Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - พิษประจิม

#1
ออกตัวก่อนนะครับ ว่าไม่ได้ลบหลู่ แต่อยากรู้จริงๆ

สงสัยว่าเทพบางองค์ ประวัติไม่มีอะไร แต่งขึ้นเพื่อรองรับความเชื่อบางอย่าง ซึ่งของเดิมอาจไม่จริง

อย่างประแม่บางองค์
ประวัติที่ว่าแต่ก่อน เป็นลูกสาวกษัตริย์องค์นึง ภายหลังแต่งงานกับฤๅษีชมทัคนี มีลูกชื่อราม(เรียกเต็มๆปรศุราม คนไทยรู้จักในชื่อ รามสูร) แล้วอยู่ๆนางเบื่อ เห็นหนุ่มสาวพลอดรักริมน้ำทำให้นางเกิดอารมณ์ แล้วนางกลับมาที่อาศรม ฤๅษีชมทัคนี(ท่านเป็นพรหมฤๅษี)ทราบด้วยญาณว่านางไม่บริสุทธิ์และมีใจอกุศล ภายหลังให้ปรศุรามตัดหัวนางเรณุกาเพื่อลงโทษ ภายปรศุรามขอพรว่าขอให้แม่คืนชีพ แล้วก็ฤๅษีก็ให้นางคืนชีพและอยู่ด้วยกันที่อาศรมกับฤๅษีชมทัคนี.....ของเดิมมีอยู่แค่นี้ ไม่มีกล่าวถึงไปหลบบ้างนางจัณฑาล ตกใจกอดกัน แล้วต่อหัวสลับกัน แล้วฤๅษีท่านให้นางไปอยู่ที่อื่น เพราะมีร่างกายบางส่วนเป็นจัณฑาล

ผมยังแปลกใจว่า เทพบางองค์ที่คนนับถือมาก เพราะดังในเรื่องบางเรื่อง เช่น รักษาโรคระบาด

เพราะบางคนนับถือเป็นแฟชั่น นับถือเป็นว่าเล่น เขาบอกว่าบูชาแล้วดีก็ว่าดี......ไม่สงสัยบ้างหรอ ว่าท่านเป็นใคร? มาจากไหน? หรือสงสัยว่า"ทำไมมีรูปร่างแบบนี้"

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวไว้ว่า"คำว่า"ทำไม"คำเดียว จะช่วยให้เรามีปัญญา"

ทำไมคนที่บูชา ไม่ค่อยสงสัยอะไรในสิ่งที่บูชา
ทั้งที่การสงสัย หรือหาข้อมูล เป็นสิ่งที่ดีและควรทำ
#2




ไม่ทราบจริงๆนะครับ

ได้ยินว่าชื่อศุกมุนี แต่ไม่แน่ใจว่าองค์เดียวกับที่ชื่อ ศุกเทพ ที่เป็นลูกของฤษีวยาสรึเปล่าอะครับ

เคยเห็นองค์ที่เป็นหัวนกแก้ว ในเรื่องศรีนิวาสด้วยอะครับ เรียกท่านว่า ศุกมุนี เพราะ ศุกะ แปลว่า นกแก้ว

ผมสงสัยว่า เป็นองค์เดียวกันกับฤๅษีศุกเทพ ที่เป็นลูกชายฤๅษีวยาสรึเปล่า

ขอบคุณครับ
#3
เห็นที่โบสถ์เทพมณเฑียร ฝาผนัง มีรูปฤๅษีวาลมิกี

บอกว่าแต่ก่อนท่านเป็นโจรป่า ภายหลังได้ฟังธรรมจากฤๅษี7ตน

ประวัติตรงนี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่ค่อยกล่าวถึง
ท่านเคยเป็นโจรจิงป่าวคับ

ขอบคุณครับ
#5
ช้างเอราวัณ หรือ ไอราวัต
ไอราวัต เปนลูกของนางอิราวตี นางอิราวตีเป็นลูกสาวนางกัทรุและเป็นหลานของฤๅษีกัศยปะ ไอราวัตเป็นเหลนของฤๅษีกัศยปะ
ไอราวัต แปลว่า เกิดจาก อิราวตี

แล้วปรากฎเรื่องครั้งแรกในเรื่องกวนเกษียรสมุทร ฤๅษีทุรวาสเอาพวงมาลัยถวายพระอินทร์ แต่พระอินทร์ไม่รู้กาลเทศะ เอาพวงมาลัยไปวางบนหัวช้าง แล้วช้างมันฉุน กลิ่นดอกไม้ทำให้ช้างอาละวาด ฤๅษีทุรวาสท่านโกรธมากเลยสาปให้ต่อไปเทวดารบแพ้อสูร

และภายหลังปรึกษากับมหาเทพ และทำพิธีกวนเกษียรสมุทร

ในจำนวนของวิเศษที่เกิดจากการกวน หนึ่งในนั้นมี"ช้างไอราวัต"

ทำให้สงสัยว่าพระอินทร์ท่านมีช้างไอราวัตกี่เชือกกันแน่

ขอบคุณครับ
#6
यदा यदा हि धर्मस्य ग्लानिर्भवति भारत ।
अभ्युत्थानमधर्मस्य तदात्मानं सृजाम्यहम् ॥४-७॥

परित्राणाय साधूनां विनाशाय च दुष्कृताम् ।
धर्मसंस्थापनार्थाय सम्भवामि युगे युगे ॥४-८॥


ยทา ยทา หิ ธรฺมสฺย คฺลานิรฺภวติ ภารตหะ
อภฺยุตฺถาน อมธรฺมสฺย ตทาตฺมานมฺ สฤชามฺยหมฺ

ปริตฺราณาย สาธูนำ วินาศาย จ ทุษฺกฤตามฺ
ธรฺมสํสฺถานาย สมฺภวามิ ยุเค ยุเค



รบกวนแปลหน่อยครับ
ขอบคุณครับ
#7


ปกติเทวรูปพระกฤษณะ จะทำเป็นรูปพระกฤษณะกับนางราธา หรือไม่ก็ยืนคู่กับพระพลราม

แต่ทำไมพระกฤษณะปาง"ชคันนาถ"ต้องเป็นรูปขิงพี่น้อง3คน คือ พระกฤษณะ พระพลราม และนางสุภัทรา(องค์กลาง)

เขามีเหตุผลอะไรรึเปล่าครับ ถึงให้องค์กลางเป็นนางสุภัทรา แทนที่จะเป็นพระแม่ราธา

ขอบคุณมากครับ
#8
ผมเคยไปวิ่งที่นี่หลายครั้ง ข้างในมทบ.มีศาลเล็กๆ ศาลลักษณะแปลกตามาก เป็นศาลลายปูนปั้นแบบอินเดียใต้ ทำแบบวัดแขก
ส่วนองค์พระพรหมเป็นแบบไทย

และศาลนี้ เป็นสิ่งที่เด่นที่สุดในมทบ.11 เป็นศาลแบบอินเดียใต้ครับ

ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ไปเยี่ยมชมได้
#9
เคยไปโบสถ์เทพฯมาหลายรอบ ยังไม่เคยเห็นนักบวชท่านเอาดอกบัวมาถวายองค์เทพสักครั้ง

แล้วปกติดอกไม้ที่คนฮินดูนิยมมาบูชาองค์เทพ มี"ดอกบัว"ไหมครับ

เคยดูหนังอินเดีย รามายณะ มหาภารตะ หรือหนังเทพนิยายปุราณะต่างๆ ฉากบูชาเทพ ผมไม่เคยเห็นฉากคนถวาย"ดอกบัว" หรือมีดอกบัวถูกนำมาใช้ในการตกแต่งปะรำพิธีองค์เทพ

เรื่องถวายดอกบัว เคยได้ยินเรื่องเดียวคือ"พระศิวะประทานจักรแก่พระวิษณุ"หรือพระศิวะปาง"จักรทาน" พระวิษณุถวายดอกบัว999ดอก ขาด1ดอก ท่านเลยเอาดวงตาท่านถวายแทนดอกบัวดอกที่1000.......เรื่องถวายดอกบัวแก่องค์เทพ เคยได้ยินแค่ตำนานนี้อย่างเดียว ตำนานอื่นไม่เคยได้ยินจริงๆครับ

ทำไมคนฮินดูไม่นิยมใช้ดอกบัวบูชาเทพครับ

ขอบคุณมากครับ

ป.ล.ขออภัยครับ
ช่วงนี้คำถามเยอะหน่อย อยากรู้อยากเห็น หุหุ
#10
ถาม2คำถามในกระทู้เดียวนะครับ

คำถามที่1
ทำไมพระแม่มนสาต้องทรงเป็นเป็นพาหนะ ทั้งที่เป็นพระแม่แห่งนาคทั้งหลาย


คำถามที่2
ทำไมพระแม่พหุจรา ต้องทรงไก่เป็นพาหนะ


ขอบคุณมากครับ
#11


เพราะอะไร ธงของท่านถึงเป็นรูปไก่ตัวผู้
ขอบคุณคับ
#13
ที่ผมนึกออกก้อมีเทวรูปพระชคันนาถ พระพลราม และนางสุภัทรา
มีลักษณะเป็นท่อนซุง ไม่มีขา ไม่มีมือ เพราะตำนานบอกว่าพระเจ้าอินทรัทยุมนะเจอท่อนซุง3ท่อน

เทวรูปชคันนาถ ที่โอริสสา


เทวรูปพระพิฆเนศ เกิดจากหิน และเชื่อกันว่าเกิดตามธรรมชาติ มีทั้งหมด8องค์ เรียกว่า"อัษฏวินายกะ"


เทวรูปพระแม่กาลี ที่วัดกาลีฆัต กัลกัตตา

.....

พอนึกองค์อื่นออกป่าวคับ

อาจจะเป็นหินธรรมดา หรือเป็นเทวรูปที่มีแต่เศียร หรือมีรูปร่างแปลกๆ อย่างพระชคันนาคที่ไม่มีขาไม่มีมือ
หรือวัดใหญ่โตสวยงามแต่เทวรูปองค์ประธานอาจเป็นองค์เล็กๆ

ผมนึกออกแค่3องค์อะครับ
#14


ก้อนหินนี้ มาจาก"รามเสตุ"หรือถนนพระราม จากรามายณะฉบับทมิฬ(ฉบับวาลมิกีไม่มีตอนจองถนน)

ก้อนหินพวกนี้เป็นของทำใหม่รึเปล่า มันมีอักษรเทวนาครีเขียนว่า ราม เป็นลักษณะอักษรแบบใหม่

ถ้ามันเป็นอักษรพราหมี หรืออักษรอินเดียสมัยโบราณ ยังพอน่าเชื่อนะครับ

และตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อารยันไม่เคยยกทัพมาถึงเกาะลังกา

และที่สำคัญ เรื่องรามายณะ ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อะไรมารองรับ ว่ามีการทำถนนไปเกาะลังกาโดยเอาหิน(จากไหนไม่รู้)มาทำเป็นถนน
#15
ผมอ่านมาหลายเล่ม และมีปัญหากับเรื่องคำศัพท์บางคำ และพบหลายเล่ม โดยเฉพาะหนังสือที่เรียบเรียงจากภาษาอังกฤษ และแปลเป็นภาษาไทย แต่ปัญหาอยู่ที่ศัพท์ทางศาสนา หรือคำที่รับมาจากภาษาสันสกฤต บางคำเปนที่รู้กัน เช่น กฤษณะ พลราม ภควาน พุทธะ คุรุ ภีษมะ กุรุเกษตร พรหมจารี ประหลาท ยุธิษฐิระ-มหาราช นารถมุนี ฯลฯ หนังสือก็ไปดัดแปลงว่า คริชณะ บะละรามะ บฺะกะวาน บุดดฺะ กุรุ บฺีชมะ  คุรุคเชทระ บระฮมะชารี พระฮลาท ยุดิชทฺีระ มะฮาราจ ฯลฯ

หรือบางคำเป็นพื้นๆ เช่น วิทยา อวิชชา(อวิทยา) พรหม-โชฺยติ ฯลฯ เขาก็แก้เป็น วิดยา อวิดยา บระฮมะจโยติ ฯลฯ

ผมว่ายังไง พิมพ์หนังสือให้คนไทยอ่าน บางคำคนไทยใช้มานาน เช่น พุทธะ วิษณุ ธรรมะ พรหมโลก ก็ใช้ตรงๆเลยว่า พุทธะ วิษณุ ธรรมะ พรหมโลก ไม่ต้องพยายามให้คนอ่านออกเสียงแบบสันสกฤต ยังไงในประเทศไทยคนที่รู้สันสกฤตและออกเสียงสันสกฤตแบบอินเดียมีน้อยมากๆ คนที่พิมพ์หรือแปลเป็นภาษาไทยต้องเข้าใจจุดนี้

แม้แต่ภาษาไทย บางคำที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ จำเป็นมากๆที่ต้องเขียนให้ถูก(ยืมภาษาเขามานิครับ) เพราะเป็นคำภาษาต่างประเทศ คำไทยเองใช้ผิดไม่ค่อยมีปัญหา เพราะยังสื่อความหมายเข้าใจ แต่ภาษาต่างประเทศ บางคำก็ยกเว้นได้ในกรณีคำนั้นมันใช้มานาน เช่น จุกก๊อก(คอร์ก)

บางคำคนไทยรู้จักมานาน เช่น พราหมณ์ กษัตริย์ กฤษณะ พุทธะ วิษณุ ฯลฯ ผมมองว่าไม่จำเป็นต้องไปดัดแปลงคำ หรือพยายามให้คนอ่านว่า บราฮมะณะ คะชะตริยะ คริชณะ บุดดฺะ วิชณุ

ตรงนี้แหละ คืออุปสรรคที่ทำให้ผมอ่านหนังสือพวกนี้ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะชื่อหรือศัพท์เฉพาะต่างๆ

...

ไม่นานเห็นหนังสือเล่มนึง เล่มหนาๆ หน้าปกส้มๆชมพูๆ เขียนว่า"รามเกียรติ์ ฉบับวาลมิกี"
พระเจ้าช่วย ฤษีวาลมิกีแต่งรามเกียรติ์ด้วยหรือนี่

ที่ทราบ วาลมิกี แต่งรามายณะ ใช้ภาษาสันสกฤตแต่ง เนื้อเรื่องคนละอย่างกับรามเกียรติ์

ฉบับสันสกฤต เรียก รามายณะ
ฉบับไทย เรียก รามเกียรติ์
ฉบับทมิฬ เรียก กัมพะ อิรามายณัม หรือ อิรามาวตารัม
ฉบับเบงกอล เรียก กฤตติวาส รามายณะ
ฉบับฮินดี เรียก รามจริตมานัส

และแต่ละฉบับ เนื้อเรื่องไม่เหมือนกันครับ
#16


จำได้มี ไจตันยะ มหาประภู ไม่ทราบว่าอยู่องค์ที่เท่าไร

แล้วองค์อื่นๆชื่ออะไรคับ
ขอบคุณครับ

#17
ที่ผมสังเกตนะ
อันดับต้นๆคือ พระพิฆเนศ และ พระกฤษณะ

เทพองค์อื่นๆพอนึกออกไหม ที่นับถือกันทั่วโลก

ขอบคุณคร้าบ
#18
อ่านในมหาภารตะแล้วสงสัยตอนนึง

ตอนที่ไฟไหม้ป้า พวกนาคมันเดือดร้อน ไปขอให้พระอินทร์ปล่อยห่าฝนมาดับไฟป่า แล้วพระกฤษณะแผลงศรเป็นห่าลงขึ้นบัง ไม้ให้ฝนมันดับไฟป่า

สงสัยว่าทำไมพระกฤษณะต้องต้องฆ่าพวกนาค แม้แต่ไฟไหม้ป่า พระอินทร์ปล่อยฝนมาดับไฟ พระกฤษณะก็กันไม่ให้ฝนมาดับไฟ

ใครพอทราบรายละเอียดตอนนี้ รบกวนอธิบายให้เข้าใจหน่อยครับ

ขอบคุณครับ
#19

ด้านซ้าย ที่มีร่างเป็นงู มีหัวเปนม้า มีชื่อว่าอะไรครับ

ฤๅษีที่มีหวเป็นนกแก้ว ศุกมุนีรึป่าวคับ??

ด้านขวา ฤๅษีองค์ที่ตัวเตี้ยๆ ชื่ออะไรคับ

ขอบคุณครับ
#20
พระเจ้าไววัสวัต เชิญฤๅษี7ตนขึ้นเรือลำใหญ่ ก่อนน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และพระวิษณุอวตารเป็นปลา ลากเรือไปเรื่อยๆ...อ่านรายละเอียดในเรื่อง มัตสยาวตาร อวตารปางที่1ของพระวิษณุ

มีเรื่องน่าสังเกตว่า ฤๅษี7ตน มี ฤๅษีกาศยปะ ฤๅษีวสิษฐ์ ฤๅษีสวามิตร ฤๅษีโคดม ฤๅษีชมทัคนี ฤๅษีภารทวาช  ประทับบนโลกหรือบนสวรรค์???

ถ้าประทับบนสวรรค์ พระเจ้าไววัสวัต เหตุใดต้องนิมนต์ฤๅษี7ตนขึ้นเรือมาด้วย ให้ท่านมาลำบากบนเรือทำไม???

หรือตำแหน่ง"สัปตฤๅษี"มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ เมื่อถึงวันที่น้ำท่วมโลก???
#21

ไม่ทราบว่าเคยเห็นรึเปล่า

พระศิวะปางนี้เก่ามาก พบในเหรียญสมัยฮารัปปา เรียกว่า ปศุปติ

ตอนแรกคิดว่าเป็นนนทิ แต่ดูแล้วไม่ใช่ น่าจะเปนพระปศุปติมากกว่า
#22







ชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า คิชโชเทน 吉祥天

คิชโช คือคำว่า ศรี

หมายถึง ศรีเทวี คือ พระลักษมีครับ

คนญี่ปุ่นนับถือมาก

และมีมนต์แบบญี่ปุ่นว่า โอม มหาศฺรีเย สฺวาหา
#23
http://www.youtube.com/v/aW6woOP3sTk
ตอนที่เอกลัพย์ตัดนิ้วโป้ง แล้วนิ้วโป้งกลายเป็นพระแม่องค์นึง ไม่ทราบว่าองค์ไหน แล้วท่านพูดอะไรกับโทรณาจารย์ครับ

และตอนสุดท้าย เอกลัพย์พูดว่าอะไร

ขอบคุณครับ
#24
Quote from: webbit89 on January 05, 2010, 18:54:45
ไม่เชื่อก็แนะนำให้ไปถามบาบูเงินกู้ หรือแขกที่มาจากอินเดียดู

ผมไม่เชื่อ และไม่คิดจะถามแขกเงินกู้ด้วยครับ

แต่พราหมณ์เขาไม่ได้บอกอย่างนี้ ว่าชื่อปางศิวราตรีอะไรนั่น คุณจะเชื่อพราหมณ์ หรือแขกเงินกู้ครับ

ผมเห็นหนังสือหลายเล่ม ฉบับอังกฤษ ก็ไม่ได้เรียกศิวราตรี

.......

แขกคนนั้นเขาบอกว่า ศิวะ-ปารวตี รึเปล่า แล้วคุณฟังเพี้ยนเป็น ศิวราตรี แน่ๆเลย ผมว่านะ

เพราะปางนี้ มีชื่อเรียกชื่อเดียวคือ อรรธนารี หรือ อรรธนารีศวร

เหตุผลที่คุณอ้ง ว่าได้มาจากแขกเงินกู้ ฟังไม่ขึ้นครับ

ถ้าคนที่คุณบอก เป็นพราหมณ์ หรือเป็นคนที่นับถือฮินดู ผมพอจะเชื่อนะครับ
#25


ตามนั้น

ขอบคุณครับ
#26
ที่ผมจำได้ และเห็นผ่านๆ มี

ฤๅษีวาลมีกิ
ฤๅษีเวทวยาส
มีราพาอี
ศรี รามกฤษณะ ปรมหังสะ
โคสวามี ตุลสีทาส
คุรุนานักเทพ

มีองค์ไหนอีกครับ

ขอบคุณครับ
#27
ผมสงสัยหน่ะครับ และคงมะว่าถ้าผมจะตั้งกระทู้ถามตรงๆ ชัดๆ

การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทย ต้องมีการบนบานต่างๆ และมีมานานแล้ว เพราะแต่ก่อนคนไทยนับถือผีธรรมชาติ เช่น ผีบ้านผีเรือน พระภูมิเจ้าที่ เจ้าป่าเจ้าเขา รุกขเทวา ใกล้ตัวสุดๆก็ผีบรรพบุรุษ คนสมัยก่อนบนบานกับสิ่งพวกนี้

แต่พอวัฒนธรรมศาสนาเข้ามา วัฒนธรรมอินเดียเข้ามา แรกๆไม่มีการบนบานเท่าไร และสมัยก่อนชาวบ้านก็นับถือเรื่องเปื่อย จะบนบานอะไรก็บนกับผีบ้านผีเรือน

แต่พอหลังๆผมก็สังเกต คนไทยนิยมบน จะไหว้อะไรขออะไรบนไว้ก่อน เป็นธรรมเนียมอะไรรึเปล่าครับ???

เหมือนกับว่าเรามีศรัทธาไม่พอ ศรัทธาไม่เต็มเปี่ยม จะไหว้อะไรต้องตั้ง"เงื่อนไข"หรือไม่ก็ให้"สินบน"กับสิ่งศักดิ์ระดับสูงๆ เช่น เทพฮินดู ซึ่งผมมองว่าไม่ดีเท่าไร และถ้าบ่อยๆทำให้ในอนาคตคนมองเทพฮินดูว่า...ต้องบนถึงได้ ไม่บนไม่ได้ ต้องบนด้วยของดีๆแพงๆ ฯลฯ ผมไม่อยากให้คนรุ่นต่อไป นับถือเทพฮินดูทำนองนี้หน่ะ แบบว่า บนแล้วได้ง่ายๆ

เราไม่ควรเอาพฤติกรรมการนับถือผีมาใช้กับการนับถือเทพต่างๆ โดยเฉพาะเทพฮินดู ท่านเป็นเทพระดับสูง

การบนบาน เป็นธรรมเนียมของการนับถือผีบ้านผีเรือน ผีบรรพบุรุษ ที่เชื่อว่าสามารถให้คุณโทษได้ง่าย คนเลยต้องบนบาน เช่น ผีไม่มีศาลแต่มันให้เลขถูก ก็ซื้อศาลมาให้ หรือขอว่าถ้าถูกก็จะซื้อผ้าสวยๆมาถวาย แบบนี้ถวายได้ ไม่ผิด เป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย

แต่สำหรับการบูชาเทพฮินดู การบนบานเหมือนไม่เหมะสมเท่าไร เป็นการทำอะไรโดยไม่ศรัทธา มีความอยากนำหน้าความศรัทธา แล้วการบนบานเป็นธรรมเนียมไหวผี เราไม่ควรเอาธรรมเนียมไหว้ผีมาใช้กับการนับถือเทพฮินดู

แม้แต่ศาสนาคริสต์ก็มองว่าไม่เหมาะสม

บางทีการนับถือแล้วต้องการขออะไรจากท่าน ถ้าไหว้ท่านด้วยใจบริสุทธิ์ ท่านรู้ใจผู้ที่นับถืออยู่แล้ว และรู้ว่าต้องการอะไร จากที่ขอ1ท่านอาจให้2หรือให้มากกว่านั้น เพราะบูชาด้วยใจศรัทธา ย่อมมีค่ามากกว่าบานบนบาน หรือให้สินบนกับท่าน

ถ้าต้องการขออะไร ก็ขอได้ แต่ผมไม่อยากให้ถึงขั้นบนบาน หรือบอกว่าถ้าได้จะถวายนั่นถวายนี่.....ผมคิดการที่บอกว่าถ้าได้จะถวายนั่นถวายนี่ ท่านอาจเปลี่ยนแล้วก็ได้นะครับ

ผมมองว่าการนับถือเทพเป็นสิ่งดี ไม่ผิด เป็นความหลากหลายทางความเชื่อ แต่ก็ควรเข้าใจในบางเรื่องด้วย

และผมไม่อยากให้ในอนาคต เทพทั้งหลาย ต้องถูกพวกนักวิชาการ หรือพวกไม่นับถือ มาพูดเสียๆหายๆ ซึ่งปัจจุบันก็พบเห็นได้เยอะ ในหนังสือบางสำนักพิมพ์ ที่วิจารณ์เก่งๆ.......ต้นเหตุมาจากคนที่นับถือนั่นแหละ เทพท่านไม่ได้ผิด แต่คนที่นับถือเข้าใจเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง จนทำผิดๆ

อย่างฤๅษีวยาสต้องการรจนาเรื่องมหาภารตะ เชิญพระพิฆเนศมาบันทึก พระพิฆเนศบอกว่าต้องบอกโศลกเรื่อยๆอย่าหยุด ถ้าต้องการพักให้คิดโศลกยากๆๆๆ เพื่อให้ท่านคิดนานๆ จะได้มีเวลาพัก

ฤๅษีวยาสก็บอกว่า สิ่งที่ตนบอก พระพิฆเนศเองก็ต้องเข้าใจเรื่องที่ตนกล่าว ถึงจะบันทึกเรื่องได้ถูกต้อง
#28
ชื่อฤๅษีกไลโกฏ เป็นภาษาทมิฬ கலைக்கோட்டு เขียนว่า กไลกฺโกฏฺฏุ kalaikkotu

...

เป็นเรื่องใน อลัมพุสาชาดก ภาษาบาลีเรียกว่า อิสิสิงคะ สันสกฤตเรียกว่า ฤษยศฤงคะ

http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-14-22/chadok-170103.htm


ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง


ครั้งนั้น แม่เนื้อตัวหนึ่ง เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส จนตั้งครรภ์ นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง ต่อมาแม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์ พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร ตั้งชื่อให้ว่า อิสิสิงคกุมาร


ในเวลาต่อมา พระมหาสัตว์จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช ในเวลาตนชราลงได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน กล่าวสอนว่า ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้ ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรี เหล่านั้นดังนี้

ครั้นในเวลาต่อมา ท่านก็ทำกาลกิริยาไปบังเกิดเป็นในพรหมโลก ฝ่ายอิสิสิงคดาบส เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า


ครั้งนั้น พิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น ทรงพระดำริว่า พระดาบสนี้จะพึงทำเราให้พ้นจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่งให้ไปทำลายศีลของเธอ ดังนี้แล้ว ทรงพิจารณาเทวโลกทั้งสิ้น ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์ มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้ นอกจากนางเทพอัปสรชื่ออลัมพุสาผู้เดียว จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้าแล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น.โดยตรัสว่า

ดูก่อนนางอลัมพุสา ผู้เจือปนด้วยกิเลส เจ้าเป็นผู้สามารถจะเล้าโลมฤๅษีได้ เทวดาชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ขอร้องเจ้า เจ้าจงไปหาอิสิสิงคดาบสเถิด.


พระดาบสนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร และประพฤติพรหมจรรย์ อนึ่ง พระดาบสนั้นแลยินดียิ่งแล้ว ในมรรคคือพระนิพพาน และเจริญแล้วด้วยคุณวุฒิ เพราะความเป็นผู้มีอายุยืน เจ้าจงทำโดยประการที่ดาบสนั้นจะมาในที่นี้เพื่อเป็นท้าวสักกเทวราชแทนเราไม่ได้ เจ้าจงห้ามมรรคของเธอเสีย.

นางอลัมพุสาเทพกัญญาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พระเทวราช พระองค์ทรงทำอะไร เหตุใดจึงทรงมุ่งหมายแต่หม่อมฉันเท่านั้น จึงรับสั่งว่า แนะเจ้าผู้อาจจะเล้าโลมฤๅษีได้ เจ้าจงไปเถิด ดังนี้ นางเทพอัปสรผู้ทัดเทียมหม่อมฉันหรือประเสริฐกว่าหม่อมฉัน ก็มีอยู่ในนันทนวัน การไปจงมีแก่นางเทพอัปสรเหล่านั้น แม้นางเทพอัปสรเหล่านั้น จงไปประเล้าประโลมเถิด

ในบรรดาบทเหล่านั้น ด้วยพระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ชื่ออะไรกัน ด้วยนางเทพธิดาผู้ยิ่งกว่าหม่อมฉัน ยังมีอยู่


ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชได้ตรัสว่า


เจ้าพูดจริงโดยแท้แล นางเทพอัปสรอื่นๆ ที่ทัดเทียมกับเจ้า แลยิ่งกว่าเจ้า มีอยู่ในนันทนวันอันหาความโศกมิได้.

ดูก่อนนางผู้มีอวัยวะงามทุกส่วน ก็แต่ว่า นางเทพอัปสรเหล่านั้น เมื่อไปถึงชายเข้าแล้ว ย่อมไม่รู้จักการบำเรออย่างที่เจ้ารู้.


ดูก่อนโฉมงาม เจ้านั่นแหละจงไป เพราะว่าเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าหญิงทั้งหลาย เจ้าจักนำดาบสนั้นมาสู่อำนาจได้ ด้วยผิวพรรณและรูปร่างของเจ้าเอง.

นางอลัมพุสาเทพกัญญาได้สดับดังนั้น ได้กล่าวว่า

หม่อมฉันอันท้าวเทวราชทรงใช้ จักไม่ไปหาได้ไม่ แต่หม่อมฉันกลัวที่จะเบียดเบียนพระดาบสนั้นเพราะท่านเป็นพราหมณ์ มีเดชฟุ้งเฟื่อง.

ชนทั้งหลายมิใช่น้อย เบียดเบียนพระฤๅษีแล้วต้องตกนรก ถึงสังสารวัฏเพราะความหลง เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงต้องขนลุกขนพอง.


นางอลัมพุสาเทพอัปสร ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้วก็ไปสู่อาศรมของอิสิสิงคดาบส อันดาดาษไปด้วยเถาตำลึงโดยรอบประมาณกึ่งโยชน์.ในเวลาเช้า ใกล้เวลาพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง


ขณะนั้น อิสิสิงคดาบสนั้น ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว สรงน้ำแต่เช้าตรู่ ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง แล้วจึงออกมากวาดโรงไฟอยู่ นางยืนแสดงความงามของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น.


ลำดับนั้น พระดาบสเมื่อจะถามนางจึงกล่าวว่า


เธอเป็นใครหนอ มีรัศมีเหมือนสายฟ้า หรืองามดังดาวประกายพรึก มีเครื่องประดับแขนงามวิจิตรล้วนแก้วมุกดา แก้วมณี และกุณฑล.ประหนึ่งแสงอาทิตย์ มีกลิ่นจุรณจันทน์ ผิวพรรณดุจทองคำ ลำขางามดี มีมารยาทมากมาย กำลังแรกรุ่นสะคราญโฉม น่าดูน่าชม.เท้าของเธอไม่เว้ากลาง เมื่อเหยียบต้องแผ่น ดิน ก็เรียบเสมอ อ่อนละมุน แสนสะอาดตั้งลงด้วยดี การเยื้องกายของเธอน่ารักใคร่ ทำใจของเราให้วาบหวามได้ทีเดียว.

อนึ่ง ลำขาของเธอเรียวงาม เปรียบเสมอด้วยงวงช้าง โดยลำดับ ตะโพกของเธอผึ่งผาย เกลี้ยงเกลาดังแผ่นทองคำ.


นาภีของเธอตั้งลงเป็นอย่างดี เหมือนฝักดอกอุบล ย่อมปรากฏแต่ที่ไกล คล้ายเกสรดอกอัญชันเขียว.

ถันทั้งคู่เกิดที่ทรวงอก ทรงไว้ซึ่งขีรรส ไม่หดเหี่ยว เต่งตึงทั้งสองข้าง เสมอด้วยน้ำเต้าครึ่งซีก.


คอของเธอประดุจเนื้อทราย เรียบงามดุจพื้นสุวรรณเภรี มีริมฝีปากเรียบงดงาม เป็นที่ตั้งแห่งมนะที่ ๔ คือ ชิวหา.


ฟันของเธอทั้งข้างบน ข้างล่าง ขัดสีแล้วด้วยไม้ชำระฟัน เกิดสองคราวเป็นของหาโทษมิได้ ดูงามดี.นัยน์ตาทั้งสองข้างของเธอดำขลับ มีสีแดงเป็นที่สุด สีดังเม็ดมะกล่ำ ทั้งยาวทั้งกว้าง ดูงามนัก.


ผมที่งอกบนศีรษะ ของเธอไม่ยาวนักเกลี้ยงเกลาดี หวีด้วยหวีทองคำ มีกลิ่นหอมฟุ้งด้วยกลิ่นจันทน์.ในบรรดาผู้ทำกสิกรรม และเลี้ยงสัตว์ พ่อค้า และหมู่ฤๅษีทั้งหลาย ผู้สำรวมดีด้วยตบะ มีประมาณเท่าใด เราไม่เห็นบุคคลใดในปฐพีมณฑลนี้ จะเสมอเหมือนกับเธอ เธอเป็นใครหรือเป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักเธอได้อย่างไร ?


เมื่อพระดาบสกล่าวชมตน ตั้งแต่เท้าจนถึงผมอย่างนี้ นางอลัมพุสาเทพกัญญานั้นก็นิ่งเสีย เมื่อนางพิจารณาตามลำดับของคำนั้นแล้วก็รู้ว่า พระดาบสนั้นเป็นผู้หลงใหลในความงามของตน จึงกล่าวว่า


ดูก่อนท่านกัสสปะผู้เจริญ เมื่อจิตของท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา มาเถิดท่านที่รัก เราทั้งสองจักรื่นรมย์กัน ในอาสนะของเรา มาเถิดท่าน ฉันจักเคล้าคลึงท่าน ท่านจงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนความยินดีด้วยกามคุณ.


นางอลัมพุสาเทพกัญญา กล่าวอย่างนี้แล้วก็คิดว่า เมื่อเรายืนเฉยอยู่อย่างนี้ พระดาบสนี้ ก็จักไม่ยอมเข้าอ้อมแขนเรา เราจักเดิน ทำท่าทีเหมือนจะไปเสีย นางจึงเข้าไปหาพระดาบส เพราะตนเป็นผู้ฉลาดในมารยาหญิง จึงเดินบ่ายหน้ากลับไปตามทางที่มาแล้ว.


ลำดับนั้น พระดาบสเห็นดังนั้นก็คิดว่านางจะไปเสีย จึงสลัดความเฉื่อยชา ล่าช้าของตนเสียแล้ว วิ่งไปโดยเร็ว เมื่อมาทันนางแล้วก็เอามือลูบคลำที่เรือนผมของนาง.


นางเทพอัปสร ผู้สะคราญโฉม ก็หมุนตัวกลับมาสวมกอดพระดาบสไว้ ทันใดนั้นเอง ฌานของอิสิสิงคดาบสก็อันตรธานไป ดาบสก็เคลื่อนจากพรหมจรรย์ ตามที่ท้าวสักกเทวราชทรงปรารถนา


ลำดับนั้น เมื่อนางเทพกัญญารู้ว่าความปรารถนาของท้าวสักกเทวราชสำเร็จแล้ว ก็เกิดปีติปราโมทย์ นางก็มีจิตประหวัดถึงพระอินทร์ผู้ประทับอยู่ในนันทนวัน อย่างนี้ว่า โอ! ท้าวสักกะควรส่งบัลลังก์มา


ท้าวมฆวานเทพกุญชรทรงทราบความดำริของนางแล้วจึงทรงส่งบัลลังก์ทอง พร้อมทั้งเครื่องบริวารมาโดยพลัน.ทั้งผ้าปิดทรวง ๕๐ ผืน เครื่องลาด ๑
,
๐๐๐ ผืน นางอลัมพุสาเทพอัปสร กอดพระดาบสไว้แนบทรวงอกอยู่บนบัลลังก์นั้น.

นางกอดพระอิสิสิงคดาบสให้นอนแนบอก นั่งอุ้มอยู่บนบัลลังก์นั้น สิ้นเวลา ๓ ปี โดยการนับเวลาแห่งมนุษย์ ประดุจครู่เดียว


เมื่อพราหมณ์ดาบสได้สมปฤดีตื่นขึ้น เวลาก็ล่วงไป๓ ปีแล้ว.ขณะที่พระดาบสกำลังจะตื่นขึ้น นางอลัมพุสาเห็นอาการกระดิกมือเป็นต้นแล้ว ทราบว่าพระดาบสกำลังจะตื่นขึ้น จึงบันดาลให้บัลลังก์อันตรธานไป แม้ตนเองก็ได้อันตรธานไปยืนซ่อนอยู่.

พระดาบสนั้นตรวจตราดูอาศรมแล้ว คิดว่า ใครกันหนอ ทำให้เราถึงสีลวิบัติ แล้วปริเทวนาการด้วยเสียงอันดัง เธอได้มองไปโดยรอบ ได้เห็นหมู่ไม้เขียวชอุ่มโดยรอบเรือนไฟ ผลัดใบใหม่ดอกบาน อึงคะนึงด้วยเสียงแห่งนกดุเหว่าแล้ว ร้องไห้น้ำตาไหลรินปริเทวนาการว่า เรามิได้บูชาไฟ มิได้ร่ายมนต์ อะไรบันดาลให้การบูชาไฟต้องเสื่อมลง.

ผู้ใดใครหนอ มาประเล้าประโลมจิตของเราด้วยการบำเรอในก่อน ยังฌานอันเกิดพร้อมกับเดชของเรา ผู้อยู่ในป่าให้พินาศ ดุจบุคคลยึดเรืออันเต็มด้วยรัตนะต่าง ๆ ในห้วงอรรณพ ฉะนั้น.


อลัมพุสาเทพกัญญาได้ยิน
ดังนั้น
ก็คิดว่า ถ้าเราไม่บอก ดาบสนี้จักสาบแช่งเรา เอาเถอะเราจักบอกให้ท่านทราบ จึงยืนปรากฏกายกล่าวว่า

ท้าวเทวราชทรงใช้ดิฉันมาเพื่อบำเรอท่าน ทำฌานของท่านให้เสื่อม เคลื่อนจากพรหมจรรย์ จึงได้ครอบงำจิตของท่านด้วยจิตของดิฉัน ท่านไม่รู้สึกตัว เพราะประมาท.

พระอิสิสิงคดาบสได้ฟังถ้อยคำของนางแล้ว ระลึกถึงโอวาทที่บิดาให้ไว้ ก็ปริเทวนาการว่า เพราะเรามิได้ทำตามคำบิดา จึงถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ดังนี้แล้ว ได้กล่าวว่า


เดิมที ท่านกัสสปะผู้บิดา ได้พร่ำสอนเราถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ดูก่อนมาณพ สตรีอันเสมอด้วยนารีผลมีอยู่ เจ้าจงรู้จักสตรีเหล่านั้น.ดูก่อนมาณพ เจ้าควรรู้ว่า หญิงเหล่านั้น ย่อมยังผู้ตกอยู่ในอำนาจตนให้พินาศ.

เรามิได้ทำตามคำสอนของบิดาผู้รู้นั้น วันนี้เราซบเซา ปริเทวนาการอยู่แต่ผู้เดียว ในป่าอันหามนุษย์มิได้.เราจักเป็นเช่นเดิมอีก คือจักยังฌานที่เสื่อมแล้วให้เกิดขึ้น เป็นผู้ปราศจากราคะ ด้วยประการใด จักกระทำด้วยประการนั้นหรือ หรือว่าเราจักตายเสีย.ชีวิตของเราน่าตำหนิติเตียน ประโยชน์อะไรด้วยการที่เราจะมีชีวิตอยู่

ท่านอิสิสิงคดาบสนั้น เมื่อละกามราคะแล้วก็ยังฌานให้เกิดได้อีก ลำดับนั้น นางอลัมพุสาเทพกัญญา เห็นเดชแห่งสมณะของพระดาบสนั้นด้วย และรู้ว่าท่านบำเพ็ญฌานให้เกิดได้แล้วด้วย ก็ตกใจกลัว ก็ซบศีรษะลงที่เท้าของพระอิสิสิงคดาบสแล้วจึงขอให้ท่านอดโทษตน.โดยกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านอย่าได้โกรธดิฉันเลย ข้าแต่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอท่านอย่าได้โกรธดิฉันเลย ดิฉันได้บำเพ็ญประโยชน์อันใหญ่แล้วเพื่อเทวดาชั้นไตรทศผู้มียศ เพราะว่า ในคราวนั้น ท่านได้ทำให้เทพบุรีทั้งหมดหวั่นไหวแล้วด้วยเดชแห่งศีลของท่าน


ลำดับนั้น พระอิสิสิงคดาบสตอบว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เราอดโทษให้เธอ เธอจงไปตามสบายเถิด เมื่อจะปล่อยนางไป จึงกล่าวว่า

ดูก่อนนางผู้เจริญ ขอทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ท้าววาสวะจอมไตรทศและเธอจงมีความสุขเถิด ดูก่อนนางเทพกัญญา เชิญเธอไปตามสบายเถิด.

นางอลัมพุสาเทพกัญญา ซบศีรษะลงแทบเท้าแห่งอิสิสิงคดาบส และทำประทักษิณแล้ว ประคองอัญชลีหลีกออกไปจากที่นั้น.นางขึ้นสู่บัลลังก์ทอง พร้อมด้วยเครื่องบริวารเครื่องปิดทรวง ๕๐ ผืน และเครื่องลาด ๑,๐๐๐

ผืนแล้วกลับไปในสำนักแห่งเทวดาทั้งหลาย.

ท้าวสักกเทวราชทรงยินดี ได้ประทานพรให้แก่นาง อลัมพุสาเทพกัญญา ผู้มาถวายบังคมแล้วยืนอยู่.นางอลัมพุสาเทพกัญญา เมื่อจะรับพรในสำนักของท้าวสักกเทวราช จึงกล่าวว่า


ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าพระองค์จะทรงประทานพรแก่หม่อมฉันไซร้ ขออย่าให้หม่อมฉันต้องไปเล้าโลมพระฤๅษีอีกเลย ข้าแต่ท้าวสักกะหม่อมฉันขอพรข้อนี้.



พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแก่ภิกษุนั้นแล้ว ทรงประกาศอริยสัจจธรรม ในที่สุดแห่งอริยสัจจกถา ภิกษุนั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า นางอลัมพุสา ในครั้งนั้น ได้มาเป็นนางปุราณทุติยิกา อิสิสิงคดาบส ได้มาเป็นภิกษุผู้กระสัน ส่วนมหาฤๅษีผู้บิดา ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.


จบอลัมพุสาชาดก
...



ป.ล.สังเกตว่า ชื่อกษัตริย์พาราณสี เรียก พรหมทัต ทุกองค์
#29
อยากทราบค่ะ ว่าทำไมพระแม่เวลาประทับข้างพระศิวะ ต้องมีกายสีเขียว

ขอบคุณมากๆค่ะ
#30
ตำรับปุราณ โบราณของจริง

คำว่าโบราณ เป็นคำวิเศษณ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายว่า มีมาแล้วช้านาน เก่าก่อน ใช้ประกอบกับคำอื่นๆอีกมากมายหลายคำ เช่น โบราณคดี โบราณวัตถุ โบราณสถาน

ส่วนคำว่า ปุราณ เป็นคำเดียวกับ โบราณ ประพัฒน์ ตรีณรงค์ และสงวน อั้นคง อธิบายว่า เป็นนาม ใช้เรียกหนังสือหนึ่งในสามพวก ที่พราหมณ์รวบรวมแต่งไว้ แบ่งเป็นสามยุค ตามลักษณะแห่งหนังสือ

1. ยุคไตรเพท เป็นยุคที่แต่งตำรับที่ออกนามว่า พระเวท พร้อมตำรับอื่นอันเป็นบริวาร มีข้อความกล่าวด้วยการบูชายัญ สรรเสริญพระเป็นเจ้าด้วยวิธีอย่างเก่าที่สุด ไม่ใคร่จะมีเรื่องราวเล่าอย่างเป็นนิยายหรือประวัติพิสดาร

เพราะในสมัยนั้น ยังมิได้มีเวลาคิดประดิด ประดอยเรื่องราว

2. ยุคอิติหาส เป็นยุคที่เกิดมีวีรบุรุษขึ้นแล้ว จึงมีผู้คิดรวบรวมเรื่องราวอันเป็นตำนานเนื่องด้วยวีรบุรุษ รจนาเป็นกาพย์เพื่อให้จำง่าย สอนให้ศิษย์สาธยายในกาลอันควร  แล้วก็จำกันต่อๆมา  มีเรื่องรามายณะ (รามเกียรติ์) และมหาภารตะ เป็นอาทิ แต่ยังไม่มีผู้จดลงเป็นลายลักษณ์อักษร

ภายหลังอีกหลายร้อยปี จนมีผู้จดเป็นหนังสือ เพราะฉะนั้น หนังสืออิติหาสจึงมักมีข้อผนวกหรือแก้ไขเกินไปกว่าเรื่องเดิม

3. ยุคปุราณ เมื่อยกยอวีรบุรุษต่างๆมากขึ้นๆ ในที่สุดวีรบุรุษก็กลายเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา เกิดตำรับชุดปุราณขึ้นเป็นพยานหลักฐานว่า พระเป็นเจ้า หรือเทวดาองค์นั้นๆ ได้ทรงอภินิหารอย่างนี้ ยิ่งแต่งยิ่งเพลินขึ้นทุกที

ข้างฝ่ายไสยศาสตร์ก็เกิดตำรับปุราณ อ้างว่ารวบรวมจากเรื่องเก่าขึ้นมาบ้าง

หนังสือตำรับเหล่านี้ เมื่อเป็นที่ถูกใจนักศึกษาก็มีผู้จำได้มาก จนในที่สุด ทั้งพราหมณ์ และชนสามัญที่ถือไสยศาสตร์ก็เริ่มไม่รู้จักไตรเพทที่แท้จริง ยึดตำรับหนังสือชุดปุราณ เป็นตำรับสำคัญของลัทธิไสยศาสตร์ไปเลยทีเดียว

หนังสืออมรโกษ หนังสืออภิธานภาษา สันสกฤตที่เก่าที่สุด แต่งโดยพราหมณ์อมรสิงห์ รัตนกวีผู้หนึ่ง ในราชสำนักพระเจ้าวิกรมาทิตย์ กรุงอุชยินี(อุชเชนี) อธิบายคุณลักษณะ หนังสือปุราณไว้ว่า ควรมีลักษณะพร้อมด้วยองค์ 5 กล่าวคือ

1. กล่าวด้วยการสร้างโลก
2. กล่าวด้วยการล้างโลกและกลับสถาปนาขึ้น
3. กล่าวด้วยกำเนิดแห่งพระเจ้า และพระบิดาทั้งหลาย
4. กล่าวด้วยกัลป์แห่งพระมนูทั้งหลาย ผู้บันดาลให้กาลแบ่งเป็นมันวันตระ
5.กล่าวด้วยพงศาวดารกษัตริย์ สุริยวงศ์ และจันทรวงศ์

พราหมณ์อมรสิงห์ระบุว่า หนังสือใดบริบูรณ์ด้วยเนื้อหาเช่นนี้ จึงเรียกว่า บริบูรณ์ ด้วยเบญจลักษณ์แห่งปุราณคัมภีร์ หรือคัมภีร์ปุราณที่แท้จริง

หนังสือปุราณทุกฉบับแต่งเป็นกาพย์ มีฉันท์กับโศลกคละกัน รูปแบบหนังสือมักเป็นปุจฉาวิสัชนา และมีคนอื่นๆพูดบ้างบางแห่ง

อายุหนังสือปุราณไม่ใช่สมัยเดียว กันหมด แม้ในเล่มเดียวกัน ข้อความบางตอนชี้ให้เห็นว่า มีผู้แต้มเติมเข้าใหม่ ภายหลัง เชื่อมหัวต่อไม่สนิท

หนังสือปุราณทุกคัมภีร์ มักอ้างว่าเป็นของมุนีตนใดตนหนึ่ง รับมาจากพระเป็นเจ้า มาสอนให้ศิษย์นามว่าอย่างนั้นๆ

เช่น วิษณุปุราณ พระปุลุสตยมนีรับมาจากพระพรหมา แล้วมาบอกเล่าให้ศิษย์ ชขื่อปราศร และปราศรบอกให้แก่ศิษย์ชื่อไมไตรยอีกชั้นหนึ่ง

ตำรับปุราณ มี 18 คัมภีร์ แบ่งเป็น 3 นิกาย ตามลักษณะแห่งเรื่อง ดังต่อไปนี้

ก. สาตตวิกนิกาย  มีลักษณะเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม  หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่าไวษณพนิกาย  กล่าวด้วยพระพิษณุเจ้า  มี  6  คัมภีร์ 
1.วิษณุปุราณ 
2.นารท หรือนารทียปุราณ
3. ภาควัตปุราณ
4. ครุฑปุราณ
5. ปัทมปุราณ
6. วราหปุราณ

ข.ตามัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยที่โลกยังขุ่นเป็นน้ำตม อีกนัยหนึ่ง ไศวนิกาย กล่าวด้วยพระศิวะเป็นเจ้า มี 6 คัมภีร์
1. มัตสยปุราณ
2. กูรมปุราณ
3. ลิงคปุราณ
4. ศิวปุราณ
5 สกันทปุราณ
6. อัคนิปุราณ หรือวายุปุราณ(หลังๆแยกออกเป็น2ปุราณะ)

ค. ราชัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยเมื่อโลกเต็มไปด้วยความมืด และกล่าวด้วยพระพรหม สมมติว่าพระพรหมมาเป็นผู้แสดงบ้างในบางเรื่อง มี 6 คัมภีร์ 1. พรหมปุราณ
2. พรหมาณฑปุราณ
3. พรหมไววรรตปุราณ
4. มารกัณเฑยปุราณ
5. ภวิษยปุราณ
6. วามนปุราณ

ข้อมูลหนังสือปุราณเหล่านี้ ผู้ เรียบเรียงบอกว่าได้มาจากอภิธานศกุนตลา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6. (อ่านรายละเอียดใน บ่อเกิดรามเกียรติ์ และ ศกุนตลา)

Oบาราย O

http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/52476
#31
http://www.youtube.com/v/DO5kab63zNg&feature=related
http://www.youtube.com/v/1THk5dBri6Y
ฤๅษีโคดมสาปนางกาลอัจนาเป็นขี้เถ้า(บางตำราว่าหิน) ข้อหาเล่นชู้กับพระอินทร์ จนพระรามเสด็จมาถึงพ้นคำสาป
ในฉาก ฤๅษีสวามิตรมาไปดูอาศรมฤๅษีโคดมที่เคยอยู่ และสาปนางกาลอัจนาข้อหาเล่นชู้

http://www.youtube.com/v/b4YOWSTwifE
ฉากนี้ต่อจากตอนจองถนน หนุมานไปกรุงลงกาเพื่อหานางสีดา และเจอผีเสื้อสมุทร และเจอยักษ์อากาศตะไล

http://www.youtube.com/v/WRumE-7eZKw
http://www.youtube.com/v/LxeFx8IActA
http://www.youtube.com/watch?v=mRLtXQq2em4
ตอน พระรามยกศร ศรนั่นมีประวัติตั้งแต่ตำนานพระทักษะหัวแพะ พระศิวะยิงธนูใส่หัวพระทักษะขาด(ไม่รู้ว่าอ้างจากปุราณะไหน ว่าเอารัตนธนูยิงหัวพระทักษะขาด^^)

http://www.youtube.com/v/wBtIVUqDuwg
ทศกัณฐ์ลักนางสีดา
ตอนนี้ตอนที่พระรามไปล่ากวางทองที่มารีศแปลงเพื่อลวงพระราม และยิงถูกกวาง กวางมันร้อง แต่พระรามไม่รู้ร้องเลียนเสียงพระราม พระรามรู้ว่าเป็นปีศาจ แต่ไม่รู้ว่ามันร้องเลียนเสียงตน เลยเข้าป่าหากวางทองต่อไปเพื่อเอาไปให้นางสีดา
กวางมันร้องดังไปถึงอาศรมพระราม และนางสีดาอยู่กับพระลักษมณ์ นางสีดารู้ว่าเสียงพระราม เลยสั่งให้พระลักษมณืไปช่วย จนทศกัณฐ์ได้โอกาส แปลงเป็นฤๅษีสุธรรม ไปาหานางสีดา และลักพาตัวนางสีดาไปลงกา


ถ้าเจอตอนอื่นๆ จะเอามาลงให้ชมครับ
#32
องค์นี้อยู่ที่ปราสาทกระวาน เสียมราฐ กัมพูชา
ปราสาทนี้สร้างในคติไวษณพนิกาย



พระวิษณุปางย่างสามขุม ชื่อเรียกทางการว่า ตรีวิกรม-สวามี ของปางวามนาวตาร ไทยเรียกว่า ทวิชาวตาร
ขอที่ดินจากท้าวพลีแค่3ก้าว และท้าวพลีรู้แต่แรกแล้วว่าคือพระวิษณุ(พระศุกร์บอก) และพอท้าวพลีรู้ว่าเป็นพระวิษณุมาขอ เลยยอมยกที่ดินสามก้าว โดยก้าวสุดท้าย ขอให้เอาพระบาทมาวางบนหัวเป็นก้าวที่3



พระลักษมี


องค์นี้ไม่ใช่พระแม่ทุรคา แต่เป็นพระแม่ลักษมี ปาง วีระ-ลักษมี ถืออาวุธ
#33
เพิ่มห้องเกี่ยวกับหนังสือ ตำรา เอกสารวิชาการต่างๆ ใครมีหนังสืออะไรน่าสนใจ ที่มีประโยชน์ เอามาแนะนำได้

ชื่อห้อง ตั้งว่า พระเวท พระคัมภีร์ หรือชื่อห้องอะไรก็ได้ ที่เป็นห้องเกี่ยวกับหนังสือ โลโก้ทำเป็นรูปคัมภีร์พระเวท

เพื่อให้ผู้สนใจ หาหนังสือมาอ่านได้ง่ายขึ้นครับ
#34
ที่ปราสาทศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เป็นโบราณสถานของไศวนิกาย และพบรูปนางอัปสรา คล้ายพระแม่มีนากษีที่คนอินเดียใต้นับถือ


องค์ที่ปราสาทศีขรภูมิ


พระแม่มีนากษี

.....

ผมคิดเล่นๆ ศิลปะเขมรตั้งแต่สมัยพนมดา ได้รับอิทธิพลอินเดียใต้เยอะมาก
#35
ที่ผมนึกออกและเดาเอา และจำได้นะครับ(หนังสือคืนเขาไปหน่ะ)
อ้างอิงจากพระราชนิพนธ์ร.6 ลิลิตนารายณ์สิบปาง และบ่อเกิดรามเกียรติ์


ฤๅษีวาลมีกิ หรือ วาลมิกี-ฤๅษีวัชมฤคี
ฤๅษีอังคต-ฤๅษีอคัสตยะ
ฤๅษีสุติกษณะ-ฤๅษีสุทัศน์
ฤๅษีโคดม-ฤๅษีเคาตมะ
*ฤๅษีฤษยศฤงคะ-ฤๅษีกไลโกฏ
ฤๅษีปรศุราม-รามสูร(รามสูรมีอีกชื่อว่า นยักษะ)
*ฤๅษีวิศวามิตร-ฤๅษีสวามิตร์
ฤๅษีศตานนทะ-ฤๅษีสุธามันตัน เป็นปุโรหิตท้าวชนก และเป็นลูกฤๅษีโคดมกับนางอหลยา
ท้าวมาลียวัน หรือ มาลยวาน maliyavan or malyavan (ภาษาทมิฬ)-ท้าวมาลีวราช เป็นปู่ทศกัณฐ์ เป็นวงศ์พรหม
ท้าวสุมาลี-ท้าวสหมลิวัน เป็นลูกของท้าวสุเกศ แกมีลูก3คน คือท้าวมาลีวราช ท้าวสุมาลี และท้าวมาลี
ท้าวโรมพัต-ท้าวโลมบาท เจ้าเมืองโรมพัตตัน(อังคะ)
อชะ-ท้าวอัชบาล
*วิสรวะ-ท้าวลัสเตียน
ท้าวชนกจักรวรรดิ-ท้าวชนก ชื่อจริงของท่านคือ ศีรธวัช
ท้าวกุเปรัน-ท้าวกุเวร
พระลักษมณ์-พระลักษณ์
พระศัตรุฆณ์-พระสัตรุด
พระภรต-พระพรต
นางอหลยา-นางกาลอัจนา
นางเกาศัลยา-นางเกาสุริยา
นางไกเกยี-นางไกยเกษี
นางสุมิตรา-นางสมุทรชา
นางมัณโฑทรี-นางมณโฑ
นางไกกะษี-นางรัชฎา
ยักขมูขี-ยักษ์อโยมุขี
ยักษ์วิราธ-พระพิราพ
พระไภรพ-พระพิราพ
ยักษ์กพันธะ-ยักษ์กุมพล 
ยักษ์อกัมปัน-อสุรกัมปั่น
mayilliravanan or mahiravana-ยักษ์ไมยราพณ์
maccakarppan(matsyagarbha)-มัจฉานุ
tooratantikai-พิรากวน(พี่สาวไมยราพณ์)
neelamekan-ไวยวิก
timiti-นางสุวรรณมัจฉา
อักษกุมาร-สหัสสกุมาร
มกรากษะ-มังกรกัณฐ์
สุพาหุ-สวาหุ
ตริศิระ-ตรีเศียร
ทูษณ์-ทูต(ที่มาของสำนวน กลิ้งทูต)
วิทยุชชิหวา-ชิวหา
ศูรปนขา-สำมะนักขา
ตารกาสูร-กากนาสูร
วิภีษณะ(วิภีษณ์)-พิเภก
ยักษ์สุรสา-ผีเสื้อสมุทร? อากาศตะไล? ไม่แน่ใจ
*ชามพูวาน-ชามพูวราช
วาลี-พาลี
นิล-นิลพัท
นล-นิลนนท์
อังคัท-องคต
นกชฏายู-นกสดายุ
นกสัมปาติ-นกสัมพาที
เมืองอโยยา-เมืองอยุธยา
*เขาสัญชีวนี-เขาสรรพยา
เมืองกีษกินธะ-เมืองขีดขินธ์
เมืองลังกา-เมืองลงกา

นึกออก เดี๋ยวมาเพิ่มต่อ

*ฤๅษีกไลโกฏ ในรามเกียรติ์บอกว่าพ่อคือฤๅษีอิสีสิงค์ ความจริงคือ อิสีสิงห์ คือภาษาบาลี คำว่า ฤษยศฤงคะ เป็นภาษาสันสกฤต ในรามายณะคือองค์เดียวกัน

*ฤๅษีสวามิตร แต่ก่อนเป็นกษัตริย์ และไม่ถูกกับฤๅษีวสิษฐ์ แล้วฤๅษีวสิษฐ์เป็นพรหมฤๅษี มีเรื่องวิวาทกัน แล้วท้าวสวามิตรแพ้ เลยบำเพ็ญตบะ ก็เป็นมุนี แล้วไม่พอใจ ก็บำเพ็ญจนได้เป็นมหาฤๅษี และไม่พอใจ ก็บำเพ็ญต่อไปจนได้เป็นพรหมฤๅษี และขอให้คืนดีกับฤๅษีวสิษฐ์ และทำความเคารพเพราะมีอายุมากกว่า
และฤๅษีสวามิตรมีฤทธิ์มาก และให้ท้าวตรีศังกุที่อยากขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ไปขอให้ลูกวสิษฐ์100คนทำพิธีให้ แต่ลูก100คนไม่ทำให้ ท้าวตรีศังกุปากดีไง พวกนั้นเลยสาปให้เป็นจัณฑาล พวกอำมาตย์ มนตรี ไปหมดเลย และไปหาฤๅษีสวามิตร ซึ่งตอนนั้นแกเป็นราชฤๅษี แต่แกใจดีทำให้ แกเลยจัดปะรำพิธี และให้ท้าวตรีศังกุเชิญพราหมณ์คนอื่นๆมา ใครมีปัญหา เรื่องมาก ไปบอกได้เลย พราหมณ์อื่นกลัวมาก เลยจำใจมา ยกเว้นลูกวสิษฐ์100คนที่ไม่มี ฤๅษีสวามิตรเลยสาปให้ลูก100ตาย และเกิดเป็นจัณฑาล700ชาติ(คิดว่าไม่ตายหรอก ฤๅษีวสิษฐ์คงหาทางช่วย) และฤๅษีสวามิตรทำพิธี จนท้าวตรีสังกุลอยขึ้นสวรรค์ พวกพระอินทร์เทวดาเห็นท้าวตรีศังกุลอย เลยไล่ให้ลงไป ท้าวตรีศังกุก็ร่วงลงไป และร้องเรียกฤๅษีสวามิตร ฤๅษีเลยให้ท้าวตรีศังกุลอยขึ้นไปใหม่ และลอยค้างอยู่อย่างงั้น และแกเห็นว่าพวกเทวดาและพระอินทร์ลองดีกับแก แกเลยสร้างดาวใต้(ดาวเหนือ คือดาวหมีใหญ่) แกสร้างดาวสัปตฤๅษีอีก7ดวง และสร้างดาวดวงอื่นๆทางทิศใต้ และจะสร้างพระอินทร์ เทพ อสูร เพิ่มขึ้นอีก พวกเทวดาและพระอินทร์ขอร้องว่าอย่าทำ แกบอกว่าให้รับท้าวตรีศังกุขึ้นสวรรค์ และให้ดาวที่สร้างใหม่อยู่บนฟ้า เทพตกลง แต่ท้าวตรีศังกุให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้เพราะเปนจัณฑาล เลยให้อยู่บนฟ้า ท่ามกลางดาวที่สร้างใหม่...อ่านในพระราชนิพนธ์ บ่อเกิดรามเกียรติ์

*ลัสเตียน มาจาก เปาลัสตยัน แปลว่า เกิดจาก ปุลัสตยะ

*ในรามายณะ ชาวพูวราช ชมพูพาน คือตัวเดียวกัน และชมพูพานคือหมี เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยา

*ในรามายณะบอกว่าพระลักษมณ์ถูกหอกวิเศษ ชมพูพานบอกว่าต้องสมุนไพร4ตัว จากเขาโทฺรณคีรี บางทีเรียกว่า เขามโหทัย หรือเขาสัญชีวนี
สมุนไพร4ตัว คือ วิศัลยกรณี สวรรณกรณี สัญชีวกรณี(สัญชีวนี) และ สันธยนี แต่หนุมานไปหา สมุนไพรมันวิ่งหนี หนุมานเลยยกมาทั้งภูเขา พวกที่โดนอาวุธได้กลิ่นยาเลยฟื้น แต่ในรามเกียรติ์บอกว่าไปเขาสรรพยา เอาสมุนไพร2ตัวชื่อ สังกรณี และ ตรีชวา
#36
 









คนพม่าเรียกว่า Thuyathadi ถือเป็น"นัต"องค์นึง ที่นอกเหนือจากนัก37ตน ซึ่งนัตองค์แรกคือ"พระอินทร์"

Thuyathadi คนพม่าเชื่อว่าเป็นเทพีแห่งการศึกษาเล่าเรียก เทพีแห่งความรู้

ก็คือพระแม่สรัสวดีนั่นเอง คนไทยเรียกว่า สุรัสวดี
#37
ฤๅษีที่คนไทยนับถือ ที่ผมนึกออกก็มี...

ฤๅษีกไลโกฏ-มาจากภาษาทมิฬคือ kalaikkottu หรือ kalaikottu
ภาษาสันสกฤตคือฤๅษี"ฤษยศฤงคะ" เป็นรูปหัวโขนฤๅษี มีหัวเป็นกวางมีเขา หรือบางครั้งทำเป็นรูปหน้าฤๅษีมี1เขาบนหน้าผาก  คือฤๅษีที่ทำพิธีขอบุตรให้ท้าวทศรถเพื่อให้เมีย3คนมีลูก นางเกาสุริยา(เกาศัลยา) ไกยเกษี(ไกเกยี) สุมิตรา(สมุทรเทวี)

ฤๅษีโคบุตร-พระอาจารย์ทศกัณฐ์ ไม่แน่ใจว่ารามายณะเรียกอะไร
แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายยักษ์มี"ศุกราจารย์"เป็นอาจารย์ ชื่อฤๅษีโคบุตร ผมไม่ทราบครับ

ฤๅษีตาไฟ-ฤๅษีกบิล ที่ปรากฎในเรื่องอัญเชิญพระแม่คงคาลงมาโลกมนุษย์ ที่นั่งสมาธิแล้วเจอเจ้าชายกลุ่มนึงตามหาม้าอัศวเมธแล้วเห็นฤๅษีกบิลนั่งสมาธิ พวกเจ้าชายเลยพูดจาแหย่จนท่านโมโหลืมตามองพวกเจ้าชาย แล้วร่างเจ้าชายพวกนั้นกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

ฤๅษีนารอด-นารทมุนี ที่ชอบพูดว่า นาร๊าย นารายณ์

ฤๅษีอังคต-พระอคัสตยะมุนี ในเรื่องรามายณะ ในรามเกียรติ์เรียกว่า"อังคท"

ฤๅษีโคดม-ฤๅษีเคาตมะ หรือโคตมะ ในเรื่องรามายณะ ที่สาปนางอหลยาเป็นขี้เถ้า จนพระรามมาแก้คำสาปให้

ฤๅษีพ่อแก่-ภรตมุนี ผู้เขียนตำรานาฏยศาสตร์


พอนึกชื่ออื่นๆออกไหมครับ ลองมาแชร์กันหน่อย


พอนึกฤๅษีตนอื่นๆออกไหมคับ ที่คนไทยนับถือกับ
จะได้ลองมาเทียบชื่อในวรรณคดีดู
#38



ท้าวอิราวัต เป็นลูกของอรชุน กับนางนาคอุลูปี

ทำไมสาวประเภทสองในอินเดียนับถือ ขอบคุณครับ
#39
สวัสดีคับ ผมตั้ม