Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - mahad

#1


บุญ ที่ถูกต้อง คืออย่าหลงบุญ

ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของ บุญ คิดว่าการทำบุญก็คือ การตักบาตร การถวายทรัพย์
ปัจจัยการถวายสังฆทาน ฯลฯ เพียงเท่านี้ เป็นต้น ยิ่งบางพุทธพาณิชย์ เน้นสอนให้บริจาคทรัพย์ หรือร่วมสร้างความยิ่งใหญ่อลังการเข้าวัดจนเกินตัว มียอดบริจาคมากเท่าไหร่ถือว่ายิ่งได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่  รวยล้นฟ้ไม่รู้เรื่อง แท้จริงแล้ว
บุญ หรือ ปุญญ แปลว่า ชำระ หมายถึง การทำให้หมดจดจากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ และ โมหะ
ตามพระไตรปิฎก เราสามารถสร้าง บุญ ได้ ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา
๑. ทาน คือ การให้ เช่นที่กล่าวมาแล้ว คือ การตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายสังฆทาน เป็นต้น ถือเป็น จาคะ หรือ การให้นับเป็น บุญอย่างหนึ่ง แต่มีการให้บางประการที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ ให้สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น
๒. ศีล คือ ความประพฤติที่ไม่ละเมิด หรือรักษาความสำรวมทางกาย วาจา การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล ๕ และอุโบสถศีล (มี ๘ ข้อ)
๓. ภาวนา คือ การอบรมจิตทางสมถะและทางวิปัสสนา
การนั่งสมาธิ เรียกว่า สมถะภาวนา ส่วนการนั่งวิปัสสนา (สติรู้ถึงรูป– นาม) เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา

บุญ ยังมีอีก ๗ อย่าง ตามอรรถกถา หรือข้อปลีกย่อยนอกเหนือจากพระไตรปิฎก นับถัดไปเป็นลำดับที่ ๔ ดังนี้
๔. อปจายนะ ความเป็นผู้นอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
๕. เวยยาวัจจะ ความขวนขวายในกิจ หรืองานที่ควรกระทำ
๖. ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น เช่น การอุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ
๗. ปัตตานุโมทนา คือการยินดีในบุญที่ผู้อื่นถึงพร้อมแล้ว เช่น เห็นผู้อื่นทำบุญตักบาตร เมื่อเราพลอยปลื้มปิติ กล่าวอนุโมทนา เพียงเท่านี้ ก็ได้บุญแล้ว
๘. ธัมมัสสวนะ หรือการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมโดยตรง หรือจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
๙. ธัมมเทศนา หรือการแสดงธรรมเมื่อได้ศึกษาธรรมะ แล้วถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญประการหนึ่งด้วย
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรง หรือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง


บุญทั้ง ๑๐ ประการนี้ บางที่เรียกกันว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์ อีก ๙ ข้อล้วนไม่ต้องใช้ทรัพย์

[HIGHLIGHT=#c00000]ข้อมูลจาก  หนังสือ  "อยู่อย่างสว่าง"[/HIGHLIGHT]
#2
สวดมนต์รักษาโรค
อาจช่วยควบคู่กับการดูแลตนเองและรับประทานอาหารด้วยก็ดี

อาจารย์ศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญชวนเปล่งเสียงสวดมนต์นำพลังจากการสั่นสะเทือนจากการเปล่งเสียงสวดภาษาบาลี กระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย พบเสียงโอ กระตุ้นหัวใจ บทสวดมนต์ในพุทธศาสนากล่าวถึงสัจธรรม  ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ  เพิ่มพลังให้ผู้สวดและผู้ฟัง  เช่น บทสวดอนัตตะลักษณะสูตร คาถาพระปริตรธรรม


ผศ.จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี  อาจารย์คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่าคุณค่าของการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาสามารถพิจารณาได้หลายประเด็น  ตั้งแต่การใช้ภาษาโดยการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาเป็นภาษาบาลีมีความเก่าแก่หลายพันปีภาษาบาลี   มีสระผสมผสานอยู่แทบทุกพยางค์การเปล่งเสียงที่มี พยัญชนะครบสามารถกระตุ้นให้เกิดพลังได้ ถึงแม้ผู้สวดจะไม่รู้ความหมายของคำที่เปล่งออกมาก็ตาม   พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ หรืออดีต ดร.สิงห์ทน คำซาว อาจารย์ภาควิชาปรัญญา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวไว้ว่า เสียงโอที่เปล่งออกมาในการสวดมนต์จะกระตุ้นหัวใจ เสียง ออ วอ สอ ขา หา ยะ กระตุ้นไต เสียงอี กระตุ้นระบบขับถ่าย เช่น เวลาต้องการให้เด็กปัสสาวะเรามักจะบอกเด็กว่า ฉี่ ๆ เป็นต้น
นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาด้านภาษาบาลี ในแง่ไวยากรณ์ ฐานเสียงอักขระทุกตัว เมื่อเกิดจากฐานใดของเสียงก็จะไปกระตุ้นอวัยวะส่วนนั้น ๆ การเปล่งเสียงในภาษาบาลีมีพลังสั่นสะเทือน   ซึ่งในแง่ของโยคะ สามารถกระตุ้นจักรหรือศูนย์รวมพลังทั้ง 7 ในตัวเราได้ เช่น  คำว่า โอม  เมื่อเปล่งเสียงสูงและต่ำผู้พูดจะรู้สึกถึงพลังสั่นสะเทือนไปตามจุดสำคัญของร่างกายตั้งแต่ก้นกบจนถึงลำคอและศีรษะ

ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ และแอนดรู ไวลด์ กล่าวถึงพลังสั่นสะเทือนที่เราได้จากการท่องคาถาสวดมนต์ว่า  เป็นยาวิเศษ โดยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง Vibration Medicine ว่า โรคที่ส่งผลต่อร่างกาย   หากได้รับพลังสั่นสะเทือนถือว่าเป็นการเยียวยาอวัยวะส่วนนั้น ๆ ดร.แอนดรู ไวลด์ เขียนหนังสือเรื่อง spontaneous Healing 
และได้ทำวิจัยร่วมกับ ดร.เกเฮนริก ผู้เขียนเรื่อง Conscious Breathing ทั้งสองได้ข้อสรุปว่าร่างกายเรามีแนวโน้มที่จะสามารถรักษาตนเองได้ หากรู้จักใช้พลังกระตุ้นอวัยวะที่มีปัญหาในร่างกาย

ผศ.จุฑาทิพย์ กล่าวว่า   ในเชิงความหมายของบทสวด  เนื้อหาส่วนใหญ่คือ  การสรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่   ของพระพุทธเจ้า  พระบารมี ตลอดจนพระเมตตาต่อมวลมนุษย์  ทรงปราบมารต่าง ๆ ได้  อาจอธิบายได้ว่าการเปล่งวาจาที่เป็นสัจธรรมออกมา เปรียบได้กับการเปล่งแสงสว่างที่ทรงคุณค่า การสวดมนต์ จึงนำมาซึ่งความสว่างไสวปกป้องผู้กล่าวและสรรพสิ่งทั้งหลายได้ มีการน้ำพระพุทธมนต์ไปวิเคราะห์อนูของน้ำว่าเป็นอย่างไร ปรากฏว่าโมเลกุลของน้ำที่ได้รับเสียงสวดมนต์มีความสมบูรณ์ สวยงาม ขณะที่น้ำที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์    และคอมพิวเตอร์มีความบกพร่องของอนูมีรูปร่างไม่สมบูรณ์ คำอธิบายที่ได้จากการทดลองนี้คือ อานุภาพของคาถาที่มีพลังหรือการสั่นสะเทือนของคาถา ส่งให้  อนูในน้ำปรับตัวสู่ภาวะที่สมบูรณ์ละเอียดอ่อนได้
ทั้งนี้ ผศ.จุฑาทิพย์ ได้ยกตัวอย่างบทสวดมนต์เพื่อสุขภาพ   เช่น ชัยมงคลคาถาหรือบทพาหุง
 
ซึ่งเป็นบทที่สรรเสริญพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย หรือมงคลสูตร  กล่าวถึงข้อควรปฏิบัติของมนุษย์เพื่อความเป็นมงคลแก่ตนเอง บทสวดที่กล่าวถึงสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ  เช่น  อนัตตะลักษณะสูตร อธิบายถึงไตรลักษณ์ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อให้คนเกิดความปล่อยวาง  ส่วนคาถาพระปริตรธรรม ทั้งเมตตปริตร ขันธปริตร     โมรปริตร ธารณปริตร โพชณงคปริตร  คาถาชินบัญชร  เป็นบทสวดเพื่อยกย่องความดีงามของผู้สมควรบูชา
   
ในขณะเดียวกันผู้สวดจะได้รับการคุ้มครอง   ปกป้องให้รอดพ้นจากภยันตราย หรือแม้กระทั่งรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย
ในพระพุทธศาสนามีกล่าวไว้หลายเรื่อง เช่น เมื่อพระมหากัสสปะเถระอาพาธ พระพุทธเจ้าเสด็จมา   และทรงสวดโพชฌงค์ 7  พอทรงสวดจบพระมหากัสสปะก็หายอาพาธในทำนองเดียวกันพระโมคคัลลาน์หายอาพาธได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ให้ฟัง แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อทรงอาพาธ ทรงโปรดให้พระมหาจุนทะ สวดโพชฌงค์ 7 ถวาย เมื่อสวดจบ พระพุทธองค์ทรงหายจากอาการประชวร
นอกจากนั้นในสมัยพุทธกาลชาวบ้านยังนิยมนิมนต์  พระสงฆ์มาสวดมนต์ให้ ที่บ้านเมื่อเจ็บป่วย เช่น
ธรรมมิกอุบาสก เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูต หรือในกรณีของ   มานทินคหบดี หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อไม่สบายก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดที่บ้าน เมื่อสวดมนต์จบความเจ็บป่วยหายไปได้

การสวดมนต์ที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันคือการทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์แผ่เมตตา สวดคาถาพาหุงมหากาฯ และสวดพระปริตร มีการวิจัยในการแพทย์ปัจจุบันจำนวนมากที่แสดงว่าการสวดมนต์ ช่วยให้เกิดความสุข ความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น ให้สุขภาพจิตดีและช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้ 1 ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ลารี ดอสซี ได้วิเคราะห์ผลงานวิจัยในเรื่องนี้ประมาณ 100 เรื่องและพบว่าในงานวิจัยต่างๆเหล่านี้การสวดมนต์มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชและการที่แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนั้นในงานวิจัยหลายชิ้นรายงานว่าการสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ สมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งรัฐเทกซัสได้เจาะเลือดอาสาสมัคร 32 ราย เมื่อแยกเอาเม็ดเลือดแดงออกแล้วใส่สารละลายที่จะทำให้เม็ดเลือดแดงบวมและแตกในเวลาต่อมา แล้วให้อาสาสมัครเหล่านั้นสวดมนต์ขอให้เม็ดเลือดแดงแตกน้อยลง ผลคือเม็ดเลือดแดงนั้นแตกช้าลง ( Castleman M, Nature’s Cures) Randolf Byrd แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจได้ทำการศึกษาเรื่องของ การสวดมนต์ภาวนาในคนไข้ 393 คน ที่ San Francisco General Hospital  โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก 192 คน ซึ่งมีกลุ่มที่คอยสวดภาวนาและสวดมนต์ให้ กลุ่มที่สอง 201 คน ไม่มีกลุ่มคอยสวดภาวนาให้ ผลการทดลองพบว่าคนไข้กลุ่มแรกที่มีคนคอยสวดมนต์ ให้ใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่ากลุ่มที่สอง 5 เท่าเกิดภาวะแทรกซ้อนในเรื่องน้ำท่วมปอด (
Pulmonary Edema) น้อยกว่า 3 เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ   ( Endo tracheal Intubation) น้อยกว่า 12 เท่า

การทดลองครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ว่า  ผลการทดลองมีนัยสำคัญที่เชื่อถือได้
จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวเราอาจสรุปได้ว่าการสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆทำให้เราผ่อนคลายทั้งทางจิตใจและทางกาย ทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจเช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจและทางกายมากด้วยเหตุนี้จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยจึงนำการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดทางจิตร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์ การสำรวจของนักวิจัยหลายกลุ่มพบว่าคนอเมริกันนิยมสวดมนต์กันมากกล่าวคือ 70%
สวดมนต์ทุกวัน 44% สวดมนต์เพื่อการบำบัดโรค มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงน้อยลง เช่นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเครียด และโรคซึมเศร้า เป็นต้น และแม้แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะมีอัตราตายต่ำกว่าประชากรทั่วไป นอกจากนั้นการสวดมนต์เมื่อปฏิบัติร่วมกับสมาธิยังสามารถลดปัญหาการฆ่าตัวตาย และการใช้ยาเสพติดได้
การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือเป็นไสยศาสตร์   อีกต่อไปผลจากการสวดมนต์นอกจากจะให้ผลทางการบำบัดรักษาโรคต่างๆแล้ว ยังให้ผลในด้านอื่นๆ อีกมากมาย หากท่านยังไม่เชื่อหรือสงสัยว่าจริงหรือไม่ ขอให้ลองทดสอบดูด้วยตนเองก็ได้

เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ากับสวดมนต์ด้วยตนเอง
การวิจัยในทางการแพทย์ปัจจุบันจำนวนมาก ที่แสดงว่า การสวดมนต์ช่วยให้เกิดความสุข ความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น ให้สุขภาพจิตดี และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้

จากเหตุการณ์ การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙ ที่มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก   การป้องกันกายป้องกันตัว ตามคำแนะนำของกระทวงสาธาณสุข เป็นเรื่องที่พึงกระทำ แต่หากจะให้ดี ต้องป้องกันใจด้วย โดยการสวดมนต์ทำสมาธิ และบทสวดมนต์ที่ขึ้นชื่อว่า รักษาโรค และช่วยต่ออายุให้ยืนยาว   คือ โพชฌังคปริตร ที่ว่า


โพชฌังโค    สะติสังขาโต    ธัมมานัง    วิจะโย    ตะถา
วิริยัมปีติ     ปัสสัทธิ       โพชฌังคา   จะ   ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
สัตเตเต    สัพพะทัสสินา   
มุนินา    สัมมะทักขาตา
ภาวิตา     พะหุลีกะตา
สังวัตตันติ    อะภิญญายะ   นิพพานายะ   จะ โพธิยา
เอเตนะ   สัจจะวัชเชนะ    
โสตถิ       เต โหตุ   สัพพะทา
เอกัสมิง   สะมะเย    นาโถ    โมคคัลลานัญจะ    กัสสะปัง  คิลาเน   ทุกขิเต   ทิสวา
โพชฌังเค   สัตตะ    เทสะยิ เต   จะ   
ตัง    อะภินันทิตวา
โรคา    มุจจิงสุ    ตังขะเณ
เอเตนะ    สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ    เต   โหตุ    สัพพะทา
เอกะทา    ธัมมะราชาปิ    เคลัญเญนาภิปีฬิโต
จุนทัตเถเรนะ   ตัญเญวะ   ภะณาเปตวานะ   สาทะรัง
สัมโมทิตวา   จะ อาพาธา   ตัมหา   วุฏฐาสิ   ฐานะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ   
โสตถิ   เต โหตุ   สัพพะทา
ปะหีนา   เต   จะ   อาพาธา   ติณณันนัมปิ   
มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ    ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
เอเตนะ    สัจจะวัชเชนะ   
โสตถิ   เต   โหตุ   สัพพะทา

นอกจากนั้น ในงานวิจัยหลายชิ้น รายงานว่า การสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่า การสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราผ่อนคลาย ทั้งทางจิตใจและทางกาย ทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจเช่นนี้ มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจ และทางกายมาก
ด้วยเหตุนี้ จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อย  จึงนำการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดทางจิต ร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์    
การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ หรือเป็นไสยศาสตร์อีกต่อไป
พระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า)
     
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ จากเว็บไซด์ วิภารัศมิ์

<o:p> </o:p>
#3
ม.ศิลปากร  พระราชวังสนามจันทร์  นครปฐม   กิจกรรมเนื่องในวันสถาปนา  มหาวิทยาลัยครบรอบ  66 ปี จ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มีการประกวดงานประติมากรรมพระพิฆเนศวรด้วยแหละ   และมีการออกร้านให้เช่าบูชาพระพิฆเนศวร  ซึ่งรวบรวมมาจากที่ต่างๆ
งานมีวันที่  11 -  13 ตุลาคม  2552  นี้ครับพี่น้อง   
ใครไปบ้างยกมือขึ้น............ป้าไปแน่นอน....ไว้เจอกัน
#4
[HIGHLIGHT=#494429]คือป้ามาคิดดูทุกวันนี้ป้าจัดพิมพ์หนังสือธรรมะ(พุทธ)แจกทุกๆเดือนอยู่แล้วกับเพื่อนๆ[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#494429]ป้าเลยอยากพิมพ์แบบทางฮินดูบ้าง  สมช.ทั้งหลายว่าควรทำออกมาในรูปแบบไหน  อย่างไร [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#494429]มีอะไรในเล่มบ้าง  [/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#494429]ที่มีตามโรงพิมม์ต่างๆส่วนใหญ่มีแต่บทสวดเฉยๆ   ป้าว่าหน้าจะมีอย่างอื่นเพิ่มเติมบ้างจะเอาอะไรดีช่วยกันคิดหน่อยนะจ๊ะ[/HIGHLIGHT] [HIGHLIGHT=#494429]เป็นรูปเป็นเล่มเมื่อไรรับรอง  สมช. HM ได้เชยชมก่อนใครแน่นอน  [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#494429]ช่วยกันหน่อยนะ   โดยเฉพราะ  ท่านกาลิทัส   ท่านอักษรชนนี  ท่านสฺวสฺติ  ป้ารบกวนหน่อย(ไม่รู้ว่าหน่อยหรือมากแหละเอาเป็นว่ารบกวนก็แล้วกันนะ)[/HIGHLIGHT]
#5
[HIGHLIGHT=#e5e0ec]ป้าอ่านในหนังสือ   อยู่อย่างสว่าง   เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาลงให้  สมช.HM ได้อ่านกัน[/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#ffff00]เรื่องการแก้กรรมนั้นขอยืนยันเลยว่าแก้ไม่ได้[/HIGHLIGHT]++++ ใครในเรื่องการขออโหสิกรรม  ที่จะช่วยคลายกรรมหนักให้เป็นเบาได้  และยิ่งทำกรรมดีผลบุญกุศลนั้นก็จะยิ่งช่วยให้เราพบกับความสุขสมหวังในชีวิตเร็วขี้น  เพราะบุญมันส่งผลเร็วกว่าบาปกรรมที่เคยทำไว้   เมื่อเราทำบุญมากเข้าๆและไม่ทำบาปเพิ่มขึ้น  ก็จะทำให้วิบากกรรม
ชั่วที่เคยทำไว้เบาบางลง  หรือชะลอการส่งผลได้  แต่ก็จะได้รับเศษเวรเศษกรรมอยู่
     กรรมนั้นแก้ไม่ได้แต่เราสามารถไปขออโหสิกรรมได้  เมื่อเจ้ากรรมนายเวร เขาพอใจยกโทษให้  อโหสิกรรมแก่เราแล้วกรรมตรงนั้นจะบรรเทาเบาบางลงแต่ยังคงได้รับเศษเวรเศษกรรมอยู่ดี
     การทำสมาธิภาวนาฝึกจิตให้สงบและนิ่ง  เพื่อรวบรวมจิตให้เป็นหนี่งเดีย
     ขอย้ำว่า เป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่เราจะเข้าไปเจราจากับเจ้ากรรมนายเวรในขณะนี้  ในสภาวะจิต  การเจรจาที่ดีที่สุดและเป็นดี ต่อลูกหนี้อย่างเราก็คือ  การที่ลูกหนี้เข้าไปหาเจ้าหนี้ถึงที่  ไม่ใช่ให้เจ้าหนี้วิ่งไล่ทวงหนี้
     การทำสมาธิภาวนานี้   เป็นการทำในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต  และเราไม่สามารถติดต่อเขาได้  หรือในกรณีที่เขายังไม่ยอม อโหสิกรรมให้เราต่อหน้าและลับหลัง  เป็นการส่งกระแสจิตไปถึงจิตเขาโดยตรงก่อนที่จะมีโอกาสได้ทำกรรมดีต่อกัน  ด้วยกาย วาจา เมื่อได้พบกัน   ส่วนการทำสมาธิภาวนาสำหรับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นวิญญาณ  คือการสื่อระหว่างจิตต่อจิตเท่านั้น  การขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนั้น  หลายท่านอาจเคยได้ยินว่า   เราทุกคนนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง  และสามารถทำแทนผู้อื่นได้โดยฉะเพราะคนในสายเลือดเดียวกัน  ทั้งบุพการี  พ่อแม่พี่น้องที่ใกล้ชิด  จะทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ   
#6
[HIGHLIGHT=#ffffff]คือว่าป้าอย่าแต่งองค์เทพเป็นนะจ๊ะ  ไม่ทราบว่ากูรูท่านใด  พอที่จะสละเวลาอันมีค่าของท่านสอนให้ได้บ้างหรือพอจะทราบไหมว่ามีที่ใดรับสอน   [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff]ป้าเคยหัดทำเองไม่สำเร็จ    ถ้าไม่ยากจนเกินไป   จะลงให้ดูในเวปที่ละสเตปก็ได้ [/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff]แต่ป้าหัวค่อนข้างช้า(แบบว่าโง่นะ)  กลัวทำไม่ได้[/HIGHLIGHT]   
           [HIGHLIGHT=#953734]   ช่วยสงเคราะห์หญิงชราด้วยนะจ๊ะ  [/HIGHLIGHT]
   [HIGHLIGHT=#5f497a] ขอขอบคุณความมีน้ำใจของชาวHMล่วงหน้ามานะที่นี้[/HIGHLIGHT]
#7
ยิ้ม...มหานิยม

โดย สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)
มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่หาไม่ได้ในบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน สิ่งนั้นก็คือ "
ยิ้ม
"
สัตว์โลกทุกชนิดที่ยกย่องว่ากันว่า เป็นสัตว์ฉลาดและฝึกหัดได้นานัปการ แต่ฝึกให้
"
ยิ้ม
"
ไม่ได้ ยิ้มของคนซื้อขายไม่ได้ ยิ้มเป็นเครื่องดึงดูดให้คนเข้าใกล้ปราศจากความระแวง ยิ้มสามารถเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่ตนเองได้ด้วย แต่ต้องเป็นยิ้มตามปกติ มิใช่ยิ้มอย่างละคร ลิเก ที่โปรยยิ้มไปรอบๆ เวที เพราะนั่นเป็นยิ้มที่แต่งขึ้น ยิ้มแท้ต้องเป็นยิ้มที่เกิดจากใจจริง มีลักษณะที่เบิกบาน เยือกเย็น สดชื่น เป็นเครื่องดับและบรรเทาทุกข์ร้อนได้ ทำให้ผู้ยิ้มเป็นคนมีสติยั้งคิด ไม่ผลุนผลัน เมื่อฝ่ายหนึ่งหน้าบึ้งมาหา อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มรับ เหตุร้ายย่อมกลายเป็นดี



โบราณท่านจึงให้ยิ้มไว้ก่อนเสมอ ยิ้มได้เมื่อภัยมา ย่อมช่วยให้เกิดสติ ไม่ตื่นเต้น วู่วาม ในเหตุอันใดที่เกิดขึ้น ยิ้มจึงส่งเสริมให้เป็นคนมีสติ ตรงข้ามกับความโกรธซึ่งทำให้ขาดสติ ไร้ความยั้งคิด ยิ้มไม่ต้องลงทุนซื้อหา แต่มีอยู่แล้วประจำตัวทุกคน เหมือนมีอาวุธในตัว ต้องหมั่นชโลมน้ำมันกันสนิมไว้ อย่าปล่อยให้สนิมจับจนฝืดไม่คล่องแคล่วทันท่วงที คนที่ยิ้มยากเพราะไม่เคยยิ้ม ถึงคราวยิ้ม ย่อมยิ้มไม่ออก จึงควรต้องหัดยิ้มไว้เสมอๆ
"
ยิ้มได้และยิ้มเป็นจะช่วยให้ปลอดภัยและสบายใจ
"
ดังคำที่ว่า ยิ้มง่าย สบายทัก รักผู้อื่น ตื่นอยู่เสมอ แล้วจักมีความสุขใจโดยแท้จริง


จากหนังสือ ๕๐ คติธรรมจากแสงธรรม
โดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี)

แหล่งที่มาจากธรรมจักรดอทเน็ต
#8
ป้าได้อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกดี    เลยอยากเอามาฝากพี่น้องหมู่เฮาจ้า
ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ข้อความที่ผู้เขียนจั่วหัวเอาไว้ อาจทำให้ท่านผู้อ่านหลายท่านขมวดคิ้ว


“มีด้วยหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

คำตอบก็คือ ‘มีจริง’ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ ‘กรรม’ ที่เกิดจากการกระทำของตัวเราเองนั่นแหละ ดังจะได้เห็นจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยได้รู้ได้ฟังมา ท่านจะเน้นลูกศิษย์ลูกหาให้รู้จักพึ่งพาตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบแห่งคุณงามความดี ไม่ล่วงละเมิดศีลอันถือเป็นความปกติของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจประเสริฐกว่าสัตว์โลกอื่น


ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีเหล่าคณาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคม ได้สร้างวัตถุมงคลอันวิเศษเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้ปกป้องและกันภัยจำนวนไม่น้อย หากผู้ทรงภูมิเหล่านั้นก็มักจะย้ำเตือนอยู่เสมอ


‘จงหมั่นสร้างบุญ รักษาศีล รักษาใจ อยู่ในไตรสรณคมน์อย่างมั่นคงอย่างไม่ประมาท’


ครั้งหนึ่งในอดีต ผู้เขียนเคยกราบนมัสการเรียนถามครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานทางภาคอีสานรูปหนึ่งด้วยความใคร่รู้ เพราะครั้งนั้นยังอยู่ในวัยรุ่นวัยเรียนที่ปรารถนาหาวัตถุมงคลมาป้องกันตัวตามประสาคนเกเรอยู่บ้าง
“พระของหลวงปู่ป้องกันภัยได้จริงหรือครับ”

คำถามตามประสาซื่อ ซึ่งท่านตอบแบบยิ้ม ๆ

“ได้อยู่”

จำว่ารับแจกวัตถุมงคลจากมือหลวงปู่ด้วยความยินดีปรีดา และคิดในใจว่า จากนี้ไป ตัวเองจะหนังเหนียวเที่ยวไปไหน ๆ ด้วยความปลอดภัย แต่หลวงปู่ก็กล่าวแบบยิ้มเหมือนรู้ใจ


“แต่ว่าพระของหลวงปู่ป้องกันภัยจากผลกรรมไม่ได้เด้อ

วันวานเหมือนเข้าใจ แต่เพราะวัยน้อยนิดจึงคาค้างในจิตอยู่บ้าง จะเอ่ยถามก็เกรงใจ ก็เลยนิ่งเงียบ จนมาวันหนึ่งได้อ่านประวัติของเกจิอาจารย์ในหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่องเป็นเรื่องราวของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์


ว่ากันว่า วัตถุมงคลของท่านนั้นป้องกันภัยจากอาวุธชะงัดนัก จนเป็นที่เลื่องลือไปทุกสารทิศ


วันหนึ่งเกิดมีคนถูกยิงตายไม่ไกลจากวัดหนองโพนัก คนตายมีเหรียญของหลวงพ่อเดิมห้อยคออยู่ ผู้คนจึงเรียนถามท่าน

“ทำไมห้อยเหรียญหลวงพ่อจึงถูกยิงตาย”


ว่ากันว่า หลวงพ่อเดิมท่านเดินมาดูศพด้วยตัวท่านเอง พอมาถึงท่านยืนดูและพิจารณาอยู่ชั่วครู่ขณะก่อนสั่งให้ชาวบ้านยกศพชายดังกล่าวขยับออกห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียงแค่สองวา พร้อมกับบอกให้ชาวบ้านชักปืนออกมายิงศพอีกครั้ง ผลปรากฏว่ากระสุนด้านทุกนัด


“อะไรก็กั้นกรรมไม่ได้ กรรมของมันต้องตายตรงนั้น ตรงนั้นคือที่ตายของมัน” คือประโยคยืนยันของหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ ผู้เรืองเวท

นั่นคือคำกล่าวที่ว่า ‘กรรม’ มีอำนาจเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง



ถึงตรงนี้ผู้เขียนไม่แปลกใจอะไรเลย จะให้แปลกอย่างไรล่ะครับ ก็ในเมื่ออาจารย์ผู้สร้างเครื่องรางและวัตถุมงคลเหล่านั้นท่านยังมิอาจพ้นภัยจากมรณกรรมได้ ผู้นำมาใช้จะรอดตายได้อย่างไร


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์บางท่านก็กล่าวไว้ว่า วัตถุมงคลบางอย่างบางชนิดที่ผู้ทรงฤทธิ์ทรงอภิญญาท่านกำหนดจิตไว้ สามารถป้องกันภัยร้ายให้ได้ แต่มักจะเกิดกับผู้มีศีลธรรม หรือคนที่มีเคราะห์กรรมเบาบาง ในทำนองผ่อนหนักให้เป็นเบาเสียเป็นส่วนมาก


เกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ผู้เขียนรู้จัก คือหลวงปู่ดู่วัดสะแก จ.อยุธยา ซึ่งในปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว ท่านเป็นครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่อนุญาตให้ลูกศิษย์ช่วยจัดสร้างวัตถุมงคลและท่านอธิษฐานจิตให้จนโด่งดังไปทั่วในหมู่ผู้นิยมเครื่องรางของขลัง


แม้ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นคือ ‘การปฏิบัติ’ ดังจะได้เห็นจากคำกล่าวของท่านที่ว่า

“เอาของจริงดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้”


ประโยคของหลวงปู่คือคำยืนยันชัดเจนว่าการเข้าถึงไตรสรณคมน์คือการปลอดภัยในชีวิตและจิตวิญญาณ แม้หมดลมหายใจคือต้องตายก็ตายในจิตที่มีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ นั่นหมายถึงจะมีสุคติภูมิเป็นที่หมายในภายหน้า

ฉะนั้นแม้หลายต่อหลายคนจะแขวนพระ ห้อยเครื่องรางของขลังเต็มตัวที่ผู้ทรงคุณวิเศษอธิษฐานจิตไว้ให้ ก็ใช่จะอยู่รอดปลอดภัย อยู่ดีมีสุขดังใจหมายได้ตลอดเวลา เพราะอย่างไร


‘ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงคือ กรรม


และท้ายสุดคือ พระสติ พระปัญญา ที่ตนได้ฝึกฝนศึกษามาแล้วในสมาธิ อันเป็นปัญญาภายในเท่านั้นจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติ ‘รู้เท่าทัน’ พร้อมเผชิญปัญหาทั้งปวงในชีวิตอย่างไม่ทุกข์ใจ


นั่นคือแก่นแห่งพุทธศาสนาที่ใช้ขจัด ใช้ป้องกันภัยให้กับชีวิตอย่างแท้จริง!ทุกคนก็ต้องมีวิบากกรรมของตัวเอง และมิอาจหนีพ้นวิบากกรรมที่ตนได้สร้างไว้ในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ
#9
 ป้าขอเป็นสมาชิกด้วยคนนะหลานๆๆเอ๋ย 
ป้าบูชามหาเทพมานานพสมควร   
ใครมีอะไรดีๆก็มาแนะนำป้าบ้างนะจ๊ะ   หรือ
ใครจะให้ป้าช่วยแนะนำอะไรก็ถามมาได้ถ้าป้ารู้ก็จะแนะนำให้ ถ้าไม่รู้ก็จะหาข้อมูลให้
ดีใจมากมายหลายคณานับที่มีคนรักพระองค์ท่านเหมือนกันกับป้า