กับ เทพเจ้า นั่นเอง

อีกประการหนึ่ง
การอารตี ที่ต้องใช้การบูร หรือใบไม้อะไรๆ บ้างนั้น
หากศึกษาดูก็จะเห็นว่า ใบไม้ หรือการบูร ก็แทนสมมติ
เพื่อความเป็นมงคลในการประกอบพิธีทั้งสิ้น

ผมเอง บางครั้ง ไม่สะดวกที่จะใช้ธูป หรือกำยาน
เพราะมีควันมาก และแพ้ควัน จากการเผาไหม้
ผมก็เปลี่ยนมาใช้ตะเกียงน้ำมันหอมแทน ถวายเป็นสุคนธ์ คือเครื่องหอม

(อย่าไปเชื่อใครว่า สูดควันอาโรม่าจากกำยาน แล้วจะดี
เพราะยังไงๆ มันก็คือ ควันจากการเผาไหม้ ก็คือ คาร์บอน นั่นเอง
ดีไม่ดี สูดบ่อยๆ มะเร็งคงจะถามหาแน่นอน)

และถ้าไม่สะดวกอารตี ด้วยการจุดไฟดวงใหญ่ๆ
ผมก็ใช้ประธีปเล็กๆ ที่มีเขม่าน้อยแทน.. แต่ก็ให้เปลวไปไม่เล็กเกินไป
เสร็จแล้ว ก็ดับ ให้ควันไม่คลุ้ง
อย่างนี้ โดยส่วนตัว ผมก็ว่า พอใช้ได้แล้ว
ไม่มีควันกรุ่นคลุ้งฟุ้งกระจาย ไฟก็ไม่ลุกเว่อร์เกินไป..
บูชาแล้วปลอดภัย ดับแล้วไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในบ้าน

อย่างประเพณีการลอยกระทงของไทยนี่..
จะว่าไป ก็คือการถวายประธีป เพื่อบูชาพระแม่คงคา คือน้ำ
เพียงแต่ คนไทย คิดประดิษฐ์ภาชนะ ที่ใช้ลอยประธีปให้งดงาม
จริงๆ ก็คือการบูชาพระเป็นเจ้าแห่งสายน้ำ
ด้วยเตโชธาตุ และสุคนธ์ นั่นเอง

ดังนั้นจะเห็นว่า ธาตุไฟ ใช้เป็นสิ่งสักการะในหลายลัทธิศาสนา
เนื่องด้วยเป็นธาตุบริสุทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของการทำลายความมืด
เป็นเครื่องนำมาซึ่งความสว่างและสวัสดิมงคล ตามสมมุติ
หากใจสว่าง และมีคุณภาพใจดีพอแล้ว...
โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า..สมมติก็อาจเพิกบ้างก็ได้ครับ

แต่ละท้องที่ในโลก บูชาเทพเจ้าองค์เดียวกัน ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
แม้แต่ในแต่ละท้องถิ่นของอินเดีย ก็มีวิธีบูชาไฟ หรืออื่นๆ ต่างกันไป
จะว่าใครผิด ใครถูก จะไปตำหนิว่า บูชาเทพฮินดูแต่อารตีไม่เป็น ใช้ไม่ได้
ก็ไม่ควรจะว่าใครหรอกครับ..

แต่หากจะศึกษาถึงที่มาว่า ทำไม เพราะอะไร ที่นั่น ที่นี่
ถึงได้มีวิธีบูชา อย่างนั้น อย่างนี้ มีความเป็นมาอย่างไร
อันนี้ ผมว่า น่าสนใจมากกว่านะครับ

เทพเจ้า แท้จริง ไร้ซึ่งตัวตน เป็นกลุ่มของพลังงาน
พลังงานก็ทำหน้าที่ต่างๆ ตามหน้าที่ของพลังงานประเภทต่างๆ
อาศัยสมมติ ก่อเกิดนิมิตเป็นรูป และนาม
เมื่อมีรูปแล้ว สมมุติในการปฏิบัติต่อรูป ก็เกิดตามมาทีหลัง
ด้วยความรู้อันจำกัด ผมก็ทราบเท่านี้แหละครับ

ไม่ขออิงตามหลักฮินดู
เพราะผมไม่ใช่นักปรัชญาศานา หรือนักมานุษยวิทยา
หากมีผู้รู้มาชี้แจงภายหลังแล้วไม่ตรงกัน
ก็ถือว่า เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ที่ได้รับทราบมาเท่านั้นครับ
#14
ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ ใครจะไปว่า..
การบูชาด้วยไฟนั้น ถือเป็น การบูชาด้วยเตโชธาตุ
อันถือว่าเป็นธาตุบริสุทธิ์
ก็เป็นการบูชาอย่างหนึ่งน่ะครับ

เราจะถวายประธีป และสุคนธ์
ตามธรรมเนียมไทย ที่ไม่ได้มีอาราตี
ผมก็ว่า ไม่น่าเสียหาย เพราะเทพเจ้า
ท่านไม่ยึดติดวัฒนธรรมสมมุติหรอกครับ

สำคัญที่ จิตขอบผู้บูชา สะอาดจริงรึเปล่า

ถ้าจิตไม่สะอาด ก่อไฟให้ลุกท่วมบ้าน
มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ
แต่ถ้าเรามีจิตศรัทธาจริง บริสุทธิ์ใจ
จุดประธีปดวงเดียว แต่ใจเราสว่าง
น้อมถวายท่าน.. ผมว่า ก็มีอานิสงส์ยิ่งกว่า
สมมติบูชาอย่างอื่นนะครับ

แต่ถ้าอารตีเป็น..ก็ทำตามประเพณีฮินดูไป ไม่เสียหายครับ
ทำไม่เป็น หรือ ถ้าทำแล้วอาจไม่ปลอดภัย
เป็นผม ผมไม่ซีเรียสนะ
เพราะเทพเจ้า คือ พลังงานของจักรวาลในระดับต่างๆ
ย่อมรับการสักการะในหลากหลายลักษณะ
แต่ที่สำคัญคือ จริงใจ บริสุทธิ์ใจ และศรัทธาจริง ต่างหาก

#15
มะได้สนใจพระเรย...55
สนหนังสือที่อยู่ข้างล่างมากกว่า..
ชอบอ่านนิยายฝรั่งเหรอครับ
ทำงานอะไรเนี่ย ท่าทางเก่งภาษา..
แต่ละเล่ม หนาๆ ทั้งน้านนน...
#16
พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ใช่มั้ยครับ
เป็นพระประจำวันจันทร์ ใช่มั้ยครับ
เกิดวันจันทร์เหรอครับ Title??
#17
ผ่านด่านสายตาคุณสิรวีย์มาได้ ถือว่าไม่ธรรมดา
เห็นมั้ยครับ ว่า การจัดที่บูชา ไม่จำเป็นต้องอลังเลิศเลอ
แต่หากรู้จักจัดวางให้ถูก Concept และมีระเบียบ
ที่บูชาพระของเรา ก็ดูดี มีรสนิยม ได้จริงๆ...

จะเห็นว่า พระ ดูขลังๆ
เศียรครู ก็เป็นของดี แกนฐานที่ตั้งเศียร ก็สีเข้ม ไม่แจ้งแว๊ง...
พานก็เป็นโลหะเก่า ดู antique
เทวรูปไม่ต้ององค์ใหญ่ แต่ก็ดูขลัง มีรสนิยมคล้ายเทวรูปหลวง
ที่สำคัญ กระบะย่อมุม และเครื่องประกอบ
ที่รู้จักประยุกต์ และจัดวางอย่างมีหลัก ว่าควรจะวางอะไร อย่างไร
ทำให้ได้อารมณ์ไทยๆ อย่างยิ่ง...

ผมชอบครับ มันไม่ต้องเว่อร์ เรียบง่าย แต่ดูดี มีรสนิยม
#18
ขอถามอ่ะครับ

ตั่งที่ใช้วางเทีัยนแบบในรูปอ่ะครับ ซื้อที่ไหน สวยดี อยากได้ครับ

ขอชมว่า ถึงจะเล็ก แต่งดงาม เป็นระเบียบดีัครับ ชอบ...
#19
อันนี้ ตอบตามตรงว่า... "ยาก" ครับ...

เพราะ ครู ไหน ก็ ตำรา นั้น..
จะบอกว่า เอาตำราไหว้ครูของท่านหนึ่ง ไปใช้กับอีกท่านหนึ่ง ก็ไม่ได้
ครูสำนักใด ท่านก็กำหนดพิธีกรรมของสำนักนั้นๆ เอาไว้..

ครู เป็นใคร เช่น เทพ พรหม ฤาษี มุนี พระสงฆ์ หรือโอปปากติกะอื่นๆ
เขาก็ไหว้ตามระเบียบแบบแผนของเขา...
ถ้ามีครูจริง.. ครูก็ต้องกำหนดสั่งได้ ตามแต่ที่ครูต้องการ

และแต่ละกาล อาจมีการปรับเปลี่ยนไม่เหมือนกันในแต่ละคราว
จะเพิ่ม หรือลด อะไรบางอย่าง ก็เป็นได้
เอาอะไรเป็นหลักร้อนเปอร์เซ็นต์ อาจไม่ได้นะครับ...

บางสำนัก บายศรีที่ตั้งคู่กัน ข้างหนึ่ง อาจไม่เหมือนอีกข้างหนึ่ง
ก็เคยเห็นมาแล้ว... ไปว่าเขาผิด ก็ไม่ได้.. ครูเขาสั่งมาแบบนั้น

อย่างวัดท่าซุง ก็กำหนดมาตรฐาน และการจัดตั้งเครื่องพิธีบวงสรวงไว้อย่างหนึ่ง
ไหว้ครูไทย ของกรมศิลป์ หรือของทมยันตีกับภูเตศวร ก็จัดอย่างหนึ่ง ตามตำรา

การบวงสรวงแบบฮินดู ก็ไม่ใช้บายศรี
การตั้งมนฑลแบบธิเบต ก็มีวิธีการที่แตกต่างกับของที่อื่น ก็ไม่ใช้บายศรี

ดังนั้น จะขอว่า มีบายศรีแบบไหน ใช้ในงานไหว้ครูมั้ย..
ก็ตอบว่า มีมากมาย... ทั้งในตำรา และต้องไปศึกษาเอาเองตามงานไหว้ครู
ไม่มีอะไรเป็นแบบแผนตายตัว.. ของพวกนี้ พลิกแพงได้เสมอ ตามเหตุปัจจัยต่างๆ

ที่สำคัญ..ก็ขอทำให้ได้ทุกสิ่งอย่าง ตามที่คนจ้าง เขาสั่งมาก็แล้วกันครับ..
หรือถ้าจะศึกษาเอาไว้ไหว้เอง.. ก็ต้องรู้ตัวก่อน ว่า ไหว้ใคร ไหว้อะไร ในโอกาสไหน
แล้วถ้าครูท่านจะประสิทธิ์ให้ ก็ขอให้มีเหตุปัจจัย ได้รู้สิ่งที่ถูกต้องตามที่ท่านต้องการให้เป็นไป

จะมาถามใคร ว่า ต้องทำแบบไหน.. คงตอบยาก.. ยกเว้น พวกหลอกลวง รับจ้างทำพิธี 108
พวกนี้ จะรู้หมด.. รู้ทุกอย่าง.. เป็นกูรู...พูดจาน่าเชื่อถือ.. เก็บเงินค่า organizer แพง..
แต่ไม่แน่.. อาจไม่ใช่อย่างที่ครูของเรา ท่านต้องการก็ได้..
#20
ก็ลองดูก็แล้วกันครับ
แต่ตอนนี้ ฐานข้อมูลภาษาของ Google ก็ยังแปลได้ไม่มีเลย
ถ้าแปลออกมาแล้ว อ่านไม่รู้เรื่อง น้องก็เปิดพจนานุกรมเอาก็แล้วกันนะครับ..

แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผมนะ...
ขนมนี่ ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งประจำท้องถิ่น
ดังนั้น เทพแขก เวลาแขกบูชา ก็ทำขนมแบบแขก ถูกมั้ย..
ไม่เห็นจำเป็นที่คนไทย ต้องไปทำขนมแบบแขกให้เจ้าแขกกิน

ลองคิดในมุมกลับกันนะครับว่า มีคนถวายขนมแบบนี้ให้ท่านแล้วทั่วโลก
ท่านอาจจะเบื่อแล้วก็ได้...เราลองถวายอะไรใหม่ๆ ให้ท่านบ้างสิครับ
หรืออาจประดิษฐ์ขนมใหม่ๆ ถวายท่านก็ได้..สร้างสรรค์ดีนะครับ
ท่านจะได้ไม่จำเจ

ในธิเบต ก็บูชาเทพฮินดู.. ไม่เห็นต้องถวายขนมเหมือนที่อินเดียนี่ครับ

เทพเจ้า เป็นพลังงาน.. ชั้นสูงขนาดนั้น ท่านไม่ลงมากินหรอกครับ
ท่านแค่รับทราบ ด้วยมุทิตาจิต
ดูที่จิตของผู้บูชา ว่า เจตนาบริสุทธิ์มั้ย มากกว่า..

เครื่องสักการะอันใด ที่เห็นว่าดีที่สุด เท่าที่จะจัดหาได้ในเวลานั้น
นำขึ้นบูชาท่านด้วยเจตนาอันบริสุทธิ และเครารพท่านจริงๆ นั่นสำคัญกว่า

แต่ถ้าน้องเจ้าของกระทู้ มีศรัทธาอยากทำจริง (และอยากลองชิมฝีมือตนเอง)
ก็ลองพยายามดูครับ...อนุโมทนาด้วย

#21
ครับ ก็ขอให้จัดได้ลงตัว และเหมาะสมตามที่ตั้งใจไว้นะครับ

ที่เช่าพระ ก็มีหลายที่ครับ ไม่ว่าจะวัดแขกสีลม หรือย่านพาหุรัด
หรือแม้แต่สวนจตุจักร ทั้งโครงการติดแอร์ และไม่ติดแอร์
หรือตลาดพระวัดราชนัดดา ก็แบบงานไทยมากมาย
ขอให้ไปสำรวจดูหลายๆ ที่เสียก่อน ราคา ก็ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน
และคุณภาพ ก็ต่างกันตามวัสดุ และการตั้งราคา...

ของบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องแพง แต่สวยดูดี ก็ได้ครับ..

ผมเอง เคยบูชาพระสุรัสวดีที่เป็นทองเหลือง องค์ไม่ใหญ่มาก
ขนาดเท่ากำปั้น แต่มีซุ้มด้วย... เวลาขัดเงาที่พระพักตร กับที่ซุ้ม
ถ้าไม่ขัดก็จะดูเก่าๆ ดูยังไง ก็เป็นงานกิโล พิมพ์บล็อคโหลๆ
แต่พอขัดแล้ว เทวรูปจะดูสวยแปลกตาดีครับ..
มีทั้งส่วนที่เป็นสีเข้ม และสีอ่อน ในองค์เดียว
ผมจะขัดเงาพระพักตรมากหน่อย เพราะต้องการให้พระพักตรดูสว่างกว่าส่วนอื่น
เวลาอารตี แสดงไฟที่จุด จะสะท้อนกับพระพักตรดูสวยงาม
ราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท (เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว) เองครับ

หากเปรียบกับเทวรูปสำริด ก็จะงามคนละอย่าง
เพราะสำริด ถ้าขัดเงา ก็จะมันวับวาวทั้งองค์.. สวยคนละแบบ
หรือบางคน เป็นนักสะสมเทวรูปสำริด ก็จะปล่อยให้สำริดเก่าไปตามธรรมชาติ ไม่ขัด
แต่จะชะโลมน้ำมันเพื่อทำความสะอาดเสมอๆ ครับ..
แต่บางคน ก็ขัดท่านเป็นครั้งคราว เพราะเห็นว่าสวยวาวๆ เปล่งประกายสวยดี
อันนี้ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคลครับ

บางคน มีงบจำกัด.. แต่อยากได้หลายองค์..
ก็ใช้วิธีบูชาองค์เล็กๆ แต่ได้เทวรูปหลายองค์ตามความต้องการก็มีครับ

ก็ขอให้พระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองนะครับ
#22
ก็จัดหิ้งตามความเหมาะสมก็แล้วกันครับ
บอกไม่ถูก เพราะไม่เห็น..
แต่ถ้าเทพหลายองค์ แยกหิ้งก็ดี..จะได้ไม่ปนกับพระ..

และควรคำนึงถึง "น้ำหนัก" ด้วย เพราะหิ้งลอย
มีสกรูสองตัว ยึดอยู่เท่านั้น รับน้ำหนักมากไม่ดี
หิ้งอาจถล่มลงมาได้ง่ายๆ

ส่วนการหันหน้าหิ้งไปทางไหน คงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องทิศมากนัก
เอาเป็นว่า ง่ายๆ.. ให้พระ ให้เจ้า หันหน้าออกไปทางประตูหน้าบ้าน ก็พอ
แต่ถ้าอยู่หอ.. ก็หันหน้าออกประตูห้อง ก็ได้ครับ
และควรบอกเจ้าที่เจ้าทางเสียหน่อย ว่า เรามีพระมีเจ้าบูชาอยู่ในห้อง
ไม่ใช่ว่า เอาเจ้าเข้ามาข่มเจ้าที่..เดี๋ยวจะโดนหมั่นใส้เอา
เพราะหอหรือคอนโดนส่วนใหญ่ จะมีศาลเจ้าที่นะครับ

แล้วก็ควรติดตั้ง ให้สะดวกต่อการสักการะ และถวายสิ่งของบูชาด้วยครับ
#23
ถ้าจะดูฤกษ์อย่างละเอียด คงดูได้โดยใช้หลายๆ ศาสตร์
บางศาสตร์อาจขัดแย้งกันเอง...
คนบางคนอาจใช้ดวงของตนเอง ของสถานที่ ขององค์เทพ
ตามหลักบัญญัติของศาสตร์นั้นๆ... ยุ่งยากพอสมควร..

เป็นอันว่า ฤกษ์สะดวก จะดีที่สุด..
เรื่องวันเวลา แต่ดั้งเดิม เมื่อเริ่มมีจักรวาล มันไม่มีเวลาหรอกครับ
วันต่างๆ ก็ไม่มี ทุกอย่างมันเป็นไปของมันอย่างนั้น..
เวลา ระยะทาง มันก็เป็นการกำหนดขึ้นมา จากมาตรต่างๆ ในภายหลัง

เทพเจ้าต่างๆ นั้น ล้วนเป็นธรรมชาติ.. เป็นพลังงานของธรรมชาติส่วนนั้นๆ
ดังนั้น หากคิดง่ายๆ ว่า ปกติ ท่านก็อยู่ในทุกที่อยู่แล้ว..
ไม่ว่าจะวันไหน เวลาใด ท่านก็ปฏิบัติหน้าที่ของท่านอยู่ตามนั้นแต่นมนานมา

เราแค่อยากสบายใจ ก็เอาตามธรรมเนียมไทย ว่า..
วันพฤหัสบดี ถือเป็นวันครู ... จะทำอะไร ก็ได้ทุกอย่าง..
หรือจะดูปฏิทินที่มีวันธงชัย กับวันอธิบดีก็ได้
แต่หากวันใดที่ผนวกวันอบาทว์เอาไว้ด้วย ก็เว้นเสีย..

สำหรับเวลา ก็เป็นว่า ... ตามความเป็นมงคล คือ
ช่วงเช้าตรู่ เวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า
แสงเงินแสงทอง กำลังเริ่มจับฟากฟ้า...
ดอกไม้กำลังเย้มกลีบผลิบาน เป็นสัญลักษณ์ของการบังเกิดสิ่งที่ดีงาม
ชีวิตเราจะได้เริ่มต้นไปกับท่านด้วยความรุ่งเรือง งดงาม

เช่นเดียวกับการสักการะ และการรับสักการะ
เวลาย่ำรุ่ง เป็นเวลาที่เชื่อว่า เทพเจ้าทั้งหลายล้วนเปล่งพระกระแส
เพื่อแผ่พระบารมี และรับทราบกระแสคำร้องของสรรพสัตว์ทั้งปวงบนโลก
ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนาใด ล้วนใช้เวลานี้ เป็นฤกษ์มงคล ง่ายๆ แต่โบราณมา

สรุป.. วันพฤหัส (ข้างขึ้นมากหน่อยก็ยิ่งดี) เวลาย่ำรุ่ง
ถวายสิ่งสัการะบูชา ทั้งหมด พร้อมอัญเชิญท่านอย่างถูกต้อง
หากกล่าวมนต์บ่นคาถาเป็นภาษาอื่นไม่เป็น ก็ด้นไทยมันดิบๆ
เพราะพระเวทบทใดๆ  ก็ล้วนยกยอปอปั้น ด้วยเจตนาเคลือบว่า.. "ขอพร" ทั้งสิ้น

แต่หากเราถวายท่านด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทำทุกอย่างทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ตั้งใจจริง เคารพท่านจริงๆ ท่านย่อมรับทราบ ไม่มีใครโกหกพระเป็นเจ้าได้หรอกครับ

จะประกอบจากจิตนาการ.. ว่า มีสิ่งใดๆ เป็นทิพย์บ้าง ก็ใช้ใจนึกภาพเอา
หากเราทุนน้อย มีเครื่องสักการะชุดเดียว แต่เรามีจิตนาการเข้มแข็ง
ก็อาจจิตนาการให้สิ่งของเหล่านั้น ปรากฏขึ้น ลอยอยู่ในอากาศ หลายร้อยชุด
ปรากฏต่อหน้าองค์เทพต่างๆ ก็ได้
ทุกอย่าง สำเร็จด้วยใจ...ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประทาน

และหากเราอยากประสบความสำเร็จ จากการขอพรท่านย่างไร
ก็ลองจิตนาการให้ชัดเจน เคยมีคนแนะนำโดยอ้างงานวิจัยว่า..
คนที่ขอพร ระหว่างคนที่คิดเฉยๆ กับ คิดด้วยและมีจิตภาพด้วย
กรณีหลังมักประสบความสำเร็จจากพรที่ขอมากกว่า...
(อันนั้น แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่าน ว่าจะเชื่อหรือไม่)
หากบุญถึง...เหตุปัจจัยพร้อม เทพเจ้าย่อมประทานพรให้ตามต้นทุน..ที่เรามี

สิ่งที่ไม่อยากให้ทำเลยคือ "บน" ตามแบบฉบับคนไทยส่วนใหญ่
เพราะเทพเจ้าย่อมมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์อยู่แล้วโดยหน้าที่
หากไม่ขัดกฏแห่งกรรม ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี
ท่านย่อมอำนวยให้ตามเหตุปัจจัย..
ถ้าอะไรๆ ก็บน .. ก็เท่ากับเราไป "ตินสินบนเทพ" บ่อยๆ..
เราก็เสียนิสัย เทพก็เสียนิสัย..
เกิดวันหลังคนไม่บน เทพหรือเทวดา ก็จะพลอยไม่ทำหน้าที่กันพอดี
แล้วถ้าหากลืมแก้บน จะเกิดผลร้ายมากกว่าไม่บน
แต่ในกรณีจำเป็น ต้องมีการ "แลกเปลี่ยน" ด้วยความสมเหตุสมผล
ก็อาจ "บน" ได้เป็นกรณีๆ ไป แต่ก็ต้องทำตามสัจจะจริงๆ

อย่าลืม บำเพ็ญตบะ(ความอดทน) อะไรก็ได้... ถวายท่านเสมอๆ..
และหากเป็นชาวพุทธ จะทำบุญกุศลสิ่งใด ก็ขอให้อธิษฐานถวายกุศลให้ท่านด้วย
แล้วอย่าลืม ของถวายควรเป็นสิ่งที่เราเห็นว่า ดีที่สุด (สำหรับเรา)
ไม่ว่าจะมาก จะน้อย ก็มีเป็นประจำ อย่าได้ขาด (ลาแล้ว..ก็เรานั่นแหละ กินต่อ)
เท่านี้ ถ้าทำได้เป็นประจำ...ท่านก็เห็นเองแหละครับ..
#24
ไม่น่าแปลกนะครับ...

เพราะวัชรยาน คือ พุทธศาสนามหายาน ผนวกกับลัทธิผีสางเทวดา ไสยศาสตร์ท้องถิ่น (ฮินดู)
ที่มีมาก่อนในพื้นที่นั้น ดังนั้น แนวคิดเรื่องเพศ และการดึงพลังทางเพศมาใช้ จึงเป็นไปได้
ผมไม่ได้ศึกษาละเอียดเท่าไหร่ แต่เท่าที่พอทราบก็คือ...

เขาไม่ได้ใช้รูปอย่างนี้เพื่อกระตุ้นกามารมณ์... แต่เป็นปริศนาธรรมว่า..
การบรรลุสมาธิธรรมบางอย่าง ก็ต้องกาศัยความพอดี ความประสานกันของธาตุ
เหมือนกับทางฮินดู ที่มีอรรถนารีศวร แสดงถึงหยินและหยาง ที่สมดุลย์..
ภายหลัง ถึงมีการคิดคันการทำสมาธิขณะมีเพศสัมพันธ์ และเมื่อถึงจุดสุดยอด
ก็อาจบรรลุผลของสมาธิแบบนั้นๆ โดยอาศัยการเดินพลังจากจักระ 7 ฐาน
ผนวกกับพลังทางเพศเป็นตัวขับ.. ก็อาจบรรลุสมาธิตามแบบของเขาได้...
ซึ่งผมคิดว่า คงไม่ง่ายต่อการฝึก และไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะอุตริอยากฝึกเพื่อสนองกิเลสของตนได้

เนื่องจากการขับเคลื่อนพลังจากจักระ ตามฐานต่างๆ ก็ต้องมีพื้นฐานในการเคลื่อนพลังดีอยู่แล้ว
ยิ่งผนวกกับการร่วมเพศ ก็ต้องอาศัยความสมดุลย์ และสอดคล้อง พร้อมเพรียงของทั้ง 2 ฝ่าย
อาจต้องฝึกหลายครั้ง และต้องระมัดระวัง ถ้าเดินจักระผิด พลังที่เดินปะทุมากไปที่ใดที่หนึ่ง
ก็อาจส่งผลให้วิปลาสไปได้ง่ายๆ..

ขณะเดียวกัน..รูปดังกล่าว เป็นการพิสูจน์กิเลสของผู้มอง ว่า..
มองแล้วคิดอย่างไร คิดเรื่องเพศ หรือ คิดให้ปลง..
ถ้าสังเกตุหน้าของพระ จะเห็นว่า นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร..

มันเป็นสไตล์ และรูปแบบคติ ของลัทธินี้น่ะครับ..
ซึ่งต้องเข้าใจพื้นฐานของความเป็นมาของเขาก่อน..

ผมก็พอทราบแค่นี้แหละ
#25
อืม หลายคนอาจสงสัย ว่าทำไมเจ้าของกระทู้ มีพระแม่มาเรีย บูชาไว้ด้วย
อันนี้... ผมขอตอบอย่างกลางๆ...ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ที่รับถือฮินดูด้วย
แต่ว่าเติบโตในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยของทั้งคริสตัง และคริสเตียน มาตลอด

ผมเข้าใจว่า พระคริส หรือพระแม่มาเรีย ก็ทรงอยู่ในฐานะของพระเป็นเจ้า
ของศาสนา ศาสนาหนึ่งในโลกใบนี้ และทรงมีหน้าที่อุปถัมภ์สาวก และคนดี
ให้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ไม่เบียดเบียนใคร อย่างน้อยหลักสากลของทุกศาสนา
ก็ครอบคลุมอยู่ในขอบเขตของศีล 5... ย่อมไม่ขัดกับหลักของความเป็น "มนุษย์" ปกติ
คือ ศีล 5 ย่อมอำนวยให้มนุษย์มีความเป็น "ปกติสุข" ในสภาวะของมนุษย์

พระเป็นเจ้าของแต่ละศาสนา ย่อมมีหน้าที่คล้ายกัน ดังที่กล่าวมาแล้ว
ดังนั้น หากเราไม่แบ่งแยก ว่า นี่ศาสนานี้ นั่นศาสนานั้น...
เหล่าพระเป็นเจ้าทั้งปวง ย่อมมีหน้าที่ ในบริบทที่ไม่แตกต่างกันเลย

สำหรับผม การขอพรจากเทพเจ้าต่างศาสนา ที่ไม่ใช่พุทธ หรือฮินดู
ก็ถือว่า เป็นสิ่งที่กระทำได้ ไม่ได้ผิดอะไร...
ผมเอง ตอนเด็กๆ โรงเรียนก็ให้ไหว้พระ นมัสการพระคริส และพระแม่มาเรีย ทุกเช้า
ผมไหว้พระรูปของท่าน แล้วขอพร ก็ได้สมดังปารถนา หลายหน
ไม่เห็นท่านว่าอะไร.. ไม่เห็นท่านแบ่งแยกว่า เธอไม่ใช่สาวกในศาสนาของฉัน
แล้วฉันจะไม่ให้พรแก่เธอ...

ผมเอง เมื่อเป็นเด็ก เคยคิดจะตั้งที่บูชาพระคริส และพระแม่มาเรีย เหมือนเจ้าของกระทู้
แต่แม่ผมท่านติงไว้ว่า... พระคริส ท่านเคยสอนว่า... "จงอย่ามีพระเจ้าองค์อื่น ต่อหน้าเราเลย"
ซึ่งผมมาทราบทีหลังว่า... คำสอนนี้ เกิดจากการที่ในสมัยของท่าน
ผู้คนนับถือเทพเจ้าต่างๆ มากมาย มีรูปเคารพนับไม่ถ้วน...
เป็นการยาก ที่จะรวมศูนย์จิตใจของผู้ศรัทธาให้มาอยู่ ณ ที่ดียวกัน..
ท่านจึงบัญญัติกฏข้อนี้ขึ้นมา...
(แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่า ท่านให้ไปทำลายเทวรูป หรือรูปเคารพของศาสนาอื่น)

ผมเอง ไม่ประดักประเดิดเลย หากต้องเดินเข้าโบสถ์คริสต์
วันคริสมาส ผมชอบฟังเพลงที่ร้องประสานเสียงในโบสถ์
เหมือนกับเป็นวันครอบครัว และได้รับความอบอุ่นจากพระเป็นเจ้า

ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาก็จัดให้มีพิธีนมัสการพระเป็นเจ้าเดือนละ 1 ครั้ง
ที่โบสถ์กลางน้ำของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ไม่มีรูปเคารพใดๆ
มีเพียงสัญลักษณ์ไม้กางเขนเท่านั้น..ไม่มีพระเยซูอยู่บนไม้กางเขาด้วยซ้ำไป
ทุกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงกระแสความเมตตาของพระคริส...

หากเรารู้จักนำคำสอนที่ดีของแต่ละศาสนา มาปรับใช้กับตัวเรา ก็ย่อมมีแต่ผลดี

ดังนั้น หากเรามีจิตศรัทธา และเคารพท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ผมว่า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดอะไร... หากไม่ถึงกับอยากจะ "เปลี่ยนศาสนา"

ทั้งนี้ ด้วยปรัชญาการเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมของแต่ละศาสนาแตกต่างกัน
จึงไม่ควรพูดว่า ใครดีกว่าใคร...สุดแล้วแต่ความเหมาะสมของใจของศาสนิกชนผู้นั้น

แต่หากผู็ใดตั้งใจเปลี่ยนศาสนาจริงๆ...
ผมเข้าใจว่า..พระเป็นเจ้าของแต่ละศาสนา ก็จะไม่ทรงก้าวก่ายในสาวกของแต่ละศาสนา

โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า พุทธศาสนา ฉีกออกจากศาสนาทุกศาสนา
ไม่ได้มีที่สุดคือสวรรค์ หรือโลกของพระเป็นเจ้าองค์ใดๆ...
ไม่ได้ต้องการไปรวมอยู่กับปรมาตมันของใคร..
แต่พุทธศาสนา ไปไกลกว่านั้น... ด้วยความหลุดพ้นอันบริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้า ไม่ถือเป็นเทพเจ้า... และไม่ทรงเรียกตนเองว่าพระเป็นเจ้า
แต่ทรงเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
อานุภาพของพระองค์ จึงแตกต่างจากอานุาภพของเทพ พรหม เทวา และเทพเจ้าใดๆ

จะพูดอีกอย่างก็อาจกล่าวได้ว่า..
พลังงานอันก่อกำเนิด แตกออกมาเป็นพระเป็นเจ้าในศาสานาต่างๆ นั้น..
อาจเป็นพลังงานต้นกำเนิดเดียวกัน
เปรียบเสมือนกระจกหกด้าน ที่สะท้อนออกมาเป็นพระเป็นเจ้าของแต่ละศาสนา

หากแต่พระพุทธเจ้า.. ทรงมีพลังงานที่แตกต่าง ด้วยการบำเพ็ญบามีที่ต่างออกไป
เปรียบเสมือนพลังงานคนละประเภท ที่ไม่อาจถูกหักล้าง ได้ด้วยพลังงานใดๆ...

แต่ละศาสนา มีจุดยืนของตนเอง
ใครใคร่พอใจอย่างไร ก็สามารถเลือกเดินตามวิถีแห่งตนได้..

พระเป็นเจ้าทุกศาสนา ย่อมประทานพรแด่คนดี..ครับ

แต่ที่สำคัญ คือ เราควรมีหลัก และเข้าใจหลัก ของศาสนาที่เรายึดเป็น "หลัก" นะครับ
#26
พิธีดูดี.. ทำเอง...ชอบครับผม...
ไม่ทราบว่า ร้านอะไรเหรอครับ...
จะได้ไปอุดหนุนบ้าง...
#27
ถึงจะไม่ใหญ่โต แต่ก็จัดได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดีนะครับ..
นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีเทวรูปแพงๆ เสมอไป
การทำอะไรมีระเบียบเรียบร้อย รู้จักจัดแต่งตามความเหมาะสม
ก็ทำให้เรามีหมู่บูชาดีๆ ได้ครับ..
#28
รบกวนถามผู้รู้ ครับ ว่า...

วันแต่งงานของพระศิวะกับพระแม่ปารวตี เรียกว่าวันอะไรครับ ?

แล้วตรงกับวันทางจัทรคติวันไหน ?

อินเดียเหนือกับอินเดียใต้ จัดตรงกันหรือไม่ อย่างไร
มีรายละเอียดของพิธีอย่างไรบ้าง...

ปีนี้ จัดไปแล้วหรือยัง

ขอบคุณครับ
#29
แหม...
ผมว่า.. ให้น้องคิวไปค้างบ้านพี่ตุลย์เลยดีกว่า
เกิดไรขึ้น จะได้ไม่ล่องลอยโดดเดี่ยว...
แค่เขาเห็น 2 คนนี้มาพร้อมกัน เขาก็ไม่กล้าเดินชนแล้ว...555
#30
อ่ะ อักษรชนนี...หน่วยกล้าตายของเรา...ปฏิบัติการได้...   
เตรียมเสื้อกันกระสุน กับหลวงพ่อโกยยย..ไปด้วยเน้อ....55
ถ่ายรูปให้ครบทุกขึ้นตอนเรยนะ...
#31
อนุโมทนา ในความเพียรพยายามของคุณอักษรชนนี นะครับ

น้องคนนี้...พระเป็นเจ้าทรงอวยพระพรให้ทุกวันอยู่แล้ว..

กระทำสิ่งที่ดี..ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ครับ...

ขอให้อยู่รอดปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง สุขกาย สุขใจ
ถ่ายรูปสวยๆ มาให้เราได้ชมกัน เสมอๆ นะครับ

ประสิทธิ มหาประสิทธิ
#32
ไม่ทราบเหมือนกันครับ ว่าถูกไหม
รู้แต่ว่า ประเพณีแต่ละท้องที่ หรือแต่ละลัทธิ จะมีกรรมวิธี แตกต่างกัน
จะว่าไป หากเคยเห็นกรรมวิธีอันหลากหลาย
เราจะบอกได้ว่า มันไม่มีผิด-ถูก...
แต่ต้องดูก่อนว่า เราเข้าใจ ถึงคำว่า "กาลัส" ว่าหมายถึงอะไร

เท่าที่ผมทราบ กาลัส เป็นเพียง "สัญลักษณ์"
ที่ใช้ประกอบพิธีบูชา ต่อองค์เทพ องค์ใดองค์หนึ่ง
โดยผ่านการสถาปนา และสมมติ ให้เป็นองค์เทพองค์นั้นๆ

ทีนี้ ขั้นตอนในการสถาปนา นั้นน่ะ จะทำอย่างไร
มีขั้นตอนมากน้อยแค่ไหน มีรายละเอียดอย่างไร
ก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละลัทธิ-นิกาย...

บางคนเขาว่า กาลัส คือบายศรีแขก...
แต่คนแขกเขาอาจว่า กาลัส ไม่ใช่บายศรี...
เพราะใช้คนละอย่างกัน..
แต่มีนัยให้เป็นการสมมุติ ถึงสิ่งที่ต้องการสมมุติ
คล้ายๆ กัน

เช่น บายศรีไทย อย่าง บายศรีปากชาม นั้น
ตั้งใจจะให้เป็นเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลาง
แล้วมีเขาอื่นๆ ล้อมรอบ ...
ก่อนเพล กับหลังเพล จะเสียบยอดบายศรี และใส่ใส้
ของบายศรี ต่างกัน..
โดยมีวัตถุประสงค์ ใช้เป็นของสูง เพื่อถวายบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ด้วยงานประดิษฐ์ใบตอง แบบภูมิปัญญาไทย
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ ให้เป็นตัวแทนองค์เทพ แต่อย่างใด

แต่ต่อมา ก็ประดิษฐ์ เป็นนาค เป็นอะไรแปลกๆ กันมากขึ้น

ช่างทำบายศรีสมัยนี้ ไม่แน่ว่า
อาจทำบายศรีได้สวยงามมาก ทำได้หลายอย่าง อลังการ...
แต่ไม่รู้จักประวัติบายศรี และรูปแบบและการทำแบบโบราณเลย
ก็อาจมีเหมือนกัน..
แต่ละครู แต่ละตำรา ก็มีกรรมวิธี แตกต่างกัน

ดังนั้น จะถามว่า วิธีทำกาลัสนั้น ถูกไหม
ก็ควรต้องมีข้อมูลมาก่อนว่า...
เป็นกาลัสของวัฒนธรรมใด ลัทธิ-นิกายใด
ถ่ายทอดกันมาจากแหล่งภูมิปัญญาไหน
แล้วให้ผู้รู้ของต้นกำเนินศาสตร์การทำกาลัสนั้นๆ
มาตอบว่า.. ถูก หรือ ไม่...

แต่หากเป็นภูมิปัญญา ที่ตั้งขึ้นมาใหม่..
อันนั้น ก็จะเปรียบเทียบกับภูมิปัญญาแบบเดิมไม่ได้
ของใคร ใครก็ว่าถูก

ถ้าคนทำกาลัส แบบที่เขาเชื่อว่า ต้องมีสิ่งประกอบดังนี้ๆ
ซึ่งยังไงๆ มันก็หาไม่ได้ในเมืองไทย...
เขาอาจตอบว่า ไม่ถูกก็ได้
แต่ถึงหาเครื่องประกอบได้ครบ
พวกที่บอกว่า กาลัส ต้องสถาปนาด้วยมนต์ มากมาย
ก็จะตอบว่า หากขาดมนต์ ก็ไร้ความหมาย..เป็นต้น

แล้วถ้าคนไม่รู้มนต์ หรือไม่มีสิ่งประกอบตามสมมุติบัญญัติ
ก็คงไม่สามารถประดิษฐ์สิ่งสักการะพระเป็นเจ้า
ที่เรียกว่า "กาลัส" ได้เลย...

ผมว่า ใจแคบไปรึเปล่า...
หากใจบริสุทธิ์ พระเป็นเจ้า คงรับรู้ที่ใจ มากกว่าวัตถุประกอบ

มันพูดยากครับ...เรื่องความถูก ความผิด เนี่ย...
แล้วแต่คนๆ นั้น จะมีมาตรฐานในใจเขาอย่างไร
มีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจ แบบไหน

อย่างไรก็ดี..
อยากให้ตระหนักกันว่า.. กาลัส หรือ พิธีกรรมใดๆ
ล้วนเป็นการสมมติ ทั้งสิ้น...
เราควรพยายามเรียนรู้ ว่า องค์ประกอบในสิ่งสมมตินั้น
หมายถึงอะไร เพราะอะไรจึงต้องมีสิ่งเหล่านั้น
ผมว่า จะได้ประโยชน์เชิงความรู้ มากกว่ามากังวล
เรื่องความผิด หรือ ถูก นะครับ

ถ้าบริสุทธ์ใจ ใจเราสะอาด มีเจตนาที่ดี
ทำด้วยความเคารพ อย่างจริงใจ
จะทำอย่างไร ก็ใช้เป็นตัวแทนพระเป็นเจ้า
หรือใช้เป็นเครื่องประกอบเพื่อบูชาพระเป็นเจ้า
ได้ทั้งนั้นแหละครับ ขอให้ตั้งใจจริง และจริงใจต่อท่าน
เท่านั้นก็พอ
#33
ขอตอบตามความเข้าใจส่วนตัวครับ...

ศาสนา ย่อมกำเนิดขึ้น ด้วยความกลัวของมนุษย์
มนุษย์ย่อมต้องการหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
และใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข
ดังนั้น ศาสนาจึงเกิดขึ้น เพื่อสนองความ "อยากพ้นทุกข์"...

พลังงานที่ให้กำเนิดจักรวาล และสิ่งต่างๆ นั้น น่าจะเป็นพลังงานแรกเริ่มเดียวกัน
เปรียบเสมือนแสงสว่าง ที่ส่องไปกระทบยังกระจก 6 ด้าน...
แต่ละด้าน ก็สะท้อนแสงนั้นออกมาเป็นพระเจ้าของแต่ละศาสนา..
เพื่อทำหน้าที่ประกาศหลักคำสอน
ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกาละ เทศะ สถานที่ ที่แตกต่างกันไป
ความละเอียด ลุ่มลึก หรือ หลักปฏิบัติ ก็แตกต่างกันไป
ตามแต่ความเหมาะสมกับภาวะนั้นๆ

แต่จะเห็นว่า มีจุดมุ่งหมายคล้ายๆ กัน คือ "การหลุดพ้นจากความทุกข์"
ซึ่งแต่ละศาสนามีที่ไป คล้าย หรือ ต่าง กันบ้าง...ตามแต่จุดยืนของศาสนานั้นๆ...

อย่างไรก็ดี...ในมุมมองของแต่ละศาสนา
ย่อมมองการหลุดพ้นตามหลักศาสนาของตนว่าเป็นที่สุด
จะกล่าวว่า ศาสนาใด สูงส่ง หรือ ต่ำต้อยกว่า อีกศาสนาหนึ่งนั้น
ย่อมเป็นการไม่สมควร...

หากจะนับโดยศักดิ์แล้ว... พระพุทธเจ้า ย่อมเป็นศาสนาองค์หนึ่ง
ที่มีศักดิ์ศรี ไม่แตกต่างจากพระศาสดาของศาสนาอื่น...
เช่น พระศิวะ พระเยซู หรือพระอัลเลาะห์
ทั้งนั้น แล้วแต่ใครจะนับถือใคร และจะเลือกเดินทางไหน
อันเป็นวิจารณญาณของตน และเหมาะสมแก่สภาวะของตนที่สุด

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่า...
พระพุทธเจ้า เป็นศาสดาองค์เดียว ที่สอนถึงขั้นการหลุดพ้น
จากการเสวยสุข ในขั้นสวรรค์ (ทั้งความเป็นเทวดา เทพ และพรหม)
หรือดินแดนอัศจรรย์ใดๆ อันต้องอาศัยความพอใจ ในอารมณ์ที่หยาบ หรือละเอียดทั้งปวง
พ้นจากความสุขอันต้องเสวยด้วยอารมณ์ใดๆ
เนื่องด้วยไม่อิงแอบแม้กับกับผัสสะที่น่าพอใจ หรือเป็นกลางๆ ก็ตาม
และไม่ยึดติดแม้ในพระเจ้า ศาสดา หรือแม้แต่ตนเอง...
เป็นความหลุดพ้น อย่างบริสุทธิหมดจด อย่างแท้จริง

หากจะดูตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาแล้ว..จะเห็นว่า
ธรรมชาติ ก่อเกิดสรรพสิ่ง... อวิชชา หรือ ความไม่รู้ ก็ย่อมมีอยู่แล้วในธรรมชาติ
พลังงานอันก่อเกิดเป็นบุคลาธิษฐาน ที่ฉายออกมาจากกระจก 6 ด้าน
ก็ได้รับอิทธิพล และเจืออยู่แล้ว ซึ่งอวิชชา.. แม้จะเป็นอวิชชาที่ละเอียดมากก็ตาม
เนื่องด้วยเป็นสภาวะที่ถูกปรุงแต่งตามธรรมชาติ

ดังนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ได้ทรงสอน ถึงขั้นการถอนรากของอวิชชา
ย่อมแสดงว่า บริสุทธิ์ เหนือพลังงานอันเจือด้วยอวิชชานั้นแล้ว
พูดโดยภาษาสมมุติว่า.. สามารถกลับไปเป็นภาวะเดียวกับภาวะต้นกำเนิด
อันยังไม่ถูกเจือด้วยอวิชชาได้นั่นเอง...

แต่ก็อย่างที่บอก แต่ละศาสนา มีทางหลุดพ้นตามหลักการของศาสนานั้นๆ...

ทั้งนี้ ถือเป็นความเห็นส่วนตัว... ครับ


ป.ล.
คำว่า บลา บลา บลา... นั้น สมัยนี้ อาจเป็นศัพท์วัยรุ่น
แต่สมัยผม.. มันเป็นคำพูดในภาษาอังกฤษ ที่ใช้กันมานานแล้ว
หมายถึง "อื่นๆ (อีกมากมาย)"...
พอสมัยนี้ เด็กรุ่นใหม่ ก็รับเอามาใช้ในภาษาไทย น่ะครับ...
#34
แถมให้อีก 1 ภาำพ เป็นภาพพระแม่อุมา
ซึ่งเขาใส่กรอบ แขวนไว้น่ะครับ...
ไม่ได้เป็นลายปูน อย่างภาพอื่น...



ก็วัดเทพมณเทียรนี้ ถ้าผมจำไม่ผิด ถือว่า..
เป็นต้นตำนาน เทวรูปดื่มนม ที่เคยโด่งดัง เมื่อหลายปีที่แล้วน่ะครับ

ใครไปเชียงใหม่ ก็แวะไปนมัสการได้ครับ
แต่บริเวณนั้น เรียกรถค่อนข้างยากครับ
แนะนำว่า ควรมีพาหนะส่วนตัวไปจะดีกว่าครับ

คืนนั้น ผมไปถ่ายรูป ขาไป ไปได้ รถสองแถวสีแดง คิด 20 บาท
ขากลับ รถน้อย โบกรถไม่ได้เลย...
เดินข้ามถนนไปมา ระหว่างหน้าสมาคมฮินดู (วัดเทพมณเทียร)
กับ สนามกีฬาเทศบาล (ฝั่งตรงข้าม)
จนในที่สุด ต้องขอซ้อนมอร์ไซด์ น้องที่เขาออกมาจากสนามกีฬา
ขอเขามาส่งที่โบกรถกลับได้น่ะครับ

คนเชียงใหม่ ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ
ส่วนใหญ่ เขาใช้จักรยานยนต์ และรถประจำทาง (สองแถวสีแดง)
แล้วก็วิ่งไม่เป็นเส้นทาง คือ ตามใจฉัน คิดว่าผ่านก็รับ ไม่ผ่านก็ไม่รับ
ราคาไม่แน่นอน แต่แพงกว่าที่กรุงเทพฯ มากมาย ครับ
ยิ่งตุ๊กๆ นี่ ราคาไม่ต้องพูดถึง
พอเขาบอกราคามา ผมยอมขอคนอื่นติดรถดีกว่าครับ


ยังไง ถ้าไปเยี่ยมเยือนแล้ว... ก็หย่อนใส่คู้บริจาคบ้างนะครับ
ยิ่งมีคนเข้าน้อยๆ อยู่ ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ ครับ.. ทำบุญๆ...อิอิ


#35
ยังไม่หมดครับ...















ภาพสุดท้ายนี้ สวยมาก แต่อยู่ติดมุม ผมไม่สามารถถ่ายหน้าตรงได้จริงๆ ครับ

ความจริง มีภาพนูนอย่างนี้ อีก 2 ภาพ แต่ว่า ไม่มีมุม ที่จะยืนถ่ายรูปได้เลย
ไม่งั้น ต้องปีนขึ้นไปที่เทวรูป เพื่อเก็บภาพ ซึ่งผมไม่ใช่พราหมณ์ ทำไม่ได้ครับ

ต้องขออภัยด้วย ครับ...
#36
คุณยีันส์ อยากนำไปโพสก็ได้ครับ
เพราะตอนผมเข้าไปถ่ายรูป พราหมณ์ที่ดูแลสภานที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขาก็ให้เห็นเป็นสาธารณะอยู่แล้ว
แต่บางรูป มันไม่ได้ "กรอบ" เพราะมุมที่ถ่าย มันไม่ได้น่ะครับ
แต่ผมก็พยายามทำให้มันเข้าท่าที่สุดแล้วอ่ะครับ

ต่อกันเลยนะครับ









#37
ต่อมา ขอนำเสนอ ภาพเทวรูปนูนสูง จาฝาผนังรอบๆ ห้อง ครับ










#38
ต่อด้วย เซตพระแม่อุมา ครับ














#39
พระศิวะ ศิวะลึงค์ และเทวรูปเล็กๆ รอบๆ ศิวะลึงค์











#40
ต่อด้วย พระกฤษณะ พระนางราธา และพระพิฆเนศ