Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - phorn456

#1
                      พุทธประวัติสังเขป   

                      ข้อความเบื้องต้น
      การศึกษาพุทธประวัติ  คือการเรียนรู้ความเป็นไปของพระพุทธ-
เจ้า  ย่อมเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก  สำหรับพุทธศาสนิกชน
เพราะพระพุทธประวัติเป็นเรื่องที่แสดงพระพุทธจรรยาของพระพุทธเจ้า
ให้ปรากฏ  ทั้งเป็นส่วนอัตตสมบัติและสัตตูปการสัมปทา  เป็นสิ่งสำคัญ
ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  เท่ากับพงศาวดารย่อมเป็นสิ่ง
สำคัญของชาติคน  ที่จะให้รู้ได้ว่าชาติใดได้เป็นมาแล้วอย่างไร  เพราะ
พระองค์ทรงเป็นเยี่ยงอย่างอันดี   ทั้งอุบายวิธีและระเบียบดำเนินการ
ในส่วนที่ทรงทำแก่พระองค์เองและแก่ผู้อื่น  ผู้ที่ได้ศึกษาก็จะได้เห็น
ตัวอย่างที่ดี เป็นเหตุให้ทำชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์  ปรับปรุงความ
ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามคลองธรรม  เป็นเครื่องนำมาซึ่งชั้นต่ำ ๆ
กลาง  ๆ  ไปก่อน  กล่าวคือเรียนรู้แล้วให้รู้จักหยิบยกน้อมนำเอามาใช้
ในกิจการทางโลก  จะเป็นส่วนพระวิริยะหรือพระขันติก็ตาม  ก็คงจะได้
ประโยชนมาก  ยิ่งได้ศึกษาให้ละเอียดก็จะยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระพุทธคุณ
มากขึ้น  ศรัทธา  ปสาทะ  ความเชื่อความเลื่อมใสก็เจริญมากขึ้น  เท่ากับ
ระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ได้ทำประโยชน์ไว้แก่วงศ์ตระกูล  และประเทศชาติ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 2
ของตน ๆ  แล้วจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านั้นมีบุญมีคุณแก่ตนอย่างไร  แล้ว 
จะได้มีแก่ใจบำเพ็ญความดีเจริญรอยตาม.
      รวมความแล้วการเรียนรู้พุทธประวัติ  ย่อมได้คติ  ๓  ทาง  คือ :-
      ๑.  ทางตำนาน  ให้สำเร็จผลคือทราบเรื่องของพระพุทธเจ้าว่า
          เป็นมาอย่างไร.
      ๒.  ทางอภินิหาร   ให้สำเร็จผลคือได้เห็นวิธีการเผยแผ่พระ
          พุทธศาสนา   ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
          และผู้ที่หนักในทางอภินิหาร   ก็จะได้ศรัทธาปสาทะในพระ
          พุทธานุภาพยิ่งขึ้น.
      ๓.  ทางธรรม  ให้สำเร็จผลคือ  ได้หยั่งทราบข้อปฏิบัติและเหตุ
          ผลที่เป็นจริงโดยละเอียดแล้วปฏิบัติถูกต้อง.
      ฉะนั้น  พุทธศาสนิกชน  นักเรียน  นักศึกษา  ควรกำหนดจดจำไว้
โดยสังเขป  ดังต่อไปนี้ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 3
                            ปุริมกาล   
                           ปริเฉทที่  ๑
                      ชมพูทวีปและประชาชน
      ๑.  ดินแดนที่เรียกว่า  ชมพูทวีป  ได้แก่ประเทศอินเดีย  (สมัยก่อน)
         อยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย.
      ๒.  ชมพูทวีปมีชน  ๒  ชาติ  อาศัยอยู่ต่างวาระกัน  คือ :-
             (๑)  ชาติมิลักขะ  อาศัยอยู่ก่อน.
          (๒)  ชาติอริยกะ   ยกพวกข้ามภูเขาหิมาลัยมารุกไล่เจ้าของถิ่น
                เดิม  แล้วอาศัยอยู่ทีหลัง.
      ๓.  ชมพูทวีปแบ่งออกเป็น  ๒  ส่วนใหญ่ ๆ  คือ :-
          (๑)  มัชฌิมชนบท  หรือมัธยมประเทศ  (ส่วนกลาง)  เป็น
               ที่อยู่ของพวกอริยกะ.
          (๒)  ปัจจันตชนบท  หรือปัจจันตประเทศ  (ส่วนปลายแดน)
                เป็นที่อยู่ของพวกมิลักขะ.
      ๔.  อาณาเขตของมัชฌิมชนบทนั้น มีปรากฏในพระบาลีจัมมขันธกะ
          ในมหาวรรคแห่งพระวินัย  ดังนี้  :-
          (๑)  ทิศบูรพา     จด  มหาศาลนคร  (ปัจจุบันคือเมืองเบงคอล).
          (๒)   "  อาคเนย์   "    แม่น้ำสัลลวตี.
          (๓)   "  ทักษิณ          "    เสตกัณณิกนิคม  (ปัจจุบันคือแคว้นเดกกัน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 4
          (๔)  ทิศปัศจิม  จด  ถูนคาม  (ปัจจุบันคือเมืองบอมเบย์).
          (๕)   "   อุดร      "   ภูเขาอุสีรธชะ (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล).
      ๕.  มัชฌิมชนบทนั้น  เป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์  เป็นที่ตั้งนครใหญ่ ๆ
          เป็นศูนย์กลางการปกครอง  และเป็นที่ประชุมนักปราชญ์คณาจารย์ 
          เจ้าลัทธิต่าง  ๆ
      ๖.  ชมพูทวีปตามในอุโบสถสูตร   ติกนิบาตอังคุตตรนิกาย  แบ่งเป็น
         ๑๖  แคว้นใหญ่  คือ  :-
                อังคะ  มคธะ  กาสี  โกสละ  วัชชี  มัลละ  เจตี  วังสะ  กุรุ
                ปัญจาละ  มัจฉะ  สุรเสนะ   อัสสกะ  อวันตี  คันธาระ  กัมโพชะ.
และระบุไว้ในสูตรอื่นอีก  ๔  แคว้น  คือ :-
                สักกะ  โกลิยะ ภัคคะ  วิเทหะ  อังคุตตราปะ.
      ๗.  การปกครองของแคว้นเหล่านี้ต่าง ๆ  กัน  คือ :-
          (๑)  มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นมหาราชบ้าง.
          (๒)  มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นเพียงราชาบ้าง.      
          (๓)  มีผู้ปกครองเป็นเพียงอธิบดีบ้าง.
          (๔)  ใช้อำนาจโดยสิทธิขาดบ้าง.
          (๕)  ใช้อำนาจโดยสามัคคีธรรมบ้าง.
          (๖)  บางคราวเป็นรัฐอิสระ
          (๗)  บางคราวเป็นรัฐเสียอิสระ.
      ๘.  ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๔  วรรณะ  (พวก)  คือ :-
          (๑)  กษัตริย์  จำพวกเจ้ามีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 5
          (๒)  พราหมณ์   จำพวกเล่าเรียนมีหน้าที่ฝึกสอนและทำพิธี.
          (๓)  แพศย์        จำพวกพลเรือนมีหน้าที่ประกอบอาชีพ  เช่นทำ
                            นา  ค้าขาย.      
          (๔)  ศูทร            จำพวกคนงานมีหน้าที่รับจ้าง.
      ๙.  ชนทั้ง  ๔  จำพวกเหล่านี้  พวกที่  ๑-๒  จัดเป็นชั้นสูง  ที่  ๓  เป็น 
          ชั้นสามัญ  ที่  ๔  เป็นชั้นต่ำ  พวกสูงถือตัวจัด  ไม่ยอมร่วมกิน
          ร่วมนอนกับพวกต่ำ  หากบังเกิดมีร่วมกัน  ลูกที่ออกมาจัดเป็นอีก
          จำพวกหนึ่งเรียกว่า  จัณฑาล  ถือว่าเลวมาก.
      ๑๐.  การศึกษาของคนในสมัยนั้นก็เป็นไปตามวรรณะนั้น  ๆ  คือ  มีหน้าที่
          อย่างไร  ก็ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่นั้น.
      ๑๑.  คนในสมัยนั้นสนใจวิชาธรรมมาก   จึงมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน
         ต่าง ๆ  เช่น :-

          (๑)  เกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏ  ๒  พวกใหญ่ ๆ             ๑.  เห็นว่าตายแล้วเกิด.
                                                          ๒.  เห็นว่าตายแล้วสูญ.
          (๒)  เกี่ยวกับเรื่องสุขทุกข์  ๒  พวกใหญ่  ๆ          ๑.  สุขทุกข์เกิดจากเหตุ-
                                                          ๒.  สุขทุกข์ไม่เกิดจากเหตุ.
      ๑๒.  คนในสมัยนั้นทั้ง  ๔  วรรณะ   ก่อนแต่พระพุทธเจ้าอุบัติก็ได้ถือ
          ศาสนาพราหมณ์  ถือว่าโลกธาตุทั้งปวงมีเทวดาสร้าง   จึงพากัน
          เช่นสรวงด้วยการบูชายัญและประพฤติตบะทรมานร่างกายต่าง ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 6
                        ปริเฉทที่  ๒   
             สักกชนบท  และศากยวงศ์  โกลิยวงศ์
      ๑.  ตำนานสักกชนบทมีเรื่องย่อว่า  พระเจ้าโอกากราชในพระ-
นครหนึ่งมีพระราชบุตร  ๔ ราชบุตรี  ๕  พระองค์  ครั้นพระมเหสีทิวงคต
แล้ว  ได้พระมเหสีใหม่ได้มีพระโอรสอีก  ๑  พระองค์  พระราชทาน
ราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์เล็กนั้น  โปรดให้พระราชบุตร  และ
พระราชบุตรีทั้ง ๙  ไปสร้างพระนครใหม่ในดงไม้สักกะ  จึงได้ชื่อว่า
สักกชนบท  และดงไม้สักกะนั้นเป็นที่อยู่ของพวกกบิลดาบส  จึงได้
ตั้งชื่อนครใหม่นั้นว่า  กบิลพัสดุ์.
      ๒.  พระราชบุตร  พระราชบุตรี  ๘  พระองค์  สมสู่กันเอง
ในนครกบิลพัสดุ์  จัดเป็นต้นวงศ์ศากยะ.
      ๓.  พระเชฏฐภคินีได้เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงเทวทหะ  จัด
เป็นต้นวงศ์โกลิยะ.
      ๔.  ศากยวงศ์  กับ  โกลิยวงศ์  สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับ  เท่าที่
ปรากฏอยู่  มีดังนี้ :-
          ศากยวงศ์                        โกลิยวงศ์
       พระเจ้าชยเสนะ                  ไม่ปรากฏพระนาม
มีพระราชบุตร  และพระราชบุตรี      พระเจ้าในโกลิยวงศ์   ไม่ปรากฏ
รวม  ๒  พระองค์  คือ :-                พระนาม  มีพระราชบุตร  และ
      (๑)  พระเจ้าสีหหนุ                พระราชบุตรี  ๒  พระองค์  คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 7
      (๒)  พระนางเจ้ายโสธรา                (๑)  พระเจ้าอัญชนะ
                                        (๒)  พระนางเจ้ากัญจนา

พระเจ้าสีหหนุกับพระนางเจ้ากัญ-      พระเจ้าอัญชนะ  กับ  พระนางเจ้า   
จนามีพระราชบุตรและพระราช-      ยโสธรา  มีพระราชบุตรและพระ
บุตรี  รวม  ๗  พระองค์  คือ :-          ราชบุตรี  รวม  ๔  พระองค์  คือ :-
      (๑)  พระเจ้าสุทโธทนะ                (๑)  พระเจ้าสุปปพุทธะ
      (๒)  เจ้าชายสุกโกทนะ                (๒)  เจ้าชายฑัณฑปาณิ
      (๓)     "       อมิโตทนะ          (๓)  พระนางเจ้ามายาเทวี
      (๔)     "    โธโตทนะ                (๔)  พระนางเจ้าปชาบดี
      (๕)     "    ฆนิโตทนะ                (โคตมี)
      (๖)  เจ้าหญิงปมิตา
      (๗)  พระนางเจ้าอมิตา

๑.  พระเจ้าสุทโธทนะ  มีพระราช-      พระเจ้าสุปปพุทธะ  กับ  พระนาง
บุตร และพระราชบุตรี ๓ พระองค์      เจ้าอมิตา  มีพระราชบุตร  และ
ประสูติแต่พระนางเจ้ามายาเทวี ๑      พระราชบุตรี  ๒  พระองค์  คือ:-
พระองค์  คือ:-                              (๑)  พระเทวทัต
      (๑)  พระสิทธัตถกุมาร                (๒)  พระนางพิมพา  หรือ
และประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดี                ยโสธรา
อีก  ๒  พระองค์  คือ :-
      (๑)  พระนันทะ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 8
      (๒)  พระนางรูปนันทา 
๒.  สุกโกทนะ  กับนางกีสาโคตมี
    มีพระโอรส  ๑  พระองค์  คือ
    (๑)  พระอานนท์
๓.  อมิโตทนะมีพระราชบุตร  และ
    พระราชบุตรี  ๓  พระองค์  คือ
    (๑)  พระเจ้ามหานามะ
    (๒)  พระอนุรุทธะ
    (๓)  พระนางโรหิณี

๑.  พระสิทธัตถะกับพระนางพิมพา
    มีพระโอรส  ๑  พระองค์  คือ
    พระราหุล
๒.  พระเจ้ามหานามะ  กับนางทาสี
    มีพระธิดา  ๑  พระองค์  คือ
    พระนางวาสภขัตติยา

    พระนางวาสภขัตติยาได้เป็น
    พระอัครมเหสี  ของพระเจ้า
    ปเสนทิโกศลได้พระโอรส  ชื่อ
       "พระเจ้าวิฑูฑภะ"
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 9
                            ปริเฉทที่  ๓   
                         พระศาสดาประสูติ
      ๑.  พระพุทธเจ้าของเราเป็นชนชาวชมพูทวีป หรือ  ชาวเนปาล  เชื้อ
          ชาติอริยกะ แปลว่า  ชาติที่เจริญ  คือเจริญด้วยความรู้ขนบ
          ธรรมเนียม  ศีลธรรมและฤทธิ์อำนาจ.
      ๒.  พระองค์  เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ  และ  พระนาง-
          เจ้ามายาเทวี.
      ๓.  พระองค์มีพระเจ้าสีหหนุเป็นพระเจ้าปู่  มีพระนางเจ้ากัญจนาเป็น
          พระเจ้าย่า  มีพระเจ้าอัญชนะเป็นพระเจ้าตา  มีพระนางเจ้ายโสธรา
          เป็นพระเจ้ายาย.
      ๔.  พระองค์  ไม่มีพี่น้องร่วมท้องมารดากันเลย  แต่มีน้องต่างมารดา
          กัน  ๒  พระองค์  คือ  พระนันทกุมาร  ๑  พระรูปนันทากุมารี ๑
          ซึ่งประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดีโคตมี.
      ๕.  พระศาสดา  ได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา  เมื่อเวลาใกล้
          รุ่ง  วันพฤหัสบดี  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๘  ปีระกา  บังเกิดแผ่นดิน
          ไหว  (เหตุแผ่นดินหวั่นไหว  ๘  ประการ  คือ (๑)  ลมกำเริบ
          (๒)  ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล  (๓)  พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์
          มารดา  (๔)  พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์  (๕)  พระโพธิ-
          สัตว์ตรัสรู้  (๖)  พระพุทธเจ้ายังธรรมจักรให้เป็นไป  (๗)  พระ
          พุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร  (๘)  พระพุทธเจ้าปรินิพพาน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 10
      ๖.  พระองค์  ประสูติจากพระครรภ์มารดา  เมื่อเวลาสายใกล้เที่ยง 
          วันศุกร์  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน ๖  ปีจอ  ก่อนแต่  พ.ศ.  ไป  ๘๐  ปี.
      ๗.  พระองค์ประสูติที่  ใต้ร่มไม้สาละในลุมพินีวัน  ซึ่งตั้งอยู่ริมเขต
          เมืองกลิบพัสดุ์  และริมเขตเมืองเทวทหะต่อกัน  (ตำบลรุมมินเด
          แขวงเปชวาร์  ประเทศเนปาล).
      ๘.  พอประสูติแล้ว  พระมารดาและพระญาติพากลับมประทับอยู่ใน
          พระราชวัง  เมืองกบิลพัสดุ์  ตามพระดำรัสพระราชบิดา.
      ๙.  มี  อสิตดาบส  (กาฬเทวิลดาบส)   เข้ามาเยี่ยมถึงในพระราชวัง
          เห็นลักษณะแห่งพระราชกุมาร  จึงทำนายว่ามีคติเป็น  ๒  คือ :-
          (๑)  ถ้าไม่บวชจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีอำนาจมาก.
          (๒)  ถ้าบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้สอนดีที่ ๑  ในโลก  (ศาสดาเอก)
      ๑๐.  ประสูติแล้ว  ๕  วัน  พราหมณ์  ๑๐๘  คน  มารับประทานอาหาร
          กันแล้ว  จึงขนานพระนามให้แก่พระกุมารว่า  สิทธัตถะ  แปลว่า
         ผู้มีความต้องการสำเร็จ.
      ๑๑.  ประสูติแล้วต่อมา  ๗  วัน  พระมารดาสิ้นพระชนม์  ได้รับการ
          ชุบเลี้ยงจากพระนางเจ้าปชาบดีต่อมา.
      ๑๒.  เจริญวัยขึ้นราว  ๗  ขวบ  พระบิดาให้คนขุดสระปลูกบัวไว้  ๓  สระ
          สำหรับให้พระกุมารทรงเล่นสำราญ  และทรงนำพระกุมารไปให้
          ศึกษาศิลปวิทยา  ในสำนักครูชื่อ  วิศวามิตร  พระกุมารเรียนได้
         จบความรู้ของครูโดยไม่ช้าเหมอนเด็กอื่น ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 11
      ๑๓.  พระชนมายุ  ๑๖  ปี  พระบิดาให้คนสร้างปราสาทขึ้น  ๓  หลัง  แล้ว
               ให้พระสิทธัตถะราชโอราสอภิเษก (แต่งงาน)  กับพระนางพิมพา
          ให้อยู่ในปราสาททั้ง  ๓  หลังนั้น  ตามฤดูหนาว  ฤดูร้อน  ฤดูฝน
          เป็นลำดับ   
      ๑๔.  พระชนมายุ  ๒๙  ปี  ได้พระโอรส  ๑  พระองค์  ทรงพระนามว่า
          ราหุล   แปลว่า  บ่วง  หรือห่วง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 12
                        ปริเฉทที่  ๔   
                     เสด็จออกบรรพชา
๑.  พระองค์เสด็จออกทรงผนวชในปีที่มีพระชนมายุ  ๒๙  ปีนั้นเอง.
๒.  มูลเหตุที่พระองค์ออกผนวช  ในอรรถกถามหาปทานสูตร  กล่าวว่า
    ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต  ๔  คือ   คนแก่  คนเจ็บ    คนตาย
    และสมณะ  อันเทวดาแสร้งนิมิตไว้ในระหว่างทาง.  และใน
    ปาสราสิสูตรมัชฌิมนิกายแสดงว่า  ทรงปรารภความแก่  เจ็บ  ตาย
    อันครอบงำทุกคน  ไม่ล่วงพ้นไปได้  แล้วจึงทรงดำริว่า  เราควร
    แสวงหาเครื่องแก้ความแก่  เป็นต้น  แต่ถ้าอยู่ในพระราชวัง  โดย
    ไม่บวช  ก็คงมีแต่เรื่องเศร้าหมองมัวเมา  จึงตกลงพระทัยออกผนวช.
๓.  พระองค์หนีออกผนวชตอนกลางคืน  ทรงม้าชื่อ  กัณฐกะ  ออกไป
    มีนายฉันนะตามเสด็จไปด้วย   เพื่อนำม้ากลับ  นี้กล่าวตามพระอรรถ-
    กถาจารย์.  ส่วนพระมัชฌมภาณกาจารย์กล่าวว่า  เสด็จออกซึ่งหน้า
    อีกนัยหนึ่งว่า  เสด็จออกสรงน้ำในชลาลัยศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เสด็จกลับ.
๔.  พระองค์ทรงผนวชที่ฝั่ง  แม่น้ำอโนมา   ป่าอนุปิยอัมพวัน  แขวง
    มัลลชนบท.
๕.  ผ้ากาสายะและบาตร   พระอรรถกถาจารย์ว่า  ฆฏิการพรหม   นำมา
    ถวาย.  สมเด็จ ฯ  ทรงสันนิษฐานว่า  น่าจะทรงได้ในสำนักบรรพชิต
    ผู้ได้สมาบัติ----หรือได้มาด้วยการตระเตรียม.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 13
                           ประเฉทที่  ๕   
                              ตรัสรู้
๑.  ทรงบรรพชาแล้วประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน  ๗  วันแล้ว  เสด็จผ่าน
    กรุงราชคฤห์  พระเจ้าพิมพิสาร  พระเจ้าแผ่นดินมคธ  ครั้งยัง
    เป็นพระราชกุมาร   ตรัสชวนให้อยู่จะพระราชทานอิสริยยศยกย่อง
    พระองค์ไม่ทรงรับ  และแสดงว่า  มุ่งจะแสวงหาพระสัมมาสัม-
    โพธิญาณ.
๒.  พระเจ้าพิมพิสารขอปฏิญญาว่า  ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาโปรด.
๓.  ได้ไปศึกษาอยู่ในสำนักอาจารย์ทั้ง  ๒  คือ :-
          (๑)  อาฬารดาบส  กาลามโคตร  (ได้สมาบัติ ๗).
          (๒)  อุทกดาบส  ราวบุตร  (ได้สมาบัติ  ๘).
      เรียนจบความรู้ของอาจารย์ได้สมาบัติ  ๘  คือ :-
          (ก)  รูปฌาน  ๔  มี      ปฐมฌาน
                              ทุติยฌาน
                              ตติยฌาน
                              จตุตถฌาน
          (ข)  อรูปฌาน ๔ มี      อากาสานัญจายนะ
                              วิญญาณัญจายตนะ
                              อากิญจัญญาตนะ
                              เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 14
๔.  เสด็จออกจากสำนักอาจารย์  ไปทำความเพียร  เพื่อจะได้ตรัสรู้อยู่ที่ 
    ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  ด้วยทุกรกิริยา ๓  อย่าง  คือ :-
          (๑)  กดฟันกับฟัน  กดลิ้นกับเพดาน.
          (๒)  กลั้นลมหายใจ.
          (๓)  อดอาหาร.
    จนพระรูปผอมมาก  ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เลย.
๕.  อุปมา  ๓  ข้อ  ปรากฏแก่พระองค์ว่า :-
          (๑)  ผู้มีกายและจิตยังไม่ออกจากกาม  ตรัสรู้ไม่ได้  เปรียบ
                 เหมือนไม้สดแช่น้ำ  สีไม่ติดไฟ.
          (๒)  ผู้มีกายออกแล้ว  แต่จิตยังไม่ออกจากกาม  ตรัสรู้ไม่ได้
                เหมือนไม้สดตั้งบนบก  สีไม่ติดไฟ.
          (๓)  ผู้มีกายและจิตออกจากกามแล้ว  ควรตรัสรู้ได้  เหมือน
                 ไม้แห้งตั้งบนบก  อาจสีให้เกิดไฟได้.
๖.  นับจากวันผนวชมาได้  ๖  ปี  พระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาส  ของ
    นางสุชาดา  รับหญ้าของ  นายโสตถิยะ  ลาดต่างบัลลังก์ที่โคนโพธิ์
    ประทับนั่งตั้งพระทัยอธิษฐานว่า    ยังไม่บรรลุโพธิญาณเพียงใด
    จักไม่ลุกขึ้นเพียงนั้น  เนื้อเลือดแห่งไปเหลือหนังหุ้มกระดูกก็ตาม.
๗.  ขณะนั้นมารคือกิเลสเกิดขึ้นในพระทัย  พระองค์ทรงผจญมารด้วย
    พระบารมี  ๑๐  ทัศ  คือ  ๑.  ทาน  ๒.  ศีล  ๓.  เนกขัมมะ  ๔.  ปัญญา
    ๕.  วิริยะ  ๖.  ขันติ  ๗.  สัจจะ   ๘.  อธิษฐาน  ๙.  เมตตา  ๑๐.  อุเบกขา
    ชนะแล้ว  บรรลุญาณ  ๓  คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 15
          (๑)  บุพเพนิวาสานุสติญาณ.   
          (๒)  ทิพพจักขุญาณ.      
          (๓)  อาสวักขยญาณ.
      ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เมื่อวันพุธ  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖
      ก่อนแต่  พ. ศ.  ๔๕  ปี  ที่ต้นไม้โพธิ  (อัสสัตถพฤกษ์)  ฝั่งแม่น้ำ
      เนรัญชรา.
๘.  คำว่า  ตรัสรู้  นั้นคือรู้ของจริง ๔  อย่าง  คือ :-
          (๑)  รู้ทุกข์  คือ  ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ.
          (๒)  รู้เหตุเกิดทุกข์  คือ  ความอยาก.
          (๓)  รู้ความดับทุกข์  คือ  หมดความอยาก.
          (๔)  รู้มรรค  คือ  ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
๙.  ชื่อเดิมของพระองค์ว่า  สิทธัตถะ  แต่พอตรัสรู้ของจริงทั้ง ๔  นี้
    แล้ว   จึงได้พระนามว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แปลว่า  ผู้ตรัสรู้
    ดีถูกต้องด้วยตนเอง.
๑๐.  ครูวิศวามิตรก็ดี    อาฬารดาบส  และอุทกดาบสก็ดี   ไม่ได้สอน
         ของจริงทั้ง  ๔  อย่างนี้เลย  ของจริงนี้  พระองค์ตรัสรู้เอาเอง
      เพราะฉะนั้น  จึงได้พระนามว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 16
                      ปฐมโพธิกาล   
                      ปริเฉทที่  ๖
                ปฐมเทศนา  และ ปฐมสาวก
๑.  ครั้นตรัสรู้แล้ว  ได้ประทับในที่   ๗  แห่ง ๆ  ละ  ๗  วัน  คือ :-
      (๑)  ที่  ต้นโพธิ  (อัสสัตถพฤกษ์)  เป็นสถานที่ตรัสรู้นั้นเอง
เสวยวิมุตติสุข  พิจารณาปฏิจจสมุปบาท,  เปล่งอุทาน  ๓  ข้อใน
๓  ยามแห่งราตรี.
      (๒)  ที่  ต้นไทร  (อชปาลนิโครธ)  อยู่ทิศตะวันออกของ
ต้นโพธิ  เสวยวิมุตติสุข,  มีพราหมณ์  หุหุกชาติ   มาทูลถามถึง
พราหมณ์  และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์.
      (๓)  ที่  ต้นจิก  (มุจจลินท์)  อยู่ทิศอาคเนย์ของต้นโพธิ
เสวยวิมุตติสุข,  เปล่งอุทานว่า  ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรม
ได้สดับแล้วเป็นต้น,   มีฝนตกพรำ,   มีพระยานาคชื่อมุจจลินท์
เข้ามาวงด้วยขนด  ๗  รอบ  แผ่พันพานปกพระองค์.
      (๔)  ที่  ต้นเกต  (ราชายตนะ)  อยู่ทิศทักษิณของต้นโพธิ
ได้มีนายพาณิช  คือ  ตปุสสะ  ๑  ภัลลิกะ  ๑  ถวายข้าวสัตตุก้อน
สัตตุผง  แก่พระพุทธองค์  เป็นปฐมบิณฑบาตหลังจากตรัสรู้แล้ว
แสดงตนเป็นอุบาสก  ถึงพระพุทธ  กับพระธรรม  ก่อนใคร  ๆ  ใน
โลก  (เทฺววาจิกอุปาสก).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 17
           (๕)  ที่อนิมมิสเจดีย์  อยู่ทางทิศอีสานของต้นโพธิ  เสด็จ
      ยืนจ้องดูต้นมหาโพธิ  ไม่กระพริบพระเนตร.   
          (๖)  ที่รัตนจงกรม  อยู่ระหว่างต้นโพธิ  กับ อนิมมิสเจดีย์
      เสด็จจงกรมในที่ซึ่งนิรมิตขึ้น.
          (๗)  ที่เรือนแก้ว  อยู่ทางทิศปัจฉิมพายัพของต้นโพธิ
      ทรงพิจารณาอภิธัมมปิฎกในเรือนแก้ว  ซึ่งเทวดานิรมิตขึ้น.
๒.  บาลีมหาวรรคว่ามีเพียง  ๔  แห่ง  อรรถกถาสามนต์  เติมอีก  ๓  แห่ง
    เรียงลำดับดังนี้  ๑.  โพธิ   ๒.  อนิมมิส   ๓.  จงกรม   ๔.  เรือนแก้ว
    ๕.  ไทร   ๖.  จิก   ๗.  เกต.
๓.  เสด็จจากไม้เกตลับไปร่มไม้ไทรอีก   ทรงพิจารณาเห็นว่า
    ธรรมนี้ลึกซึ้ง  ยากที่ผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้  แต่ผู้มีกิเลสน้อย
    อาจรู้ได้  เพราะความทั้งหลาย  เปรียบด้วยดอกบัว ๔  เหล่า  คือ :-
          (๑)  ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าอาจรู้ธรรมได้ฉับพลัน   เปรียบ
                เหมือนดอกบัวจักบานวันนี้.
          (๒)  ผู้มีอินทรีย์ปานกลาง   เปรียบเหมือนดอกบัวจักบาน
                วันพรุ่งนี้.
          (๓)  ผู้มีอินทรีย์อ่อน   เปรียบเหมือนดอกบัวจักบานในวัน
                ต่อไป.
          (๔)  คนอาภัพ  กิเลสหนาแน่นไม่อาจรู้ธรรมเลย   เปรียบ
                เหมือนดอกบัวที่เป็นเหยื่อของปลาและเต่า.      
          จึงทรงตั้งพระหฤทัยเพื่อแสดงธรรม  และตั้งปณิธานเพื่อดำรง
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 18
      พระชนม์อยู่จนพระศาสนาแพร่หลายถาวร.   
๔.  ขึ้น  ๑๔  ค่ำ  เดือน  ๘  เสด็จไปพาราณสี  เจออุปกาชีวก  ระหว่าง
      แม่น้ำคยากับพระมหาโพธิ์ต่อกัน  อุปกาชีวกทูลถามถึงศาสดา  พระ
      องค์ตรัสตอบว่า  พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้เอง  ไม่มีใครเป็นครูสอน.
      อุปกาชีวกไม่เชื่อสั่นศีรษะแล้วหลีกไป  พระองค์เสด็จไปป่าอิสิปตน-
      มฤคทายวัน.
๕.  วันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๘  ปีที่ตรัสรู้นั้นเอง   ได้ทรงแสดงธรรม
      ชื่อว่า  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  โปรดปัญจวัคคีย์  คือ  ฤษี  ๕  ตน
      คือ  โกณฑัญญะ  วัปปะ  ภัททิยะ  มหานามะ  อัสสชิ  ที่ป่าอิสิปตน-
      มฤคทายวัน  แขวงเมืองพาราณสี.
๖.  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  อันนับเป็นปฐมเทศนา  มีใจความเป็น
      ๕  ตอน  คือ  :-
          (๑)  ทรงชี้ทางผิด  (สุดโต่ง)  ๒  อย่าง  อันได้แก่ความ
                หมกมุ่นในกาม  และการทรมานตนให้ลำบาก  ว่า
                เป็นทางไม่ควรเสพ  แล้วทรงชี้ทางถูก  (มัชฌิมา
                ปฏิปทา   คืออริยมรรคมีองค์  ๘ )  ว่าเป็นทางแห่ง
                พระนิพพาน.
          (๒)  ทรงชี้ความจริงแท้  (อริยสัจ)  ๔  อย่าง  คือ  ทุกข์
                สมุทัย  นิโรธ  มรรค.
          (๓)  ทรงยืนยันว่าเป็นพระพุทธะ    เพราะทรงรู้จักตัว
                ความจริง  หน้าที่เกี่ยวกับความจริง  และได้ทรงทำ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 19
          กิจที่เกี่ยวกับความจริงเสร็จแล้ว.   
      (๔)  ทรงแสดงความพ้นวิเศษ  สุดชาติสิ้นภพ  อันเป็น
          ผลของการรู้เห็นความจริงแท้นั้น.
      (๕)  ผลของการแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  พระ-
          โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดมีความเกิด
          เป็นธรรมดา   สิ่งนั้นทั้งหมด  มีความดับเป็น
          ธรรมดา  (เป็นพระโสดาบัน).  แล้วขอบวชได้เป็น
          พระเอหิภิกขุสงฆ์  สาวกโสดาบัน  องค์แรกในโลก
          (ข้อนี้แหละเป็นมูลเหตุให้  พุทธศาสนิกชนทำ
          อาสฬหบูชาประจำปี).
๗.  อยู่มาถึงวันแรม  ๕  ค่ำ  เดือน  ๙  (เดือน  ๘  ของไทย)  ปีนั้น
      พระพุทธเจ้าแสดงธรรมชื่อ  อนัตตลักขณสูตร  มีใจความเป็น
      ๕  ตอน  คือ :-
          (๑)  ทรงแสดงว่าเบญจขันธ์มิใช่ตัวตน  เป็นไปเพื่อความ
                เจ็บป่วย  บังคับไม่ได้.
          (๒)  ทรงตั้งปัญหาให้พระปัญจวัคคีย์ตอบเป็นข้อ ๆ  จนได้
                ความแน่นอนว่า  เบญจขันธ์ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์   มี
                ความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ไม่ควรลงความเห็นว่า
                เบญจขันธ์เป็นของเรา  เราเป็นเบญจขันธ์  เบญจขันธ์
                เป็นตัวตนของเรา.
          (๓)  ทรงเน้นเป็นการเตือนให้เบญจวัคคีย์ลงความเห็น
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 20
                ด้วยปัญญาชอบตามเป็นจริงว่า  เบญจขันธ์ทั้งหมด   
                คือที่เป็นอดีต   อนาคต  ปัจจุบัน  ภายใน  ภายนอก
                หยาบ  ละเอียด  เลว  ประณีต  ไกลหรือใกล้ก็ตาม
                ไม่ใช่ของเรา  เราไม่เป็นเบญจขันธ์ ๆ  ไม่เป็นตัว
                ตนของเรา.
          (๔)       ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า  พระอริยสาวกเมื่อ
                ลงความเห็นอย่างนี้แล้ว  ย่อมเบื่อหน่ายในเบญจ-
                ขันธ์  เมื่อเบื่อหน่าย  ย่อมคลายกำหนัด  เพราะคลาย
                กำหนัด  จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น  สิ้นชาติ  จบ
                พรหมจรรย์  เสร็จกิจ.
          (๕)  ผลของการแสดงอนัตตลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์
                สำเร็จพระอรหัต.
๘.  ครั้งนั้นพระอรหันต์ในโลก  ๖  องค์  คือพระพุทธเจ้า  ๑  พระสาวก  ๕.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 21
                         ปริเฉทที่  ๗   
               ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา
๑.  พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมชื่อ  อนุปุพพีกถา  ๕  ข้อ  คือ:- 
          (๑)  ทาน   คือการเอื้อเฟื้อ  เผื่อแผ่.
          (๒)  ศีล  คือรักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
          (๓)  สวรรค์  คือกามคุณที่บุคคลใคร่  ซึ่งจะได้ด้วยทานศีล.
          (๔)  โทษของกามคุณ  คือกามคุณนั้นไม่เที่ยงประกอบด้วย
                ความคับแต้น.
          (๕)  คุณของการบวช  คือเว้นจากกามคุณได้แล้วไม่มีความ
      คับแค้น.  และแสดงอริยสัจ  ๔  (สามุกกังสิกา  ธัมมเทสนา  พระธรรม-
      เทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง)  โปรดลูกชายเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ
      ยส  ยสได้เป็นโสดาบัน  ภายหลังได้ฟังอนุปุพพีกถา  ๕  ข้อ  และอริย-
      สัจนั้นซ้ำอีก  จึงได้เป็นพระอรหันต์แล้วของบวช.
๒.  บิดาพระยส  เป็นอุบาสก  มารดาและภรรยาเก่า  ของพระยศ
      เป็นอุบาสิกา  ถึงรัตนตรัยคนแรกในโลก  (เตวาจิกอุบาสก - อุบา-
      สิกา)  และได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นโสดาบัน  เพราะได้ฟังอนุ-
      ปุพพีกถา  และอริยสัจเหมือนกัน  แล้วเลี้ยงพระกระยาหารอัน
      ประณีต  แด่พระศาสดาและพระยส  ก่อนกว่าใคร ๆ ในโลก.
๓.  พระองค์ได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถานั้น  โปรดสหายของพระยส ๔
      คนคือ  วิมล,  สุพาหุ,  ปุณณชิ,  และควัมปติ  และสหายอื่นอีก  ๕๐
      คน  จนได้เป็นโสดาบันแล้วทั้งหมดบวชเป็นภิกษุ  และได้เป็น
      พระอรหันต์.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 22
๔.  รวมพระอรหันต์ในคราวนั้น  ๖๑  องค์  ทั้งพระพุทธเจ้า  พระพุทธ-   
      เจ้าทรงส่งไปแสดงธรรมสอนประชาชนทุกทิศ.
๕.  พระศาสดาเสด็จจากพาราณสี  จะไปตำบลอุรุเวลา  แวะพักที่
      ไร่ฝ้าย,  ภัททวัคคีย์ ๓๐  คนเข้ามาทูลถามหาหญิง  พระองค์ย้อน
      ถามว่า  ท่านจะแสวงหาหญิง  หรือว่าหาตนดีกว่า  ตอบว่า
      หาตนดีกว่า  พระองค์จึงให้พวกสหายนั้นนั่นลง  แล้วแสดง
      อนุปุพพีกถาและอริยสัจ  ภัททวัคคีย์  ได้ดวงตาเห็นธรรม*  ขอบวช
      พระองค์ประทานอุปสมบทแล้ว  ส่งไปประกาศพระศาสนา.
๖.  พระองค์เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลา  ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา  แสดง
      ธรรมทรมานชฎิล  (ฤาษี)  ๓  ตนพี่น้อง คือ  :-
          (๑)  อุรุเวลากัสสป  มีบริวาร  ๕๐๐  ตน.
          (๒)  นทีกัสสป     มีบริวาร  ๓๐๐  ตน.
          (๓)  คยากัสสป    มีบริวาร  ๒๐๐  ตน.
      เขาได้บวชเป็นภิกษุทั้งหมดพร้อมกับบริวาร  ภายหลังได้ฟังธรรม
      ชื่อ    อาทิตตปริยายสูตร   ที่ตำบลคยาสีสะ  ใกล้แม่น้ำคยา.
๗.  อาทิตตปริยายสูตรมีใจความเป็น  ๓  ตอน  คือ :-
          (๑)  ทรงแสดงว่า  สิ่งทั้งปวง  คือ  อายตนะภายใน
                อายตนะภายนอก  วิญญาณ  ผัสสะ  เวทนา  เป็นของ
                ร้อน   ร้อนเพราะไฟ  คือราคะ   โทสะ  โมหะ
                ร้อนเพราะ  เกิด  แก่  ตาย  โศก  คร่ำครวญ  เจ็บกาย
                เสียใจ  คับใจ.

*  ในปฐมสมโพธิ์ว่า  ได้แก่  มรรคผลเบื้องต่ำทั้ง ๓
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 23
          (๒)  ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า  พระอริยสาวก  เมื่อ   
                ลงความเห็นอย่างนี้  ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวงนั้น
                เมื่อเบื่อหน่าย   ย่อมคลายกำหนัด  เพราะคลาย
                กำหนัด  จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น  สิ้นชาติ  จบ
                พรหมจรรย์  เสร็จกิจ.
          (๓)  ผลของการแสดงอาทิตตปริยายสูตร  ภิกษุชฎิลพันรูป
                สำเร็จพระอรหัต.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 24
                         ปริเฉทที่  ๘   
         เสด็จไปกรุงราชคฤห์แคว้นมคะ  และได้อัครสาวก
๑.  พระองค์เสด็จไปกรุงราชคฤห์  ประทับ ณ  ลัฏฐิวัน  (สวนตาลหนุ่ม)
      ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ  ๔  โปรดพระเจ้าแผ่นดินมคธ
      พระนามว่า  พิมพิสาร   ท้าวเธอพร้อมด้วยบริวาร  ๑๑  ส่วนได้ดวงตา
      เห็นธรรม  อีก ๑  ส่วนตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์.
๒.  ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารครั้งยังเป็นพระราชกุมาร  ๕  ข้อ
      คือ :-
          (๑)  ขอให้ข้าพเจ้
#2
  ประวัติแห่งพระโมคคัลลานะ
      พระโมคคัลลานะนั้น  เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านผู้หนึ่ง  ผู้โมค-
คัลลานโคตรและนางโมคคัลลี  ชื่อนี้น่าจะเรียกตาสกุล  เกิดในตำบล
บ้านไม่ห่างแต่กรุงราชคฤห์  มีระยะทางพอไปมาถึงกันกับบ้านสกุลแห่ง
พระสารีบุตร  ท่านชื่อ โกลิตะมาก่อน  อีกอย่างหนึ่ง  เขาเรียกตาม
โคตรว่า  โมคคัลลานะ   เมื่อท่านมาอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้แล้ว
เขาเรียกท่านว่า  โมคคัลลานะ  ชื่อเดียว.   จำเดิมแต่ยังเยาว์จนเจริญวัยแล้ว
ได้เป็นมิตรผู้ชอบพอกันกับพระสารีบุตร  มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน  มีสกุล
เสมอกัน  ได้ศึกษาศิลปศาสตร์ด้วยกันมา  ได้ออกบวชเป็นปริพาชกด้วย
กัน  ได้เข้าอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ด้วยกัน  ดังกล่าวแล้วในประวัติ
แห่งพระสารีบุตร.   ในอธิการนี้  จักกล่าวประวัติเฉพาะองค์พระโมค-
คัลลานะเป็นแผนกออกไป.
      จำเดิมแต่ท่านได้อุปสมบทแล้วในพระธรรมวินัยนี้ได้ ๗ วัน  ไป
ทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม  แขวงมคธ  อ่อนใจนั่งโงกง่วง
อยู่   พระศาสดาเสด็จไปที่นั้น  ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความโงกง่วง
สั่งสอนท่านว่า๑  โมคคัลลานะ  เมื่อท่านมีสัญญาอย่างไร  ความง่วงนั้น
ย่อมครอบงำได้  ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก  ข้อนี้จักเป็นเหตุ
ให้ท่านละความง่วงนั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นควรตรึกตรองพิจารณา
ถึงธรรม  อันตนได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้วอย่างไร  ด้วยน้ำใจของตน

ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้,   ถ้ายังละไม่ได้  ท่านควร
สาธยายธรรมอันตนได้ฟังและได้เรียนแล้วอย่างไร  โดยพิสดาร  ข้อนี้จัก
เป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นท่านควรยอน
ช่องหูทั้ง ๒ ข้าง  และลูบตัวด้วยฝ่ามือ  ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความ
ง่วงนั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นท่านควรลุกขึ้นยืน  แล้วลูบนัยน์ตา
ด้วยน้ำ  เหลียวดูทิศทั้งหลาย  แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์  ข้อนี้จักเป็นเหตุ
ให้ท่านละความง่วงนั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นท่านควรทำในใจถึง
อาโลกสัญญา  คือความสำคัญในแสงสว่าง  ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้
ในจิต  ให้เหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน  มีใจเปิดเผยฉะนี้  ไม่มีอะไร
หุ้มห่อ  ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด  ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วง
นั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรม  กำหนดหมาย
เดินกลับไปกลับมา  สำรวมอินทรีย์  มีจิตไม่คิดไปภายนอก  ข้อนี้
จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้,  ถ้ายังละไม่ได้  แต่นั้นท่านควร
สำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา  ซ้อนเท้าเหลื่อม  มี
สติสัมปชัญญะ  ทำความหมายในอันจะลุกขึ้นไว้ในใจ  พอท่านตื่นแล้ว
รีบลุกขึ้น  ด้วยความตั้งใจว่า  เราจะไม่ประกอบสุขในการนอน  เราจัก
ไม่ประกอบสุขในการเอนข้าง (เอนหลัง) เราจักไม่ประกอบสุขในการ
เคลิ้มหลับ  โมคคัลลานะ  ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้แล.   อนึ่ง
โมคคัลลานะ  ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า  เราจักไม่ชูงวง (คือถือ
ตัว) เข้าไปสู่สกุล  ดังนี้.   เพราะว่า  ถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสู่สกุล  ถ้า
กิจการในสกุลนั้นมีอยู่  อันเป็นเหตุที่มนุษย์เขาจักไม่นึกถึงภิกษุผู้มาแล้ว
ภิกษุก็คงคิดว่า  เดี๋ยวนี้ใครหนอยุยงให้เราแตกร้าวจากสกุลนี้  เดี๋ยวนี้ดู
มนุษย์พวกนี้มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา  เพราะไม่ได้อะไร  เธอก็จัก
มีความเก้อ  ครั้นเก้อ  ก็จักเกิดความฟุ้งซ่าน   ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว
ก็จักเกิดความไม่สำรวม  ครั้นไม่สำรวมแล้ว  จิตก็จักห่างจากสมาธิ.  อนึ่ง
ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า  เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน  ถือ
ผิดต่อกันดังนี้  เพราะว่า  เมื่อคำอันเป็นเหตุเถียงกัน  ถือผิดต่อกันมีขึ้น
ก็จำจักต้องหวังความพูดมาก  เมื่อความพูดมากมีขึ้น  ก็จักเกิดความคิดฟุ้ง
ซ่าน  ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว  ก็จักเกิดความไม่สำรวม  ครั้นไม่สำรวมแล้ว
จิตก็จักห่างจากสมาธิ.  อนึ่ง  โมคคัลลานะ  เราสรรเสริญความคลุกคลี
ด้วยประการทั้งปวงหามิได้  แต่มิใช่ไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประ-
การทั้งปวงเลย  คือ  เราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชนทั้ง  ทั้งคฤหัสถ์
ทั้งบรรพชิต  ก็แต่ว่า  เสนาสนะที่นอนที่นั่งอันใดเงียบเสียงอื้ออึง
ปราศจากลมแต่คนเดินเข้าออก  ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการ
ที่สงัด  ควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย  เราสรรเสริญความ
คลุกคลีเสนาสนะเห็นปานนั้น.   เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว
พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า  โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร  ภิกษุ
ชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา  มีความสำเร็จล่วงส่วน  เกษมจาก
โยคธรรมล่วงส่วน  เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน  มีที่สุดล่วงส่วน
ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.   พระศาสดาตรัสตอบว่า
โมคคัลลานะ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่าบรรดาธรรมทั้งปวงไม่ควร
ยึดมั่น  ครั้นได้สดับดังนี้แล้ว  เธอทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญา
อันยิ่ง   ครั้นทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่งดังนั้นแล้ว  ย่อม
กำหนดรู้ธรรมทั้งปวง   ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดังนั้นแล้ว  เธอได้
เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง  เป็นสุขก็ดี  ทุกข์ก็ดี  มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง   พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องหน่าย
พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องดับ   พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็น
เครื่องสละคืน  ในเวทนาทั้งหลายนั้น   เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น  ย่อม
ไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก  เมื่อไม่ยึดมั่น  ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น  เมื่อ
ไม่สะดุ้งหวาดหวั่น  ย่อมดับกิเลสให้สงบจำเพาะตน  และทราบชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว  กิจที่ต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นที่ต้องทำอย่างนี้อีกมิได้มี โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล  ภิกษุ
ชื่อว่า  น้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา  มีความสำเร็จล่วงส่วน  เกษม
จากโยคธรรมล่วงส่วน  เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน  มีที่สุดล่วงส่วน
ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย   พระโมคคัลลานะปฏิบัติ
ตามพระพุทธโอวาทที่พระศาสดาทรงสั่งสอน  ก็ได้สำเร็จพระอรหัตใน
วันนั้น.
      พระศาสดา  ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะเป็นคู่กับพระสารีบุตร
ในอันอุปการะภิกษุผู้เข้ามาอุปสมบทใหม่ในพระธรรมวินัย ดังกล่าวแล้ว
ในหนหลัง.  อีกประการหนึ่ง  ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะว่าเป็นเยี่ยม
แห่งภิกษุสาวกผู้มีฤทธิ์นี้.   ฤทธิ์นี้ หมายเอาคุณสมบัติเป็นเครื่องสำเร็จ
แห่งความปรารถนา  สำเร็จด้วยความอธิษฐาน  คือตั้งมั่นแห่งจิต  ผลที่
สำเร็จด้วยอำนาจฤทธิ์นั้น  ท่านแสดงล้วนแต่พ้นวิสัยของมนุษย์  ดังมี
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 42
แจ้งอยู่ในอิทธิวิธี  อันนับเป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง  ด้วยหมายจะแสดง
บุคคลาธิฏฐาน  เปรียบธัมมาธิฏฐาน  หรือด้วยจะให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น
จริง  ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวถึงในอธิการนี้  เพราะไม่เกี่ยวข้องด้วยฤทธิ์อันมี
เฉพาะในองค์พระโมคคัลลานะ.  แต่ความเข้าใจฤทธิ์โดยอาการอย่างนั้น
เป็นเหตุให้พระคันถรจนาจารย์พรรณนาถึงความวิเศษแห่งพระโมค-
คัลลานะว่า  สามารถจาริกเที่ยวไปในสวรรค์  ถามเทวบุตรบ้าง  เทวธิดา
บ้าง  ถึงความได้สมบัติในที่นั้นด้วยกรรมอะไร  ได้รับบอกแล้วกลับลง
มาเล่าในมนุษยโลก.  อีกทางหนึ่งเที่ยวจาริกไปในเปตโลกหรือในนิรยา-
บาย  พบสัตว์ได้เสวยทุกข์มีประการต่าง ๆ  ถามถึงกรรมที่ได้ทำในหน
หลัง  ได้ความแล้ว  นำมาเล่าในมนุษยโลก.   อีกประการหนึ่ง  พระ
ศาสดาจะโปรดเวไนยนิกรแต่เป็นผู้ดุร้าย  จะต้องทรมานให้สิ้นพยศก่อน
ตรัสใช้พระโมคคัลลานะให้เป็นผู้ทรมาน.  ผู้อ่านผู้ฟังเชื่อตามท้องเรื่อง
จะพึงเห็นพระโมคคัลลานะ  เป็นสาวกสำคัญในพระพุทธศาสนาองค์
หนึ่ง.  ผู้ไม่เชื่อจะไม่พึงเห็นพระโมคคัลลานะเป็นสาวกสำคัญเลย.   ถ้า
จะแปลคำพรรณนานั้นว่าเป็นบุคคลาธิฏฐาน  เปรียบธัมมาธิษฐาน  จะ
พึงได้ความว่า  พระโมคคัลลานะ  สามารถจะชี้แจงสั่งสอนบริษัทให้เห็น
บาปบุญคุณโทษโดยประจักษ์ชัดแก่ใจ  ดุจว่าได้ไปเห็นมาต่อตาแล้วนำ
มาบอกเล่า  การทรมานเวไนยผู้มีทิฏฐิมานะให้ละพยศ  จัดว่าเป็น
อสาธารณคุณ  ไม่มีแก่พระสาวกทั่วไปก็ได้.  การที่พระศาสดาทรงยกย่อง
พระโมคคัลลานะว่า  เป็นเอตทัคคะในฝ่ายสาวกผู้มีฤทธิ์นั้น  ประมวล
เข้ากับการที่ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่า  เป็นเอตทัคคะในฝ่ายภิกษุผู้มี
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 43
ปัญญาจะพึงให้ได้สันนิษฐานว่า  พระโมคคัลลานะ  เป็นกำลังใหญ่ของ
พระศาสดาในอันยังการที่ทรงพระพุทธดำริไว้ให้สำเร็จ  พระศาสดาได้
สาวกผู้มีปัญญา  เป็นผู้ช่วยดำริการ  และได้สาวกผู้สามารถยังภารธุระที่
ดำริแล้วนั้นให้สำเร็จ  จักสมพระมนัสสักปานไร.   แม้โดยนัยนี้  พระ
โมคคัลลานะ  จึงได้รับยกย่องว่าเป็นพระอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรเป็น
ฝ่ายซ้าย  โดยหมายความว่า  เป็นคณาจารย์สอนพระศาสนาในฝ่ายอุดร
ทิศดังกล่าวแล้ว  หรือโดยหมายความว่าเป็นที่ ๒ รองแต่พระสารีบุตร
ลงมา.
      พระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะอยู่ข้างหายาก  ที่เป็นโอวาท
ให้แก่ภิกษุสงฆ์  มีแต่อนุมานสูตร๑  ว่าธรรมอันทำตนให้เป็นผู้ว่ายาก
หรือว่าง่าย  พระธรรมสังคาหกาจารย์  สังคีติไว้ในมัชฌิมนิกาย.
      พระโมคคัลลานะนั้น  เห็นจะเข้าใจในการนวกรรมด้วย  พระ
ศาสดาจึงได้โปรดให้เป็นนวกัมมาธิฏฐายี  คือ  ผู้ดูนวกรรมแห่งบุรพา-
ราม  ที่กรุงสาวัตถี  อันนางวิสาขาสร้าง.
      แม้พระโมคคัลลานะ  ก็ปรินิพพานก่อนพระศาสดา.  มีเรื่องเล่าว่า
ถูกผู้ร้ายฆ่า  ดังต่อไปนี้:   ในคราวที่พระเถรเจ้าอยู่ ณ ตำบลกาฬสิลา
แขวงมคธ  พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า  พระโมคคัลลานะเป็นกำลังใหญ่
ของพระศาสดา  สามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์
ชักนำให้เลื่อมใส  ถ้ากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว  ลัทธิฝ่ายตนจัก
รุ่งเรืองขึ้น  จึงจ้างผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย.   แต่ในคราว

รจนาอรรถกถา  ชะรอยจะเห็นว่าพระสาวกเช่นพระโมคคัลลานะ  ถึง
มรณะเพราะถูกฆ่า  หาสมควรไม่  ในท้องเรื่องจึงแก้ว่าใน ๒ คราวแรก
พระโมคคัลลานะหนีไปเสีย  ผู้ร้ายทำอันตรายไม่ได้  ในคราวที่ ๓ ท่าน
พิจารณาเห็นกรรมตามทัน  จึงไม่หนี  ผู้ร้ายทุบตีจนแหลก  สำคัญว่า
ถึงมรณะแล้ว นำสรีระไปซ่อนไว้ในสุมทุมแห่งหนึ่งแล้วหนีไป.   ท่าน
ยังไม่ถึงมรณะ  เยียวยาอัตภาพด้วยกำลังฌานไปเฝ้าพระศาสดาทูลลา
แล้ว  จึงกลับมาปรินิพพาน ณ ที่เดิม  ในสาวกนิพพานปริวัตร  กล่าวว่า
พระโมคคัลลานะอยู่มาจนถึงพรรษาที่ ๔๕  แต่ตรัสรู้ล่วงแล้ว  ปรินิพ-
พานในวันดับแห่งกัตติกมาส  ภายหลังพระสารีบุตรปักษ์หนึ่ง  พระ
ศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้ว  รับสั่งให้เก็บอัฐิธาตุมาก่อพระเจดีย์
บรรจุไว้  ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม.   ระยะทางเสด็จพุทธ-
จาริกแต่บ้านเวฬุคาม  อันกล่าวในปกรณ์นี้ไม่สมด้วยบาลีมหาปรินิพ-
พานสูตร  น่าเห็นว่าปรินิพพานก่อนแต่นั้นแล้ว  ถ้าพระเถรเจ้าอยู่มาถึง
ปัจฉิมโพธิกาล  บาลีมหาปรินิพพานสูตร  น่าจักได้กล่าวถึงท่านบ้าง.
#3
                  ๔.  ประวัติแห่งพระสารีบุตร
      พระสารีบุตรนั้น  เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านผู้หนึ่ง  ชื่อวังคันตะ
และนางสารี  เกิดในตำบลบ้านชื่อนาลกะ  หรือ  นาลันทะ  ไม่ห่างแต่
กรุงราชคฤห์  ท่านชื่อ  อุปติสสะมาก่อน  อีกอย่างหนึ่ง  เขาเรียกชื่อ
ตามความที่เป็นบุตรของนางสารีว่า  สารีบุตร   เมื่อท่านมาอุปสมบท
ในพระธรรมวินัยนี้แล้ว  เขาเรียกท่านว่า  พระสารีบุตร  ชื่อเดียว.  การ
เรียกชื่อตามมารดานี้  เป็นธรรมเนียมใช้อยู่ในครั้งนั้นบ้างกระมัง ?
นอกจากพระสารีบุตรยังมีอีก  คือพระปุณณมันตานีบุตร  ที่หมายความ
ว่า  บุตรของนางมันตานี  ใช้สร้อยพระนามแห่งพระเจ้าอชาตศัตรูว่า
เวเทหีบุตร  หมายความว่า  พระโอรสแห่งพระนางเวเทหี   แต่ที่เรียก
ตามโคตรก็มี  เช่น  โมคคัลลานะ  กัสสปะ  กัจจานะ  เป็นอาทิ   แต่เขา
มักเรียกสั้นว่า  สารีบุตร  ที่แลความไปอีกอย่างหนึ่งว่า  บุตรคนเล่น
หมากรุก.   สารีอาจเป็นชื่อโคตรของท่าน  มารดาของท่านชื่อสารี
ตามสกุลก็ได้  แต่ไม่พบอรรถาธิบายเลย  ยังถือเอาเป็นประมาณมิได้.
      พระคันถรจนาจารย์พรรณนาว่า  อุปติสสมาณพนั้น  เป็นบุตร
แห่งสกุลผู้บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติและบริวาร  ได้เป็นผู้เรียนรู้ศิลป-
ศาสตร์  ได้เป็นมิตรชอบพอกันกับโกลิตมาณพ  โมคคัลลานโคตร  ผู้
รุ่นราวคราวเดียวกัน  เป็นบุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกันมาแต่ยังเยาว์.
สองสหายนั้น  ได้เคยไปเที่ยวดูการเล่นในกรุงราชคฤห์ด้วยกันเนือง ๆ

เมื่อดูอยู่นั้น  ย่อมร่าเริงในที่ควรร่าเริง  สลดใจในที่ควรสลดใจ  ให้
รางวัลในที่ควรให้.   วันหนึ่ง  สองสหายนั้น  ชวนกันไปดูการเล่น
เหมือนอย่างแต่ก่อน  แต่ไม่ร่าเริงเหมือนในวันก่อน ๆ.   โกลิตะถาม
อุปติสสะว่า  ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันอื่น  วันนี้ดูเศร้าใจ  ท่านเป็น
อย่างไรหรือ ?  โกลิตะ  อะไรที่ควรดูในการเล่นนี้มีหรือ ?  คนเหล่านี้
ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี  ก็จักไม่มีเหลือ  จักล่วงไปหมด  ดูการเล่น
ไม่มีประโยชน์อะไร  ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า  ข้านั่งคิด
อยู่อย่างนี้  ส่วนเจ้าเล่า  เป็นอย่างไร ?  อุปติสสะ  ข้าก็คิดเหมือน
อย่างนั้น.  สองสหายนั้น  มีความเห็นร่วมกันอย่างนั้นแล้ว  พาบริวาร
ไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก  เรียนลัทธิของสัญชัยได้ทั้งหมด
แล้ว  อาจารย์ให้เป็นผู้ช่วยสั่งสอนหมู่ศิษย์ต่อไป  สองสหายนั้น  ยังไม่
พอใจในลัทธิของครูนั้น  จึงนัดหมายกันว่า  ใครได้โมกขธรรม  จงบอก
แก่กัน.
      ครั้นพระศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว  ทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน
ประกาศพระพุทธศาสนา  เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์  ประทับอยู่ ณ
เวฬุวัน.   วันหนึ่ง  พระอัสสชิ  ผู้นับเข้าในพระปัญจวัคคีย์  อันพระ
ศาสดาทรงส่งให้จาริกไปประกาศพุทธศาสนากลับมาเฝ้า  เข้าไปบิณฑ-
บาตในกรุงราชคฤห์  อุปติสสปริพาชก  เดินมาแต่สำนักของปริพาชก
ได้เห็นท่านมีอาการน่าเลื่อมใส  จะก้าวไปถอยกลับแลเหลียว  คู้แขน
เหยียดแขนเรียบร้อยทุกอิริยาบถ  ทอดจักษุแต่พอประมาณ  มีอาการแปลก
จากบรรพชิตในครั้งนั้น  อยากจะทราบว่าใครเป็นศาสดาของท่าน

แต่ยังไม่อาจถาม  ด้วยเห็นว่าเป็นกาลไม่ควร  ท่านยังเที่ยวไปบิณฑบาต
อยู่  จึงติดตามไปข้างหลัง ๆ   ครั้นเห็นท่านกลับจากบิณฑบาตแล้ว  จึง
เข้าไปใกล้  พูดปราศรัยแล้ว  ถามว่า   ผู้มีอายุ  อินทรีย์ของท่าน
หมดจดผ่องใส  ท่านบวชจำเพาะใคร ?  ใครเป็นพระศาสดาผู้สอนของท่าน ?
ท่านชอบใจธรรมของใคร ?   ผู้มีอายุ  เราบวชจำเพาะพระมหาสมณะ
ผู้เป็นโอรสศากยราชออกจากศากยสกุล   ท่านนั้นแล  เป็นศาสดา
ของเรา  เราชอบใจธรรมของท่านนั้นแล.   พระศาสดาของท่านสั่งสอน
อย่างไร ?   ผู้มีอายุ  รูปเป็นผู้ใหม่  บวชยังไม่นาน  เพิ่งมายังพระธรรม
วินัยนี้  ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวาง  รูปจักกล่าวความ
แก่ท่านแต่โดยย่อพอรู้ความ.  ผู้มีอายุ  ช่างเถิด  ท่านจะกล่าวน้อยก็ตาม
มากก็ตาม  กล่าวแต่ความเถิด  รูปต้องการด้วยความ  ท่านจะกล่าวคำ
ให้มากเพื่อประโยชน์อะไร.  พระอัสสชิก็แสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก
พอเป็นเลาความว่า  " พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย
เพราะเป็นไปแห่งเหตุ  และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น  เพราะดับแห่ง
เหตุ  พระศาสดาตรัสอย่างนี้.๑"
      อุปติสสปริพาชกได้ฟัง  ก็ทราบว่า  ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า
ธรรมทั้งปวง  เกิดเพราะเหตุ  และจะสงบระงับไป  เพราะเหตุดับก่อน
พระศาสดาทรงสั่งสอน  ให้ปฏิบัติเพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรม  เป็น
เครื่องก่อให้เกิดทุกข์  ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มีความ
เกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งหมด  ต้องมีความดับเป็นธรรมดา  แล้ว

ถามพระเถระว่า  พระศาสดาของเราเสด็จอยู่ที่ไหน ?  ผู้มีอายุ  เสด็จ
อยู่ที่เวฬุวัน.   ถ้าอย่างนั้น  พระผู้เป็นเจ้าไปก่อนเถิด  รูปจักกลับไป
บอกสหาย  จักพากันไปเฝ้าพระศาสดา.   ครั้นพระเถระไปแล้ว  ก็กลับ
มาสำนักของปริพาชก  บอกข่าวที่ได้ไปพบพระอัสสชิให้โกลิตปริพาชก
ทราบแล้ว  แสดงธรรมนั้นให้ฟัง.   โกลิตปริพาชกก็ได้ดวงตาเห็นธรรม
เหมือนอุปติสสะแล้ว  ชวนกันไปเฝ้าพระศาสดา  จึงไปลาสัญชัยผู้
อาจารย์เดิม  สัญชัยห้ามไว้  อ้อนวอนอยู่เป็นหลายครั้ง  ก็ไม่ฟัง
พาบริวารไปเวฬุวัน  เฝ้าพระศาสดา  ทูลขออุปสมบท  พระองค์ทรง
อนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น.   ในภิกษุเหล่านั้นภิกษุผู้เป็นบริวาร
ได้สำเร็จพระอรหัตก่อนในไม่ช้า  ฝ่ายพระโมคคัลลานะอุปสมบทได้ ๗
วัน  จึงได้สำเร็จพระอรหัต  มีเรื่องดังจะเล่าในประวัติของท่าน.   ฝ่าย
พระสารีบุตร  ต่ออุปสมบทแล้วได้กึ่งเดือน  จึงได้สำเร็จพระอรหัต.
      มีเรื่องเล่าถึงความสำเร็จพระอรหัตแห่งพระสารีบุตรว่า  วันนั้น
พระศาสดาเสด็จอยู่ในถ้ำสุกรขาตา  เขาคิชฌกูฏ  แขวงกรุงราชคฤห์
ปริพาชกผู้หนึ่ง  ชื่อทีฆนขะ  อัคคิเวสสนโคตร  เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
กล่าวปราศรัยแล้ว  ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง  ทูลแสดงทิฏฐิของตนว่า
พระโคตมะ  ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า  สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด.   พระศาสดาตรัสตอบว่า๑  อัคคิเวสสนะ  ถ้า
อย่างนั้น  ความเห็นอย่างนั้น  ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน  ท่านก็ต้องไม่ชอบ
ความเห็นอย่างนั้น  ตรัสตอบอย่างนี้แล้ว  ทรงแสดงสมณพราหมณ์

มีทิฏฐิ ๓ จำพวกว่า อัคคิเวสสนะ  สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง  มีทิฏฐิว่า
สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา  เราชอบใจหมด   พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่า  สิ่งทั้งปวง
ไม่ควรแก่เรา  เราไม่ชอบใจหมด   พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่า  บางสิ่งควรแก่
เรา  เราชอบใจ  บางสิ่งไม่ควรแก่เรา  เราไม่ชอบใจ  ทิฏฐิของ
สมณพราหมณ์พวกต้น  ใกล้ข้างหน้าความกำหนัดรักใคร่ยินดีในสิ่งนั้น ๆ
ทิฏฐิของสมณพราหมณ์พวกที่ ๒  ใกล้ข้างความเกลียดชังสิ่งนั้น ๆ
ทิฏฐิของสมณพราหมณ์พวกที่ ๓   ใกล้ข้างความกำหนัดรักใคร่ในของ
บางสิ่ง   ใกล้ข้างความเกลียดชังในของบางสิ่ง  ผู้รู้พิจารณาเห็นว่า  ถ้าเรา
จักถือมั่นทิฏฐินั้นอย่างหนึ่งอย่างใด  กล่าวว่า  สิ่งนี้แลจริง  สิ่งอื่นเปล่า
หาจริงไม่  ก็จะต้องถือผิดจากคน ๒ พวกที่มีทิฏฐิไม่เหมือนกับตน  ครั้น
ความถือผิดกันมีขึ้น  ความวิวาทเถียงกันก็มีขึ้น   ครั้นความวิวาทมีขึ้น
ความพิฆาตหมายมั่นก็มีขึ้น   ครั้นความพิฆาตมีขึ้น  ความเบียดเบียนก็มี
ขึ้น  ผู้รู้เห็นอย่างนี้แล้ว  ย่อมละทิฏฐินั้นเสียด้วย  ไม่ทำทิฏฐิอื่นให้เกิด
ขึ้นด้วย  ความละทิฏฐิ ๓ อย่างนี้  ย่อมมีด้วยอุบายอย่างนั้น.  ครั้นแสดง
โทษแห่งความถือมั่นด้วยทิฏฐิ ๓ อย่างนั้นแล้ว  ทรงแสดงอุบายเครื่อง
ไม่ถือมั่นต่อไปว่า  อัคคิเวสสนะ  กาย  คือ  รูป  ประชุมมหาภูตทั้ง ๔
(ดิน น้ำ ลม ไฟ)  มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด  เจริญขึ้นเพราะข้าวสุก
และขนมสดนี้  ต้องอบรมกันกลิ่นเหม็นและขัดสีมลทินเป็นนิตย์  มี
ความแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา  ควรพิจารณาเห็นโดยความ
เป็นของไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  อดทนได้ยาก  เป็นโรค  เป็นดังหัวฝี  เป็นดัง
ลูกศร  โดยความยากลำบากชำรุดทรุดโทรม  เป็นของว่างเปล่าไม่ใช่ตน
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 29
เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้  ย่อมละความพอใจรักใคร่กระวนกระวายในกาม
เสียได้  อนึ่ง  เวทนาเป็น ๓ อย่าง คือ  สุข  ทุกข์  อุเบกขา  คือ  ไม่ใช่
ทุกข์ไม่ใช่สุข   ในสมัยใดเสวยสุข  ในสมัยนั้น  ไม่ได้เสวยทุกข์  และ
อุเบกขา   ในสมัยใด  เสวยทุกข์  ในสมัยนั้น  ไม่ได้เสวยสุข  และ
อุเบกขา.   สุข ทุกข์ อุเบกขา ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่เที่ยง ปัจจัยประชุม
แต่งขึ้น  อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วมีความสิ้นไป  เสื่อมไป  คลายไป
ดับไปเป็นธรรมดา  อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว  เมื่อเห็นอย่างนี้ย่อมเบื่อหน่าย
ทั้งในสุข ทุกข์ อุเบกขา  เมื่อเบื่อหน่าย  ก็ปราศจากกำหนัด  เพราะ
ปราศจากกำหนัด  จิตก็พ้นจากความถือมั่น   เมื่อจิตพ้นแล้ว  ก็เกิด
ญาณรู้ว่าพ้นแล้ว  อริยสาวกนั้นรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์ได้อยู่
จบแล้ว  กิจที่จำจะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว  กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้
มิได้มี   ภิกษุผู้พ้นแล้วอย่างนี้  ไม่วิวาทโต้เถียงกับผู้ใด  ด้วยทิฏฐิของ
ตน  โวหารใด  เขาพูดกันอยู่ในโลก  ก็พูดตามโวหารนั้น  แต่ไม่ถือ
มั่นด้วยทิฏฐิ.   สมัยนั้น  พระสารีบุตรนั่งถวายอยู่งานพัด  เบื้องพระ-
ปฤษฎางค์แห่งพระศาสดา  ได้ฟังธรรมเทศนาที่ตรัสแก่ทีฆนขปริพาชก
จึงดำริว่า   พระศาสดาตรัสสอนให้ละการถือมั่นธรรมเหล่านั้น  ด้วย
ปัญญาอันรู้ยิ่ง  เมื่อท่านพิจารณาอย่างนั้น  จิตก็พ้นจากอาสวะ  ไม่ถือ
มั่นด้วยอุปทาน.  ส่วนทีฆนขปริพาชกนั้น  เป็นแต่ได้ดวงตาเห็นธรรม
สิ้นความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธศาสนา  ทูลสรรเสริญพระธรรม-
เทศนาและแสดงตนเป็นอุบาสก.
      พระอรรถกถาจารย์  แก้การที่พระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหัตช้า
ไปกว่าเพื่อนว่า  เพราะมีปัญญามาก  ต้องใช้บริกรรมใหญ่  เปรียบด้วย
การเสด็จไปข้างไหน ๆ  แห่งพระราชา  ต้องตระเตรียมราชพาหนะและ
ราชบริวาร  จำเป็นจึงช้ากว่าการไปของคนสามัญ.
      พระสารีบุตรนั้น  แม้เป็นสาวกในปูนไม่แรกทีเดียว  แต่เป็นผู้มี
ปัญญาเฉลียวฉลาด  ได้เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดา  ในการสอน
พระศาสนา  พระองค์ทรงยกย่องว่า  เป็นเอตทัคคะในทางปัญญา  เป็น
ผู้สามารถจะแสดงพระธรรมจักร  และพระจตุราริยสัจ  ให้กว้างขวาง
พิสดารแม้นกับพระองค์ได้   ถ้ามีภิกษุมาทูลลาจะเที่ยวจาริกไปในทางไกล
มักตรัสให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน  เพื่อท่านจะได้สั่งสอนเธอทั้งหลาย.
เช่นครั้งหนึ่ง  พระศาสดาเสด็จอยู่เมืองเทวทหะ   ภิกษุเป็นอันมากเข้าไป
เฝ้าพระศาสดา  ทูลลาจะไปปัจฉาภูมิชนบท  พระองค์ตรัสถามว่า  ท่าน
ทั้งหลายบอกสารีบุตรแล้วหรือ ?  ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า  ยังไม่ได้บอก
จึงตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร  แล้วทรงยกย่องว่า  พระสารีบุตรเป็น
ผู้มีปัญญา  อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิต.   ภิกษุเหล่านั้นก็ไปลาตามรับสั่ง.
ท่านถามว่า  ผู้มีอายุ  คนมีปัญญาผู้ถามปัญหากะภิกษุ  ผู้ไปต่างประเทศ
มีอยู่   เมื่อเขาลองถามว่า  ครูของท่านสั่งสอนอย่างไร ?  ท่านทั้งหลาย
ได้เคยฟังเคยเรียนแล้วหรือ  จะพยากรณ์อย่างไร  จึงจะเป็นอันไม่กล่าว
ให้ผิดคำสอนของพระศาสดา  อันไม่เป็นการใส่ความ  และพยากรณ์
ตามสมควรแก่ทางธรรม  ไม่ให้เขาติเตียนได้.   ภิกษุเหล่านั้นขอให้ท่าน
สั่งสอน.   ท่านกล่าวว่า  ถ้าเขาถามอย่างนั้นท่านพึงพยากรณ์ว่า  ครูของ
เราสอนให้ละความกำหนัดรักใคร่เสีย   ถ้าเขาถามอีกว่า  ละความ
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 31
กำหนัดรักใคร่ในสิ่งอะไร ?  พึงพยากรณ์ตอบว่า  ในรูป  เวทนา  สัญญา
สังขาร  วิญญาณ  ถ้าเขาถามอีกว่า  ครูของท่านเห็นโทษอะไร  และ
เห็นอานิสงส์อะไรจึงสั่งสอนอย่างนั้น ?  พึงพยากรณ์ตอบว่า  เมื่อบุคคล
ยังมีความกำหนัดรักใคร่ในสิ่งเหล่านั้นแล้ว   ครั้นสิ่งเหล่านั้นแปรปรวน
เป็นอย่างอื่นไป  ก็เกิดทุกข์มีโศกและร่ำไรเป็นต้น  เมื่อละความกำหนัด
รักใคร่ในสิ่งเหล่านั้นได้แล้ว   ถ้าสิ่งเหล่านั้นวิบัติแปรปรวนไป  ทุกข์
เหล่านั้นก็ไม่เกิด   ครูของเราเห็นโทษและอานิสงส์อย่างนี้   อนึ่ง  ถ้า
บุคคลเข้าถึงอกุศลธรรม  จะได้อยู่เป็นสุข  ไม่ต้องคับแค้น  ไม่ต้อง
เดือดร้อน  และบุคคลผู้เข้าถึงกุศลธรรมจะต้องอยู่เป็นทุกข์  คับแค้น
เดือดร้อน  พระศาสดาคงไม่ทรงสั่งสอนให้ละอกุศลธรรม  เจริญกุศล-
ธรรม  เพราะเหตุบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมต้องอยู่เป็นทุกข์  คับแค้น
เดือดร้อน  บุคคลเข้าถึงกุศลธรรมอยู่เป็นสุข  ไม่คับแค้น  ไม่เดือดร้อน
พระศาสดาจึงทรงสั่งสอนให้ละอกุศลธรรม  เจริญกุศลธรรม  ภิกษุ
เหล่านั้นรับภาษิตของท่านแล้วลาไป.
      ตรัสยกย่องพระสารีบุตรเป็นคู่กับพระโมคคัลลานะก็มี  ดังตรัส
แก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ท่านทั้งหลายคบกับสารีบุตรและ
โมคคัลลานะเถิด  เธอเป็นผู้มีปัญญา  อนุเคราะห์สพรหมจารีเพื่อน
บรรพชิตทั้งหลาย  สารีบุตร  เปรียบเหมือนมารดาผู้ให้เกิด  โมคคัลลานะ
เปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น  สารีบุตร  ย่อมแนะนำ
ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล  โมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้อง
บนที่สูงกว่านั้น.
      เพราะทรงยกย่องไว้อย่างนี้กระมัง  จึงมีคำกล่าวยกย่องพระสารี-
บุตรและโมคคัลลานะคู่นี้ว่า  เป็นพระอัครสาวก  แปลว่า  พระสาวกเลิศ.
ถ้าหมายเอาคุณสมบัติในพระองค์ของท่าน  ก็ฟังได้  เช่นเดียวกับใน
พวกบุตรในสกุล  บุตรผู้ใดหลักแหลมและสามารถ  บุตรผู้นั้นย่อมเชิดชู
สกุล.   แต่พระอรรถกถาจารย์พรรณนาถึงความเป็นพระอัครสาวกนี้ว่า
พระศาสดา  ทรงตั้งอย่างตั้งสมณศักดิ์  พระสารีบุตรเป็นฝ่ายขวา  พระ-
โมคคัลลานะเป็นฝ่ายซ้าย  ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์  นั่งทางพระปรัสขวา
ซ้าย.   น่าเห็นว่าเอาอย่างมาจากพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งข้าราชการ  เพราะ
ในสมัยที่รจนาอรรถกถานั้น  ยังมีพระราชาทรงราชย์อยู่ในลังกาทวีป.
ถ้าการตั้งแต่งมีมูลอยู่บ้างไซร้  น่าสันนิษฐานว่าทรงมอบภารธุระให้เป็น
คณาจารย์ใหญ่  แยกคณะออกไปสอนพระศาสนา  พระสารีบุตรเป็นหัว
คณะในฝ่ายทักษิณ  พระโมคคัลลานะเป็นหัวหน้าคณะในฝ่ายอุดร.   เช่นนี้
สมคำว่า  พระอัครสาวก ๒ พระองค์นั้น  เป็นผู้มีบริษัทบริวาร  และ
สมคำว่า  เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาคือทักษิณ  และพระอัครสาวกฝ่าย
ซ้ายคืออุดร  นอกจากนี้  ยังไม่พบร่องรอยที่กล่าวถึงเรื่องนี้เลย.
      มีคำเรียกยกย่องพระสารีบุตรอีกอย่างหนึ่งว่า  พระธรรมเสนาบดี
นี้เป็นคำเลียนมาจากคำเรียกแม่ทัพ   ดังจะกลับความให้ตรงกันข้าม
กองทัพอันทำยุทธ์ยกไปถึงไหน  ย่อมแผ่อนัตถะถึงนั่น.   กองพระสงฆ์
ผู้ประกาศพระศาสนา  ได้ชื่อว่า  ธรรมเสนา  กองทัพฝ่ายธรรมหรือ
ประกาศธรรม  จาริกไปถึงไหน  ย่อมแผ่หิตสุขถึงนั่น.  พระศาสดาเป็น
จอมธรรมเสนา  เรียกว่าพระธรรมราชา.   พระสารีบุตรเป็นกำลังใหญ่
ของพระศาสดา  ในภารธุระนี้  ได้สมญาว่า  พระธรรมเสนาบดี  นายทัพ
ฝ่ายธรรม.
      พระสารีบุตร  มีปฏิภาณในการแสดงพระธรรมเทศนาอย่างไร
พึงเห็นในเรื่องสาธกต่อไปนี้.   มีภิกษุรูปหนึ่ง  ชื่อยมกะ  มีความเห็น
เป็นทิฏฐิว่า  พระขีณาสพตายแล้วดับสูญ.   ภิกษุทั้งหลายค้านเธอว่า
เห็นอย่างนั้นผิด  เธอไม่เชื่อ  ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจเปลื้องเธอจากความ
เห็นนั้นได้  จึงเชิญพระสารีบุตรไปช่วยว่า.   ท่านถามเธอว่า  ยมกะ
ท่านสำคัญความนั้นอย่างไร ?  ท่านสำคัญ  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร
วิญญาณ ๕ ขันธ์นี้ว่าพระขีณาสพ  หรือ ?
      ย.    ไม่ใช่อย่างนั้น.
      สา.   ท่านเห็นว่าพระขีณาสพในขันธ์ ๕ นั้นหรือ ?
      ย.    ไม่ใช่อย่างนั้น.
      สา.   ท่านเห็นว่าพระขีณาสพอื่นจากขันธ์ ๕ นั้นหรือ ?
      ย.    ไม่ใช่อย่างนั้น.
      สา.   ท่านเห็นพระขีณาสพว่าเป็นขันธ์ ๕ หรือ ?
      ย.    ไม่ใช่อย่างนั้น.
      สา.   ท่านเห็นพระขีณาสพไม่มีขันธ์ ๕ หรือ ?
      ย.    ไม่ใช่อย่างนั้น.
      สา.   ยมกะ  ท่านหาพระขีณาสพในขันธ์ ๕ นั้นไม่ได้โดยจริง
อย่างนี้  ควรหรือจะพูดยืนยันอย่างนั้นว่า  พระขีณาสพตายแล้วดับสูญ
ดังนี้.
      ย.    แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่รู้  จึงได้มีความเห็นผิดเช่นนั้น   บัดนี้
ข้าพเจ้าได้ฟังท่านว่า  จึงละความเห็นผิดนั้นได้  และได้บรรลุธรรม
พิเศษด้วย.
      สา.   ยมกะ  ถ้าเขาถามท่านว่า  พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร ?
ท่านจะแก้อย่างไร ?
      ย.    ถ้าเขาถามข้าพเจ้าอย่างนี้  ข้าพเจ้าจะแก้ว่า  รูป  เวทนา
สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ที่ไม่เที่ยงดับไปแล้ว.
      สา.   ดีละ ๆ ยมกะ  เราจะอุปมาให้ท่านฟัง  เพื่อจะให้ความข้อ
นั้นชัดขึ้น  เหมือนหนึ่งคฤหบดีเป็นคนมั่งมี  รักษาตัวแข็งแรง  ผู้ใด
ผู้หนึ่งคิดจะฆ่าคฤหบดีนั้น  จึงนึกว่า  เขาเป็นคนมั่งมี  และรักษาตัว
แข็งแรง  จะฆ่าโดยพลการเห็นจะไม่ได้ง่าย  จำจะต้องลอบฆ่าโดยอุบาย
ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว  จึงเข้าไปเป็นคนรับใช้ของคฤหบดีนั้น  หมั่นคอย
รับใช้  จนคุ้นเคยกันแล้ว   ครั้นเห็นคฤหบดีนั้นเผลอ  ก็ฆ่าเสียด้วย
ศัสตราที่คม.   ยมกะ  ท่านจะเห็นอย่างไร  คฤหบดีนั้น  เวลาผู้ฆ่านั้น
เขามาขออยู่รับใช้สอยก็ดี  เวลาให้ใช้สอยอยู่ก็ดี  เวลาฆ่าตัวก็ดี  ไม่รู้
ว่าผู้นี้เป็นคนฆ่าเรา  อย่างนี้  มิใช่หรือ ?
      ย.    อย่างนี้แล  ท่านผู้มีอายุ.
      สา.   ปุถุชนผู้ไม่ได้ฟังแล้วก็ฉันนั้น  เขาเห็นรูป  เวทนา  สัญญา
สังขาร  วิญญาณ  ว่าเป็นตนบ้าง  เห็นตนว่ามีรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร
วิญญาณบ้าง  เห็นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ในตนบ้าง
เห็นตนในรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณบ้าง  ไม่รู้จักขันธ์ ๕
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 35
นั้น  อันไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ไม่ใช่ตน  ปัจจัยตกแต่งดุจเป็นผู้ฆ่า  ตาม
เป็นจริงอย่างไร  ย่อมถือมั่นขันธ์ ๕ นั้นว่าตัวของเรา  ขันธ์ ๕ ที่เขา
ถือมั่นนั้น  ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์และทุกข์สิ้นกาลนาน
ส่วนอริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว  ไม่พิจารณาเห็นเช่นนั้นรู้ชัดตามเป็นจริงแล้ว
อย่างไร  ท่านไม่ถือมั่นในขันธ์ ๕ ว่าตัวของเรา  ขันธ์ ๕ที่ท่านไม่ถือ
มั่นนั้น  ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขสิ้นกาลนาน.   ธรรมบรรยาย
อื่นอีกของพระสารีบุตร  พระธรรมสังคาหกาจารย์  สังคีติไว้ในพระสุต-
ตันตปิฎก  ที่เป็นสูตรยาว ๆ ก็มี  เช่นสังคีติสูตร๑  แล  ทสุตตรสูตร๒
แสดงธรรมเป็นหมวด ๆ  ตั้งแต่ ๑ ขึ้นไปถึง ๑๐   ในทีฆนิกายที่เป็น
สูตรปานกลางก็มี  เช่น  สัมมาทิฏฐิสูตร๓  แสดงอาการแห่งสัมมาทิฏฐิ
ละอย่าง ๆ และอนังคณสูตร๔  แสดงกิเลสอันยวนใจ  ที่เรียกว่า  อังคณะ
และความต่างแห่งบุคคลผู้มีอังคณะ  และ  หาอังคณะมิได้ในมัชฌิมนิกาย
ธรรมบรรยายประเภทนี้  ยังมีอีกหลายสูตร.  ยังมีปกรณ์ที่ว่าเป็นภาษิต
ของพระสารีบุตรอยู่อีก คือ ปฏิสัมภิทามรรค  กล่าวถึงญาณต่างประเภท
ยกพระพุทธภาษิตเสีย  ภาษิตของพระสารีบุตรมีมากกว่าของพระสาวก
อื่น.
      พระสารีบุตรนั้น  ปรากฏโดยความเป็นผู้กตัญญู.   ท่านได้ฟัง
ธรรมอันพระอัสสชิแสดง  ได้ธรรมจักษุแล้ว  มาอุปสมบทในพระพุทธ-
ศาสนา  ดังกล่าวแล้วในหนหลัง  ตั้งแต่นั้นมา  ท่านนับถือพระอัสสชิ
เป็นอาจารย์.  มีเรื่องเล่าว่า  พระอัสสชิอยู่ทิศใด  เมื่อท่านจะนอน

นมัสการไปทางทิศนั้นก่อน  และนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น.   ภิกษุ
ผู้ไม่รู้เรื่องย่อมสำคัญว่า  ท่านนอบน้อมทิศตามลัทธิของพวกมิจฉา-
ทิฏฐิ.   ความทราบถึงพระศาสดา  ตรัสแก้ว่า  ท่านมิได้นอบน้อม
ทิศ,  ท่านนมัสการการพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์  แล้วประทานพระพุทธา-
นุศาสนีว่า  พุทธมามกะ  รู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธะแสดงแล้ว
จากท่านผู้ใด  ควรนมัสการท่านผู้นั้นโดยเคารพ  เหมือนพราหมณ์บูชา
ยัญอันเนื่องด้วยเพลิง.   อีกเรื่องหนึ่งว่า  มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง  ชื่อราธะ
ปรารถนาจะอุปสมบท   แต่เพราะเป็นผู้ชราเกินไป  ภิกษุทั้งหลายไม่รับ
อุปสมบทให้.  ราธะเสียใจ  เพราะไม่ได้สมปรารถนา  มีร่างกายซูบซีด
ผิวพรรณไม่สดใส.  พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นผิดไปกว่าปกติ  ตรัส
ถามทราบความแล้ว  ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า  มีใครระลึกถึงอุปการะ
ของราธะได้บ้าง ?   พระสารีบุตรกราบทูลว่า  ท่านระลึกได้อยู่  ครั้งหนึ่ง
ท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์   ราธะได้ถวายภิกษาแก่ท่านทัพพี
หนึ่ง.   พระศาสดาทรงสรรเสริญว่า  ท่านเป็นผู้กตัญญูดีนัก  อุปการะ
เพียงเท่านี้ก็ยังจำได้  จึงตรัสให้ท่านรับบรรพชาอุปสมบทราธพราหมณ์.
      พระสารีบุตรนั้น  ปรินิพพานก่อนพระศาสดา  สันนิษฐานว่า
ในมัชฌิมโพธิกาล  คือปูนกลางแห่งตรัสรู้  เพราะในปัจฉิมโพธิกาล  คือ
ปูนหลังแห่งตรัสรู้  บาลีมิได้กล่าวถึงเลย.   แต่ในสาวกนิพพานปริวัตร
แห่งปฐมสมโพธิ ๓๐ ปริเฉท  กล่าวว่า  พระสารีบุตรอยู่มาถึงปัจฉิม-
โพธิกาล  พรรษาที่ ๔๕ ล่วงไปแล้ว   แต่ในมหาปรินิพพานสูตรมิได้
กล่าวถึงเลย.   ในปกรณ์ต้น  เล่าถึงเรื่องปรินิพพานแห่งพระสารีบุตรว่า
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 37
ท่านพิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนสิ้นแล้ว  ปรารถนาจะไปโปรดมารดา
เป็นครั้งที่สุด แล้วปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิด อธิบายว่า นางสารีมารดา
ท่าน  เป็นผู้ไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  โทมนัสเพราะท่าน
และน้อง ๆ  พากันออกบวชเสีย   ท่านพยายามชักจูงมาในพระพุทธ-
ศาสนาหลายครั้งแล้ว  ยังมิสำเร็จ  จึงดำริจะไปโปรดเป็นครั้งสุดท้าย
ท่านทูลลาพระศาสดาไปกับพระจุนทะผู้น้องกับบริวาร  ไปถึงบ้านเดิม
แล้ว  เกิดโรคปักขันทิกาพาธขึ้นในคืนนั้น  ในเวลากำลังอาพาธอยู่นั้น
ได้เทศนาโปรดมารดาสำเร็จ  นางได้บรรลุพระโสดาปัตติผล  พอเวลา
ปัจจุสมัย  สุดวันเพ็ญแห่งกัตติกมาส  พระเถรเจ้าปรินิพพาน.  รุ่งขึ้นพระ
จุนทะได้ทำฌาปนกิจสรีระพระเถรเจ้าเสร็จ  เก็บอัฐิธาตุนำไปถวาย
พระศาสดา  ในเวลาประทับอยู่ ณ พระเชตวัน  กรุงสาวัตถี  โปรดให้
ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระเถรเจ้าไว้ ณ ที่นั้น.
      การที่จะกล่าวถึงพระสารีบุตรไปปรินิพพานที่บ้านเดิมนั้น  แผกจาก
อาการของพระสาวกในครั้งนั้น.  ถ้าเป็นเดินทางไป  เข้าพักอาศัยที่บ้าน
เกิดโรคปัจจุบันขึ้นแล้วปรินิพพาน  มีทางอยู่.   มีเรื่องเล่าถึงภิกษุเดิน
ทางเข้าอาศัยบ้านก็มี.   โดยที่สุด  พระศาสดาเอง  เสด็จพักในโรงช่าง
หม้อก็มี.  ถ้าท่านรู้ตัวและตั้งใจจะปรินิพพานที่นั่น  เพื่อโปรดมารดา
ดังกล่าวในปกรณ์  อย่างนี้เป็นเช่นภิกษุอาพาธ  ปรารถนาจะไปรักษาตัว
ที่บ้าน   ครั้นไปแล้ว  ถึงมรณะที่นั่น.  ยุกติเป็นอย่างไร  นักตำนาน
จงสันนิษฐานเอาเองเถิด.
#4
                        อนุพุทธประวัติ
               ๑.  ประวัติแห่งพระอัญญาโกณฑัญญะ
      ดังได้สดับมา  พระอัญญาโกณฑัญญะนั้น  ได้เกิดในสกุล
พราหมณ์มหาศาล  ในบ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ  ไม่ห่างจากกบิล-
วัตถุนคร  มีชื่อว่า  โกณฑัญญะ  เจริญวัยขึ้น  ได้เรียนจบไตรเพท
และรู้ลักษณะมนตร์  คือตำราทายลักษณะ  ในคราวที่สมเด็จพระบรม-
ศาสดาประสูติใหม่  พระเจ้าสุทโธทนะตรัสให้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน
มาเลี้ยงโภชนาหาร   ในการทำพิธีทำนายลักษณะตามราชประเพณี
แล้วเลือกพราหมณ์ ๘ คน  จากพวกนั้นเป็นผู้ตรวจและทำนายลักษณะ.
ครั้งนั้น  โกณฑัญญพราหมณ์ยังเป็นหนุ่ม  ได้รับเชิญไปในงานเลี้ยง
ด้วย  ทั้งได้รับเลือกเข้าในพวกพราหมณ์ ๘ คน  ผู้ตรวจและทำนายพระ
ลักษณะ  เป็นผู้อ่อนอายุกว่าเพื่อน.   พราหมณ์ ๘ คนนั้น  ตรวจลักษณะ
แล้ว ๗ คน  ทำนายคติแห่งพระมหาบุรุษเป็น ๒ ทางว่า  ถ้าทรงดำรง
ฆราวาส  จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  ถ้าเสด็จออกผนวช  จักเป็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า   ส่วนโกณฑัญญพราหมณ์เห็นแน่แก่ใจแล้ว  จึง
ทำนายเฉพาะทางเดียวว่า  จักเสด็จออกผนวช  แล้วได้ตรัสรู้เป็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่.  ตั้งแต่นั้นมา  ได้ตั้งใจว่า  เมื่อถึงคราวเป็น
อย่างนั้นขึ้นและตนยังมีชีวิตอยู่  จักออกบวชตามเสด็จ.

      ครั้นเมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกผนวชแล้ว   กำลังทรงบำเพ็ญ
ทุกรกิริยาอยู่  โกณฑัญญพราหมณ์ทราบข่าวแล้ว  ชวนพราหมณ์
ผู้เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้ตรวจทำนายลักษณะในครั้งนั้น  และทำ
กาลกิริยาแล้ว  ได้ ๔ คน คือ ภัททิยะ ๑  วัปปะ ๑  มหานามะ ๑
อัสสชิ ๑ เป็น ๕ คนด้วยกัน  ออกบวชเป็นบรรพชิตจำพวกภิกษุ
ติดตามพระมหาบุรุษไปอยู่ที่ใกล้  เฝ้าอุปัฏฐากอยู่ด้วยหวังว่า  ท่าน
ตรัสรู้แล้ว  จักทรงเทศนาโปรด.   ภิกษุ ๕ รูปสำรับนี้  เรียกว่า
ปัญจวัคคีย์  แปลว่าเนื่องในพวก ๕   เฝ้าอุปัฏฐากพระมหาบุรุษอยู่
ตลอดเวลาทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาคณนาว่า ๖ ปี.   ครั้นพระมหาบุรุษ
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเต็มที่แล้ว  ทรงลงสันนิษฐานว่ามิใช่ทางพระ
โพธิญาณ  ทรงใคร่จะเปลี่ยนตั้งปธานในจิต  จึงทรงเลิกทุกรกิริยา
นั้นเสีย  กลับเสวยพระกระยาหารแค่นทวีขึ้น  เพื่อบำรุงพระกายให้
มีพระกำลังคืนมา  พวกปัญจวัคคีย์สำคัญว่าทรงท้อแท้ต่อการบำเพ็ญ
พรตอันเข้มงวด  หันมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว  สิ้นเลื่อมใส
สิ้นหวังแล้ว  เกิดเบื่อหน่ายขึ้น  ร่วมใจกันละพระมหาบุรุษเสีย  ไป
อยู่ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน  แขวงนครพาราณสี.
      พระคันถรจนาจารย์แก้ข้อความนี้ว่า   ธรรมดานิยมให้ภิกษุ
ปัญจวัคคีย์มาพบ  และอุปัฏฐากพระมหาบุรุษในเวลากำลังทรงบำเพ็ญ
ทุกรกิริยา  เพื่อจะได้เป็นผู้รู้เห็น   เมื่อถึงคราวทรงแสดงพระธรรม-
เทศนาคัดค้านอัตตกิลมถานุโยค  จะได้เป็นพยานว่า  พระองค์ได้เคย
ทรงทำมาแล้ว  หาสำเร็จประโยชน์จริงไม่   ครั้นถึงคราวต้องการด้วย

วิเวก  บันดาลให้สิ้นภักดี  พากันหลีกไปเสีย.
      ฝ่ายพระมหาบุรุษ  ทรงบำรุงพระกายมีพระกำลังขึ้นแล้ว  ทรง
ตั้งปธานในทางจิต  ทรงบรรลุฌาน ๔  วิชชา ๓  ตรัสรู้อริยสัจ ๔
ทรงวิมุตติจากสรรพกิเลสาสวะบริสุทธิ์ล่วงส่วน   ทรงเสวยวิมุตติสุข
พอควรแก่กาลแล้ว  อันกำลังพระมหากรุณาเตือนพระหฤทัย  ใคร่จะ
ทรงเผื่อแผ่สุขนั้นแก่ผู้อื่น  ทรงเลือกเวหาไนยผู้มีปัญญาสามารถพอจะ
รู้ธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพเห็นปานนั้น   ในชั้นต้น  ทรงพระปรารภถึง
อาฬารดาบส  กาลามโคตร  และอุทกดาบส  รามบุตร   อันพระองค์
เคยไปสำนักอยู่เพื่อศึกษาลัทธิของท่าน   แต่เผอิญสิ้นชีวิตเสียก่อนแล้ว
ทั้ง ๒ องค์   ในลำดับนั้น  ทรงพระปรารภถึงภิกษุปัญจวัคคีย์ผู้เคย
อุปัฏฐากพระองค์มา  ทรงสันนิษฐานว่าจักทรงแสดงประถมเทศนาแก่
เธอ   ครั้นทรงพระพุทธดำริอย่างนี้แล้ว  เสด็จพระพุทธดำเนินจาก
บริเวณพระมหาโพธิ  ไปสู่อิสิปตนมฤคทายวัน.
      ฝ่ายพวกภิกษุปัญจวัคคีย์  ได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จมาแต่ไกล  เข้าใจว่าเสด็จตามมาด้วยปรารถนาจะหาผู้อุปัฏฐาก
เนื่องจากความเป็นผู้มักมากนั้น  นัดหมายกันว่า  จักไม่ลุกขึ้นรับ
จักไม่รับบาตรจีวร  จักไม่ไหว้  แต่จักตั้งอาสนะไว้  ถ้าพระองค์
ปรารถนา  จะได้ประทับ.   ครั้นพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้  อันความ
เคารพที่เคยมา  บันดาลให้ลืมการนัดหมายกันไว้นั้นเสีย  พร้อมกัน
ลุกขึ้นต้อนรับและทำสามีจิกรรมดังเคยมา   แต่ยังทำกิริยากระด้าง
กระเดื่อง  พูดกับพระองค์ด้วยถ้อยคำตีเสมอ  พูดออกพระนาม  และ

ใช้คำว่า  อาวุโส.   พระองค์ตรัสบอกว่า  ได้ทรงบรรลุอมฤตธรรมแล้ว 
จักทรงแสดงให้ฟัง  ตั้งใจปฏิบัติตามแล้ว  ไม่ช้าก็บรรลุธรรมนั้น
บ้าง.   เธอทั้งหลายกล่าวค้านว่า  แม้ด้วยการประพฤติทุกรกิริยา
อย่างเข้มงวด  พระองค์ยังไม่อาจบรรลุอมฤตธรรม   ครั้นคลายความ
เพียรเสียแล้ว  กลับประพฤติเพื่อความมักมาก  ไฉนจะบรรลุธรรมนั้น
ได้เล่า.   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือน  พวกภิกษุปัญจวัคคีย์
พูดคัดค้าน  โต้ตอบกันอย่างนั้นถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง.   พระองค์ตรัสเตือน
ให้เธอทั้งหลายตามระลึกในหนหลังว่า  ท่านทั้งหลายจำได้หรือ  วาจา
เช่นนี้  เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี้ ?  พวกภิกษุปัญจวัคคีย์
นึกขึ้นได้ว่า  พระวาจาเช่นนี้ไม่เคยได้ตรัสเลย  จึงมีความสำคัญใน
อันจะฟังพระองค์ทรงแสดงธรรม.   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้
ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นประถม  ประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณแก่
พวกปัญจวัคคีย์   ในเบื้องต้น  ทรงยกส่วนสุด ๒ อย่าง  คือ  กาม-
สุขัลลิกานุโยค  คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามอันเป็น
ส่วนสุดข้างหย่อน ๑  อัตตกิลมถานุโยค  คือ การประกอบความ
เหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า  อันเป็นส่วนสุดข้างตึง ๑  ขึ้นแสดงว่า  อัน
บรรพชิตไม่พึงเสพ  ในลำดับนั้น  ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา  คือปฏิบัติ
เป็นสายกลาง  ไม่ข้องแวะด้วยส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น  อันมีองค์ ๘ คือ
สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบ ๑  สัมมาสังกัปปะ  ความดำริชอบ ๑
สัมมาวาจา  เจรจาชอบ ๑  สัมมากัมมันตะ  ทำการงานชอบ ๑  สัมมา-
อาชีวะ  เลี้ยงชีวิตชอบ ๑  สัมมาวายามะ  เพียรชอบ ๑  สัมมาสติ
นักธรรมโท - อนุพุทธประวัติ - หน้าที่ 5
ระลึกชอบ ๑  สัมมาสมาธิ  ตั้งใจชอบ ๑.   ในลำดับนั้น  ทรงแสดง
อริยสัจ ๔ คือ  ทุกข์ ๑  สมุทัย  เหตุยังทุกข์ให้เกิด ๑  ทุกข-
นิโรธ  ความดับทุกข์ ๑  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ปฏิบัติถึงความ
ดับทุกข์ ๑  ทุกข์  ทรงยกสภาวทุกข์และเจตสิกทุกข์ขึ้นแสดง  ทุกข-
สมุทัย  ทรงยกตัณหามีประเภท ๓ คือ  กามตัณหา  ภวตัณหา
วิภวตัณหา  ขึ้นแสดง  ทุกขนิโรธ  ทรงยกความดับสิ้นเชิงแห่ง
ตัณหานั้นขึ้นแสดง  ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ทรงยกอริยมรรคมี
องค์ ๘  คือ  มัชฌิมาปฏิปทานั้นขึ้นแสดง.   ในลำดับนั้น  ทรงแสดง
พระญาณของพระองค์อันเป็นไปในอริยสัจ ๔ นั้น  อย่างละ ๓ ๆ คือ
สัจจญาณ  ได้แก่รู้อริยสัจ ๔  นั้น ๑  กิจจญาณ  ได้แก่รู้กิจ  อันจะ
พึงทำเฉพาะอริยสัจนั้น ๆ ๑  กตญาณ  ได้แก่รู้ว่ากิจอย่างนั้น ๆ
ได้ทำเสร็จแล้ว ๑  พระญาณทัสสนะ  มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ใน
อริยสัจ ๔ เหล่านี้  ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด  ยังทรงปฏิญญาพระองค์
ว่าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไม่ได้เพียงนั้น  ต่อบริสุทธิ์แล้ว
จึงทรงอาจปฏิญญาพระองค์อย่างนั้น   ในที่สุด  ทรงแสดงผลแห่ง
การตรัสรู้อริยสัจ ๔ นั้น  เกิดพระญาณเป็นเครื่องเห็นว่าวิมุตติ
คือความพ้นจากกิเลสอาสวะของพระองค์ไม่กลับกำเริบ  ความเกิดครั้งนี้
เป็นครั้งที่สุด  ต่อนี้ไม่มีความเกิดอีก.
      พระธรรมเทศนานี้  พระคันถรจนาจารย์เรียกว่า  พระธรรม-
จักกัปปวัตนสูตร๑  โดยอธิบายว่า  ประกาศศพระสัมมาสัมโพธิญาณ-


เทียบด้วยจักรรัตนะ  ประกาศความเป็นจักรพรรดิราช.
      เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กำลังตรัสพระธรรมเทศนาอยู่
ธรรมจักษุคือดวงตาคือปัญญาอันเห็นธรรมปราศจากธุลีมลทิน  ได้เกิด
ขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวล  มีความดับเป็นธรรมดา.   ท่านผู้ได้ธรรมจักษุ  พระ
อรรถกถาจารย์กล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน  โดยนัยนี้  ธรรมจักษุได้แก่
พระโสดาปัตติมรรค.   ท่านโกณฑัญญะได้บรรลุโลกุตตรธรรมเป็น
ประถมสาวก  เป็นพยานความตรัสรู้ของพระศาสดา  เป็นอันว่า  ทรง
ยังความเป็นสัมมาสัมพุทธให้สำเร็จบริบูรณ์   ด้วยเทศนาโปรดให้
ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วยอย่างหนึ่ง.   สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
ท่านโกณฑัญญะได้เห็นธรรมแล้ว  ทรงเปล่งพระอุทานว่า   อญฺาสิ
วต  โภ  โกณฺฑญฺโญ  อญฺญาสิ  วต  โภ  โกณฺฑญฺโญ  แปลว่า
โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ  เพราะอาศัยพระอุทานว่า  อญฺญาสิ
ที่แปลว่า  ได้รู้แล้ว  คำว่า  อญฺญาโกณฺฑญฺโญ  จึงได้เป็นนามของ
ท่านตั้งแต่กาลนั้นมา.
      ท่านอัญญาโกณฑัญญะ  ได้เห็นธรรมแล้ว  ได้ความเชื่อใน
พระศาสดามั่นคงไม่คลอนแคลน  ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรม-
วินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ทรงรับด้วยพระวาจา
ว่า  มาเถิดภิกษุ  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว  จงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.   พระวาจานั้นย่อมให้สำเร็จอุปสมบท
ของท่าน.   ด้วยว่าในครั้งนั้น  ยังมิได้ทรงพระอนุญาตวิธีอุปสมบท

อย่างอื่น  ทรงพระอนุญาตแก่ผู้ใด  ด้วยพระวาจาเช่นนั้น  ผู้นั้นย่อม
เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้.   อุปสมบทอย่างนี้  เรียกว่า  เอหิภิกขุ-
อุปสัมปทา  ผู้ได้รับพระพุทธานุญาตเป็นภิกษุด้วยพระวาจาเช่นนี้
เรียกว่า  เอหิภิกขุ.   ทรงรับท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นภิกษุในพระ
พุทธศาสนาด้วยพระวาจาเช่นนั้นเป็นครั้งแรก.  จำเดิมแต่กาลนั้นมา
ทรงสั่งสอนท่านทั้ง ๔ ที่เหลือนั้น  ด้วยพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ดตาม
สมควรแก่อัธยาศัย.   ท่านวัปปะและท่านภัททิยะได้ธรรมจักษุแล้ว
ทูลขออุปสมบท  พระศาสดาทรงรับเป็นภิกษุ  ด้วยพระวาจาเช่นเดียว
กัน.   ครั้งนั้น  พระสาวกทั้ง ๓ เที่ยวบิณฑบาต  นำอาหารมาเลี้ยงกัน
ทั้ง ๖ องค์.   ภายหลังท่านมหานามะและท่านอัสสชิได้ธรรมจักษุแล้ว
ทูลขออุปสมบท  ทรงรับโดยนัยนั้น.
      ครั้นภิกษุปัญจวัคคีย์ได้เห็นธรรม  และได้อุปสมบทเป็นสาวก
ทั่วกันแล้ว   สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนา  เป็นทาง
อบรมวิปัสสนา  เพื่อวิมุตติอันเป็นผลที่สุดแห่งพรหมจรรย์อีกวาระหนึ่ง
ทรงแสดงปัญจขันธ์  คือ  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ
ว่าเป็นอนัตตา  มิใช่ตน  หากปัญจขันธ์นี้จักเป็นอัตตาเป็นตนแล้วไซร้
ปัญจขันธ์นี้  ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ  และจะพึงได้ในปัญจขันธ์นี้ว่า
ขอจงเป็นอย่างนี้เถิด  อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย  เพราะเหตุปัญจขันธ์
เป็นอนัตตา  จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ  และย่อมไม่ได้ตามปรารถนาอย่าง
นั้น  ในลำดับนั้น  ตรัสถามนำให้ตริเห็นแล้ว  ปฏิญญาว่า  ปัญจขันธ์
นั้นไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  โดยเนื่องเหตุกันมาเป็นลำดับ

แล้วทรงแนะนำให้ละความถือมั่นในปัญจขันธ์  ทั้งที่เป็นอดีต  อนาคต
ปัจจุบัน  ทั้งที่เป็นภายใน  ทั้งที่เป็นภายนอก  ทั้งที่หยาบ  ทั้งที่ละเอียด
ทั้งที่เลว  ทั้งที่ดี  ทั้งที่อยู่ห่าง  ทั้งที่อยู่ใกล้  ว่านั่นมิใช่ของเรา  นั่นมิใช่
เรา  นั่นมิใช่ตัวของเรา   ในที่สุดทรงแสดงอานิสงส์ว่า  อริยสาวก
ผู้ได้ฟังแล้ว  ย่อมเบื่อหน่ายในปัญจขันธ์  ย่อมปราศจากความกำหนัด
รักใคร่  จิตย่อมพ้นจากความถือมั่น  มีญาณรู้ว่าพ้นแล้ว  รู้ชัดว่า
ความเกิดสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว  กิจที่ควรทำได้
ทำเสร็จแล้ว  ไม่ต้องทำกิจอย่างอื่นอีก  เพื่อบรรลุผลอันเป็นที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์.
      พระธรรมเทศนานี้  แสดงลักษณะเครื่องกำหนดปัญจขันธ์ว่าเป็น
อนัตตา  พระคันถรจนาจารย์จึงเรียกว่า  อนัตตลักขณสูตร.๑
      เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา  ตรัสพระธรรมเทศนาอยู่  จิตของ
ภิกษุปัญจวัคคีย์  ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามกระแสพระธรรมเทศนานั้น
พ้นแล้วจากอาสวะ  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.   ท่านทั้ง ๕ ได้เป็นพระ
อรหันตขีณาสพ  ประพฤติจบพรหมจรรย์  ในพระธรรมวินัยนี้  เป็น
สังฆรัตนะจำพวกแรก  เป็นที่เต็มแห่งพระไตรรัตน์  ประกาศสัมมา
สัมพุทธภาพแห่งพระศาสดาให้ปรากฏ.   ครั้งนั้น  มีพระอรหันต์ทั้ง
สมเด็จพระสุคตด้วยเพียง ๖ พระองค์.
#5

นำรูปมาฝาก(มือใหม่หัดใช้Photoshop)






































#6

เกร็ดประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต



ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
   ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชิ่อจันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปลี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด ฉลาดเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอมอ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะ มีความทรงจำดีและขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะการแสวงหาธรรมและปฏิปทา

   เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดาเต็มความสามารถ

   ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า "เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก" คำสั่งของยายนี้คอยสกิดใจอยู่เสมอ

   ครั้นอายุท่านได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์ ท่านได้ศึกษา ในสำนักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ เมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรมเป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาย์ และพระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะขนานนามมคธ ให้ว่า ภูทตฺโต เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับ พระอาจารย์เสาร์ กันตศีลเถระ ณ วัดเลียบต่อไป

   เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบลเป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้าง เป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร แล้อุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรีบยร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทานธุดงควัตร ต่างๆ

   ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฎ ที่แจ้ง หุบเขาซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับ เจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโตห์ ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนาแก่้สหธรรมิก และอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอีสาน


   ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคระาห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบันคือ อำเภอโคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่าน ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป
ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ
๑.ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้ผ่อนให้คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
๒.บิณฑบาติกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัย จึงงดบิณฑบาต
๓.เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
๔.เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลา แม้อาพาธหนักในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจารบิณฑบาต เป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยว แสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่น ในคราวไปอยู่ภาเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
ธรรมโอวาท

คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อยๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำ
ด้วยกาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ดังนี้

๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเลิศ
๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง

เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนขึ้นเป็นคำกลอนว่า "แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภาพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่" ดังนี้

เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ถือลัทธิฉันเจ ให้เข้าใจทางถูก และ ละเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวเป็นคติขึ้นว่า "เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถืกดงเสือฮ้าย" ดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาท ของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดย ยึดหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลาย ท่านแสดงเอาแต่ใจความว่า..

การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง......

นี้แล คือ คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป...ถ้าทางกายไม่ทำ แต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำสั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไป จนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือ สั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลธรรม และ คอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศีลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์

ท่านพระอาจารย์มั่น แสดงโอวาทธรรม ให้ปรากฏไว้ เมื่อครั้งท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดสระประทุม (ปัจจุบัน คือ วัดประทุมวนาราม) กรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน อาจค้นคว้าหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก มีดังนี้

นมตฺถุ สุคตสฺส ปญฺจธฺนกฺขนฺธานิ

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสุคต บรมศาสดาศากยะมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระนวโลกุตตรธรรม ๙ ประการ และพระ อริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น

บัดนี้ ข้าพเจ้ากล่าวซึ่งธรรมขันธ์ โดยสังเขปตามสติปัญญา

ยังมีท่านคนหนึ่ง รักตัว คิดกลัวทุกข์ อยากได้สุข พ้นภัย เที่ยวผายผัน เขาบอกว่า สุขมีที่ไหน ก็อยากไป แต่เที่ยวหมั่นไปมา อยู่ช้านานนิสัยท่านนั้น รักตัวกลัวตายมาก อยากจะพ้นแท้ๆ เรื่องแก่ตายวันหนึ่ง ท่านรู้จริงซึ่ง สมุทัย พวกสังขาร ท่านก็ปะถ้ำ สนุก สุขไม่หาย เปรียบเหมือนดัง กายนี้เองชะโงกดูถ้ำสนุก ทุกข์คลาย แสนสบาย รู้ตัว เรื่องกลัวนั้นเบา ดำเนินไป เมินมา อยู่หน้าเขา

จะกลับไป ป่าวร้อง พวกพ้องเล่าก็กลัวเขาเหมา ว่าเป็นบ้า เป็นอันจบเรื่องคิด ไม่ติดต่อดีกว่าเที่ยวรุ่มร่าม ทำสอพลอ เดี๋ยวถูกยอ ถูกติ เป็นเรื่อง เครื่องรำคาญ

ยังมี บุรุษ คนหนึ่ง คิดกลัวตาย น้ำใจฝ่อมาหาแล้ว พูดตรงๆ น่าสงสารถามว่า ท่านพากเพียรมา ก็ช้านาน เห็นธรรมที่จริง แล้วหรือยัง ที่ใจหวังเอ๊ะ ทำไม จึงรู้ใจฉันบุรุษผู้นั้น ก็อยากอยู่อาศัย ท่านว่าดี ดีฉันอนุโมทนาจะพาดูเขาใหญ่ ถ้ำสนุก ทุกข์ไม่มี คือ กายคตา สติ ภาวนาชมเล่นให้เย็นใจ หายเดือดร้อน หนทางจรอริยวงศ์ จะไป หรือไม่ไป ฉันไม่เกณฑ์ไม่หลอกเล่น บอกความ ให้ตามจริงแล้วกล่าวปริศนาท้าให้ตอบ

ปริศนานั้นว่า ระวิ่ง คืออะไร ตอบว่า วิ่งเร็ว คือ วิญญาณ อาการใจเดินเป็นแถว ตามแนวกันสัญญาตรง น่าสงสัย ใจอยู่ใน วิ่งไปมา สัญญาเหนี่ยวภายนอก หลอกลวงจิตทำให้จิตวุ่นวาย เที่ยวส่ายหา หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา

ถามว่า ห้าขันธ์ ใครพ้น จนทั้วปวงแก้ว่า ใจซิพ้น อยู่คนเดียว ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติด สิ้นพิศวงหมดที่หลง อยู่เดียวดวงสัญญาทะลวงไม่ได้ หมายหลงตามไป
ถามว่า ที่ตาย ใครเขาตาย ที่ไหนกัน
แก้ว่า สังขารเขาตาย ทำลายผล

ถามว่า สิ่งใดก่อ ให้ต่อวน
แก้วว่ากลสัญญา พาให้เวียน เชื่อสัญญาจึงผิด คิดยินดี ออกจากภพนี้ ไปภพนั้น เที่ยวหันเหียน เลยลืมจิต จำปิด สนิทเนียน ถึงจะเพียรหาธรรม ก็ไม่เห็น

ถามว่า ใครกำหนด ใครหมาย เป็นธรรม
แก้ว่า ใจกำหนด ใจหมาย เรื่องหา เจ้าสัญญา นั่นเอง คือว่าดี ว่าชั่ว ผลักจิต ติดรักชัง

ถามว่า กินหนเดียว เที่ยวไม่กิน
แก้ว่า สิ้นอยากดู ไม่รู้หวัง ในเรื่องเห็นต่อไป หายรุงรัง ใจก็นั่งแท่นนิ่ง ทิ้งอาลัย

ถามว่า สระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ
แก้ว่า ธรรมสิ้นอยาก จากสงสัย ใสสะอาดหมดราคี ไม่มีภัย สัญญาในนั้น พรากสังขารขันธ์นั้น ไม่ถอน ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ ไม่มีพร่อง เงียบสงัด ดวงจิต ไม่คิดปอง เป็นของควรชมชื่น ทุกคืนวัน แม้ได้สมบัติทิพย์ สักสิบแสน หากแม้นรู้จริง ทิ้งสังขาร หมดความอยากเป็นยิ่ง สิ่งสำคัญ จำส่วนจำ กั้นอยู่ ไม่ก้ำเกิน ใจไม่เพลินทั้งสิ้น หายดิ้นรน
เหมือนอย่างว่า กระจกส่องหน้า ส่องแล้ว อย่าคิด ติดปัญญา เพราะว่า สัญญานั้น ดังเงา อย่าได้เมา ไปตามเรื่อง เครื่องสังขาร ใจขยัน จับใจ ที่ไม่บ่น ไหวส่วนตน รู้แน่ เพราะแปรไป ใจไม่เที่ยวของใจ ใช่ต้องว่า รู้ขันธ์ห้า ต่างชนิด เมื่อจิตไหว แต่ก่อนนั้น หลงสัญญา ว่าเป็นใจ สำคัญว่าใน ว่านอก จึงหลอกลวง คราวนี้ ใจเป็นใหญ่ ไม่หมายพึ่ง สัญญาหนึ่ง สัญญาใด มิได้หวังเกิดก็ตาม ดับก็ตาม สิ่งทั้งปวง ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกันหมู่สัญญา เหมือนยืนบน ยอดเขาสูงแท้ แลเห็นดิน แลเห็นสิ้น ทุกตัวสัตว์ แต่ว่า สูงยิ่งนักแลเห็นเรื่องของตน แต่ต้นมา เป็นมรรคาทั้งนั้น เช่นบันได
ถามว่า น้ำขึ้นลง ตรงสัจจา นั้นหรือ? ตอบว่ าสังขารแปร ก็ไม่ได้ธรรมดากรรม แต่ไม่แกล้งใคร ขืนผลักไส จับต้อง ก็หมองมัวชั่วในจิต ไม่ต้องคิด ผิดธรรมดา สภาพสิ่ง เป็นจริง ดีชั่วตามแต่ เรื่องของเรื่อง เปลื้องแต่ตัว ไม่พัวพันสังขาร เป็นการเย็นรู้จักจริง ต้องทิ้งสังขาร เมื่อผันแปร เมื่อแลเห็นเบื่อแล้ว ปล่อยได้คล่อง ไม่ต้องเกณฑ์ ธรรมก็ใจ เย็นใจ ระงับดับสังขารรับอาการ
ถามว่า ห้าหน้าที่ มีครบครันแก้ว่า ขันธ์ แย่งแยก แจกห้าฐานเรื่องสังขาร ต่างกอง รับหน้าที่ มีกิจการจะรับงานอื่น ไม่ได้ เต็มในตัวแม้ลาภยศสรรเสริญ เจริญสุข นินทาทุกข์ เสื่อมยศ หมดลาภทั่วรวมลง ตามสภาพ ตามเป็นจริง ทั้ง ๘ สิ่ง ใจไม่หัน ไปพัวพันเพราะว่า รูปขันธ์ ก็ทำแก้ไข มิได้ถ้วนนาม ก็มิได้พัก เหมือนจักรยนต์ เพราะรับผลของกรรม ที่ทำมาเรื่องดี ถ้าเพลิดเพลิน เจริญใจ เรื่องชั่วขุ่น วุ่นจิต คิดไม่หยุดเหมือนไฟจุด จิตหมอง ไม่ผ่องใส นึกขึ้นเอง ทั้งรัก ทั้งโกรธ ไม่โทษใครอยากไม่แก่ ไม่ตาย ได้หรือคน เป็นของพ้นวิสัย จะได้เชยเช่น ไม่อยากให้จิต เที่ยวคิดรู้ อยากให้อยู่เป็นหนึ่ง หวังพึ่งเฉยจิตเป็นของผันแปร ไม่แน่เลย สัญญาเคย อยู่ได้บ้าง เป็นครั้งคราวถ้ารู้เท่า ธรรมดา ทั้งห้าขันธ์ ใจนั้น ก็ขาวสะอาด หมดมลทิล สิ้นเรื่องราว

ถ้ารู้ได้ อย่างนี้ จึงดียิ่ง เพราะเห็นจริง ถอนหลุด สุดวิธีไม่ฝ่าฝืนธรรมดา ตามเป็นจริง จะจน จะมี ตามเรื่อง เครื่องนอกในดีหรือชั่ว ต้องดับ เลื่อนลับไป ยึดสิ่งใดไม่ได้ ตามใจหมาย ในไม่เที่ยว ของใจ ไหววะวับ สังเกตจับ รู้ได้สบายยิ่งเล็กบังใหญ่ ไม่รู้ทัน ขันธ์บังธรรมไม่เห็น เป็นธุลีไปส่วนธรรม มีใหญ่กว่าขันธ์ นั้นไม่แล

ถามว่า-มี-ไม่มี ไม่มีนี้ คืออะไร? ที่นี้ติดหมด คิดแก้ไม่ไหว เชิญชี้ให้ชัด ทั้งอรรถแปล โปรดแก้เถิดที่ว่าเกิดมีต่างๆ ทั้งเหตุผล แล้วดับ ไม่มีชัด ใช่สัตว์คนนี่ข้อต้น มีไม่มี อย่างนี้ตรง ข้อปลายไม่มี มีนี้ เป็นธรรมที่ล้ำลึก ใครพบ จบประสงค์ ไม่มีสังสาร มีธรรม ที่มั่นคงนั่นแลองค์ธรรมเอก วิเวกจริงธรรมเป็นหนึ่ง ไม่แปรผัน เลิศพบ สงบนิ่งเป็นอารมณ์ของใน ไม่ไหวติง ระงับยิ่ง เงียบสงัด ชัดกับใจใจก็สร่าง จากเมา หายเร่าร้อน ความอยาก ถอนได้หมด ปลดสงสัยเรื่องพัวพัน ขันธ์ห้า ช้าสิ้นไป เครื่องหมุนไป ไตรจักร ก็หักลง ความอยาก ใหญ่ยิ่ง ก็ทิ้งหลุด ความรักหยุด หายสนิท สิ้นพิศวงร้อนทั้งปวง ก็หายหมด ดังใจ จง เชิญเถิด ชี้อีกสักอย่าง หนทางใจ สมุทัยของจิต ที่ปิดธรรมแก้ว่า สมุทัย ยิ่งใหญ่นักย่อลงคือ ความรักบีบใจ ทำลายขันธ์

ถ้าธรรมมีกับจิต เป็นนิจนิรันดร์ เป็นเลิศกัน สมุทัย มิได้มีจงจำไว้อย่างนี้ วิถีจิต ไม่ต้องคิดเวียนวน จนป่นปี้ธรรมไม่มี อยู่เป็นนิจ ติดยินดี ใจจากที่ สมุทัย อาลัยตัวว่าอย่างย่อ ทุกข์กับธรรม ประจำจิต จิตคิด รู้เห็นจริง จึงเย็นทั่วจะสุข ทุกข์เท่าไร มิได้กลัว สร่างจากเครื่องมัว คือสมุทัย ไปที่ดีรู้เท่านี้ก็จะคลาย หายความร้อน พอดักผ่อน สืบแสวงหา ทางดีจิตรู้ธรรม ลืมจิต ที่ติดธุลี ใจรู้ธรรม ที่เป็นสุข ขันธ์ทุกขันธ์ แน่ประจำใจธรรมคงเป็นธรรม ขันธ์คงเป็นขันธ์ เท่านั้นแล

คำว่าเย็นสบาย หายเดือดร้อนหมายจิตถอนจากผิด ที่ติดแก้ ส่วนสังขารขันธ์ ปราศจากสุข เป็นทุกข์แท้เพราะต้องแก่ ไข้ตาย ไม่วายวันจิตรู้ธรรมที่ล้ำเลิศ จิตก็ถอน จากผิด เครื่องเศร้าหมอง ของแสลงผิดเป็นโทษของใจ อย่างร้ายแรง เห็นธรรมแจ้ง ธรรมผิด หมดพิษใจจิตเห็นธรรม ดีเลิศที่พ้น พบปะธรรม ปลดเปลื้อง เครื่องกระสันมีสติกับตัว บ่พัวพัน เรื่องรักขันธ์หายสิ้น ขาดยินดีสิ้นธุลีทั้งปวง หมดห่วงใย ถึงจะคิด ก็ไม่ทันห้าม ตามนิสัย เมื่อไม่ห้าม กลับไม่ฟุ้ง ยุ่งไป พึงได้รู้ ว่าบาปมีขึ้น เพราะขืนจริงตอบว่า บาปเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ ถ้าปิดประตู เขลาได้ สบายยิ่งชั่วทั่งปวง เงียบหาย ไม่ไหวติง ขันธ์ทุกสิ่ง ย่อมทุกข์ ไม่สุขเลย แต่ก่อน ข้าพเจ้ามืดเขลา เหมือนเข้าถ้ำอยากเห็นธรรม ยึดใจ จะให้เฉยยึดความจำ ว่าเป็นใจ หมายจนเคย เลยเพลินเชยชม จำธรรม มานานความจำผิด ปิดไว้ ไม่ให้เห็น จึงหลงเล่น ขันธ์ ๕ น่าสงสาร ให้ยกตัว ออกตน พ้นประมาณ เที่ยวระราน ติคนอื่น เป็นพื้นใจไม่ได้ผล เที่ยวดู โทษคนอื่น ขื่นใจ เหมือนก่อไฟ เผาตัว ต้องมัวมอมใครผิดถูก ดีชั่ว ก็ตัวเขา ใจของเรา เพียงระวัง ตั้งถนอมอย่าให้อกุศล วนมาตอม ควรถึงพร้อม บุญกุศล ผลสบายเห็นคนอื่นเขาชั่ว ตัวก็ดี เป็นราคียึดขันธ์ ที่มั่นหมายยึดขันธ์ ต้องร้อนแท้ ก็แก่ตาย เลยซ้ำแท้ กิเลสเข้ากลุ้ม รุมกวนเต็มทั้งรัก ทั้งโกรธ โทษประจักษ์ ทั้งหลงนัก หนักจิต คิดโทษหวนทั้งอารมณ์ การห้า ก็มาชวน ยกกระบวนทุกอย่าง ต่างๆ กันเพราะยึดขันธ์ทั้ง ๕ ว่าของตน จึงไม่พ้น ทุกข์ร้าย ไปได้เลย

ถ้ารู้โทษของตัวแล้ว อย่าช้าเฉย ดูอาการ สังขาร ที่ไม่เที่ยงร่ำไป ให้ใจเคยคงได้เชยชมธรรมอันเอก วิเวกจิต ไม่เพียงนั้น หมายใจไหว จากจำเห็นแล้วขำ ดู ดูอยู่ ไหว อารมณ์นอก ดับระงับไปหมด ปรากฏธรรม

เห็นธรรมแล้ว ย่อมหาย วุ่นวายจิต จิตนั้นไม่ติดคู่ จริงเท่านี้หมดประตู รู้ไม่รู้ อย่างนี้ วิธีจิต รู้เท่าที่ ไม่เที่ยง จิตต้นฟื้น ริเริ่มคงจิตเดิม อย่างเที่ยงแท้ รู้ต้นจิต พ้นจาก ผิดทั้งปวง ไม่ห่วงถ้าออกไป ปลายจิต ผิดทันทีคำที่ว่า มืดนั้น เพราะจิต คิดหวงดี จิตหวงนี้ ปลายจิต คิดออกไปจิตต้นที่ เมื่อธรรมะปรากฏ หมดสงสัย เห็นธรรมอันเกิด เลิศโลกาเรื่องจิตค้น วุ่นหามา แต่ก่อน ก็เลิกถอน เปลื้องปลด หมดได้ ไปสิ้นยังมีทุกข์ ต้องหลับนอน กับกิน ไปตามเรื่องธรรมดาของจิต ต้องคิดนึก พอรู้สึก จิตคุ้น พ้นรำคาญเงียบสงัด จากมาร เครื่องรบกวนธรรมดา สังขารปรากฏ หมดด้วยกัน เสื่อมทั้งนั้น คงไม่มีเลยระวังใจ เมื่อจำ ทำละเอียด มันจะเบียด ให้จิต ไปติดเฉยใจไม่เที่ยงของใจ ซ้ำให้เคยเมื่อถึงเฮย หากรู้เอง เพลงของจิต เหมือนดั่งมายา ที่หลอกลวง ท่านว่า วิปัสสนูกิเลส จำแลงเพศ เหมือนดังจริง ที่แท้ ไม่ใช่จริงรู้ขึ้นเอง นามว่า ความเห็นไม่ใช่เข่น ฟังเข้าใจ ชั้นไต่ถาม ทั้งไตร่ตรอง แยกแยะ และ รูปนาม ก็ใช่ ความเห็นต้อง จงเล็งดูจิตตน พ้นรำคาญ ต้นจิต รู้ตัว ว่าสังขารเรื่องแปรปรวน ใช่ขบวนไป ดู หรือ รู้จริง อะไรรู้อยู่ เพราะหมายคู่ ก็ไม่ใช่จิตคงรู้จิตเอง เพราะเพลงไหว จิตรู้ไหว ไหวก็จิต คิดกันไปแยกไม่ได้ตามจริง สิ่งเดียวกันจิตเป็นของอาการ เรียกว่า สัญญา พาพัวพันไม่เที่ยงนั้น ก็ตัวเอง ไปเล็งใคร ใจรู้เสื่อมรส หมดสงสัย ขาดต้นคว้า หาเรื่อง เครื่องนอกในเรื่องจิตอยาก ก็หยุด ให้หายหิว พ้นหนักใจทั้งหลาย หายอิดโรยเหมือนฝนโปรย ใจก็เย็น ด้วยเห็นใจ ใจเย็นเพราะ ไม่ต้อง เที่ยวมองคนรู้จิต คิดปัจจุบัน พ้นหวั่นไหว ดีหรือชั่ว ทั้งปวง ไม่ห่วงใยเพราะดับไปทั้งเรื่อง เครื่องรุงรังอยู่เงียบๆ ต้นจิต ไม่คิดอ่าน ตามแต่การของจิต สิ้นคิดหวังไม่ต้องวุ่น ไม่ต้องวาย หายระวัง นอนหรือนั่ง นึกพ้น อยู่ต้นจิตท่านชี้มรรค ทั้งหลักแหลม ช่างต่อแต้ม กว้งขวาง สว่างใสยังอีกอย่าง ทางใจ ไม่หลุดสมุทัยขอจงโปรด ให้ชี้พิศดาร เป็นการดี

ตอบว่าสมุทัย คืออาลัยรัก เพลินยิ่งนัก ทำภพใหม่ ไม่หน่ายหนีว่าอย่างต่ำ กามคุณห้า เป็นราคี อย่างสูงชี้ สมุทัย อาลัยฌาน ถ้าจะจับ ตามวิธี มีในจิต ก็เรื่องคิด เพลินไป ในสังขารเคยทั้งปวง เพลินมา เสียช้านาน กลับเป็นการดีไป ให้เจริญจิตไปในส่วนที่ผิด ก็เลยแตกกิ่งก้าน ฟุ้งซ่านใหญ่เที่ยวเพลินไป ในผิด ไม่คิดเขิน สิ่งใดชอบอารมณ์ ก็ชมเพลินเพลินจนเกิน ลืมตัว ไม่กลัวภัย เพลินดูโทษคนอื่น ดื่นด้วยชั่วโทษของตัว ไม่เห็น เป็นไฉนโทษคนอื่น เขามาก สักเท่าไร ไม่ทำให้เรา ตกนรก เสียเลย โทษของเรา เศร้าหมอง ไม่ต้องมาก ลงวิบาก ไปตกนรก แสนสาหัสหมั่นดูโทษตนไว้ ให้ใจเคยเว้นเสียซึ่งโทษนั้นคงได้เชิญชมสุข พ้นทุกข์ภัย

เมื่อเห็นโทษตนชัด พึงตัดทิ้ง ทำอ้อยอิ่ง คิดมาก จากไม่ได้เรื่องอยากดี ไม่หยุด คือ สมุทัย เป็นโทษใหญ่ กลัวจะไม่ดี นี้ก็แรง ดีไม่ดี นี้เป็นผิด ของจิตนัก เหมือนไข้หนัก ถูกต้อง ของแสลง กำเริบโรค ด้วยพิษ ผิดสำแดง ธรรมไม่แจ้ง เพราะอยากดี นี้เป็นเดิม ความอยากดี มีมาก มักลากจิต ให้เที่ยวคิด วุ่นไป จนใจเหิมสรรพชั่ว มัวหมอง ก็ต้องเติม ผิดยิ่งเพิ่ม ร่ำไป ไกลจากธรรม ที่จริงชี้ สมุทัย นี้ ใจฉันคร้าม ฟังเนื้อความไปข้างฟุ้ง ทางยุ่งยิ่งเมื่อชี้มรรค ฟังใจ ไม่ไหวติง ระงับนิ่ง ใจสงบ จบกันทีอันนี้ เชื่อว่า ขันธะวิมุติสมังคีธรรมประจำอยู่กับที่ ไม่มีอาการไป ไม่มีอาการมาสภาวธรรมที่เป็นจริง สิ่งเดียวเท่านั้น และไม่มีเรื่อง จะแวะะเวียนสิ้นเนื้อความ แต่เพียงเท่านี้ผิดหรือถูก จงใช้ปัญญาตรองดู ให้รู้เถิด

พระภูริทัตโต (มั่น) วัดสระประทุมวัน เป็นผู้แต่ง
ปัจฉิมบท

   ในวัยชรา นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่น มาอยู่ที่จังหวัดสกลนครเปลี่ยนอิริยาบทไปตามสถานที่วิเวก ผาสุขวิหารหลายแห่ง คือ ณ เสนาสนะป่า บ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง (ปัจจุบัน เป็นอำเภอโคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ๆ แถวนั้นบ้างครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึง ปีสุดท้ายของชีวิต

   ตลอดเวลา ๘ ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระ อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ทางสมถวิปัสสนาเป็นอันมากได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์ เป็นประจำวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่แล้ว ให้ชื่อว่า "มุตโตทัย"ครั้นมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างขึ้น ๘๐ ปี ท่านเรื่มอาพาธเป็นไข้ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิด ได้เอาธุระรักษาพยาบาลไปตามกำลังความสามารถอาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น

   ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษา ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกล ต่างก็ทะยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษาแล้วนำมาที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษาและศิษยานุศิษย์ ก็มาเยี่ยมพยาบาล อาการอาพาธ มีแต่ทรงกับทรุด โดยลำดับ

   ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นำท่านมาพักที่ วัดป่าสุทธาวาส ใกล้เมืองสกลนครโดยพาหนะรถยนต์ของแขวงการทางมาถึงวัด เวลา ๑๒.๐๐ น. เศษ ครั้นถึงเวลา ๐๒.๒๓ น.ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ ในท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลายมีเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน รวม ๕๖ พรรษา

การบำเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่ ประมวลในหลัก ๒ ประการ ดังนี้

   ๑.ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศีลธรรมอันดีงามแก่ประชาชนพลเมือง ของทุกชาติ ในทุกๆ ถิ่น ที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอีสานเกือบทั่วทุกจังหวัดไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองของประเทศทำให้พลเมืองของชาติ ผู้ได้รับคำสั่งสอน เป็นคนมีศีลธรรมดีมีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครองของผู้ปกครอง ชื่อว่าได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติ ตามควรแก่สมณวิสัย
   ๒.ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ ได้บรรพชาและอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ด้วยความเชื่อ และความเลื่อมใสจริงๆ ครั้นบวชแล้วก็ได้เอาธุระศึกษา และปฏิบัติธรรมวินัย ด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริงๆ ไม่ทอดธุระในการบำเพ็ญสมณธรรม

   ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง ๔ ประการดังกล่าวแล้วในเบื้องต้นได้ดำรงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญ ได้นำหมู่คณะ ฟื้นฟูปฏิบัติพระธรรมวินัยได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ และ พระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจ ตามหลักการสมถวิปัสสนาอันเป็นสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ตรัสสอนไว้ว่า เป็นผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยว อดทนไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วยโลกธรรมอย่างไร ก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตามคงมั่นอยู่ในธรรมวินัย ตามที่พระบรมศาสดาประกาศแล้วตลอดมา ทำตนให้เป็นทิฏฐานุคติ แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี ท่านได้จาริกไปตามสถานที่วิเวกต่างๆ คือ บางส่วนของภาคกลาง เกือบทั่วทุกจังหวัด ในภาคเหนือเกือบทุกจังหวัด ของภาคอีสาน และแถบบางส่วนของต่างประเทศอีกด้วย

   นอกจากเพื่อวิเวกในส่วนตนแล้วท่านมุ่งไปเพื่อสงเคราะห์ผู้มีอุปนิสัยในถิ่นนั้นๆ ด้วยผู้ได้รับสงเคราะห์ด้วยธรรมจากท่านแล้ว ย่อมกล่าวไว้ด้วยความภุมิใจว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา

   ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านหลวงปู่ ได้รับพระกรุณาจากพระสังฆราชเจ้า ในฐานะเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตติกา ให้เป็นพระอุปัชฌายะ ในคณะธรรมยุตติกา ตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่และได้รับตั้งเป็น พระครูวินัยธร ฐานานุกรมของ เจ้าพระคุณพระอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์)ท่านก็ได้ทำหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อย ตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่ ครั้นจากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านก็งดหน้าที่นั้นโดยอ้างว่าแก่ชราแล้ว ขออยู่ตามสบาย

   งานศาสนาในด้านวิปัสสนาธุระ นับว่า ท่านได้ทำเต็มสติกำลังยังศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ให้อาจหาญรื่นเริงในสัมมาปฏิบัติตลอดมานับแต่พรรษาที่ ๒๓ จนถึงพรรษาที่ ๕๖ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านอาจกล่าวได้ ด้วยความภูมิใจว่า ท่านเป็นพระเถระ ที่มีเกียรติคุณเด่นที่สุด ในด้านวิปัสสนาธุระรูปหนึ่ง ในยุคปัจจุบัน


#7
พระพี่นาง

























































#8
นางในวรรณคดีไทย

































































#9
ย้อนความเป็นไทยกับศิลปลายไทย


ชุดที่๑





















#10

มีเงินมาให้ค่ะ หยิบใส่กระเป๋าได้เลยค่ะ

รักในหลวงมากๆค่ะขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ลิงค์ข้างล่างนี้เลยค่ะ
[/COLOR][/U][/I][/B]




#11


ธนบัตรไทยในอดีต

กระทู้นี้หากทางเวปมาสเตอร์มิเห็นสมควรลบได้เลยนะค่ะ
[/COLOR]





























































#12

พาอ่านหนังสือ ตอนที่ 4 มหามิตร -พระอานนท์พุทธอนุชา


๔. มหามิตร


พูดถึงความจงรักภักดี และความเคารพรักในพระผู้มีพระภาค พระอานนท์มีอยู่อย่างสุดพรรณนา ยอมสละแม้แต่ชีวิตของท่านเพื่อพระพุทธเจ้าได้ อย่างเช่นครั้งหนึ่ง พระเทวทัตร่วมกับพระเจ้าอชาตศัตรู วางแผนสังหารพระจอมมุนี โดยการปล่อยนาฬาคิรีซึ่งกำลังตกมันและมอมเหล้าเสีย ๑๖ หม้อ ช้างนาฬาคิรียิ่งคะนองมากขึ้น

วันนั้นเวลาเช้า พระพุทธองค์มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เข้าสู่นครราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต ในขณะที่พระองค์กำลังรับอาหารจากสตรีผู้หนึ่งอยู่นั้น เสียงแปร๋นแปร๋นของนาฬาคิรีดังขึ้น ประชาชนที่คอยดักถวายอาหารแด่พระผู้มีพระภาค แตกกระจายวิ่งเอาตัวรอด ทิ้งภาชนะอาหารเกลื่อนกลาด พระพุทธองค์เหลียวมาทางซึ่งช้างใหญ่กำลังวิ่งมาด้วยอาการสงบ พระอานนท์พุทธอนุชาเดินล้ำมายืนเบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาค ด้วยคิดจะป้องกันชีวิตของพระศาสดาด้วยชีวิตของท่านเอง

"หลีกไปเถิด - อานนท์ อย่าป้องกันเราเลย" พระศาสดาตรัสอย่างปกติ
"พระองค์ผู้เจริญ!" พระอานนท์ทูล "ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ประดุจโพธิ์และไทรเป็นที่พึ่งของหมู่นก เหมือนน้ำเป็นที่พึ่งของหมู่ปลา และป่าเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์จตุบททวิบาท พระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ได้สละสิ่งซึ่งมีค่าน้อยเพื่อรักษาสิ่งซึ่งมีค่ามาก เหมือนสละกระเบื้อง เพื่อรักษาไว้ซึ่งแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้าฯ"

"อย่าเลย อานนท์! บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงตถาคตลงจากชีวิตได้ ไม่ว่าสัตว์ดิรัจฉาน หรือมนุษย์ หรือเทวดา มาร พรหมใดๆ"

ขณะนั้นนาฬาคิรี วิ่งมาจวนจะถึงองค์พระจอมมุนีอยู่แล้ว เสียงร้องกรีดของหมู่สตรีดังขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน ทุกคนอกสั่นขวัญหนี นึกว่าครั้งนี้แล้วเป็นวาระสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นพระศาสดา ผู้บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาซึ่งทรงอบรมมาเป็นเวลายืดยาวนานหลายแสนชาติสร้านออกจากพระหฤทัยกระทบเข้ากับใจอันคลุกอยู่ด้วยความมึนเมาของนาฬาคิรี ช้างใหญ่หยุดชะงักเหมือนกระทบกับเหล็กท่อนใหญ่ ใจซึ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย เพราะโมหะของมันสงบเย็นลง เหมือนไฟน้อยกระทบกับอุทกธารา พลันก็ดับวูบลง มันหมอบลงแทบพระมงคลบาทของพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์อันวิจิตร ซึ่งกำลังมาด้วยบุญญาธิการลูบศีรษะของพญาช้าง พร้อมด้วยตรัสว่า

"นาฬาคิรีเอย! เธอถือกำเนิดเป็นดิรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน"
นาฬาคิรีสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้งวงเคล้าเคลียพระชงฆ์ของพระผู้มีพระภาค เหมือนสารภาพผิด ความมึนเมาและตกมันปลาสนาการไปสิ้น

นี่แล พุทธานุภาพ !!
ประชาชนเห็นเป็นอัศจรรย์ พากันสักการบูชาพระศาสดาด้วยดอกไม้และของหอมจำนวนมาก

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงพระประชวรด้วยโรคลมในพระอุทร พระอานนท์เป็นห่วงยิ่งนัก จึงได้ปรุงยาคู (ข้าวต้ม ต้มจนเหลว) ด้วยมือของท่านเอง แล้วน้อมนำเข้าไปถวาย เพราะพระพุทธองค์เคยตรัสว่า ยาคูเป็นยาไล่ลมในท้องในลำไส้ได้ดี พระพุทธองค์ตรัสถามว่า
"อานนท์! เธอได้ยาคูมาจากไหน?"
"ข้าพระองค์ปรุงเอง พระเจ้าข้าฯ"
"อานนท์! ทำไมเธอจึงทำอย่างนี้ เธอทำสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสมณะ เธอทราบมิใช่หรือว่าสมณะไม่ควรปรุงอาหารเอง ทำไมเธอจึงมักมากถึงปานนี้ เอาไปเทเสียเถิดอานนท์ เราไม่รับยาคูของเธอดอก พระอานนท์คงก้มหน้านิ่ง ท่านมิได้ปริปากโต้แย้งเลยแม้แต่น้อย ท่านเป็นผู้น่าสงสารอะไรเช่นนั้น!

ครั้งหนึ่งพระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งเป็นโทษ เป็นเหตุให้ทรงอึดอัด มีพุทธประสงค์จะเสวยยาระบาย พระอานนท์ทราบแล้วจึงไปหาหมอชีวกโกมารภัจแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ หมอเรียนท่านว่า ขอให้ท่านกราบทูลให้พระองค์ทรงพักผ่อน เพื่อให้พระกายชุ่มชื่นสัก ๒-๓ วัน พระอานนท์ก็กระทำตามนั้นได้เวลาแล้วท่านก็ไปหาหมออีก หมอชีวกได้ปรุงยาระบายพิเศษอบด้วยก้านอุบลสามก้านถวายให้พระผู้มีพระภาคสูดดมมิใช่เสวย ปรากฏว่าทรงระบายถึงสามสี่ครั้ง

อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ประทับ ณ นครเวสาลี ทรงประชวรหนัก และทรงใช้ความเพียรขับไล่อาพาธนั้นจนหาย พระอานนท์ทูลความในใจของท่านแด่พระผู้มีพระภาคว่า

พระองค์ผู้ทรงเจริญ! เมื่อพระองค์ทรงประชวรอยู่นั้น ข้าพระองค์กลุ้มใจเป็นที่สุด กายของข้าพระองค์เหมือนงอมระงมไปด้วยความรู้สึกเหมือนว่า ทิศทั้งมืดมน แต่ข้าพระองค์ก็เบาใจอยู่หน่อยหนึ่ง ว่าพระองค์คงจักไม่ปรินิพพาน จนกว่าจะได้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง

พระอานนท์นี้เอง เป็นผู้ออกแบบจีวรของพระสงฆ์ ซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าดำรงชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ นับว่าเป็นแบบเครื่องแต่งกายเก่าแก่ที่สุดในโลกและยังทันสมัยอยู่เสมอ เข้าได้ทุกการทุกงาน

ครั้งหนึ่งท่านตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปสู่ทักขิณาคีรีชนบท พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นคันนาของชาวมคธเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคันนาสั้นๆ คั่นในระหว่าง แล้วตรัสถามพระอานนท์ว่า
"อานนท์! เธอจะทำจีวรแบบนาของชาวมคธนี้ได้หรือไม่?"
"ลองทำดูก่อน พระเจ้าข้าฯ" ท่านทูลตอบ
ต่อมา ท่านได้ทำการตัดเย็บจีวรแบบคันนาของชาวมคธนั้น แล้วนำขึ้นทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณา พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรแล้วเห็นชอบด้วย รับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายใช้จีวรที่ตัดและเย็บแบบที่ท่านอานนท์ออกแบบนั้น พร้อมกันนั้นได้ตรัสชมเชยท่านอานนท์ท่ามกลางสงฆ์ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย! อานนท์เป็นคนฉลาดมีปัญญาสามารถเข้าใจในคำที่เราพูดแต่โดยย่อได้โดยทั่วถึง"

พูดถึงเรื่องประหยัด หรือใช้สิ่งของให้คุ้มค่า พระอานนท์ก็เป็นผู้ประหยัดและฉลาดในเรื่องนี้มาก ดังครั้งหนึ่งหลังพุทธปรินิพพาน ท่านเดินทางโดยทางเรือไปสู่นครโกสัมพี เพื่อประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ พระหัวดื้อตามรับสั่งของพระผู้มีพระภาค ขึ้นจากเรือแล้วท่านเข้าอาศัยพัก ณ อุทยานของพระเจ้าอุเทนราชาแห่งนครนั้น

ขณะนั้นพระเจ้าอุเทนและพระมเหสีประทับอยู่ ณ พระราชอุทยาน พระมเหสีทรงทราบว่าพระอานนท์มาก็ทรงโสมนัส ทูลลาพระสวามีไปเยี่ยมพระอานนท์ สนทนาพอเป็นสัมโมทนียกถาแล้ว พระอานนท์แสดงธรรมเป็นที่เสื่อมใสจับจิตยิ่งนัก พระนางได้ถวายจีวรจำนวน ๕๐๐ ผืน ในเวลาต่อมาแด่อานนท์ พระเจ้าอุเทนทรงทราบเรื่องนี้แทนที่จะทรงพิโรธพระมเหสีกลับทรงตำหนิท่านอานนท์ว่ารับจีวรไปทำไมมากมายหลายร้อยผืน จะไปตั้งร้านขายจีวรหรืออย่างไร เมื่อมีโอกาสได้พบพระอานนท์ พระองค์จึงเรียนถามว่า

"พระคุณเจ้า! ทราบว่า พระมเหสีถวายจีวรพระคุณเจ้า ๕๐๐ ผืน พระคุณเจ้ารับไว้ทั้งหมดหรือ?"

"ขอถวายพระพร อาตมาภาพรับไว้ทั้งหมด" พระอานนท์ทูล

"พระคุณเจ้ารับไว้ทำไมมากมายนัก?"

"เพื่อแบ่งถวายภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวรเก่าคร่ำคร่า"

"จะเอาจีวรเก่าคร่ำคร่าไปทำอะไร?"

"เอาไปทำเพดาน"

"จะเอาผ้าเพดานเก่าไปทำอะไร?"

"เอาไปทำผ้าปูที่นอน"

"จะเอาผ้าปูที่นอนเก่าไปทำอะไร?"

"เอาไปทำผ้าปูพื้น"

"จะเอาผ้าปูพื้นเก่าไปทำอะไร?"

"เอาไปทำผ้าเช็ดเท้า"

"จะเอาผ้าเช็ดเท้าเก่าไปทำอะไร?"

"เอาไปทำผ้าเช็ดธุลี"

"จะเอาผ้าเช็ดธุลีเก่าไปทำอะไร?"

"เอาไปโขลกขยำกับโคลนแล้วฉาบทาฝา?"

พระเจ้าอุเทนทรงเลื่อมใสว่า สมณศากยบุตรเป็นผู้ประหยัด ใช้ของไม่ให้เสียเปล่า จึงถวายจีวรแก่พระอานนท์อีก ๕๐๐ ผืน

พระอานนท์นอกจากเป็นผู้กตัญญูต่อผู้ใหญ่แล้วยังสำนึกแม้ในอุปการะของผู้น้อยด้วย ศิษย์ของท่านเองที่กระทำดีต่อท่านเป็นพิเศษ ท่านก็อนุเคราะห์เป็นพิเศษ เช่น คราวหนึ่งท่านได้จีวรมาเป็นจำนวนร้อยๆ ผืน ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลถวาย ท่านระลึกถึงศิษย์รูปหนึ่งของท่านซึ่งทำอุปการะปฏิบัติต่อท่านดี มีการถวายน้ำล้างหน้าไม้ชำระฟัน ปัดถวายเสนาสนะ ที่อาศัย เวจจกุฎี เรือนไฟ นวดมือนวดเท้า เป็นต้น แปลว่าศิษย์ผู้นี้ปฏิบัติดีต่อท่านมากกว่าศิษย์อื่นๆ และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ท่านจึงมอบจีวรที่ได้มาทั้งหมดแด่ศิษย์รูปดังกล่าวนี้

เนื่องจากพระภิกษุรูปนี้เป็นพระดีจริงๆ จึงนำจีวรที่อุปฌายะมอบให้ไปแจกภิกษุผู้ร่วมอุปฌายะเดียวกันจนหมดสิ้น ดูเหมือนจะเป็นความประสงค์ของพระอานนท์ที่จะให้เป็นเช่นนั้นด้วย ภิกษุทั้งหลายไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถาม
"มีเรื่องอะไรหรือ - ภิกษุ?"

เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบแล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย! การทำเพราะเห็นแก่หน้าคืออคติ หามีแต่อานนท์ไม่ แต่ที่อานนท์ทำเช่นนั้น ก็เพราะระลึกถึงอุปการะของศิษย์ผู้นั้นซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อเธอเหลือเกิน ภิกษุทั้งหลาย! ขึ้นชื่อว่าอุปการะผู้อื่นแม้แต่น้อย อันบัณฑิตพึงระลึกถึงและหาทางตอบแทนในโอกาสอันควร"

#13
นำ เรือที่ใช้ในพระราชพิธีมาให้ชมกัน






























































#14


๓. พุทธอุปฐากผู้เป็นบัณฑิต
          ขณะที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์นั้น มีเจ้าชายในศากยวงศ์หลายพระองค์ได้เสด็จออกบรรพชา เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ตามทางแห่งพระพุทธองค์ พระโลกนาถสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ นิโครธารามตามพระอัธยาศัยพอสมควรแล้ว ทรงละกบิลพัสดุ์ไว้เบื้องหลัง แล้วสู่แคว้นมัลละ สำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ อนุปปิยัมพวัน


เมื่อพระศาสดาจากไปแล้ว เจ้าศากยะทั้งหลายวิพากย์วิจารย์กันว่า เจ้าชายเป็นอันมากได้ออกบวชตามพระศาสดา ยังเหลือแต่เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายอนุรุทธ์ เจ้าชายมหานาม และเจ้าชายภัททิยะ เป็นต้น มิได้ออกบวชตาม ความจริงเจ้าชายเหล่านี้ พระญาติได้ถวายให้เป็นเพื่อนเล่น เป็นบริวารของพระสิทธัตถะในวันขนานพระนาม เจ้าชายเหล่านี้คงมิใช่พระญาติของพระพุทธองค์กระมัง จึงเฉยอยู่มิได้ออกบวชตาม
เจ้าชายมหานาม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ได้ฟังเสียงวิพากย์วิจารย์ดังนี้ รู้สึกละอายพระทัย จึงปรึกษากับพระอนุชา คือเจ้าชายอนุรุทธ์ ว่าเราสองคนพี่น้องควรจะออกบวชเสียคนหนึ่ง ในที่สุดตกลงกันว่าให้พระอนุชาออกบวช แต่พระมารดาไม่ทรงอนุญาต


"ลูกรัก!" พระนางตรัส "เจ้าจะบวชได้อย่างไร การบวชมิใช่เป็นเรื่องง่าย เจ้าต้องเสวยวันละครั้ง ต้องเสด็จด้วยพระบาทเปล่า ต้องบรรทมอย่างง่ายๆ ปราศจากฟูกหมอนอันอ่อนนุ่ม ใช้ไม้เป็นเขนย ต้องอยู่ตามโคนไม้หรือท้องถ้ำ เมื่อต้องการของร้อนก็ได้ของเย็น เมื่อต้องการของเย็นก็ได้ของร้อน ด้วยเหตุนี้แม่จึงไม่ต้องการให้เจ้าบวช"


"ข้าแต่พระบาท!" เจ้าชายอนุรุทธ์ทูล "หม่อมฉันทราบว่าการบวชเป็นความลำบาก และมิใช่เป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพระญาติหลวงพระองค์ซึ่งเคยมีความสุขสบายอย่างหม่อมฉันนี่แหละยัง สามารถบวชได้ ทำไมหม่อมฉันจะบวชบ้างไม่ได้ อีกประการหนึ่ง พูดถึงความสะดวกสบาย พระศาสดาเคยสะดวกสบายกว่าหม่อมฉันมากนัก พระองค์ยังสามารถอยู่ได้โดยไม่เดือนร้อน ทำไมหม่อมฉันจะอยู่ไม่ได้ น่าจะมีความสุขอะไรสักอย่างหนึ่งมาทดแทนความสะดวกสบายที่เสียไป และเป็นความสุขที่ดีกว่าประณีตกว่า หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันทนได้"
"ลูกรัก! ถึงแม้เจ้าจะทนอยู่ในเพศบรรพชิตได้แต่แม่ทนไม่ได้ แม่ไม่เคยเห็นลูกลำบาก และแม่ไม่ต้องการให้ลูกลำบาก ลูกเป็นที่รักสุดหัวใจของแม่ แม่ไม่อยากจะอยู่ห่างลูกแม้เพียงวันเดียว จะกล่าวไยถึงจะยอมให้ลูกไปบวช ซึ่งจะต้องอยู่ห่างแม่เป็นแรมปี อนึ่งเล่าแม่ไม่เห็นว่าจำเป็นอย่างไร ที่จะต้องบวช ถ้าลูกต้องการจะทำความดีเป็นอยู่อย่างคฤหัสถ์ก็ทำได้ และก็ดูเหมือนจะทำได้สะดวกกว่าด้วยซ้ำไป อย่าบวชเลย - ลูกรัก เชื่อแม่เถอะ" ว่าแล้วพระนางก็เอาพระหัตถ์ลูบเส้นพระเกศาเจ้าชายด้วยความกรุณา


"ข้าแต่มารดา! พูดถึงความลำบาก ยังมีคนเป็นอันมากในโลกนี้ที่ลำบากกว่าเรา หรืออย่างน้อยก็ลำบากกว่าบรรพชิต พูดถึงเรื่องการต้องจากกันระหว่างแม่กับลูกยังมีการจากกันอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าการจากไปบวช นั่นคือการต้องจากเพราะความตายมาถึงเข้า และทุกคนจะต้องตาย หลีกไม่พ้น ถูกแล้วที่มารดาบอกว่าการทำความดีนั้นอยู่ที่ไหนก็ทำได้ แต่การบวชอาจจะทำความดีได้มากกว่า เพราะมีโอกาสมากกว่า ถ้าเปรียบด้วยภาชนะสำหรับรองรับน้ำ ภาชนะใหญ่ย่อมรองรับน้ำได้มากกว่าภาชนะเล็ก และภาชนะที่สะอาดย่อมไม่ทำให้น้ำสกปรก เพราะฉะนั้นลูกจึงเห็นว่าการบวชเป็นเสมือนภาชนะใหญ่ที่สะอาด เหมาะสำหรับรองรับน้ำ คือความดี"
"ลูกรู้ได้อย่าง ในเมื่อลูกยังมิได้บวช ความคิดอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้" พระนางมีเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
"ลูกยังไม่รู้ แต่ลูกอยากจะลอง"
"เอาอย่างนี้ดีไหม คือถ้าเจ้าชายภัททิยะ พระสหายของเจ้าบวช แม่ก็อนุญาตให้เจ้าบวชได้" พระนางเข้าพระทัยว่า อย่างไรเสียเจ้าชายภัททิยะคงไม่บวชแน่
เจ้าชายอนุรุทธ์ดีพระทัยมาก ที่พระมารดาตรัสคำนี้ พระองค์รีบเสด็จไปหาพระสหาย ตรัสว่า
"ภัททิยะ! ข้าพเจ้าปรารถนาจะบวชตามสมเด็จพระศาสดา แต่การบวชของข้าพเจ้าเนื่องอยู่ด้วยท่าน คือพระมารดาตรัสว่า ถ้าท่านบวช จึงจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวช"
"สหาย!" เจ้าชายภัททิยะตรัสตอบ ข้าพเจ้าก็คิดจะบวชอยู่เหมือนกัน ได้ยินคนเขาวิพากย์วิจารณ์กันแล้วรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจ พระศาสดายังบวชอยู่ได้ทำไมพวกเราจะบวชไม่ได้"
เจ้าชายอนุรุทธ์ดีพระทัยเป็นที่สุด เมื่อทูลพระมารดาแล้ว ทั้งสองสหายก็ได้ชักชวนเจ้าชายอีกสี่พระองค์ คือ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายภคุ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัตเป็น ๖ องค์ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ มุ่งสู่อนุปปิยัมพวันแคว้นมัลละ เมื่อเสด็จถึงพรมแดนระหว่างแคว้นสักกะและแคว้นมัลละ พระราชกุมารทั้งหกก็รับสั่งให้นายอุบาลี ภูษามาลา ซึ่งตามเสด็จมาส่ง กลับไปสู่นครกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยเปลื้องพระภูษาซึ่งมีราคามาก มอบให้อุบาลีนำกลับไป


ในขณะที่ ๖ พระราชกุมารและนายอุบาลี ภูษามาลาจะแยกกันนั้น ราวป่าประหนึ่งว่าจะถึงซึ่งอาการร้องไห้ มหาปฐพีมีอาการสะท้อนสะเทือนเหมือนจะแยกออกจากกัน อุบาลีจำใจจากพระราชกุมารกลับมาทางเดิมได้หน่อยหนึ่งจึงคิดว่า การที่จะนำเครื่องประดับอันมีค่าซึ่งเจ้าของสละแล้วโดยปราศจากความไยดีไปขาย เลี้ยงชีพตามคำของพระราชกุมารนั้น ปานประหนึ่งผู้กลืนน้ำลายซึ่งเจ้าของถ่มแล้ว จะประโยชน์อะไรที่จะทำอย่างนั้น เกิดสังเวชสลดจิต จึงเอาเครื่องประดับเหล่านั้นแขวนไว้กับกิ่งไม้แห่งหนึ่ง แล้ววิ่งกลับไปแจ้งความประสงค์กับพระราชกุมารว่า
"ข้าแต่นาย! ข้าพเจ้าขอตามเสด็จไปด้วย เพื่อจะได้รับใช้พระองค์ต่อไป"
พระราชกุมารทั้งหก ทรงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง จึงยินยอมให้อุบาลีตามเสด็จด้วย
พระกุมารทั้งหกพระองค์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระ ภาค ทูลขอบรรพชาอุปสมบท และทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค! ข้าพระองค์ทั้งหลายมีทิฏฐิมานะมาก เมื่อบวชพร้อมด้วยอุบาลีซึ่งเป็นคนรับใช้มาก่อน ถ้าข้าพระองค์ทั้งหลายบวชก่อนก็จะพึงใช้อำนาจกับเขาอีก เพราะฉะนั้นขอให้พระผู้มีพระภาคให้การอุปสมบทแก่อุบาลีก่อนเถิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจักได้อภิวาทลุกรับเขาเมื่ออุปสมบทแล้ว เป็นการทำลายทิฏฐิมานะไปในตัว เพื่อประโยชน์แก่การประพฤติพรหมจรรย์"
เมื่อบวชแล้วไม่นาน พระภัททิยะ พระภคุ พระกิมพิละ และพระอนุรุทธ์ ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระเทวทัตได้สำเร็จฌานแห่งปุถุชน ส่วนพระอานนท์ซึ่งมีพระเพลัฏฐสีสะเป็นอุปฌายะ และมีพระปุณณะ มันตานีบุตร เป็นพระอาจารย์ ได้สำเร็จเป็นโสดาบัน หลังจากอุปสมบทแล้ว ๑๙ พรรษา พระอานนท์ได้รับตำแหน่งเป็นพุทธอุปฐากดังกล่าวแล้วแต่หนหลัง
หน้าที่ประจำของพระอานนท์ คือ
๑. ถวายน้ำ ๒ ชนิด คือทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อน
๒. ถวายไม้สีฟัน ๓ ขนาด (ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่)
๓. นวดพระหัสถ์และพระบาท
๔. นวดพระปฤษฎางค์
๕. ปัดกวาดพระคันธกุฏี และบริเวณพระคันธกุฎี


ในราตรีกาล ท่านกำหนดในใจว่า เวลานี้พระผู้มีพระภาคคงจะทรงต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือรับสั่งนั้นรับสั่ง นี้ แล้วท่านก็เข้าไปเฝ้าเป็นระยะๆ เมื่อเสร็จกิจแล้วจึงออกมาอยู่ยามหน้าพระคันธกุฎี กล่าวกันว่าท่านถือประทีปด้ามใหญ่เดินวนเวียนพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาค ถึงคืนละ ๘ ครั้ง
อันว่าท่านอานนท์นี้ สามารถทำงานที่ได้มอบหมายดียิ่งนัก เมื่อได้รับมอบหมายดียิ่งนัก เมื่อได้รับมอบหมายสิ่งใดจากพระพุทธองค์แล้ว ท่านทำไม่เคยบกพร่อง


เช่น ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงศรัทธาปรารถนาจะถวายอาหารแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ประจำ และทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จเข้าวังทุกๆ วัน พระจอมมุนี ทรงปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมว่า
"มหาบพิตร! ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้านั้นย่อมเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลายเป็นอันมาก ผู้จำนงหวังเพื่อทำบุญกับพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมากอยู่ อนึ่งพระพุทธเจ้าไม่ควรไปในที่นิมนต์เพียงแห่งเดียว ควรสงเคราะห์แก่คนทั่วไป"
"ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นประมุข นำพระสงฆ์มารับโภชนาหาร ในนิเวศน์ของข้าพระองค์เป็นประจำเถิด" พระเจ้าปเสนทิโกศลทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์ นำภิกษุจำนวนมากไปสู่ราชนิเวศน์เป็นประจำ
ในสองสามวันแรกพระเจ้าปเสนทิทรงอังคาส ภิกษุด้วยโภชนาหารอันประณีตด้วยพระองค์เอง แต่ระยะหลังๆ มาพระองค์ทรงลืม ภิกษุทั้งหลายคอยจนสายพระองค์ก็ยังไม่ทรงตื่นบรรทม ภิกษุทั้งหลายจึงกลับไปเสียเป็นส่วนมาก และเมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยเข้าภิกษุทั้งหลายก็ไม่มา คงเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียวเท่านั้น
เป็นธรรมเนียมในพระราชวัง ถ้าพระราชาไม่สั่งใครจะทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นราชบริพารจึงไม่สามารถจัดอาหารถวายพระสงฆ์ได้


วันหนึ่งพระราชาตื่นบรรทมแต่เช้า สั่งจัดอาหารถวายพระเป็นจำนวนร้อย เมื่อถึงเวลาพระองค์เสด็จออกเพื่อถวายพระกระยาหาร ไม่ทอดพระเนตรเห็นพระอื่นเลย นอกจากพระอานนท์ซึ่งอดทนมาทุกวัน
พระเจ้าปเสนทิทรงพิโรธยิ่งนัก เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทันที กราบทูลว่า
"พระองค์ผู้เจริญ สาวกของพระองค์ไม่เห็นว่าการนิมนต์ของข้าพระองค์เป็นเรื่องสำคัญเลย ข้าพระองค์นิมนต์พระไว้เป็นจำนวนร้อย แต่มีพระอานนท์องค์เดียวเท่านั้นที่ไปรับอาหารจากพระราชวัง ข้าวของจัดไว้เสียหายหมด"

"พระมหาบพิตร! พระสงฆ์คงจะไม่คุ้นเคยกับราชตระกูลกระมังจึงกระทำอย่างนั้น มหาบพิตร! สำหรับอานนท์นั้นเป็นบัณฑิต เป็นผู้เข้าใจเหตุการณ์ และมีความอดทนอย่างเยี่ยม เป็นบุคคลที่หาได้โดยยาก"
อีกครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล มีพระประสงค์ให้พระนางมัลลิกาอัครมเหสี และพระนางวาสภขัตติยาราชเทวีศึกษาธรรม พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้พระอานนท์เป็นผู้ถวายความรู้ พระนางวาสภขัตติยา พระญาติของพระผู้มีพระภาคเรียนโดยไม่เคารพ คือศึกษาอย่างขัดไม่ได้ ส่วนพระนางมัลลิกาทรงตั้งพระทัยศึกษาด้วยดี พระอานนท์นำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
"อานนท์ - วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีประโยชน์แก่ผู้ไม่ทำตาม เหมือนดอกไม้ที่มีสีสวย สัณฐานดี แต่หากลิ่นมิได้ แต่วาจาสุภาษิต จะมีประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ทำตาม เหมือนดอกไม้ซึ่งมีสีสวย มีสัณฐานงาม และมีกลิ่นหอม
อานนท์เอย! ธรรมที่เรากล่าวดีแล้วนั้น ย่อมไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากแก่ผู้ไม่ทำตามโดยเคารพ ไม่สาธยายโดยเคารพ และไม่แสดงโดยเคารพ แต่จะมีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาลแก่ผู้ซึ่งกระทำโดยนัยตรงกันข้าม มีการฟังโดยเคารพเป็นต้น"

#17


๑. ในที่ประชุมสงฆ์ ณ เชตวันมหาวิหาร

สมณะทั้งสองเดินดุ่มผ่านทุ่งกว้างเข้าสู่เขตป่าโปร่ง มีทางพอเดินได้สะดวก สมณะซึ่งเดินนำหน้ามีอินทรีย์ผ่องใส มีสายตาทอดลงต่ำ ผิวขาวละเอียดอ่อนลักษณะแสดงว่ามาจากวรรณะสูง อากัปกิริยาและท่าที่เยื้องย่างน่าทัศนา นำมาซึ่งความเลื่อมใสปีติปราโมชแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก ผ้าสีเหลืองหม่นที่คลุมกาย แม้จะทำขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่มีรูปทรงอะไร แต่ก็มองดูสะอาดเรียบร้อยดี
ส่วนสมณะผู้เดินอยู่เบื้องหลัง แม้จะมีส่วนสูงไม่เท่าองค์หน้า แต่ก็มีรูปร่างอยู่ในขนาดเดียวกัน ท่านเดินได้ระยะพองามไม่ห่างกันและไม่ชิดจนเกินไป
ทั้งสองเดินมาถึงทางสองแพร่ง เมื่อสมณะผู้เดินหน้ามีอาการว่าจะเลี้ยวไปทางขวา สมณะผู้เดินหลังก็กล่าวขึ้นว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค! ข้าพระองค์ต้องการไปทางซ้าย พระเจ้าข้าฯ"
"อย่าเลย - นาคสมาละ! ตถาคตต้องการไปทางขวา เรามีเรื่องสำคัญที่จะต้องไปโปรดสัตว์ทางนี้"
"ข้าพระองค์ต้องการไปทางซ้าย พระเจ้าข้าฯ" พระนาคสมาละยืนยัน
"อย่าเลย - นาคสมาละ! มากับตถาคตทางขวานี่เถิด" พระผู้มีพระภาคขอร้อง
พระพุทธองค์ทรงห้ามถึงสามครั้งแต่พระนาค สมาละก็หายอมไม่ ในที่สุดท่านก็วางบาตรของพระผู้มีพระภาคไว้ในทางสองแพร่ง แล้วเดินหลีกไปทางซ้ายตามความปรารถนาของท่าน พระจอมมุนีศากยบุตรต้องนำบาตรของพระองค์ไปเองและเสด็จไปโดดเดี่ยว
อีกครั้งหนึ่ง พระเมฆิยะเป็นพระอุปฐากพระผู้มีพระภาค พระองค์เสด็จไปยังชันตุคาม เขตปาจีนวังสะมีพระเมฆิยะตามเสด็จ เวลาเช้าพระเมฆิยะไปบิณฑบาตในชันตุคาม กลับจากบิณฑบาตแล้วท่านเดินผ่านสวนมะม่วงอันน่ารื่นรมย์แห่งหนึ่ง ปรารถนาจะไปบำเพ็ญสมณธรรมที่นั่น จึงกราบทูลขออนุญาตพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงห้ามถึงสามครั้งว่า
"อย่าเพิ่งไปเลย - เมฆิยะ เวลานี้เราอยู่คนเดียว ขอให้ภิกษุอื่นมาแทนเสียก่อนแล้วเธอจึงค่อยไป"
ความจริงพระพุทธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยของพระ เมฆิยะว่ายังไม่สมควรที่จะไป จึงไม่ทรงอนุญาต หาใช่เพราะทรงคำนึงถึงความลำบากไม่ และไม่ใช่พระองค์จะไม่ทรงเห็นความจำเป็นในการบำเพ็ญสมณธรรม เกี่ยวกับเรื่องสมณธรรมนั้น พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมให้ภิกษุกระทำอยู่เสมอ
พระเมฆิยะไม่ยอมฟังคำท้วงติงของพระ พุทธองค์ละทิ้งพระองค์ไว้แล้วไปสู่สวนมะม่วงอันร่มรื่น บำเพ็ญสมณธรรมทำจิตให้สงบ แต่ก็หาสงบไม่ ถูกวิตกทั้งสามรบกวนจนไม่อาจให้จิตสงบได้เลย วิตกทั้งสามนั้นคือกามวิตก - ความตรึกเรื่องกาม พยาบาทวิตก - ความตรึกในทางปองร้าย และวิหิงสาวิตก - ความตรึกในทางเบียดเบียน ในที่สุดจึงกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า
"เมฆิยะเอย! จิตนี้เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายาก ห้ามได้ยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรน และเป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง
เมฆิยะเอย! จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว คอยแต่จะดิ้นลงไปในน้ำอยู่เสมอ ผู้มีปัญญาจึงพยายามยกจิตขึ้นจากอาศัยในกามคุณ ให้ละบ่วงมารเสีย"
ภายใน ๒๐ ปีแรก จำเดิมแต่การตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค คือระหว่างพระชนมายุ ๓๕ ถึง ๕๔ พรรษา พระพุทธองค์ ไม่มีพระสาวกผู้อยู่อุปฐากประจำ บางคราวก็เป็นพระอุปวาณะ บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระสุนักขัตตะ บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระราธะ บางคราวพระนาคสมาละ และบางคราวพระเมฆิยะที่กล่าวแล้ว บางคราวก็เป็นสามเณรจุนทะ น้องชายพระสารีบุตร
พระผู้มีพระภาคได้รับความลำบากด้วยการที่ ภิกษุผู้อุปฐากไม่รู้พระทัยของพระองค์ ต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ ถ้าจะมีผู้สงสัยว่า เหตุไฉนพระพุทธเจ้าจึงต้องมีพระอุปฐากประจำด้วย ดูๆ จะมิเป็นการยังถือยศศักดิ์ถือฐานะอยู่หรือ? เรื่องนี้ถ้าพิจารณาด้วยดี จะเห็นความจำเป็นที่พระองค์จะต้องมีพระอุปฐากประจำ หรือผู้รับใช้ใกล้ชิด เพราะพระองค์ต้องทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ต้องมีการประชุมสงฆ์เป็นคราวๆ และต้องต้อนรับคฤหัสถ์บรรพชิตมากหลาย ที่มาเฝ้าเพื่อถวายปัจจัยบ้าง เพื่อทูลถามปัญหาข้อข้องใจบ้าง ในบรรดาผู้มาเฝ้าเหล่านั้น ที่เป็นมาตุคามก็มีมาก จะเห็นว่าพระองค์ไม่ควรประทับอยู่แต่ลำพัง แต่ก็มีนานๆ ครั้งที่พระศาสดาทรงปลีกพระองค์ไปประทับแต่ลำพัง ในระยะนั้นเป็นที่ทราบกันว่าพระองค์ไม่ทรงต้อนรับผู้ใด ทรงหลีกเร้นอยู่เพื่อแสวงหาความสุขในปัจจุบัน ที่เรียกว่า "ทิฏฐธรรมสุขวิหาร"
ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงคราวหนึ่ง เมื่อพระองค์ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถีราชธานีแห่งแคว้นโกศล พระเถระชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น มาประชุมกันพร้อม พระผู้มีพระภาคทรงปรารภในท่ามกลางสงฆ์ว่า บัดนี้พระองค์ทรงพระชราแล้ว ภิกษุผู้อุปฐากพระองค์ บางรูปก็ทอดทิ้งพระองค์ไปเสียเฉยๆ บางรูปวางบาตร และจีวรของพระองค์ไว้บนพื้นดินแล้วเดินจากไป จึงขอให้สงฆ์เลือกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นรับตำแหน่งอุปฐากพระองค์เป็นประจำ
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสนี้แล้ว มีความสังเวชสลดจิตอย่างยิ่ง พระสารีบุตรกราบบังคมทูลขึ้นก่อนว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นดวงตาของโลก! ข้าพระพุทธเจ้าขออาสา รับเป็นอุปฐากปฏิบัติพระองค์เป็นประจำ ขอพระผู้มีพระภาคอาศัยความอนุเคราะห์รับข้าพระองค์เป็นอุปฐากเถิด"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบขอบใจพระสารีบุตร แล้วตรัสว่า "สารีบุตร! อย่าเลย - เธออย่าทำหน้าที่อุปฐากเราเลย เธออยู่ ณ ที่ใดที่นั้นก็มีประโยชน์มาก โอวาทคำสั่งสอนของเธอเป็นเหมือนโอวาทของพระพุทธเจ้า เธอสามารถหมุนธรรมจักรให้เป็นประโยชน์สุขแก่ปวงชนเช่นกับด้วยเรา ผู้ได้เข้าใกล้เธอเหมือนได้เข้าใกล้เรา ผู้ที่สนทนากับเธอเหมือนได้สนทนากับเรา"
ต่อจากนั้นพระมหาเถระรูปอื่นๆ ต่างก็แสดงความจำนงจะเป็นอุปฐากปฏิบัติพระพุทธองค์เป็นประจำ แต่พระองค์ทรงห้ามเสียทั้งสิ้น เหลือแต่พระอานนท์เท่านั้นที่ยังคงนั่งเฉยอยู่ พระสารีบุตรจึงกล่าวเตือนพระอานนท์ขึ้นว่า
"อานนท์! เธอไม่เสนอเพื่อรับเป็นอุปฐากพระผู้มีพระภาคหรือ ทำไมจึงนั่งเฉยอยู่"
"ข้าแต่ท่านธรรมเสนาบดี" พระอานนท์ตอบ "อันตำแหน่งที่ขอได้มานั้นจะประเสริฐอะไร อีกประการหนึ่งเล่า พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบอัธยาศัยของข้าพเจ้าอยู่ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ก็คงจะตรัสให้ข้าพเจ้าเป็นอุปฐากของพระองค์เอง ความรู้สึกของข้าพเจ้าที่มีต่อพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างไร พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว"
ที่ประชุมเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดไหวกายหรือวาจาเลย เงียบสงบเหมือนไม่มีพระภิกษุอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเลย ภิกษุทุกรูปนั่งสงบ ไม่มีแม้แต่เพียงไอหรือจามหรืออาการกระดุกกระดิก พระผู้มีพระภาคตรัสขึ้นท่ามกลางความเงียบขึ้นว่า
"ภิกษุทั้งหลาย! อานนท์มีความประสงค์ที่จะอุปฐากเราอยู่แล้ว เป็นเพียงขอให้สงฆ์รับทราบเท่านั้น เพราะฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อานนท์จักอุปฐากเรา"
เป็นความรอบคอบสุขุมของพระผู้มีพระภาคที่ ตรัสเช่นนั้น ความจริงหากพระองค์จะไม่ตรัสในที่ประชุมสงฆ์ แต่ตรัสเฉพาะพระอานนท์เอง พระอานนท์ก็พอใจที่จะอุปฐากอยู่ใกล้ชิดพระองค์ตลอดเวลา แต่เพื่อจะยกย่องพระอานนท์ และให้สงฆ์รับทราบในอัธยาศัยของพระอานนท์ พระองค์จึงปรารภเรื่องนี้ท่ามกลางสงฆ์ ความเป็นจริงพระอานนท์ได้สั่งสมบารมีมาเป็นเวลาหลายร้อยชาติ เพื่อตำแหน่งอันมีเกียรตินี้
พระอานนท์เป็นผู้รอบคอบ มองเห็นกาลไกล เมื่อพระผู้มีพระภาคและสงฆ์มอบตำแหน่งนี้ไว้แล้ว จึงทูลของเงื่อนไขบางประการดังนี้
"ข้าแต่พระผู้เป็นนาถาของโลก! เมื่อข้าพระองค์รับเป็นพุทธอุปฐากแล้ว ข้าพระองค์ทูลขอพระกรุณาบางประการ คือ
๑. ขอพระองค์อย่าได้ประทานจีวรอันประณีตที่มีผู้นำมาถวายแก่ข้าพระองค์เลย
๒. ขอพระองค์อย่าได้ประทานบิณฑบาต อันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
๓. ขอพระองค์อย่าได้ให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ๆ เดียวกันกับที่พระองค์ประทับ
๔. ขออย่าได้พาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์ ซึ่งพระองค์รับไว้
"ดูก่อนอานนท์! เธอเห็นประโยชน์อย่างไรจึงขอเงื่อนไข ๔ ประการนี้"
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทูลขอพร ๔ ประการนี้ เพื่อป้องกันมิให้คนทั้งหลายตำหนิได้ ว่าข้อพระองค์รับตำแหน่งพุทธอุปฐาก เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ"
พระอานนท์ยังได้ทูลขึ้นอีกในบัดนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษสูงสุด! ข้ออื่นยังมีอีกคือ
๕. ขอพระองค์โปรดกรุณา เสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ซึ่งข้าพระองค์รับไว้เพื่อพระองค์ไม่อยู่
๖. ขอให้ข้าพระองค์ได้พาพุทธบริษัทเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่เขามาเพื่อจะเฝ้า
๗. ถ้าข้าพระองค์มีความสงสัยเรื่องใด เมื่อใดขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามได้ทุกโอกาส"
"อานนท์! เธอเห็นประโยชน์อย่างไร จึงขอพร ๓ ประการนี้!"
"ข้าพระองค์ทูลขอ เพื่อป้องกันมิให้คนทั้งหลายตำหนิได้ว่า ข้าพระองค์บำรุงพระองค์อยู่ทำไมกัน เรื่องเพียงเท่านี้พระองค์ก็ไม่ทรงสงเคราะห์ ข้าแต่พระจอมมุนี ข้ออื่นยังมีอีก คือ
๘. ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนา ในที่ใดแก่ผู้ใด ซึ่งข้าพระองค์มิได้อยู่ด้วย ขอได้โปรดเล่าพระธรรมเทศนานั้นแก่ข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง"
"อานนท์! เธอเห็นประโยชน์อย่างไร จึงขอพรข้อนี้?"
"ข้าแต่พระจอมมุนี! ข้าพระองค์ทูลขอพรข้อนี้เพื่อป้องกันมิให้คนทั้งหลายตำหนิได้ว่า ดูเถิด พระอานนท์เฝ้าติดตามพระศาสดาอยู่เหมือนเงาตามตัว แต่เมื่อถามถึงพระสูตร หรือชาดก หรือคาถา ว่าสูตรนี้ ชาดกนี้ คาถานี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่ใคร ที่ไหนก็หารู้ไม่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังไม่รู้ จะมัวติดตามพระศาสดาอยู่ทำไม เหมือนกบอยู่ในสระบัว แต่หารู้ถึงเกสรบัวไม่"
พระพุทธองค์ ประทานพรทั้ง ๘ ประการ แก่พระอานนท์พุทธอนุชาตามปรารถนาและพระอานนท์ก็รับตำแหน่งพุทธอุปฐากตั้งแต่ บัดนั้นมา พระผู้มีพระภาคมีพระชนมายุได้ ๕๕ พรรษา เป็นปีที่ ๒๐ จำเดิมแต่ตรัสรู้ ส่วนพระอานนท์มีอายุได้ ๕๕ ปีเช่นกัน แต่มีพรรษาได้ ๑๙ จำเดิมแต่อุปสมบท


จบตอนที่1ค่ะ
#18
 
วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง


วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต คำแนะนำ คุณสามารถใช้วิธีนี้ ในการหาดาวน์โหลดโปรแกรม แคร็ก ซีดี คีย์ หรือต่างๆนานา ที่คุณอยากได้ แต่ฉันขอแนะนำว่า คุณควรจะดาวน์โหลด มาเพื่อการทดลอง ทดสอบ หรือการศึกษาเท่านั้น
นะค่ะ

วิธีที่หนึ่ง
พิมพ์คำเหล่านี้ ใน Google Search
(1)
" parent directory " /spectralab 4.3213/ -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(2)
" parent directory " DVDRip -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(3)
" parent directory "Xvid -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(4)
" parent directory " Gamez -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(5)
" parent directory " MP3 -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
(6)
" parent directory " Name of Singer or album -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
หมายเหตุ ให้คุณเปลี่ยน คำที่ตามหลัง parent directory เช่น MP3 Gamez appz DVDRip เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ แล้วก้อค้นหา คุณจะพบกับ ความมหัศจรรย์ใน Google

วิธีที่สอง
พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

?intitle:index.of? mp3
จากนั้นแค่เพิ่มชื่อ เพลง อัลบั้ม นักร้อง ลงไป เช่น ?intitle:index.of? mp3 myfavoritesongs

วิธีที่สาม
พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google

inurl:micr0s0f filetype:iso

จากนั้น ก้อเปลี่ยน คำว่า micr0s0f กับคำว่า iso เป็นคำที่คุณต้องการ เช่น inurl:myc0mpany filetype:zip

------------------------------เพิ่มเติม-------------------------


1.Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)

2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris

3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x

4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย

5. Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น คำว่า bass มี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนตรีเราจะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออกโดยพ ิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีก เช่น "front mission 3" -filetype pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดงไฟล์ PDF

6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"

7. Google สามารถแปลเว็บภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ)

8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ

Adobe Portable Document Format (นามสกุลของไฟล์ pdf)
Adobe PostScript (นามสกุลของไฟล์ ps)
Lotus 1-2-3 (นามสกุลของไฟล์ wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku)
Lotus WordPro (นามสกุลของไฟล์ lwp)
MacWrite (นามสกุลของไฟล์ mw)
Microsoft Excel (นามสกุลของไฟล์ xls)
Microsoft PowerPoint (นามสกุลของไฟล์ ppt)
Microsoft Word (นามสกุลของไฟล์ doc)
Microsoft Works (นามสกุลของไฟล์ wks, wps, wdb)
Microsoft Write (นามสกุลของไฟล์ wri)
Rich Text Format (นามสกุลของไฟล์ rtf)
Text (นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt)

วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)

9. Google สามารถเก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเว็บบางเว็บที ่อาจโดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)

10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รว ดเร็วโดยไม่ต้องเป็น ห่วงเรื่อง keyword

11.Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com แต่คุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบอื่น ๆ ได้

12.Google สามารถค้นหาเว็บที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเว็บเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu

13.ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเว็บนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ใช่เลย! เจอแน่ๆ ใน Google ไทย

14.Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ

15.Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
first name (or first initial), last name, city (state is optional)
first name (or first initial), last name, state
first name (or first initial), last name, area code
first name (or first initial), last name, zip code
phone number, including area code
last name, city, state
last name, zip code
แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน

16.Google สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com)
17.Google สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้ าไปที่ Preferences หรือ ตัวเลือก ใน Google ไทย


ขอขอบคุณ : http://www.thaigaming.com เขียนโดย bclubzaa
#19


นวนิยายอิงธรรมเรื่อง"ลีลาวดี"จากปลายปากของธรรมโฆษ
สุดฮอทที่สุด

เรื่องราวนวนิยายธรรมะ เรื่องหนื่งที่น่าฟังมาก เรื่องราวโดยย่อ คือ หญิงสาวที่ชื่อว่า"ลีลาวดี"  ได้พบรักกับ ชายที่มีชื่อว่า"เรวตะ" เป็นความรักที่ต่างชนชั้นวรรณ จึงนำไปสู่ปํญหาต่างๆที่ตามมา จน นายเรวตะ ได้บรรพชาอุปสมบท แต่ก็หนีไม่พ้นที่ หญิงสาวที่ชื่อว่า ลีลาวดี มาพบประกับ พระเรวตะจนได้ เรื่องราวจะไปอย่างไรต่อไปของให้ท่านได้ติดตามรับฟังได้แล้วเด๊อ...ค่ะ


ลีลาวดี  กับ  เรวตะ



01-ลีลาวดี.mp3                         02-ลีลาวดี.mp3                03-ลีลาวดี.mp3


04-ลีลาวดี.mp3                        05-ลีลาวดี.mp3                06-ลีลาวดี.mp3


07-ลีลาวดี.mp3                        08-ลีลาวดี.mp3                09-ลีลาวดี.mp3 


10-ลีลาวดี.mp3                        11-ลีลาวดี.mp3                12-ลีลาวดี.mp3


13-ลีลาวดี.mp3                         14-ลีลาวดี.mp3                15-ลีลาวดี.mp3


16-ลีลาวดี.mp3                        17-ลีลาวดี.mp3                 18-ลีลาวดี.mp3


19-ลีลาวดี.mp3                        20-ลีลาวดี.mp3                  21-ลีลาวดี.mp3


22-ลีลาวดี.mp3                        23-ลีลาวดี.mp3                   24-ลีลาวดี.mp3


25-ลีลาวดี.mp3                        26-ลีลาวดี.mp3                  27-ลีลาวดี.mp3


28-ลีลาวดี.mp3                        29-ลีลาวดี.mp3                  30-ลีลาวดี.mp3


31-ลีลาวดี.mp3                        32-ลีลาวดี.mp3                   33-ลีลาวดี.mp3






























#21

เพลง jai ambe gauri เป็นเพลงบูชาองค์อะไรเพื่อนในเวปHMอยากทราบค่ะ
#22
นางแก้วคู่บารมี

เรื่องโดยย่อ :         

       นางแก้วคู่บารมี เป็นเรื่่องราวของพระนางพิมพามเหสีแห่งเจ้าชายสิทธัตถะที่สร้าง   
พระบารมีทรงได้

สร้างพระบารมีมาร่วมกัน จนชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า          

พระนางพิมพาได้ 
บวชบรรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุณี จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

ตอนพระนางจะละสังขารจึงได้ไปเข้าเฝ้าพระ
พุทธเจ้า และได้ทรงตรัสทูล เรื่องราวในอดีตกรรม

ของพระนางที่ได้ร่วมสร้างบารมีมากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และทรงได้แสดงพระปาฎิหาริย์

เป็นเรื่องราวที่หน้าสนใจมากๆๆ ขอเชิญติดตามรับฟังได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ


ลิงค์นี้เป็นของ http://www.mediafire.com ค่ะ โหลดแรงและเร็วมากค่ะ ประมาณ 350-450 kb ต่ะ แปลบเดียวก็ได้ไฟล์เป็นที่เรียบร้อย



http://www.mediafire.com/file/onikmt5ymin/01.คำปรารภ.mp3

http://www.mediafire.com/file/jjmjdxj4wdy/02.พระนางพิมพา-นางแก้วคู่บารมี.mp3

http://www.mediafire.com/file/kjmemjjmijy/03.สุมิตตาพราหมณี-ปฐมจิตอธิษฐาน.mp3

http://www.mediafire.com/file/joww3exmz2o/04.เจ้าหญิงประภาวดี - ด้วยจิตคิดเกลียดชัง.mp3

http://www.mediafire.com/file/it5zltewyoj/11.พระสมุททวิชยาเทวี-อัญเชิญพระปัจเจกพุทธเจ้า.mp3
#23
พระคาถาชินบัญชร ทำนองสมัยใหม่ เพราะมาก&น่าฟัง

          ตอนแรกที่ฟังคิดว้าเป็นเพลงไทยสากลทั่วๆไปแต่เมื่อตั้งใจฟังเนื้อร้องจึงรู้ว่าเป็นพระคาถาชินบัญชร

ภาษาไทย ร้องโดย ปาน ธนพร ฟังแล้วเพราะดีจึงนำมาโพร์สแบ่งให้เพื่อนๆได้ลองฟังกันบ้าง












#24
ผู้สละโลก-โดย วศิน อินทสละ
01.หญ้าสดในทะเลทราย.mp3.mp3                     02.บัวเหนือน้ำ.mp3.mp3


03.ผ้าขี้ริ้วกับช่อดอกไม้.mp3.mp3                     04.ปลดแอก.mp3.mp3


05.มอบตนให้แก่ธรรม.mp3.mp3                        06.กรรมบังไว้.mp3.mp3


07.ปุพเพปณิธาน.mp3.mp3                           08.เหมือนมารดาผู้ให้เกิด.mp3.mp3 


09.บรรลือสีหนาท.mp3.mp3                          10.ทุกข์ในรูปแห่งสุข.mp3.mp3


11.พระธรรมเสนาบดีกับซัมพุปริพพาชิกา.mp3.mp3           12.อุปฌาย์องค์แรกในญัตติจตุตถกรรม.mp3.mp3


13.นางสูจิมุขีและอันตรายจากลาภสักการะ.mp3.mp3          14.ประกาศความเลื่อมใสของตนต่อพระศาสดา.mp3.mp3


15.รวัตกุมารกับโลกียสุข.mp3.mp3                     16.สงเคราะห์ญาติด้วยน้ำใจอันงาม.mp3.mp3


17.พระธรรมเสนาบดีกับยอดพระธรรมกถึก.mp3                18.กับพระสุธรรมเถระ.mp3.mp3


19.ผู้มีจิตเสมอในชนทั้งปวง.mp3.mp3                    20.ผู้เจียมตน.mp3.mp3


21.พระมหาโมคคัลลานะกับโกสิยเศรษฐี.mp3.mp3            22.ถึงกับต้องคร่าแขนกันออกไป.mp3.mp3


23.อดีตกรรมของเปรตนั้น.mp3.mp3                     24.ความรู้ของคนพาล.mp3.mp3             


25.ได้รับสาธุการจากพระศาสดา.mp3.mp3                  26.ผลกรรม.mp3.mp3


27.ผู้เลิศทางธุดงคคุณ.mp3 .mp3                        28.ผู้เลิศทางศัทธา.mp3.mp3


29.ผู้ใคร่ต่อการศึกษา.mp3.mp3                        30.ผู้สละราชสมบัติ.mp3 .mp3

#25
หลวงพ่อชา สุภัทโท-ธรรมบรรยาย-(คีตะ)

ฟังแล้วช่างสงบเยือกเย็นมากๆดีจริง
[HIGHLIGHT=#002060][HIGHLIGHT=#fdeada]คงไม่มีอะไรที่จะต้องกล่าวมาก นอกจากคำสั่นๆว่า

" ธมฺมสฺสวน  กาโล อยมฺภทนฺตา = ขอเชิญท่านทั้งหลายมาฟังธรรมตามกาล
[/HIGHLIGHT]


[/HIGHLIGHT]
            01 แนวการปฏิบัติธรรม.mp3                           02 วิมุตติ.mp3

            03 ทางพ้นทุกข์.mp3                               04 ความสงบบ่อเกิดปัญญา.mp3

            05 การปล่อยวาง.mp3                               06 น้ำไหลนิ่ง.mp3

            07 ไม่แน่.mp3                                    08 การเข้าสู่หลักธรรม.mp3

             09 ธรรมที่หยั่งรู้ยาก.mp3                           10 ต่อสู้ความกลัว.mp3

             11 กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว.mp3                         12 ทำใจให้เป็นบุญ และธรรมะธรรมชาติ.mp3

             13 สัมมาปฏิปทา.mp3                               14 สัมมาสมาธิ.mp3

             15 อยู่เพื่ออะไร และธรรมะปฏิสันถาร.mp3                16 ปฏิบัติกันเถิด และสัมมาทิฏฐิที่เยือกเย็น.mp3

             17. ไตรสรณคมณ์ (อินเดีย).mp3                     18. ธรรมจักก์ (อินเดีย).mp3






















































































จะชมพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุพระอรหันตสาวก  ได้ที่ลิงค์นี้ เลยค่ะ

http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1773.0
#26
พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุพระอรหันตสาวก
   

   
   
พระบรมสารีริกธาตุ
   
พระธาตุพระอรหันตสาวก

      

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสัจธรรม
   มีหลักธรรมคำสอนที่สามารถปฏิบัติให้รู้ตามเห็นจริงได้  การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนานั้น  บรรลุที่ใจ  ไม่สามารถแสดงออกให้ผู้อื่นรู้เห็นได้
   แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งสามารถเป็นหลักฐานพยานแห่งการบรรลุธรรมในทางพระพุทธศาสนา นั่นคือ
พระธาตุ

   

   
   
   
คำว่า พระธาตุ เป็นคำกลางๆเรียกใช้แบบรวมๆ  ดังนั้นจึงมีการแยกประเภทของ พระธาตุ เป็น 2 ระดับคือ
    ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เรียกว่า
พระบรมสารีริกธาตุ
    ของพระอรหันตสาวกเรียกว่า
พระอรหันตธาตุ
   
   

พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า
นั้น มีอยู่ 2 ประเภทคือ
   

   
   
   
1. พระพุทธสรีระธาตุองค์ใหญ่ (ประเภทไม่แตกกระจาย)  คงรูปตามเดิม มี 7 ส่วนคือ
    

    1.1 พระอุณหิศ (กะโหลกศีรษะของพระพุทธเจ้าส่วนที่โปนออกไป) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ
    1.2 พระรากขวัญเบื้องขวา (ไหปลาร้า) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองอนุราชสิงหฬ
    1.3 พระรากขวัญเบื้องซ้าย(ไหปลาร้า) ประดิษฐานอยู่ ณ พรหมโลก
    1.4 พระทาฒธาตุขวาเบื้องบน(พระเขี้ยวแก้ว) ประดิษฐานอยู่ ณ ดาวดึงส์เทวโลก
    1.5 พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องบน(พระเขี้ยวแก้ว ) ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองคันธารรัฐ
    1.6 พระทาฒธาตุขวาเบื้องล่าง(พระเขี้ยวแก้ว)  ประดิษฐานอยู่ ณ ลังกาสิงหฬ
    1.7 พระทาฒธาตุซ้ายเบื้องล่าง(พระเขี้ยวแก้ว)  ประดิษฐานอยู่ ณ นาคพิภพ
   

   
   
   
2. ประเภทแตกกระจายเป็นส่วนอื่นนอกจาก 7ส่วนนั้น จะไม่มีลักษณะเดิมของอัฐิเหลืออยู่ 
    

ขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด

   

ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก

   

และขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง

   

           
   

   

   

   

   

   

   

พระอรหันตธาตุของสาวก
นั้นมีลักษณะแตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุ  คือมีขนาดใหญ่กว่า  วรรณะหยาบกว่า  และหลากหลายลักษณะสัณฐานตามวาสนาบารมีของพระอรหันต์แต่ละองค์ 
   

   
   

    ตัวอย่างสัณฐานของพระอรหันตธาตุของพระสาวกในสมัยพุทธกาลเช่น
   
   
พระธาตุพระสารีบุตร  สัณฐานเป็นปริมณฑลบ้าง  รีเป็นไข่จิ้งจก พรรณขาวสีสังข์  สีพิกุลแห้ง สีหวายตะค้า
   
   

   

   
พระธาตุพระโมคคัลลานะ สัณฐานกลม  หรือรีเป็นผลมะตูม สีเหลือง สีขาว  เขียวช้ำใน ลายดังไข่นกบ้าง  ร้าวเป็นสายเลือดบ้าง
   
   

   

   

   
พระธาตุพระสีวลี สัณฐานดังเมล็ดในพุทรา  หรือผลยอป่า  หรือเมล็ดมะละกอ  วรรณสีเขียวดังผักตบบ้าง  สีแดงแบบสีหม้อใหม่บ้าง  สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดั่งหวายตะค้า หรือขาวดั่งสีสังข์บ้าง
   
   

   

   
พระธาตุพระอานนท์สัณฐานดั่งใบบัวเผื่อน  พรรณดำดั่งน้ำรัก  หรือสีขาวสะอาดดั่งสีเงิน
   

   

   
พระธาตุพระองคุลีมาล สัณฐานคอดดังคอลาก ที่มีรูโปร่งตลอดเส้นผมลอดได้ก็มี พรรณขาวดังสีสังข์
   
เหลืองดังดอกจำปา สีฟ้าหมอก
   

   

   
พระธาตุพระอัญญาโกณฑัญญะ สัณฐานงอนช้อยดังงาช้าง พรรณขาวดังดอกมะลิตูม เหลืองอย่างหนึ่ง ดำอย่างหนึ่ง
   

   

   
   
อย่างไรก็ตาม
พระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุก็มีคุณสมบัติเหมือนกัน
คือ
   

    1. หากมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารลงไปสามารถลอยน้ำได้  น้ำจะเป็นแอ่งบุ๋มลงไปรองรับพระบรมสารีริกธาตุไว้และปรากฏรัศนีเป็นแฉกๆอยู่โดยรอบ
   

   
   

   

   

    2. หากลอยน้ำพร้อมๆกันหลายองค์ก็จะค่อยๆลอยเข้าหากันและติดกันในที่สุด
   

   
   

    3. หากเป็นพระธาตุที่มีขนาดใหญ่ ก็สามารถที่จะเปล่งแสงในกาลเวลาอันสมควรได้ เสด็จมาเพิ่มจำนวนได้ เสด็จหายไปได้ ขยายองค์ใหญ่ขึ้นได้  รวมหลายองค์เข้าเป็นองค์เดียวได้
   

   
   

    ในแผ่นดินไทยของเราได้รองรับพระพุทธศาสนาเป็นเวลาเกือบพันปี  มีผู้ปฏิบัติธรรมได้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก  แม้ในปัจจุบันก็ปรากฏเป็นข่าวเสมอว่ามีพระอริยสงฆ์ที่มรณภาพแล้ว อัฐิแปรสภาพเป็นพระธาตุ  จึงทำให้เกิดมีการบันทึกลักษณะการแปรสภาพจากอัฐิหรือเศษกายของพระอริยเจ้าสู่ความเป็นพระธาตุ
   
   
การแปรสภาพจากอัฐิเป็นพระธาตุมี 4 ลักษณะ
    
คือ
   

   
1. จากเดิมกระดูกเป็นฟอง  แล้วเริ่มหดตัวบางส่วน  รวมตัวเข้าเป็นผลึก  หินปูนจะมากขึ้นและเริ่มมน  จนเป็นพระธาตุโดยสมบูรณ์  มีลักษณะกลมรีคล้ายเมล็ดข้าวโพด

   

   

    
   

   

   

   

   
2. จากกระดูกที่เป็นชิ้นยาว  แนวเยื่อกระดูกเป็นเส้นบางๆ  เยื่อกระดูกเกาะเป็นผลึกหินปูนจนเต็มรูพรุน  และแปรเป็นพระธาตุซึ่งคงรูปเดิมของชิ้นอัฐิ
   

    
   

   

   

   

   

   

   
3. ชิ้นอัฐิธรรมดามีองค์พระธาตุผุดขึ้นและค่อยๆโตขึ้น และหลุดออกเป็นพระธาตุโดยสมบูรณ์
   

    
   

   

   
4. ในขณะเผาศพมีวัตถุธาตุเศษกาย  ส่องแสงประกายหยดออกจากร่าง  ตกกระทบกับสิ่งที่รองรับ  ก็กระจายออกเป็นพระธาตุขนาดต่างๆ
   

    
   

   

   
นอกจากการแปรสภาพของอัฐิ  ยังมีการแปรสภาพจากส่วนอื่น เช่น แปรสภาพจากเส้นเกสา  โดยมีการรวมตัวกันเป็นเส้นเกสา มีเส้นในใสๆ งอกออกมาเกี่ยวพันกันจนแน่น  แล้วรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันและเป็นพระธาตุในที่สุด  บางครั้งก็มีพระธาตุงอกออกมาจากปลายของเกสา และหลุดออกมาเป็นพระธาตุโดยสมบูรณ์
   

    
   

   
   

   
   

   
   

   
   
ในบางครั้งก็มีผลึกพระธาตุเสด็จมาประทับรวมกับเส้นเกสาโดยปาฏิหารย์   แม้ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็มี
   

   
   
การแปรสภาพเป็นพระธาตุจากส่วนต่างๆของร่างกายของท่าน  เช่น  กระดูกสะบ้า  เส้นเกสา เล็บ ฟัน  ชานหมาก  ข้าวก้นบาตร  เป็นต้น
   

   
   

   
   

   
   

   
   

   แม้วัตถุมงคลของท่าน  บางครั้งก็มีพระธาตุเสด็จมาเกาะอยู่ด้วย  นอกจากนี้เถ้าอังคารก็สามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุได้  หรืออุจจาระของท่านก็สามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุ  จนบางสำนักต้องสั่งให้เอาปูนมาโบกทับส้วมของท่านไว้  ไม่ให้คนมาขุด  น้ำที่สรงอัฐิเก็บไว้ไม่เททิ้งก็มีการรวมตัวแปรสภาพเป็นพระธาตุได้
   

   
   

   
   

   
   

   
   
        พระอริยสงฆ์ไทยที่แปรสภาพเป็นพระธาตุนั้น  มีจำนวนมากยิ่งนัก  อาธิเช่น
   

    หลวงปู่เสาร์  กันตสีโล
   
   
     
   

   หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
   

   
   

    ครูบาศรีวิชัย  สิริวิชโย
    ครูบาผาผ่า  ปัญญาวโร
   หลวงปู่ดูลย์  อตุโล
   

   
   

   หลวงปู่เทสก์  เทสรังสี
   

   
   

    หลวงปู่ต่วน  อินทปัญโญ
    หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม
   หลวงปู่หลุย  จันทสาโร
   

   
   

    หลวงปู่สีลา  อิสสโร
   หลวงปู่ขาว  อนาลโย
   

   
   

    หลวงปู่พรหม  จิรปุญโญ
    หลวงปู่ตื้อ  อจลธัมโม
   หลวงปู่แหวน  สุจินโณ
   

   
   

   หลวงปู่ฝั้น  อาจาโร
   

   
   

    หลวงปู่คำดี  ปภาโส
   หลวงปู่ครูบาพรหมา  พรหมจักโก
   

   
   

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์  วัดนรนาคสุนทริการาม
   หลวงปู่สิม  พุทธาจาโร
   

   
   

    หลวงปู่เหรียญ  วรลาโภ
    พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน)
    หลวงปู่อุ่น  อุตตโม
   หลวงปู่สาม  อกิญจโน
   

   
   

    หลวงปู่บุญจันทร์  กมโล
   หลวงปู่ชา  สุภัทโท
   

   
   

    หลวงปู่บุญ  ชินวโส
   หลวงปู่เจี๊ยะ  จุนโท
   

   
   

    ครูบาบุญปั๋น  ธัมมปัญโญ
    หลวงปู่ผาง  จิตตคุตโต
    หลวงปู่บัว  สิริปุณโณ
    หลวงปู่วัน  อุตตโม
   หลวงปู่จวน  กุลเชฏโฐ
   

   
   

    หลวงปู่สิงห์ทอง  ธัมมวโร
    หลวงปู่สุภาพ  ธัมมปัญโญ
   พระราชพรหมญาณ(หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ)
   

   
   

   หลวงปู่หล้า  เขมปัตโต
   

   
   

    หลวงปู่ผาง  ปริปุณโณ
    หลวงปู่ลี  ฐิตธัมโม
   พระโพธิธรรมาจารย์(หลวงปู่สุวัจน์  สุวโจ)
   

   
   

    ครูบาสมหมาย  นันทิโย
   คุณแม่ชีแก้ว  เสียงล้ำ
   

   
   

   และยังมีอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
   

   
   

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัฐิของท่านแปรสภาพนั้น  มีผู้รู้กล่าวว่าเป็นเพราะพลังจิตของท่านที่ฝึกมาดีแล้ว  จิตของท่านเป็นจิตบริสุทธิ์  จึงทำให้กายของท่านเป็นของบริสุทธิ์ได้ด้วย
   

    การแปรสภาพช้าหรือเร็วนั้น  ขึ้นอยู่ที่ว่าท่านบรรลุธรรมแล้วมีชีวิตอยู่ต่อนานหรือไม่  ถ้าท่านมีชีวิตครองธาตุขันธ์อยู่นาน  ย่อมเป็นที่แน่ใจได้ว่าจะสามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุได้แน่นอน  และรวดเร็ว  แต่ถ้าท่านบรรลุธรรมแล้ว  มรณภาพไปโดยเร็ว   ไม่เป็นที่แน่ใจว่าจะสามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุได้หรือไม่  หรืออาจจะเป็นแต่ใช้เวลานาน
   
ร่างกายบางส่วนที่ท่านเพ่งจิตบ่อยๆก็สามารถจะแปรสภาพเป็นพระธาตุได้  และมีความใสบริสุทธิ์สะอาดกว่าส่วนอื่น เพราะธาตุกายเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมและพุทธศาสนิกชนทั่วไปให้ความเคารพอย่างสูงสุดและพยายามแสวงหามาไว้สักการบูชา  บางครั้งก็ได้มาแต่เพียงอัฐิชิ้นเล็กๆที่ยังไม่แปรสภาพหรือเส้นเกสาที่ยังไม่แปรสภาพ  ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่หวงแหนของเจ้าของยิ่งนัก
   

เพราะพระธาตุนั้นเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งของท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  เป็นพยานแห่งการบรรลุธรรมให้ผู้ที่สักการบูชาได้ยึดถือเป็นแบบอย่างและมีกำลังใจในการทำความดี  มีกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เห็นธรรม  เพราะเมื่อเห็นพระธาตุแล้วก็รู้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นได้ผลจริง  บริสุทธิ์จริง พ้นทุกข์จริง   
   
   
คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
    นะโมฯ 3 จบ
    อิติปิโส  วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ
    อิเมนาพุทธตังโสอิ  อิโสตังพุทธปิติอิ   
   

   
สถานที่จัดแสดงพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุสมัยพุทธกาล
   พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์  วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี   
   

   
เอกสารอ้างอิง   
   


  • สารคดีพระธาตุ วัดอโศการาม  พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและสมโภชน์  พระธุตังคเจดีย์  เมษายน พศ. 2551
       
  •       
    ตำราพระธาตุ  พร้อมด้วยสัณฐานและวรรณพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพุทธสาวกขีนาสวะอรหันต์เจ้าทั้งหลายโดยสังเขป  ของโรงพิมพ์การศาสนา
       
  •       
    พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์  นาวาอากาศโท  ภาสกร จูฑะพุทธิ
       
ขอขอบคุณ
www.kaolud.com
#27
เทศน์มหาชาติภาคอีสาน(ม่วนดีเด้อ...ค่ะ)

    กัณฑ์ที่1 ทศพร เทศน์แหล่ ทำนองอีสาน.mp3            กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์.mp3

   กัณฑ์ที่ 3 ทานกัณฑ์.mp3                             กัณฑ์ที่ 4 วน
ปเวศน์.mp3                       

    กัณฑ์ที่ 5 ชูชก เทศน์แหล่.mp3                         กัณฑ์ที่ 6 จุลพน เทศน์แหล่.mp3

   กัณฑ์ที่ 7 มหาพน เทศน์แหล่.mp3                     กัณฑ์ที่ 8 กุมาร เทศน์แหล่.mp3

    กัณฑ์ที่ 9 มัทรี ๑ เทศน์แหล่.mp3                      กัณฑ์ที่ 9 มัทรี ๒, ๓ เทศน์แหล่.mp3

   กัณฑ์ที่ 10 สักบรรพ์ เทศน์แหล่.mp3                   กัณฑ์ที่ 11 มหาราช เทศน์แหล่.mp3

   กัณฑ์ที่ 12 ฉกษัตริย์ เทศน์แหล่.mp3                  กัณฑ์ที่ 13 นคร เทศน์แหล่.mp3



#28
พระอานนท์พุทธอนุชา 

             เป็นบทประพันของ "วศิล อินทสละ" ในทีนี้เป็นเสียงอ่านของ "ท่าน ชาคโร ภิกขุ " สันติอโศก เป็นธรรมคีตะ คือ

เสียงอ่านประกอบ
ดนตรี ดิฉันขอแนะนำชวนเชิญให้ได้รับฟัง หรือดาวโหลดแล้วไรท์ใส่แผ่นCD ไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่ได้รับฟัง

รับรองว่า ท่านได้ปลื้มเป็นแน่

        เรื่องย่อที่สุด : เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ-พระอัครสาวก-อุบาสก-อุบาสิกา  ที่สำคัญในพระพุทธศาสนา 

เพื่อนๆ  ทั้งหลายมีโอกาสฟัง ตั้งแต่บทที่1-บทที่32 ดิฉันรับรองว่า "เทวดาก็ชม พรหมก็สรรเสริญ ครูบาอาจารย์ท่านย่อมรักษา

ยากจะกล่าวสั่นๆว่า             นัตฺถิ ปัญฺญา สมาอาภา = แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี



ลิงค์

         001.ในที่ประชุมสงฆ์.mp3                                        002. ณ.สัณฐาคารแห่งนครกบิลพัสดุ์.mp3


         003. พุทธปักฐานผู้เป็นบัณฑิต.mp3                                 004. มหามิตร.mp3


        005. กับพระนางมหาปชาบดี.mp3                                 006.  ความรัก-ความร้าย.mp3


        007. กับโกกิลาภิกษุณี.mp3                                      008.  โกกิลาผู้ประหาณกิเลส.mp3


        009.  พันธุละกับพระราชา.mp3                                     010.  ณ.ป่าประดู่ลาย.mp3


        011.บนกองกระดูกแห่งตัณหานุสัย.mp3                               012. สุทัตตะผู้สร้างอารามเชตวัน.mp3


        013.  เบญจกัลยาณีนามวิสาขา.mp3                               014.  มหาอุบาสิกานามวิสาขา.mp3


        015.  พุทธานุภาพ.mp3                                        016.  นางบุญและนางบาป.mp3


        017.  นางบาปและนางบุญ.mp3                                 018. ปฏิกิริยาแห่งธรรมโมชปัญญา.mp3


        019.  น้ำใจและจริยา.mp3                                     020. ปุพพูปการของพระพุทธอนุชา.mp3


        021. ความอัศจรรย์แห่งธรรมวินัย.mp3                             022.  ปัจฉิมทัศนา ณ เวสาลี.mp3


        023. คราเมื่อทรงปลงพระชนมายุสังขาร.mp3                        024.  พระอานนท์รอ้งให้.mp3


        025. ปัจฉิมสาวกอรหันต์และพวงดองไม้มาร.mp3                     026. อุปกาชีวกกับพวงดอกไม้มาร.mp3


        027. อุปกาชีวกกับพระอนันตชิน.mp3                            028. เมื่อสาลวโนทยานขาวด้วยมหาวิโยค.mp3


        029. หนึ่งวันก่อนวันประชุมสังคายนา.mp3                         030. พรหมทัณฑ์และ.ณ.ชาตสระบนเส้นทางจาริก.mp3


         031. จตุรงคพลและวิมลมาน.mp3                               032.  หญิงงามกับบิดา.mp3


         033. ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ.mp3
.








*phorn456*
#29
ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต

เรื่องราวและชีวประวัติอันน่าศรัทธาและน่าเลื่อมใส

ท่านเป็นพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้
[/U][/COLOR]

01.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               02.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


03.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               04.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


05.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               06.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


07.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               08.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


09.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               10.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


11.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               12.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


13.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma                14.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


15.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma                16ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


17.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma                18.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma 


19.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma               20.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


21.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma                22.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma


23.ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต.wma

















พระธาตุหลวงปู่มั่น ที่วัดสันติ  (มหัศจรรย์จริงๆ)


พระธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต(มหัศจรรย์จริงๆ)
*phorn456*
*phorn456*
#30
บทสวดอุปปาตะสันติ คาถา

ลิงค์บทสวด (เสียง)

http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=13595

http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=13596

ลิงค์บทอ่าน ไฟล์.doc

http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=39664

เมื่ิอวานได้ดูข่าวพระราชสำนักได้เห็น
สมเด็จฯพระเทพรัตน์ได้ทรงเสด็จประเทศพม่า ทางการพม่าได้พาสมเด็จฯไป

ที่พระเจดีย์"อุปปาตะสันติ" พระเจดีย์แห่งนี้ทางผู้นำประเทศพม่าได้เป็นผู้ที่ดำริและสร้างขึ้นมา

เสียดายไม่สามารถที่จะหาภาพมาประกอบให้ดูได้ (ที่มาแห่งการโพร์สกระทู้นี้)


คัมภีร์อุปปาตะสันติภาษาบาลีนี้ มีคำชี้แจงเพื่อทราบประวัติย่อต่อไปนี้

๑. อุปปาตะสันติ แยกเป็น ๒ คำ คือ อุปปาตะ คำ ๑ และ สันติ คำ ๑ อุปปาตะ แปลว่า เคราะห์กรรม, เหตุร้าย, อันตราย และแปลว่าสิ่งกระทบกระเทือน
อุปปาตะสันติ แปลว่าบทสวดสงบเคราะห์กรรม แปลว่าบทสวดสงบอันตราย แปลว่าบทสวดสงบเหตุร้าย และแปลว่าบทสวดสงบสิ่งกระทบกระเทือน
๒. คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นวรรณคดีบาลีลานนาไทย พระสีลวังสะมหาเถระ แต่งที่เชียงใหม่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๓ ถึง พ.ศ. ๒๐๑๐ เป็นคาถาล้วนจำนวน ๒๗๑ คาถา จัดเข้าในหนังสือประเภท "เชียงใหม่คันถะ" คือ คัมภีร์เชียงใหม่มีอายุประมาณ ๖๐๐ ปีเศษแล้ว

มีคำเล่าว่า สมัยแต่งอุปปาตะสันตินั้น ที่เมืองเชียงใหม่นั้นมีโจรผู้ร้ายและ คนอัทธพาลชุกชุมมากผิดปกติ มีเหตุร้ายและสิ่งกระทบกระเทือนอยูเสมอ พระสีลวังสะ จึงให้พระสงฆ์ สามเณรและประชาชนพากันสวดและฟังอุปปาตะสันติ เพื่อกลับร้ายให้กลายเป็นดี มีผู้เลื่อมใสคัมภีร์นี้มาก และถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาชาวพม่ามีความเลื่อมใสนำคัมภีร์นี้เข้าไปในประเทศพม่า เข้าใจว่านำเข้าไป ที่เมืองอังวะก่อนแล้วแพร่หลายไปทั่วประเทศพม่าสมัย ๕๐๐ ปีที่ล่วงแล้ว ชาวพม่าทั้งพระสงฆ์และประชาชนถือว่า คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีความศักดิ์สิทธิ์มาก นิยมท่อง นิยมสวดและนิยมฟังอย่างกว้างขวาง มีคำเล่ากันว่า สมัยหนึ่งพวกจีนมาตีเมืองอ้งวะ ประเทศพม่า ชาวพม่าทั้งพระสงฆ์ ข้าราชการ และประชาชนพากันสวดคัมภีร์อุปปาตะสันติ พวกจีนได้ฟังอุปปาตะสันติโฆษณาคือ เสียงกึกก้องของอุปปาตะสันติ ก็มีความกลัวแล้วพากันหนีกลับไป

๓. บุคคลและสภาวะที่อ้างถึงในคัมภีร์อุปปาตะสันติมี ๑๓ ประเภทคือ
๓.๑ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตถึงปัจจุบัน (เน้นที่ ๒๘ พระองค์)
๓.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้า
๓.๓ พระพุทธเจ้าในอนาคต ๑ พระองค์ คือ พระเมตไตรย
๓.๔ โลกุตตรธรรม ๙ และพระปริยัติธรรม ๑
๓.๕ พระสังฆรัตนะ
๓.๖ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ๑๐๘ รูป
๓.๗ พระเถรีชั้นผู้ใหญ่ ๑๓ รูป
๓.๘ พยานาค
๓.๙ เปรตบางพวก
๓.๑๐ อสูร
๓.๑๑ เทวดา
๓.๑๒ พรหม
๓.๑๓ บุคคลประเภทรวม เช่น เทวดา ยักษ์ ปีศาจ คือผีที่ทำสิ่งใดๆ อย่างโลดโผน และวิชชาธรหรือพิทยาธร(สันสกฤตเรียกวิทยาธร) ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเรียกพวก เซอเร่อคือพ่อมด แม่มด หรือผู้วิเศษ พวกวิชชาธร เป็นพวกรอบรู้เรื่องเครื่องรางและเสน่ห์ต่างๆ สามารถไปทางอากาศได้

เรื่องราวเย็นอกเย็นใจที่สังคมมุ่งหวังและเสาะแสวงหา ที่กล่าวถึง ในคัมภีร์อุปปาตะสันติ มีประการที่สำคัญ ๓ อย่างคือ

ก. สันติหรือมหาสันติ ความสงบ ความราบรื่น ความเยือกเย็น ความไม่มีคลื่น
ข. โสตถิ ความสวัสดี ความปลอดภัย ความเป็นอยู่เรียบร้อย หรือตู้นิรภัย
ค. อาโรคยะ ความไม่มีสิ่งเป็นเชื้อโรค ความไม่มีโรคหรือความมีสุขภาพสมบูรณ์

คัมภีร์อุปปาตะสันติ มีข้อความขอความช่วยเหลือ ขอให้พระรัตนตรัยและบุคคล พร้อมทั้งสิ่งทรงอิทธิพลในจักรวาลรวม ๑๓ ประเภทดังกล่าวมาแล้วช่วยสร้างสันติ หรือมหาสันติ ช่่วยสร้างโสตถิและอาโรคยะ ช่วยปรุงแต่งสันติและอาโรคยะ ขอให้ช่วยรวมสันติ รวมโสตถิและรวมอาโรคยะ และขอให้ช่วยเป็นตู้นิรภัยคุ้มครองและ กำจัดเหตุร้ายอันตรายหรือสิ่งกระทบกระเทือนต่างๆ อย่าให้เกิดมีในตน ในครอบครัว ในหมู่คณะ หรือในวงงานของตน และในวงงานของคนอื่นทั่วไป

๔. อานิสงฆ์การสวดและการฟังอุปปาตะสันติ มีคุณประโยชน์ตามที่กล่าวไว้ ในท้ายคัมภีร์ มีดังนี้

๔.๑ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมชนะเหตุร้ายทั้งปวงได้ และมีวุฒิภาวะคือ ความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ

๔.๒ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมได้ประโยชน์ที่ตนต้องการ คือ ผู้ประสงค์ความปลอดภัยย่อมได้ความปลอดภัย คนอยากสบายย่อมได้ความสุข คนอยากมีอายุยืน ย่อมได้อายุยืน คนอยากมีลูก ย่อมได้ลูกสมประสงค์

๔.๓ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมไม่มีโรคลมเป็นต้นมาเบียดเบียน ไม่มีอกาละมรณะคือตายก่อนอายุขัย ทุนนิมิตรคือลางร้ายต่างๆมลายหายไป

๔.๔ ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ เมื่อเข้าสนามรบย่อมชนะข้าศึก ทั้งปวงและแคล้วคลาดจากอาวุธทั้งปวง

๕. เดชของอุปปาตะสันติ การสวดอุปปาตะสันติเป็นประจำ ย่อมมีเดชดังนี้
๕.๑ อุปปาตะ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากแผ่นดินไหวเป็นต้น ย่อมพินาศไป (ปะถะพะยาปาทิสัญชาตา)

๕.๒ อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากลูกไฟที่ตกจากอากาศหรือสะเก็ดดาว ย่อมพินาศไป (อุปปาตะจันตะลิกขะชา)

๕.๓ อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากการเิกิดจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา เป็นต้น ย่อมพินาศไป (อินทาทิชะนิตุปปาตา)

๖. คัมภีร์อุปปาตะสันติ เป็นคัมภีร์ไทย แต่ต้นฉบับได้จากเมืองไทย ไปอยู่เมืองพม่าเสียนาน จนแทบกล่าวได้ว่า คนไทยสมัยหลังไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ ข้าพเจ้าจึงชำระและจัดพิมพ์เป็นอักษรไทย ด้วยวิธีเขียนให้คนอ่านคำบาลีทั่วไป สำหรับต้นฉบับนั้น ข้าพเจ้ามีแต่ฉบับเมืองพม่า และเป็นอักษรพม่า โดยท่านอาจารย์ธรรมานันทะธัมมาจริยะ ครูพระไตรปิฏก ประจำวักโพธาราม ได้กรุณาถวาย ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณอย่างยิ่งไว้ในที่นี้

การที่ข้าพเจ้าได้ชำระและจัดพิมพ์อุปปาตะสันติ เป็นอักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นการนำคัมภีร์ไทยโบราณกลับคืนสู่เมืองไทย เพื่อให้คนไทยได้รู้จัก ได้ศึกษา ได้สวด และได้ฟังให้เกิดประโยชน์ทางสันติ ทางโสตถิและทางอาโรคยะ สืบไป ในที่สุดนี้ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนมวลพุทธศาสนิกชนชาวไทย พร้อมกันยกมือสาธุแสดงความชื่นชมโสมนัสต่อการกลับมาโดยสวัสดีของคัมภีร์อุปปาตะสันติ โดยทั่วกันทุกท่านเทอญ

พระเทพเมธาจารย์
๗ สิงหาคม ๒๕๐๕
วัดโพธาราม จ.นครสวรรค์

      
#31


รวมเว็บฝากไฟล์ที่น่าสนใจ (ไม่เกี่ยวกับฮินดูแต่เกี่ยวโดยทางอ้อม)



ฮืม...จะโดนใบเหลืองหรือปล่าวหนอ ....พุทโธ ๆ ๆ เข้าไว้....

(ฮืม...คุณพี่เจ้าขา ใบเหลืองไม่เอา  ใบแดงไม่เอา )

เอาใบละ500 ใบละ1000 นะค่ะ คุณพี่ ที่รักษาเวปบร์อด (แป่ว... ๆๆๆ..!!!!)


*** รวมเว็บฝากไฟล์ที่น่าสนใจ *** เครดิด 
โดย siripong778 thaigaming.com
 
ต้องขอบอกันก่อนเลยนะว่าผมไม่ได้มีส่วนได้เสียกับทางเว็บอัพโหลดไฟล์ต่างๆที่ นำมาลงใดๆทั้งสิ้นแต่เพื่อเป็นทางเลือกให้กับหลายๆคนที่ต้องฝากไฟล์เอา ไว้หลายๆที่เพื่อเป็นทางเลือกในการดาวน์โหลดไฟล์กรณีที่ไฟล์ในโฮสต์นั้นๆไม่สามารถดาวน์โหลดได้ ซึ่งอาจจะมาจากไฟล์หมดอายุหรือโฮสต์ที่ให้บริการเกิดปัญหาต้องปิดตัวลงอย่างถาวรหรือปิดตัวลงชั่วคราวเพื่อปรับปรุงระบบซึ่งจะทำให้การดาวน์โหลดไฟล์ไม่สะดุดครับ...และทุกท่านสามารถแนะนำโฮสต์เว็บฝากไฟล์ที่ท่านคิดว่า โหลดง่ายไฟล์ไม่หมดอายุง่ายๆ สะดวกและรวดเร็ว มาโพสต์ต่อได้นะครับ(ถ้ารู้ว่าเป็นโฮสต์ในไทยหรือนอกให้เขียนกำกับไว้ด้ว ยนะเพราะมีผลต่อความเร็วในการ Upload/Download ไฟล์ด้วย)ผมจะพิจารณาและนำลิงค์ที่ท่านโพสต์มาอัพเดทที่หัวกระ ทู้นี้ให้

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:: Recommend Hosts (โฮสต์แนะนำ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.mediafire.com
Host Location: ต่างประเทศ

Free Features:
- Up to 100 MB per file / อัพโหลดไฟล์สูงสุด 100 MB ต่อไฟล์
- Unlimited storage / ไม่จำกัดพื้นที่เก็บไฟล์
- Unlimited uploads / ไม่จำกัดอัพโหลด
- Unlimited downloads / ไม่จำกัดดาวน์โหลด
- Unlimited bandwidth / ไม่จำกัดแบนวิดท์
- Image galleries / ภาพแกลเลอรี่
- Do not upload any copyrighted files / ไม่อนุญาตให้อัพโหลดไฟล์ลิขสิทธิ์
- No sign up required / ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก
- No software to install / ไม่ต้องติดตั้งซอฟท์แวร์
- No waits, lines, or queues to download files / ไม่ต้องรอเวลานับถอยหลัง, ไม่ต้องรอคิวโหลด
- Supports all file types / รองรับไฟล์ทุกประเภท
- Supports most popular download managers/accelerators includingDownload Accelerator Plus and GetRight. / สามารถใช้โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดอย่าง Get Right และ Download Accelerator Plus (DAP) ได้
- Supports resuming of disconnected downloads as long as your webbrowser or download manager/accelerator supports resuming. You canresume a download for up to 24 hours from when you first clicked thedownload link. / รองรับการต่อดาวน์โหลดเมื่อมีการหลุดการเชื่อต่อแต่การต่อดาวน์โหลดจะมีเวลาเพียง 24 ช.ม.หลังจากที่คลิ้กโหลด
- ไฟล์ไม่มีกำหนดหมดอายุ (แต่อาจโดนลบโดยผู้ให้บริการได้ หากตรวจพบว่าเป็นไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์)

MediaPro Features:
- Direct/Hot link to files / ลิงค์ไฟล์ตรงได้เลย
- Up to 10 GB per file / อัพโหลดไฟล์สูงสุด 10 GB ต่อไฟล์
- Redundant backups / ???
- No Ads / ไม่มีโฆษณา
- Rollover bandwidth / ???
- SSL encryption / ???
- Advanced statistics / ???
- Priority support / ???


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:: Thai Hosts (โฮสต์ในประเทศไทย)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.upload-thai.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการอัพโหลด และรองรับไฟล์สูงสุดถึง 1 GB
- ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการดาวน์โหลด
- ไฟล์จะถูกลบออกไป หากไม่มีการดาวน์โหลดเป็นเวลา 30 วัน
- สร้างรูปย่อขนาด 200x200 ให้อัตโนมัติสำหรับไฟล์รูปภาพที่มีขนาดไม่เกิน 5 เมกะไบต์

Supports file types:
- รองรับไฟล์ทุกประเภท


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.uploadfile.biz
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- ให้พื้นที่ฝากไฟล์สูงถึง 100 MB
- ระยะเวลาในการฝากไฟล์ไม่มีลบ นอกจากไฟล์ที่มีปัญหาหรือผิดกฏหมาย
- ฝากไฟล์กับเราเสร็จ พร้อมส่งลิงค์การใช้งาน เข้า E-mail ง่ายๆ ทันที
- ฝากไฟล์ได้ โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก
- เป็นบริการฝากไฟล์ที่ Upload เร็ว Download ก็แรง

Supports file types:
- ไฟล์บีบอัด: .zip .rar
- ไฟล์ภาพ: .bmp .gif .jpg .jpeg
- ไฟล์มีเดีย: .wmv .mgp .mpeg .mov .avi .mp3 .wma .mp4 .3gp
- ไฟล์เอกสาร: .pdf .doc .exl


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://upload.one2car.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- อัพโหลดได้ครั้งละ 4 ไฟล์ สูงสุด 200 MB
- ไม่มีอายุไฟล์
- โหลดได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลานับถอยหลัง

Supports file types:
- ไฟล์บีบอัด: .zip .rar
- ไฟล์รูปภาพ: .bmp .gif .jpg .jpeg
- ไฟล์มีเดีย: .wmv .mgp .mpeg .mov .avi .mp3 .wma .mp4 .3gp
- ไฟล์เอกสาร: .pdf .doc .exl


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.tempf.com
Host Location: ในประเทศไทย

Public Features:
- สามารถอัพโหลดไฟล์ละ 50 MB
- อัพโหลดสูงสุดได้ครั้งละ 10 ไฟล์ แต่รวมกันไม่เกิน 100 MB
- ไฟล์มีอายุ 7 วันหลังจากการดาวน์โหลดครั้งสุดท้าย

Member Features:
- สามารถอัพโหลดไฟล์ละ 100 MB
- อัพโหลดสูงสุดได้ครั้งละ 20 ไฟล์ แต่รวมกันไม่เกิน 200 MB
- สามารถตั้ง Password สำหรับดาวโหลดไฟล์ได้
- เปิดปิดการใช้งานการดาวน์โหลดไฟล์ได้
- จัดการไฟล์ที่อัพโหลดส่วนตัว, จัดกลุ่มไฟล์ได้
- ไฟล์มีอายุ 15 วันหลังจากการดาวน์โหลดครั้งสุดท้าย
- มีหน้ารวมไฟล์ส่วนตัว เพื่อส่งให้เพื่อนๆ

Supports file types:
- ไฟล์บีบอัด: .zip .rar
- ไฟล์รูปภาพ: .jpg .gif .png .tiff .jpeg
- ไฟล์วิดีโอ: .wmv .avi .flv .mov .mpg .mpeg
- ไฟล์เพลง: .mp3 .mp4 .wma .mid .wav
- ไฟล์เอกสาร: .doc .xls .ppt .pdf .vsd .txt
- ไฟล์อื่นๆ: ใช้วิธี Zip ไฟล์ แล้วอัพโหลด


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.upchill.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- ไฟล์ทั่วไป ขนาดไม่เกิน 50 MB (สมาชิกไม่เกิน 100 MB) ไฟล์มีอายุ 30 วัน (หากมีการดาวน์โหลดอยู่ ไฟล์จะต่ออายุไปเรื่อยๆ)
- ไฟล์รูปภาพ ขนาดไม่เกิน 10 MB (มี Thumbnail ขนาด 500x500 พิกเซลส์) ไม่มีวันหมดอายุ
- อัพโหลด 1000 MB ต่อครั้ง (สูงสุด 100 ไฟล์)
- ไม่จำกัดชนิดและชื่อของไฟล์ ยกเว้นไฟล์ชนิด 3GP และ MP3

Note: เว็บนี้เวลาโหลดไฟล์ให้ดูที่แถบจำนวนผู้ใช้งานด้วยนะ ถ้าแถบจำนวนผู้ใ้ช้งานยังไม่ถึง 100% เราก็จะโหลดไฟล์ได้ตามปกติ แต่ถ้าจำนวนผู้ใช้งานเต็ม 100% เราจะไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ใดๆได้เลย


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.gushare.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
อัพโหลดไฟล์ได้สูงสุด 200 MB ต่อไฟล์
อัพโหลดไฟล์รูปภาพได้ไม่เกิน 2 MB รองรับไฟล์เฉพาะ .gif, jpg, .png
รองรับการต่อดาวน์โหลด (Resume) เมื่อพักการดาวน์โหลดหรือหลุดการติดต่อได้

สำหรับ Premium Download จะได้รับสิทธิ์ดังนี้
- Hi-Speed Loading สามารถดาวน์โหลดได้ด้วย Speed ที่เร็วกว่าการดาวน์โหลดทั่วไป
- ดาวน์โหลดต่อจากครั้งก่อนได้ (Resume) กรณีที่หลุดจากการโหลด
- สามารถใช้โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดอย่าง FlashGet ได้
- ดาวน์โหลดได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเว็บไซด์หรือนับถอยห ลัง
- ไม่มีการบล็อคความเร็วในการดาวน์โหลด โหลดเสร็จเร็วได้ทุกที่ เช่น มหาวิทยาลัย หรือเน็ตคาเฟ
- ดาวน์โหลดได้พร้อมกัน 5 ไฟล์ในครั้งเดียว ใช้งานได้จริง (โดยแบ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ละ 1 ไฟล์ หรือ 1 Connection)


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.uploadtoday.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- อัพโหลดได้ครั้งละ 8 ไฟล์ๆละไม่เกิน 50 MB
- ไฟล์มีอายุ 60 วัน หลังจากการ Download ครั้งแรก และจะคงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ หากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง

Supports file types:
- ไฟล์บีบอัด: .zip .rar
- ไฟล์รูปภาพ: .jpg .gif
- ไฟล์มีเดีย: .mpeg .mpg .wmv .avi .mov .rm .asf
- ไฟล์เอกสาร: .doc .xls .ppt .pdf


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://upload.mthai.com
Host Location: ในประเทศไทย

- คลิกเดียว ส่งได้หลายไฟล์
- รองรับไฟล์ทุกประเภท ไม่จำกัดจำนวนในการอัพโหลด
- อัพโหลดไฟล์ได้สูงสุด 50 MB ต่อไฟล์
- ดาวน์โหลดได้ทันที ไม่ต้องรอเวลา
- ต่ออายุไฟล์อัตโนมัติเมื่อยังมีการดาวน์โหลดอยู่
- มีระบบส่งอีเมล์พร้อมลิงค์ไปยังเพื่อนได้ทันที
- สร้าง Thumbnail อัตโนมัติสำหรับไฟล์ประเภทรูปภาพ
- สำหรับสมาชิกสามารถอัพโหลดไฟล์ได้สูงสุด 100 MB ต่อไฟล์ และมีระบบการจัดการไฟล์ให้


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.uploadd.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
อัพโหลดได้สูงสดุ 4 ไฟล์
ไฟล์ทั่วไปอัพโหลดไฟล์ละได้ไม่เกิน 200 MB และไม่มีการลบไฟล์
ไฟล์รูปภาพอัพโหลดไฟล์ละไม่เกินไฟล์ 2 MB และไม่มีการลบไฟล์

Supports file types:
- ไฟล์บีบอัด : .zip .rar
- ไฟล์รูปภาพ : .bmp .gif .jpg .jpeg
- ไฟล์มีเดีย : .wmv .mpg .mpeg .mov .avi .mp3 .wma .mp4 .3gp
- ไฟล์เอกสาร : .pdf .doc .xls


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
NO LOGO
http://www.saveufile.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- ไฟล์มีอายุ 30 วัน (หากมีการดาวน์โหลดไฟล์ ก็จะต่ออายุไปเรื่อยๆ)
- อัพโหลดไฟล์ขนาดสูงสุด 200 MB และ 500 MB ด้วยโปรแกรม
- ไฟล์ที่อัพโหลดผ่านโปรแกรมนานเกิน 7 วันจะโดนลบทันที
- ไฟล์รูปภาพขนาดไม่เกิน 2 MB ไม่มีวันหมดอายุ

Supports file types:
- รองรับไฟล์ทุกประเภท


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:: Foreign Hosts (โฮสต์ต่างประเทศ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.ziddu.com
Host Location: ต่างประเทศ

Features:
- ฟรี 100%
- อัพโหลดไฟล์ได้สูงสุด 200 MB ต่อไฟล์
- ดาวน์โหลดได้ทันทีโดยไม่ต้องนับเวลาถอยหลัง
- All free accounts! No Premium accounts!!
- Accepts parallel downloads! no waiting !!
- Apart from download, you can view / watch / listen online any uploaded file with Ziddu!
- Invite, Make and Share the joy and files with your Friends.
- A plethora of photo management tools such as 'Photo Album' and 'Slide Show' to share!
- Easy file management with multiple folder facility.
- Flexibility to create Video and Audio libraries to share!!
- Now users can browse & Use in Multiple Languages offered.
- Wish your loved ones with personalized Greetings !!

Supports file types:
- รองรับไฟล์ทุกประเภท (Photos, Audios, Videos, Document)


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:: Image Hosts (โฮสต์ฝากรูปภาพ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.hulashare.com
Host Location: ในประเทศไทย

Features:
- อัพโหลดภาพสูงสุด 10 MB ต่อภาพ
- รองรับไฟล์ภาพ .gif .jpg .jpeg .png


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://www.imageshack.us
Host Location: ต่างประเทศ

Features:
- ไม่มีข้อมูล      
                  แนะนำเวบฝากไฟล์ www.saveufile.com
อัพไฟล์สูงสุด 200MB หรือ 500MB ด้วยโปรแกรม
สามารถใช้โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดได้ เช่น

วิธี Download File เวบ www.saveufile.com ด้วย Flashget

1. ต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงใช้โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดได้ หากยังไม่มีโปรแกรม Flashget โหลดได้ ที่นี่
2. login เข้าสู่ระบบก่อน
3. ใส่ url link ดาวน์โหลดใน address bar ของ browser ตามปกติ
4. จะมีปุ่ม VIP ขึ้นมา ให้กด 1 ทีเพื่อให้ระบบ generate link resume download ให้
5. จะมี popup ขึ้นมาให้กด ok
6. กดปุ่ม download file แล้วจะมี popup ของ Flashget ขึ้นมา ชื่อไฟล์ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้เพราะโปรแกรมจะเปลี่ยนให ้อัตโนมัติ
7. แสดงโปรแกรมกำลังดาวน์โหลดไฟล์
 



                                 
#32
รูปพระกฤษณะ





























































phorn456
#33
พระคาถาชินบัญชร-ทำนองจีน.mp3

พระคาถาชินบัญชร-ทำนองจีน.mp3      http://www.4shared.com/file/226720593/f223f111/-_online.html



*phorn456*
#35
              โอวาทสี่ท่านเหลียวฝาน
โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน  ที่ข้าฯเจ้านำมาโพร์สลงให้ในครั้งนี้นั้น  เป็นเรื่องราวของขุนนางท่านหนึ่ง ในสมัยราชวงศ์ชิง ท่านได้บันทึกเรื่องราวของท่านที่จะสอนลูกของท่านเอาไว้ว่า
 ชาตาชีวิตของคนเรา  มิได้อยู่ที่ฟ้าดิน  หรือ โชคชะตา เพียงอย่างเดียว มันอยู่ที่เรา ต้องขยันสร้างคุณงามความดีอยู่เสมอและรู้จัก การควบคุมการที่จะไม่ให้ตัวเราเองทำความชั่ว  และให้เราหมั่นสำรวจตัวเราเองว่าวันหนึ่งๆนั้นเราได้ทำความดีหรือความชั่วมากกว่ากัน
น่าฟังมากขอบอก  
โอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝานจำเดิมเป็นนั้นภาษาจีน ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดย Mr.จาง
หมายเหตุ   ****ธรรมคีตะ คือ  การอ่านหนังธรรมะประกอบกับดนตรี

ลิงค์โอวาทสี่ท่านเหลียวฝาน
http://www.4shared.com/file/207416929/f81563cb/09__2_-__-_06_-_Track_6.html
http://www.4shared.com/file/207416923/18c08ad5/10__2_-__-_07_-_Track_7.html
http://www.4shared.com/file/207416933/1dbbb94/08__2_-__-_05_-_Track_5.html
http://www.4shared.com/file/207416947/49f7e94a/07__2_-__-_04_-_Track_4.html
http://www.4shared.com/file/207416968/eb7e9659/06__2_-__-_03_-_Track_3.html
http://www.4shared.com/file/207416987/e542a646/05__2_-__-_02_-_Track_2.html
http://www.4shared.com/file/207416994/6550c6bd/04__2_-__-_01_-_Track_1.html
http://www.4shared.com/file/207417008/a496d35/02___1_-__-_02_-_Track_2.html
http://www.4shared.com/file/207417036/c6dc13f1/03__1_-__-_04_-_Track_4.html
http://www.4shared.com/file/207417080/cc4b6f0f/01___1_-__-_01_-_Track_1.html
http://www.4shared.com/file/207446753/95ffbe68/17__3_-__-_04_-_Track_4.html
http://www.4shared.com/file/207446769/5e0704b5/13__2_-__-_10_-_Track_10.html
http://www.4shared.com/file/207446787/273c043c/16___3_-__-_03_-_Track_3.html
http://www.4shared.com/file/207446808/7406d498/15___3_-__-_02_-_Track_2.html
http://www.4shared.com/file/207446823/d1e26f92/11__2_-__-_08_-_Track_8.html
http://www.4shared.com/file/207446837/cf949aca/12__2_-__-_09_-_Track_9.html
http://www.4shared.com/file/207446858/97120dd/18__3_-__-_05_-_Track_5.html
http://www.4shared.com/file/207446875/45f63ee2/14___3_-__-_01_-_Track_1.html


#36
นำรูปภาพพระพุทธเจ้ามาฝาก  อะคับ
























#37
                                    พบกันอีกแย้.....วว..ว 


ั                     วันนี้เอาบทขับเสภา สรรเสริญเจริญพระคุณ ฯลฯ มาฝาก...อะคับ

          01.เสภานอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า                 02.เสภาบูชาคุณบิดาและมารดา 

         03.เสภาพ่อแม่ข้าขอกราบไหว้คุณบิดาและมารดา       04.เสภาสำนึกบาปกราบเท้าแม่

         05.เสภาใครคือครูครูคือใครในวันนี้                 06.เสภางานวันเกิด
            
       ขอบคุณกับคำ..."ขอบคุณ" ที่มีให้แก่   ข้าฯเจ้า   ทุกๆกระทู้ที่ข้าฯเจ้า ได้โพร์ส
      

001.เสภานอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า.mp3 = http://www.4shared.com/file/197544365/172fdc82/001.html


002.เสภาบูชาคุณบิดาและมารดา.mp3 = http://www.4shared.com/file/197549105/b09b77b7/002.html


003.เสภาพ่อแม่ข้าขอกราบไหว้คุณบิดาและมารดา.mp3  =  http://www.4shared.com/file/198174797/53c94192/003.html



004.เสภาสำนึกบาปกราบเท้าแม่.mp3  =  http://www.4shared.com/file/198174923/bdce714a/006.html


005.เสภาใครคือครูครูคือใครในวันนี้.mp3 =  http://www.4shared.com/file/198174936/d4bfb484/005.html


006เสภางานวันเกิด.mp3 =   http://www.4shared.com/file/198174944/75f0436f/004.html

                                 
                                                         *phorn456*
#38
                                  บทสวดบูชาพระเจ้าสิบชาติ

          เป็นบทสวดบูชาพระเจ้าสิบชาติ อะคับ!!!!! ซึ่งเป็นพระชาติใหญ่ๆ ทั้ง10ชาติที่พระโพธิสัตว์ ทรงสร้างพระปารมี ก่อนที่จะทรงเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (พระมหาสมณพุทธโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า 

บทสวดบูชาพระเจ้าสิบชาติ =   http://www.4shared.com/file/197518974/f692684b/01__.html

#39
                                                     รูป  
                     พระพุทธเจ้า
                                              สวยๆ  อะคับ!!






























































                               แค่คำว่า " ขอบใจ" ก้อ,,,ชื่นใจแล้ว