พุทธประวัติสังเขป
ข้อความเบื้องต้น
การศึกษาพุทธประวัติ คือการเรียนรู้ความเป็นไปของพระพุทธ-
เจ้า ย่อมเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก สำหรับพุทธศาสนิกชน
เพราะพระพุทธประวัติเป็นเรื่องที่แสดงพระพุทธจรรยาของพระพุทธเจ้า
ให้ปรากฏ ทั้งเป็นส่วนอัตตสมบัติและสัตตูปการสัมปทา เป็นสิ่งสำคัญ
ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่ากับพงศาวดารย่อมเป็นสิ่ง
สำคัญของชาติคน ที่จะให้รู้ได้ว่าชาติใดได้เป็นมาแล้วอย่างไร เพราะ
พระองค์ทรงเป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งอุบายวิธีและระเบียบดำเนินการ
ในส่วนที่ทรงทำแก่พระองค์เองและแก่ผู้อื่น ผู้ที่ได้ศึกษาก็จะได้เห็น
ตัวอย่างที่ดี เป็นเหตุให้ทำชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์ ปรับปรุงความ
ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามคลองธรรม เป็นเครื่องนำมาซึ่งชั้นต่ำ ๆ
กลาง ๆ ไปก่อน กล่าวคือเรียนรู้แล้วให้รู้จักหยิบยกน้อมนำเอามาใช้
ในกิจการทางโลก จะเป็นส่วนพระวิริยะหรือพระขันติก็ตาม ก็คงจะได้
ประโยชนมาก ยิ่งได้ศึกษาให้ละเอียดก็จะยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระพุทธคุณ
มากขึ้น ศรัทธา ปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสก็เจริญมากขึ้น เท่ากับ
ระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ได้ทำประโยชน์ไว้แก่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 2
ของตน ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านั้นมีบุญมีคุณแก่ตนอย่างไร แล้ว
จะได้มีแก่ใจบำเพ็ญความดีเจริญรอยตาม.
รวมความแล้วการเรียนรู้พุทธประวัติ ย่อมได้คติ ๓ ทาง คือ :-
๑. ทางตำนาน ให้สำเร็จผลคือทราบเรื่องของพระพุทธเจ้าว่า
เป็นมาอย่างไร.
๒. ทางอภินิหาร ให้สำเร็จผลคือได้เห็นวิธีการเผยแผ่พระ
พุทธศาสนา ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
และผู้ที่หนักในทางอภินิหาร ก็จะได้ศรัทธาปสาทะในพระ
พุทธานุภาพยิ่งขึ้น.
๓. ทางธรรม ให้สำเร็จผลคือ ได้หยั่งทราบข้อปฏิบัติและเหตุ
ผลที่เป็นจริงโดยละเอียดแล้วปฏิบัติถูกต้อง.
ฉะนั้น พุทธศาสนิกชน นักเรียน นักศึกษา ควรกำหนดจดจำไว้
โดยสังเขป ดังต่อไปนี้ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 3
ปุริมกาล
ปริเฉทที่ ๑
ชมพูทวีปและประชาชน
๑. ดินแดนที่เรียกว่า ชมพูทวีป ได้แก่ประเทศอินเดีย (สมัยก่อน)
อยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย.
๒. ชมพูทวีปมีชน ๒ ชาติ อาศัยอยู่ต่างวาระกัน คือ :-
(๑) ชาติมิลักขะ อาศัยอยู่ก่อน.
(๒) ชาติอริยกะ ยกพวกข้ามภูเขาหิมาลัยมารุกไล่เจ้าของถิ่น
เดิม แล้วอาศัยอยู่ทีหลัง.
๓. ชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ :-
(๑) มัชฌิมชนบท หรือมัธยมประเทศ (ส่วนกลาง) เป็น
ที่อยู่ของพวกอริยกะ.
(๒) ปัจจันตชนบท หรือปัจจันตประเทศ (ส่วนปลายแดน)
เป็นที่อยู่ของพวกมิลักขะ.
๔. อาณาเขตของมัชฌิมชนบทนั้น มีปรากฏในพระบาลีจัมมขันธกะ
ในมหาวรรคแห่งพระวินัย ดังนี้ :-
(๑) ทิศบูรพา จด มหาศาลนคร (ปัจจุบันคือเมืองเบงคอล).
(๒) " อาคเนย์ " แม่น้ำสัลลวตี.
(๓) " ทักษิณ " เสตกัณณิกนิคม (ปัจจุบันคือแคว้นเดกกัน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 4
(๔) ทิศปัศจิม จด ถูนคาม (ปัจจุบันคือเมืองบอมเบย์).
(๕) " อุดร " ภูเขาอุสีรธชะ (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล).
๕. มัชฌิมชนบทนั้น เป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ตั้งนครใหญ่ ๆ
เป็นศูนย์กลางการปกครอง และเป็นที่ประชุมนักปราชญ์คณาจารย์
เจ้าลัทธิต่าง ๆ
๖. ชมพูทวีปตามในอุโบสถสูตร ติกนิบาตอังคุตตรนิกาย แบ่งเป็น
๑๖ แคว้นใหญ่ คือ :-
อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ
ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ.
และระบุไว้ในสูตรอื่นอีก ๔ แคว้น คือ :-
สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ อังคุตตราปะ.
๗. การปกครองของแคว้นเหล่านี้ต่าง ๆ กัน คือ :-
(๑) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นมหาราชบ้าง.
(๒) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นเพียงราชาบ้าง.
(๓) มีผู้ปกครองเป็นเพียงอธิบดีบ้าง.
(๔) ใช้อำนาจโดยสิทธิขาดบ้าง.
(๕) ใช้อำนาจโดยสามัคคีธรรมบ้าง.
(๖) บางคราวเป็นรัฐอิสระ
(๗) บางคราวเป็นรัฐเสียอิสระ.
๘. ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ (พวก) คือ :-
(๑) กษัตริย์ จำพวกเจ้ามีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 5
(๒) พราหมณ์ จำพวกเล่าเรียนมีหน้าที่ฝึกสอนและทำพิธี.
(๓) แพศย์ จำพวกพลเรือนมีหน้าที่ประกอบอาชีพ เช่นทำ
นา ค้าขาย.
(๔) ศูทร จำพวกคนงานมีหน้าที่รับจ้าง.
๙. ชนทั้ง ๔ จำพวกเหล่านี้ พวกที่ ๑-๒ จัดเป็นชั้นสูง ที่ ๓ เป็น
ชั้นสามัญ ที่ ๔ เป็นชั้นต่ำ พวกสูงถือตัวจัด ไม่ยอมร่วมกิน
ร่วมนอนกับพวกต่ำ หากบังเกิดมีร่วมกัน ลูกที่ออกมาจัดเป็นอีก
จำพวกหนึ่งเรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเลวมาก.
๑๐. การศึกษาของคนในสมัยนั้นก็เป็นไปตามวรรณะนั้น ๆ คือ มีหน้าที่
อย่างไร ก็ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่นั้น.
๑๑. คนในสมัยนั้นสนใจวิชาธรรมมาก จึงมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน
ต่าง ๆ เช่น :-
(๑) เกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏ ๒ พวกใหญ่ ๆ ๑. เห็นว่าตายแล้วเกิด.
๒. เห็นว่าตายแล้วสูญ.
(๒) เกี่ยวกับเรื่องสุขทุกข์ ๒ พวกใหญ่ ๆ ๑. สุขทุกข์เกิดจากเหตุ-
๒. สุขทุกข์ไม่เกิดจากเหตุ.
๑๒. คนในสมัยนั้นทั้ง ๔ วรรณะ ก่อนแต่พระพุทธเจ้าอุบัติก็ได้ถือ
ศาสนาพราหมณ์ ถือว่าโลกธาตุทั้งปวงมีเทวดาสร้าง จึงพากัน
เช่นสรวงด้วยการบูชายัญและประพฤติตบะทรมานร่างกายต่าง ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 6
ปริเฉทที่ ๒
สักกชนบท และศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
๑. ตำนานสักกชนบทมีเรื่องย่อว่า พระเจ้าโอกากราชในพระ-
นครหนึ่งมีพระราชบุตร ๔ ราชบุตรี ๕ พระองค์ ครั้นพระมเหสีทิวงคต
แล้ว ได้พระมเหสีใหม่ได้มีพระโอรสอีก ๑ พระองค์ พระราชทาน
ราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์เล็กนั้น โปรดให้พระราชบุตร และ
พระราชบุตรีทั้ง ๙ ไปสร้างพระนครใหม่ในดงไม้สักกะ จึงได้ชื่อว่า
สักกชนบท และดงไม้สักกะนั้นเป็นที่อยู่ของพวกกบิลดาบส จึงได้
ตั้งชื่อนครใหม่นั้นว่า กบิลพัสดุ์.
๒. พระราชบุตร พระราชบุตรี ๘ พระองค์ สมสู่กันเอง
ในนครกบิลพัสดุ์ จัดเป็นต้นวงศ์ศากยะ.
๓. พระเชฏฐภคินีได้เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงเทวทหะ จัด
เป็นต้นวงศ์โกลิยะ.
๔. ศากยวงศ์ กับ โกลิยวงศ์ สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับ เท่าที่
ปรากฏอยู่ มีดังนี้ :-
ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
พระเจ้าชยเสนะ ไม่ปรากฏพระนาม
มีพระราชบุตร และพระราชบุตรี พระเจ้าในโกลิยวงศ์ ไม่ปรากฏ
รวม ๒ พระองค์ คือ :- พระนาม มีพระราชบุตร และ
(๑) พระเจ้าสีหหนุ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 7
(๒) พระนางเจ้ายโสธรา (๑) พระเจ้าอัญชนะ
(๒) พระนางเจ้ากัญจนา
พระเจ้าสีหหนุกับพระนางเจ้ากัญ- พระเจ้าอัญชนะ กับ พระนางเจ้า
จนามีพระราชบุตรและพระราช- ยโสธรา มีพระราชบุตรและพระ
บุตรี รวม ๗ พระองค์ คือ :- ราชบุตรี รวม ๔ พระองค์ คือ :-
(๑) พระเจ้าสุทโธทนะ (๑) พระเจ้าสุปปพุทธะ
(๒) เจ้าชายสุกโกทนะ (๒) เจ้าชายฑัณฑปาณิ
(๓) " อมิโตทนะ (๓) พระนางเจ้ามายาเทวี
(๔) " โธโตทนะ (๔) พระนางเจ้าปชาบดี
(๕) " ฆนิโตทนะ (โคตมี)
(๖) เจ้าหญิงปมิตา
(๗) พระนางเจ้าอมิตา
๑. พระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราช- พระเจ้าสุปปพุทธะ กับ พระนาง
บุตร และพระราชบุตรี ๓ พระองค์ เจ้าอมิตา มีพระราชบุตร และ
ประสูติแต่พระนางเจ้ามายาเทวี ๑ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ:-
พระองค์ คือ:- (๑) พระเทวทัต
(๑) พระสิทธัตถกุมาร (๒) พระนางพิมพา หรือ
และประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดี ยโสธรา
อีก ๒ พระองค์ คือ :-
(๑) พระนันทะ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 8
(๒) พระนางรูปนันทา
๒. สุกโกทนะ กับนางกีสาโคตมี
มีพระโอรส ๑ พระองค์ คือ
(๑) พระอานนท์
๓. อมิโตทนะมีพระราชบุตร และ
พระราชบุตรี ๓ พระองค์ คือ
(๑) พระเจ้ามหานามะ
(๒) พระอนุรุทธะ
(๓) พระนางโรหิณี
๑. พระสิทธัตถะกับพระนางพิมพา
มีพระโอรส ๑ พระองค์ คือ
พระราหุล
๒. พระเจ้ามหานามะ กับนางทาสี
มีพระธิดา ๑ พระองค์ คือ
พระนางวาสภขัตติยา
พระนางวาสภขัตติยาได้เป็น
พระอัครมเหสี ของพระเจ้า
ปเสนทิโกศลได้พระโอรส ชื่อ
"พระเจ้าวิฑูฑภะ"
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 9
ปริเฉทที่ ๓
พระศาสดาประสูติ
๑. พระพุทธเจ้าของเราเป็นชนชาวชมพูทวีป หรือ ชาวเนปาล เชื้อ
ชาติอริยกะ แปลว่า ชาติที่เจริญ คือเจริญด้วยความรู้ขนบ
ธรรมเนียม ศีลธรรมและฤทธิ์อำนาจ.
๒. พระองค์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนาง-
เจ้ามายาเทวี.
๓. พระองค์มีพระเจ้าสีหหนุเป็นพระเจ้าปู่ มีพระนางเจ้ากัญจนาเป็น
พระเจ้าย่า มีพระเจ้าอัญชนะเป็นพระเจ้าตา มีพระนางเจ้ายโสธรา
เป็นพระเจ้ายาย.
๔. พระองค์ ไม่มีพี่น้องร่วมท้องมารดากันเลย แต่มีน้องต่างมารดา
กัน ๒ พระองค์ คือ พระนันทกุมาร ๑ พระรูปนันทากุมารี ๑
ซึ่งประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดีโคตมี.
๕. พระศาสดา ได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เมื่อเวลาใกล้
รุ่ง วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา บังเกิดแผ่นดิน
ไหว (เหตุแผ่นดินหวั่นไหว ๘ ประการ คือ (๑) ลมกำเริบ
(๒) ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล (๓) พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์
มารดา (๔) พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ (๕) พระโพธิ-
สัตว์ตรัสรู้ (๖) พระพุทธเจ้ายังธรรมจักรให้เป็นไป (๗) พระ
พุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร (๘) พระพุทธเจ้าปรินิพพาน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 10
๖. พระองค์ ประสูติจากพระครรภ์มารดา เมื่อเวลาสายใกล้เที่ยง
วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนแต่ พ.ศ. ไป ๘๐ ปี.
๗. พระองค์ประสูติที่ ใต้ร่มไม้สาละในลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ริมเขต
เมืองกลิบพัสดุ์ และริมเขตเมืองเทวทหะต่อกัน (ตำบลรุมมินเด
แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล).
๘. พอประสูติแล้ว พระมารดาและพระญาติพากลับมประทับอยู่ใน
พระราชวัง เมืองกบิลพัสดุ์ ตามพระดำรัสพระราชบิดา.
๙. มี อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส) เข้ามาเยี่ยมถึงในพระราชวัง
เห็นลักษณะแห่งพระราชกุมาร จึงทำนายว่ามีคติเป็น ๒ คือ :-
(๑) ถ้าไม่บวชจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีอำนาจมาก.
(๒) ถ้าบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้สอนดีที่ ๑ ในโลก (ศาสดาเอก)
๑๐. ประสูติแล้ว ๕ วัน พราหมณ์ ๑๐๘ คน มารับประทานอาหาร
กันแล้ว จึงขนานพระนามให้แก่พระกุมารว่า สิทธัตถะ แปลว่า
ผู้มีความต้องการสำเร็จ.
๑๑. ประสูติแล้วต่อมา ๗ วัน พระมารดาสิ้นพระชนม์ ได้รับการ
ชุบเลี้ยงจากพระนางเจ้าปชาบดีต่อมา.
๑๒. เจริญวัยขึ้นราว ๗ ขวบ พระบิดาให้คนขุดสระปลูกบัวไว้ ๓ สระ
สำหรับให้พระกุมารทรงเล่นสำราญ และทรงนำพระกุมารไปให้
ศึกษาศิลปวิทยา ในสำนักครูชื่อ วิศวามิตร พระกุมารเรียนได้
จบความรู้ของครูโดยไม่ช้าเหมอนเด็กอื่น ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 11
๑๓. พระชนมายุ ๑๖ ปี พระบิดาให้คนสร้างปราสาทขึ้น ๓ หลัง แล้ว
ให้พระสิทธัตถะราชโอราสอภิเษก (แต่งงาน) กับพระนางพิมพา
ให้อยู่ในปราสาททั้ง ๓ หลังนั้น ตามฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน
เป็นลำดับ
๑๔. พระชนมายุ ๒๙ ปี ได้พระโอรส ๑ พระองค์ ทรงพระนามว่า
ราหุล แปลว่า บ่วง หรือห่วง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 12
ปริเฉทที่ ๔
เสด็จออกบรรพชา
๑. พระองค์เสด็จออกทรงผนวชในปีที่มีพระชนมายุ ๒๙ ปีนั้นเอง.
๒. มูลเหตุที่พระองค์ออกผนวช ในอรรถกถามหาปทานสูตร กล่าวว่า
ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
และสมณะ อันเทวดาแสร้งนิมิตไว้ในระหว่างทาง. และใน
ปาสราสิสูตรมัชฌิมนิกายแสดงว่า ทรงปรารภความแก่ เจ็บ ตาย
อันครอบงำทุกคน ไม่ล่วงพ้นไปได้ แล้วจึงทรงดำริว่า เราควร
แสวงหาเครื่องแก้ความแก่ เป็นต้น แต่ถ้าอยู่ในพระราชวัง โดย
ไม่บวช ก็คงมีแต่เรื่องเศร้าหมองมัวเมา จึงตกลงพระทัยออกผนวช.
๓. พระองค์หนีออกผนวชตอนกลางคืน ทรงม้าชื่อ กัณฐกะ ออกไป
มีนายฉันนะตามเสด็จไปด้วย เพื่อนำม้ากลับ นี้กล่าวตามพระอรรถ-
กถาจารย์. ส่วนพระมัชฌมภาณกาจารย์กล่าวว่า เสด็จออกซึ่งหน้า
อีกนัยหนึ่งว่า เสด็จออกสรงน้ำในชลาลัยศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เสด็จกลับ.
๔. พระองค์ทรงผนวชที่ฝั่ง แม่น้ำอโนมา ป่าอนุปิยอัมพวัน แขวง
มัลลชนบท.
๕. ผ้ากาสายะและบาตร พระอรรถกถาจารย์ว่า ฆฏิการพรหม นำมา
ถวาย. สมเด็จ ฯ ทรงสันนิษฐานว่า น่าจะทรงได้ในสำนักบรรพชิต
ผู้ได้สมาบัติ----หรือได้มาด้วยการตระเตรียม.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 13
ประเฉทที่ ๕
ตรัสรู้
๑. ทรงบรรพชาแล้วประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน ๗ วันแล้ว เสด็จผ่าน
กรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินมคธ ครั้งยัง
เป็นพระราชกุมาร ตรัสชวนให้อยู่จะพระราชทานอิสริยยศยกย่อง
พระองค์ไม่ทรงรับ และแสดงว่า มุ่งจะแสวงหาพระสัมมาสัม-
โพธิญาณ.
๒. พระเจ้าพิมพิสารขอปฏิญญาว่า ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาโปรด.
๓. ได้ไปศึกษาอยู่ในสำนักอาจารย์ทั้ง ๒ คือ :-
(๑) อาฬารดาบส กาลามโคตร (ได้สมาบัติ ๗).
(๒) อุทกดาบส ราวบุตร (ได้สมาบัติ ๘).
เรียนจบความรู้ของอาจารย์ได้สมาบัติ ๘ คือ :-
(ก) รูปฌาน ๔ มี ปฐมฌาน
ทุติยฌาน
ตติยฌาน
จตุตถฌาน
(ข) อรูปฌาน ๔ มี อากาสานัญจายนะ
วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญาตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 14
๔. เสด็จออกจากสำนักอาจารย์ ไปทำความเพียร เพื่อจะได้ตรัสรู้อยู่ที่
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ด้วยทุกรกิริยา ๓ อย่าง คือ :-
(๑) กดฟันกับฟัน กดลิ้นกับเพดาน.
(๒) กลั้นลมหายใจ.
(๓) อดอาหาร.
จนพระรูปผอมมาก ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เลย.
๕. อุปมา ๓ ข้อ ปรากฏแก่พระองค์ว่า :-
(๑) ผู้มีกายและจิตยังไม่ออกจากกาม ตรัสรู้ไม่ได้ เปรียบ
เหมือนไม้สดแช่น้ำ สีไม่ติดไฟ.
(๒) ผู้มีกายออกแล้ว แต่จิตยังไม่ออกจากกาม ตรัสรู้ไม่ได้
เหมือนไม้สดตั้งบนบก สีไม่ติดไฟ.
(๓) ผู้มีกายและจิตออกจากกามแล้ว ควรตรัสรู้ได้ เหมือน
ไม้แห้งตั้งบนบก อาจสีให้เกิดไฟได้.
๖. นับจากวันผนวชมาได้ ๖ ปี พระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาส ของ
นางสุชาดา รับหญ้าของ นายโสตถิยะ ลาดต่างบัลลังก์ที่โคนโพธิ์
ประทับนั่งตั้งพระทัยอธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุโพธิญาณเพียงใด
จักไม่ลุกขึ้นเพียงนั้น เนื้อเลือดแห่งไปเหลือหนังหุ้มกระดูกก็ตาม.
๗. ขณะนั้นมารคือกิเลสเกิดขึ้นในพระทัย พระองค์ทรงผจญมารด้วย
พระบารมี ๑๐ ทัศ คือ ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. เนกขัมมะ ๔. ปัญญา
๕. วิริยะ ๖. ขันติ ๗. สัจจะ ๘. อธิษฐาน ๙. เมตตา ๑๐. อุเบกขา
ชนะแล้ว บรรลุญาณ ๓ คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 15
(๑) บุพเพนิวาสานุสติญาณ.
(๒) ทิพพจักขุญาณ.
(๓) อาสวักขยญาณ.
ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
ก่อนแต่ พ. ศ. ๔๕ ปี ที่ต้นไม้โพธิ (อัสสัตถพฤกษ์) ฝั่งแม่น้ำ
เนรัญชรา.
๘. คำว่า ตรัสรู้ นั้นคือรู้ของจริง ๔ อย่าง คือ :-
(๑) รู้ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ.
(๒) รู้เหตุเกิดทุกข์ คือ ความอยาก.
(๓) รู้ความดับทุกข์ คือ หมดความอยาก.
(๔) รู้มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
๙. ชื่อเดิมของพระองค์ว่า สิทธัตถะ แต่พอตรัสรู้ของจริงทั้ง ๔ นี้
แล้ว จึงได้พระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่า ผู้ตรัสรู้
ดีถูกต้องด้วยตนเอง.
๑๐. ครูวิศวามิตรก็ดี อาฬารดาบส และอุทกดาบสก็ดี ไม่ได้สอน
ของจริงทั้ง ๔ อย่างนี้เลย ของจริงนี้ พระองค์ตรัสรู้เอาเอง
เพราะฉะนั้น จึงได้พระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 16
ปฐมโพธิกาล
ปริเฉทที่ ๖
ปฐมเทศนา และ ปฐมสาวก
๑. ครั้นตรัสรู้แล้ว ได้ประทับในที่ ๗ แห่ง ๆ ละ ๗ วัน คือ :-
(๑) ที่ ต้นโพธิ (อัสสัตถพฤกษ์) เป็นสถานที่ตรัสรู้นั้นเอง
เสวยวิมุตติสุข พิจารณาปฏิจจสมุปบาท, เปล่งอุทาน ๓ ข้อใน
๓ ยามแห่งราตรี.
(๒) ที่ ต้นไทร (อชปาลนิโครธ) อยู่ทิศตะวันออกของ
ต้นโพธิ เสวยวิมุตติสุข, มีพราหมณ์ หุหุกชาติ มาทูลถามถึง
พราหมณ์ และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์.
(๓) ที่ ต้นจิก (มุจจลินท์) อยู่ทิศอาคเนย์ของต้นโพธิ
เสวยวิมุตติสุข, เปล่งอุทานว่า ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรม
ได้สดับแล้วเป็นต้น, มีฝนตกพรำ, มีพระยานาคชื่อมุจจลินท์
เข้ามาวงด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พันพานปกพระองค์.
(๔) ที่ ต้นเกต (ราชายตนะ) อยู่ทิศทักษิณของต้นโพธิ
ได้มีนายพาณิช คือ ตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑ ถวายข้าวสัตตุก้อน
สัตตุผง แก่พระพุทธองค์ เป็นปฐมบิณฑบาตหลังจากตรัสรู้แล้ว
แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธ กับพระธรรม ก่อนใคร ๆ ใน
โลก (เทฺววาจิกอุปาสก).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 17
(๕) ที่อนิมมิสเจดีย์ อยู่ทางทิศอีสานของต้นโพธิ เสด็จ
ยืนจ้องดูต้นมหาโพธิ ไม่กระพริบพระเนตร.
(๖) ที่รัตนจงกรม อยู่ระหว่างต้นโพธิ กับ อนิมมิสเจดีย์
เสด็จจงกรมในที่ซึ่งนิรมิตขึ้น.
(๗) ที่เรือนแก้ว อยู่ทางทิศปัจฉิมพายัพของต้นโพธิ
ทรงพิจารณาอภิธัมมปิฎกในเรือนแก้ว ซึ่งเทวดานิรมิตขึ้น.
๒. บาลีมหาวรรคว่ามีเพียง ๔ แห่ง อรรถกถาสามนต์ เติมอีก ๓ แห่ง
เรียงลำดับดังนี้ ๑. โพธิ ๒. อนิมมิส ๓. จงกรม ๔. เรือนแก้ว
๕. ไทร ๖. จิก ๗. เกต.
๓. เสด็จจากไม้เกตลับไปร่มไม้ไทรอีก ทรงพิจารณาเห็นว่า
ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยากที่ผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้ แต่ผู้มีกิเลสน้อย
อาจรู้ได้ เพราะความทั้งหลาย เปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า คือ :-
(๑) ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าอาจรู้ธรรมได้ฉับพลัน เปรียบ
เหมือนดอกบัวจักบานวันนี้.
(๒) ผู้มีอินทรีย์ปานกลาง เปรียบเหมือนดอกบัวจักบาน
วันพรุ่งนี้.
(๓) ผู้มีอินทรีย์อ่อน เปรียบเหมือนดอกบัวจักบานในวัน
ต่อไป.
(๔) คนอาภัพ กิเลสหนาแน่นไม่อาจรู้ธรรมเลย เปรียบ
เหมือนดอกบัวที่เป็นเหยื่อของปลาและเต่า.
จึงทรงตั้งพระหฤทัยเพื่อแสดงธรรม และตั้งปณิธานเพื่อดำรง
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 18
พระชนม์อยู่จนพระศาสนาแพร่หลายถาวร.
๔. ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เสด็จไปพาราณสี เจออุปกาชีวก ระหว่าง
แม่น้ำคยากับพระมหาโพธิ์ต่อกัน อุปกาชีวกทูลถามถึงศาสดา พระ
องค์ตรัสตอบว่า พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีใครเป็นครูสอน.
อุปกาชีวกไม่เชื่อสั่นศีรษะแล้วหลีกไป พระองค์เสด็จไปป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน.
๕. วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีที่ตรัสรู้นั้นเอง ได้ทรงแสดงธรรม
ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ คือ ฤษี ๕ ตน
คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ที่ป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี.
๖. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันนับเป็นปฐมเทศนา มีใจความเป็น
๕ ตอน คือ :-
(๑) ทรงชี้ทางผิด (สุดโต่ง) ๒ อย่าง อันได้แก่ความ
หมกมุ่นในกาม และการทรมานตนให้ลำบาก ว่า
เป็นทางไม่ควรเสพ แล้วทรงชี้ทางถูก (มัชฌิมา
ปฏิปทา คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ) ว่าเป็นทางแห่ง
พระนิพพาน.
(๒) ทรงชี้ความจริงแท้ (อริยสัจ) ๔ อย่าง คือ ทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค.
(๓) ทรงยืนยันว่าเป็นพระพุทธะ เพราะทรงรู้จักตัว
ความจริง หน้าที่เกี่ยวกับความจริง และได้ทรงทำ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 19
กิจที่เกี่ยวกับความจริงเสร็จแล้ว.
(๔) ทรงแสดงความพ้นวิเศษ สุดชาติสิ้นภพ อันเป็น
ผลของการรู้เห็นความจริงแท้นั้น.
(๕) ผลของการแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระ-
โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดมีความเกิด
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับเป็น
ธรรมดา (เป็นพระโสดาบัน). แล้วขอบวชได้เป็น
พระเอหิภิกขุสงฆ์ สาวกโสดาบัน องค์แรกในโลก
(ข้อนี้แหละเป็นมูลเหตุให้ พุทธศาสนิกชนทำ
อาสฬหบูชาประจำปี).
๗. อยู่มาถึงวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙ (เดือน ๘ ของไทย) ปีนั้น
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมชื่อ อนัตตลักขณสูตร มีใจความเป็น
๕ ตอน คือ :-
(๑) ทรงแสดงว่าเบญจขันธ์มิใช่ตัวตน เป็นไปเพื่อความ
เจ็บป่วย บังคับไม่ได้.
(๒) ทรงตั้งปัญหาให้พระปัญจวัคคีย์ตอบเป็นข้อ ๆ จนได้
ความแน่นอนว่า เบญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มี
ความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ควรลงความเห็นว่า
เบญจขันธ์เป็นของเรา เราเป็นเบญจขันธ์ เบญจขันธ์
เป็นตัวตนของเรา.
(๓) ทรงเน้นเป็นการเตือนให้เบญจวัคคีย์ลงความเห็น
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 20
ด้วยปัญญาชอบตามเป็นจริงว่า เบญจขันธ์ทั้งหมด
คือที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก
หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นเบญจขันธ์ ๆ ไม่เป็นตัว
ตนของเรา.
(๔) ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า พระอริยสาวกเมื่อ
ลงความเห็นอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในเบญจ-
ขันธ์ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น สิ้นชาติ จบ
พรหมจรรย์ เสร็จกิจ.
(๕) ผลของการแสดงอนัตตลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์
สำเร็จพระอรหัต.
๘. ครั้งนั้นพระอรหันต์ในโลก ๖ องค์ คือพระพุทธเจ้า ๑ พระสาวก ๕.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 21
ปริเฉทที่ ๗
ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา
๑. พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมชื่อ อนุปุพพีกถา ๕ ข้อ คือ:-
(๑) ทาน คือการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่.
(๒) ศีล คือรักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
(๓) สวรรค์ คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะได้ด้วยทานศีล.
(๔) โทษของกามคุณ คือกามคุณนั้นไม่เที่ยงประกอบด้วย
ความคับแต้น.
(๕) คุณของการบวช คือเว้นจากกามคุณได้แล้วไม่มีความ
คับแค้น. และแสดงอริยสัจ ๔ (สามุกกังสิกา ธัมมเทสนา พระธรรม-
เทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง) โปรดลูกชายเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ
ยส ยสได้เป็นโสดาบัน ภายหลังได้ฟังอนุปุพพีกถา ๕ ข้อ และอริย-
สัจนั้นซ้ำอีก จึงได้เป็นพระอรหันต์แล้วของบวช.
๒. บิดาพระยส เป็นอุบาสก มารดาและภรรยาเก่า ของพระยศ
เป็นอุบาสิกา ถึงรัตนตรัยคนแรกในโลก (เตวาจิกอุบาสก - อุบา-
สิกา) และได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นโสดาบัน เพราะได้ฟังอนุ-
ปุพพีกถา และอริยสัจเหมือนกัน แล้วเลี้ยงพระกระยาหารอัน
ประณีต แด่พระศาสดาและพระยส ก่อนกว่าใคร ๆ ในโลก.
๓. พระองค์ได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถานั้น โปรดสหายของพระยส ๔
คนคือ วิมล, สุพาหุ, ปุณณชิ, และควัมปติ และสหายอื่นอีก ๕๐
คน จนได้เป็นโสดาบันแล้วทั้งหมดบวชเป็นภิกษุ และได้เป็น
พระอรหันต์.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 22
๔. รวมพระอรหันต์ในคราวนั้น ๖๑ องค์ ทั้งพระพุทธเจ้า พระพุทธ-
เจ้าทรงส่งไปแสดงธรรมสอนประชาชนทุกทิศ.
๕. พระศาสดาเสด็จจากพาราณสี จะไปตำบลอุรุเวลา แวะพักที่
ไร่ฝ้าย, ภัททวัคคีย์ ๓๐ คนเข้ามาทูลถามหาหญิง พระองค์ย้อน
ถามว่า ท่านจะแสวงหาหญิง หรือว่าหาตนดีกว่า ตอบว่า
หาตนดีกว่า พระองค์จึงให้พวกสหายนั้นนั่นลง แล้วแสดง
อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ภัททวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรม* ขอบวช
พระองค์ประทานอุปสมบทแล้ว ส่งไปประกาศพระศาสนา.
๖. พระองค์เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลา ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แสดง
ธรรมทรมานชฎิล (ฤาษี) ๓ ตนพี่น้อง คือ :-
(๑) อุรุเวลากัสสป มีบริวาร ๕๐๐ ตน.
(๒) นทีกัสสป มีบริวาร ๓๐๐ ตน.
(๓) คยากัสสป มีบริวาร ๒๐๐ ตน.
เขาได้บวชเป็นภิกษุทั้งหมดพร้อมกับบริวาร ภายหลังได้ฟังธรรม
ชื่อ อาทิตตปริยายสูตร ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา.
๗. อาทิตตปริยายสูตรมีใจความเป็น ๓ ตอน คือ :-
(๑) ทรงแสดงว่า สิ่งทั้งปวง คือ อายตนะภายใน
อายตนะภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนา เป็นของ
ร้อน ร้อนเพราะไฟ คือราคะ โทสะ โมหะ
ร้อนเพราะ เกิด แก่ ตาย โศก คร่ำครวญ เจ็บกาย
เสียใจ คับใจ.
* ในปฐมสมโพธิ์ว่า ได้แก่ มรรคผลเบื้องต่ำทั้ง ๓
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 23
(๒) ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า พระอริยสาวก เมื่อ
ลงความเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวงนั้น
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น สิ้นชาติ จบ
พรหมจรรย์ เสร็จกิจ.
(๓) ผลของการแสดงอาทิตตปริยายสูตร ภิกษุชฎิลพันรูป
สำเร็จพระอรหัต.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 24
ปริเฉทที่ ๘
เสด็จไปกรุงราชคฤห์แคว้นมคะ และได้อัครสาวก
๑. พระองค์เสด็จไปกรุงราชคฤห์ ประทับ ณ ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม)
ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ โปรดพระเจ้าแผ่นดินมคธ
พระนามว่า พิมพิสาร ท้าวเธอพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วนได้ดวงตา
เห็นธรรม อีก ๑ ส่วนตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์.
๒. ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารครั้งยังเป็นพระราชกุมาร ๕ ข้อ
คือ :-
(๑) ขอให้ข้าพเจ้
ข้อความเบื้องต้น
การศึกษาพุทธประวัติ คือการเรียนรู้ความเป็นไปของพระพุทธ-
เจ้า ย่อมเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก สำหรับพุทธศาสนิกชน
เพราะพระพุทธประวัติเป็นเรื่องที่แสดงพระพุทธจรรยาของพระพุทธเจ้า
ให้ปรากฏ ทั้งเป็นส่วนอัตตสมบัติและสัตตูปการสัมปทา เป็นสิ่งสำคัญ
ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่ากับพงศาวดารย่อมเป็นสิ่ง
สำคัญของชาติคน ที่จะให้รู้ได้ว่าชาติใดได้เป็นมาแล้วอย่างไร เพราะ
พระองค์ทรงเป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งอุบายวิธีและระเบียบดำเนินการ
ในส่วนที่ทรงทำแก่พระองค์เองและแก่ผู้อื่น ผู้ที่ได้ศึกษาก็จะได้เห็น
ตัวอย่างที่ดี เป็นเหตุให้ทำชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์ ปรับปรุงความ
ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามคลองธรรม เป็นเครื่องนำมาซึ่งชั้นต่ำ ๆ
กลาง ๆ ไปก่อน กล่าวคือเรียนรู้แล้วให้รู้จักหยิบยกน้อมนำเอามาใช้
ในกิจการทางโลก จะเป็นส่วนพระวิริยะหรือพระขันติก็ตาม ก็คงจะได้
ประโยชนมาก ยิ่งได้ศึกษาให้ละเอียดก็จะยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระพุทธคุณ
มากขึ้น ศรัทธา ปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสก็เจริญมากขึ้น เท่ากับ
ระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ได้ทำประโยชน์ไว้แก่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 2
ของตน ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านั้นมีบุญมีคุณแก่ตนอย่างไร แล้ว
จะได้มีแก่ใจบำเพ็ญความดีเจริญรอยตาม.
รวมความแล้วการเรียนรู้พุทธประวัติ ย่อมได้คติ ๓ ทาง คือ :-
๑. ทางตำนาน ให้สำเร็จผลคือทราบเรื่องของพระพุทธเจ้าว่า
เป็นมาอย่างไร.
๒. ทางอภินิหาร ให้สำเร็จผลคือได้เห็นวิธีการเผยแผ่พระ
พุทธศาสนา ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
และผู้ที่หนักในทางอภินิหาร ก็จะได้ศรัทธาปสาทะในพระ
พุทธานุภาพยิ่งขึ้น.
๓. ทางธรรม ให้สำเร็จผลคือ ได้หยั่งทราบข้อปฏิบัติและเหตุ
ผลที่เป็นจริงโดยละเอียดแล้วปฏิบัติถูกต้อง.
ฉะนั้น พุทธศาสนิกชน นักเรียน นักศึกษา ควรกำหนดจดจำไว้
โดยสังเขป ดังต่อไปนี้ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 3
ปุริมกาล
ปริเฉทที่ ๑
ชมพูทวีปและประชาชน
๑. ดินแดนที่เรียกว่า ชมพูทวีป ได้แก่ประเทศอินเดีย (สมัยก่อน)
อยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย.
๒. ชมพูทวีปมีชน ๒ ชาติ อาศัยอยู่ต่างวาระกัน คือ :-
(๑) ชาติมิลักขะ อาศัยอยู่ก่อน.
(๒) ชาติอริยกะ ยกพวกข้ามภูเขาหิมาลัยมารุกไล่เจ้าของถิ่น
เดิม แล้วอาศัยอยู่ทีหลัง.
๓. ชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ :-
(๑) มัชฌิมชนบท หรือมัธยมประเทศ (ส่วนกลาง) เป็น
ที่อยู่ของพวกอริยกะ.
(๒) ปัจจันตชนบท หรือปัจจันตประเทศ (ส่วนปลายแดน)
เป็นที่อยู่ของพวกมิลักขะ.
๔. อาณาเขตของมัชฌิมชนบทนั้น มีปรากฏในพระบาลีจัมมขันธกะ
ในมหาวรรคแห่งพระวินัย ดังนี้ :-
(๑) ทิศบูรพา จด มหาศาลนคร (ปัจจุบันคือเมืองเบงคอล).
(๒) " อาคเนย์ " แม่น้ำสัลลวตี.
(๓) " ทักษิณ " เสตกัณณิกนิคม (ปัจจุบันคือแคว้นเดกกัน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 4
(๔) ทิศปัศจิม จด ถูนคาม (ปัจจุบันคือเมืองบอมเบย์).
(๕) " อุดร " ภูเขาอุสีรธชะ (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล).
๕. มัชฌิมชนบทนั้น เป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ตั้งนครใหญ่ ๆ
เป็นศูนย์กลางการปกครอง และเป็นที่ประชุมนักปราชญ์คณาจารย์
เจ้าลัทธิต่าง ๆ
๖. ชมพูทวีปตามในอุโบสถสูตร ติกนิบาตอังคุตตรนิกาย แบ่งเป็น
๑๖ แคว้นใหญ่ คือ :-
อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ
ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ.
และระบุไว้ในสูตรอื่นอีก ๔ แคว้น คือ :-
สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ อังคุตตราปะ.
๗. การปกครองของแคว้นเหล่านี้ต่าง ๆ กัน คือ :-
(๑) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นมหาราชบ้าง.
(๒) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นเพียงราชาบ้าง.
(๓) มีผู้ปกครองเป็นเพียงอธิบดีบ้าง.
(๔) ใช้อำนาจโดยสิทธิขาดบ้าง.
(๕) ใช้อำนาจโดยสามัคคีธรรมบ้าง.
(๖) บางคราวเป็นรัฐอิสระ
(๗) บางคราวเป็นรัฐเสียอิสระ.
๘. ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ (พวก) คือ :-
(๑) กษัตริย์ จำพวกเจ้ามีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 5
(๒) พราหมณ์ จำพวกเล่าเรียนมีหน้าที่ฝึกสอนและทำพิธี.
(๓) แพศย์ จำพวกพลเรือนมีหน้าที่ประกอบอาชีพ เช่นทำ
นา ค้าขาย.
(๔) ศูทร จำพวกคนงานมีหน้าที่รับจ้าง.
๙. ชนทั้ง ๔ จำพวกเหล่านี้ พวกที่ ๑-๒ จัดเป็นชั้นสูง ที่ ๓ เป็น
ชั้นสามัญ ที่ ๔ เป็นชั้นต่ำ พวกสูงถือตัวจัด ไม่ยอมร่วมกิน
ร่วมนอนกับพวกต่ำ หากบังเกิดมีร่วมกัน ลูกที่ออกมาจัดเป็นอีก
จำพวกหนึ่งเรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเลวมาก.
๑๐. การศึกษาของคนในสมัยนั้นก็เป็นไปตามวรรณะนั้น ๆ คือ มีหน้าที่
อย่างไร ก็ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่นั้น.
๑๑. คนในสมัยนั้นสนใจวิชาธรรมมาก จึงมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน
ต่าง ๆ เช่น :-
(๑) เกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏ ๒ พวกใหญ่ ๆ ๑. เห็นว่าตายแล้วเกิด.
๒. เห็นว่าตายแล้วสูญ.
(๒) เกี่ยวกับเรื่องสุขทุกข์ ๒ พวกใหญ่ ๆ ๑. สุขทุกข์เกิดจากเหตุ-
๒. สุขทุกข์ไม่เกิดจากเหตุ.
๑๒. คนในสมัยนั้นทั้ง ๔ วรรณะ ก่อนแต่พระพุทธเจ้าอุบัติก็ได้ถือ
ศาสนาพราหมณ์ ถือว่าโลกธาตุทั้งปวงมีเทวดาสร้าง จึงพากัน
เช่นสรวงด้วยการบูชายัญและประพฤติตบะทรมานร่างกายต่าง ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 6
ปริเฉทที่ ๒
สักกชนบท และศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
๑. ตำนานสักกชนบทมีเรื่องย่อว่า พระเจ้าโอกากราชในพระ-
นครหนึ่งมีพระราชบุตร ๔ ราชบุตรี ๕ พระองค์ ครั้นพระมเหสีทิวงคต
แล้ว ได้พระมเหสีใหม่ได้มีพระโอรสอีก ๑ พระองค์ พระราชทาน
ราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์เล็กนั้น โปรดให้พระราชบุตร และ
พระราชบุตรีทั้ง ๙ ไปสร้างพระนครใหม่ในดงไม้สักกะ จึงได้ชื่อว่า
สักกชนบท และดงไม้สักกะนั้นเป็นที่อยู่ของพวกกบิลดาบส จึงได้
ตั้งชื่อนครใหม่นั้นว่า กบิลพัสดุ์.
๒. พระราชบุตร พระราชบุตรี ๘ พระองค์ สมสู่กันเอง
ในนครกบิลพัสดุ์ จัดเป็นต้นวงศ์ศากยะ.
๓. พระเชฏฐภคินีได้เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงเทวทหะ จัด
เป็นต้นวงศ์โกลิยะ.
๔. ศากยวงศ์ กับ โกลิยวงศ์ สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับ เท่าที่
ปรากฏอยู่ มีดังนี้ :-
ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
พระเจ้าชยเสนะ ไม่ปรากฏพระนาม
มีพระราชบุตร และพระราชบุตรี พระเจ้าในโกลิยวงศ์ ไม่ปรากฏ
รวม ๒ พระองค์ คือ :- พระนาม มีพระราชบุตร และ
(๑) พระเจ้าสีหหนุ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 7
(๒) พระนางเจ้ายโสธรา (๑) พระเจ้าอัญชนะ
(๒) พระนางเจ้ากัญจนา
พระเจ้าสีหหนุกับพระนางเจ้ากัญ- พระเจ้าอัญชนะ กับ พระนางเจ้า
จนามีพระราชบุตรและพระราช- ยโสธรา มีพระราชบุตรและพระ
บุตรี รวม ๗ พระองค์ คือ :- ราชบุตรี รวม ๔ พระองค์ คือ :-
(๑) พระเจ้าสุทโธทนะ (๑) พระเจ้าสุปปพุทธะ
(๒) เจ้าชายสุกโกทนะ (๒) เจ้าชายฑัณฑปาณิ
(๓) " อมิโตทนะ (๓) พระนางเจ้ามายาเทวี
(๔) " โธโตทนะ (๔) พระนางเจ้าปชาบดี
(๕) " ฆนิโตทนะ (โคตมี)
(๖) เจ้าหญิงปมิตา
(๗) พระนางเจ้าอมิตา
๑. พระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราช- พระเจ้าสุปปพุทธะ กับ พระนาง
บุตร และพระราชบุตรี ๓ พระองค์ เจ้าอมิตา มีพระราชบุตร และ
ประสูติแต่พระนางเจ้ามายาเทวี ๑ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ:-
พระองค์ คือ:- (๑) พระเทวทัต
(๑) พระสิทธัตถกุมาร (๒) พระนางพิมพา หรือ
และประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดี ยโสธรา
อีก ๒ พระองค์ คือ :-
(๑) พระนันทะ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 8
(๒) พระนางรูปนันทา
๒. สุกโกทนะ กับนางกีสาโคตมี
มีพระโอรส ๑ พระองค์ คือ
(๑) พระอานนท์
๓. อมิโตทนะมีพระราชบุตร และ
พระราชบุตรี ๓ พระองค์ คือ
(๑) พระเจ้ามหานามะ
(๒) พระอนุรุทธะ
(๓) พระนางโรหิณี
๑. พระสิทธัตถะกับพระนางพิมพา
มีพระโอรส ๑ พระองค์ คือ
พระราหุล
๒. พระเจ้ามหานามะ กับนางทาสี
มีพระธิดา ๑ พระองค์ คือ
พระนางวาสภขัตติยา
พระนางวาสภขัตติยาได้เป็น
พระอัครมเหสี ของพระเจ้า
ปเสนทิโกศลได้พระโอรส ชื่อ
"พระเจ้าวิฑูฑภะ"
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 9
ปริเฉทที่ ๓
พระศาสดาประสูติ
๑. พระพุทธเจ้าของเราเป็นชนชาวชมพูทวีป หรือ ชาวเนปาล เชื้อ
ชาติอริยกะ แปลว่า ชาติที่เจริญ คือเจริญด้วยความรู้ขนบ
ธรรมเนียม ศีลธรรมและฤทธิ์อำนาจ.
๒. พระองค์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนาง-
เจ้ามายาเทวี.
๓. พระองค์มีพระเจ้าสีหหนุเป็นพระเจ้าปู่ มีพระนางเจ้ากัญจนาเป็น
พระเจ้าย่า มีพระเจ้าอัญชนะเป็นพระเจ้าตา มีพระนางเจ้ายโสธรา
เป็นพระเจ้ายาย.
๔. พระองค์ ไม่มีพี่น้องร่วมท้องมารดากันเลย แต่มีน้องต่างมารดา
กัน ๒ พระองค์ คือ พระนันทกุมาร ๑ พระรูปนันทากุมารี ๑
ซึ่งประสูติแต่พระนางเจ้าปชาบดีโคตมี.
๕. พระศาสดา ได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เมื่อเวลาใกล้
รุ่ง วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา บังเกิดแผ่นดิน
ไหว (เหตุแผ่นดินหวั่นไหว ๘ ประการ คือ (๑) ลมกำเริบ
(๒) ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล (๓) พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์
มารดา (๔) พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ (๕) พระโพธิ-
สัตว์ตรัสรู้ (๖) พระพุทธเจ้ายังธรรมจักรให้เป็นไป (๗) พระ
พุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร (๘) พระพุทธเจ้าปรินิพพาน).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 10
๖. พระองค์ ประสูติจากพระครรภ์มารดา เมื่อเวลาสายใกล้เที่ยง
วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนแต่ พ.ศ. ไป ๘๐ ปี.
๗. พระองค์ประสูติที่ ใต้ร่มไม้สาละในลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ริมเขต
เมืองกลิบพัสดุ์ และริมเขตเมืองเทวทหะต่อกัน (ตำบลรุมมินเด
แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล).
๘. พอประสูติแล้ว พระมารดาและพระญาติพากลับมประทับอยู่ใน
พระราชวัง เมืองกบิลพัสดุ์ ตามพระดำรัสพระราชบิดา.
๙. มี อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส) เข้ามาเยี่ยมถึงในพระราชวัง
เห็นลักษณะแห่งพระราชกุมาร จึงทำนายว่ามีคติเป็น ๒ คือ :-
(๑) ถ้าไม่บวชจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีอำนาจมาก.
(๒) ถ้าบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้สอนดีที่ ๑ ในโลก (ศาสดาเอก)
๑๐. ประสูติแล้ว ๕ วัน พราหมณ์ ๑๐๘ คน มารับประทานอาหาร
กันแล้ว จึงขนานพระนามให้แก่พระกุมารว่า สิทธัตถะ แปลว่า
ผู้มีความต้องการสำเร็จ.
๑๑. ประสูติแล้วต่อมา ๗ วัน พระมารดาสิ้นพระชนม์ ได้รับการ
ชุบเลี้ยงจากพระนางเจ้าปชาบดีต่อมา.
๑๒. เจริญวัยขึ้นราว ๗ ขวบ พระบิดาให้คนขุดสระปลูกบัวไว้ ๓ สระ
สำหรับให้พระกุมารทรงเล่นสำราญ และทรงนำพระกุมารไปให้
ศึกษาศิลปวิทยา ในสำนักครูชื่อ วิศวามิตร พระกุมารเรียนได้
จบความรู้ของครูโดยไม่ช้าเหมอนเด็กอื่น ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 11
๑๓. พระชนมายุ ๑๖ ปี พระบิดาให้คนสร้างปราสาทขึ้น ๓ หลัง แล้ว
ให้พระสิทธัตถะราชโอราสอภิเษก (แต่งงาน) กับพระนางพิมพา
ให้อยู่ในปราสาททั้ง ๓ หลังนั้น ตามฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน
เป็นลำดับ
๑๔. พระชนมายุ ๒๙ ปี ได้พระโอรส ๑ พระองค์ ทรงพระนามว่า
ราหุล แปลว่า บ่วง หรือห่วง.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 12
ปริเฉทที่ ๔
เสด็จออกบรรพชา
๑. พระองค์เสด็จออกทรงผนวชในปีที่มีพระชนมายุ ๒๙ ปีนั้นเอง.
๒. มูลเหตุที่พระองค์ออกผนวช ในอรรถกถามหาปทานสูตร กล่าวว่า
ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
และสมณะ อันเทวดาแสร้งนิมิตไว้ในระหว่างทาง. และใน
ปาสราสิสูตรมัชฌิมนิกายแสดงว่า ทรงปรารภความแก่ เจ็บ ตาย
อันครอบงำทุกคน ไม่ล่วงพ้นไปได้ แล้วจึงทรงดำริว่า เราควร
แสวงหาเครื่องแก้ความแก่ เป็นต้น แต่ถ้าอยู่ในพระราชวัง โดย
ไม่บวช ก็คงมีแต่เรื่องเศร้าหมองมัวเมา จึงตกลงพระทัยออกผนวช.
๓. พระองค์หนีออกผนวชตอนกลางคืน ทรงม้าชื่อ กัณฐกะ ออกไป
มีนายฉันนะตามเสด็จไปด้วย เพื่อนำม้ากลับ นี้กล่าวตามพระอรรถ-
กถาจารย์. ส่วนพระมัชฌมภาณกาจารย์กล่าวว่า เสด็จออกซึ่งหน้า
อีกนัยหนึ่งว่า เสด็จออกสรงน้ำในชลาลัยศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เสด็จกลับ.
๔. พระองค์ทรงผนวชที่ฝั่ง แม่น้ำอโนมา ป่าอนุปิยอัมพวัน แขวง
มัลลชนบท.
๕. ผ้ากาสายะและบาตร พระอรรถกถาจารย์ว่า ฆฏิการพรหม นำมา
ถวาย. สมเด็จ ฯ ทรงสันนิษฐานว่า น่าจะทรงได้ในสำนักบรรพชิต
ผู้ได้สมาบัติ----หรือได้มาด้วยการตระเตรียม.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 13
ประเฉทที่ ๕
ตรัสรู้
๑. ทรงบรรพชาแล้วประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน ๗ วันแล้ว เสด็จผ่าน
กรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินมคธ ครั้งยัง
เป็นพระราชกุมาร ตรัสชวนให้อยู่จะพระราชทานอิสริยยศยกย่อง
พระองค์ไม่ทรงรับ และแสดงว่า มุ่งจะแสวงหาพระสัมมาสัม-
โพธิญาณ.
๒. พระเจ้าพิมพิสารขอปฏิญญาว่า ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาโปรด.
๓. ได้ไปศึกษาอยู่ในสำนักอาจารย์ทั้ง ๒ คือ :-
(๑) อาฬารดาบส กาลามโคตร (ได้สมาบัติ ๗).
(๒) อุทกดาบส ราวบุตร (ได้สมาบัติ ๘).
เรียนจบความรู้ของอาจารย์ได้สมาบัติ ๘ คือ :-
(ก) รูปฌาน ๔ มี ปฐมฌาน
ทุติยฌาน
ตติยฌาน
จตุตถฌาน
(ข) อรูปฌาน ๔ มี อากาสานัญจายนะ
วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญาตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 14
๔. เสด็จออกจากสำนักอาจารย์ ไปทำความเพียร เพื่อจะได้ตรัสรู้อยู่ที่
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ด้วยทุกรกิริยา ๓ อย่าง คือ :-
(๑) กดฟันกับฟัน กดลิ้นกับเพดาน.
(๒) กลั้นลมหายใจ.
(๓) อดอาหาร.
จนพระรูปผอมมาก ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เลย.
๕. อุปมา ๓ ข้อ ปรากฏแก่พระองค์ว่า :-
(๑) ผู้มีกายและจิตยังไม่ออกจากกาม ตรัสรู้ไม่ได้ เปรียบ
เหมือนไม้สดแช่น้ำ สีไม่ติดไฟ.
(๒) ผู้มีกายออกแล้ว แต่จิตยังไม่ออกจากกาม ตรัสรู้ไม่ได้
เหมือนไม้สดตั้งบนบก สีไม่ติดไฟ.
(๓) ผู้มีกายและจิตออกจากกามแล้ว ควรตรัสรู้ได้ เหมือน
ไม้แห้งตั้งบนบก อาจสีให้เกิดไฟได้.
๖. นับจากวันผนวชมาได้ ๖ ปี พระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาส ของ
นางสุชาดา รับหญ้าของ นายโสตถิยะ ลาดต่างบัลลังก์ที่โคนโพธิ์
ประทับนั่งตั้งพระทัยอธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุโพธิญาณเพียงใด
จักไม่ลุกขึ้นเพียงนั้น เนื้อเลือดแห่งไปเหลือหนังหุ้มกระดูกก็ตาม.
๗. ขณะนั้นมารคือกิเลสเกิดขึ้นในพระทัย พระองค์ทรงผจญมารด้วย
พระบารมี ๑๐ ทัศ คือ ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. เนกขัมมะ ๔. ปัญญา
๕. วิริยะ ๖. ขันติ ๗. สัจจะ ๘. อธิษฐาน ๙. เมตตา ๑๐. อุเบกขา
ชนะแล้ว บรรลุญาณ ๓ คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 15
(๑) บุพเพนิวาสานุสติญาณ.
(๒) ทิพพจักขุญาณ.
(๓) อาสวักขยญาณ.
ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
ก่อนแต่ พ. ศ. ๔๕ ปี ที่ต้นไม้โพธิ (อัสสัตถพฤกษ์) ฝั่งแม่น้ำ
เนรัญชรา.
๘. คำว่า ตรัสรู้ นั้นคือรู้ของจริง ๔ อย่าง คือ :-
(๑) รู้ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ.
(๒) รู้เหตุเกิดทุกข์ คือ ความอยาก.
(๓) รู้ความดับทุกข์ คือ หมดความอยาก.
(๔) รู้มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
๙. ชื่อเดิมของพระองค์ว่า สิทธัตถะ แต่พอตรัสรู้ของจริงทั้ง ๔ นี้
แล้ว จึงได้พระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่า ผู้ตรัสรู้
ดีถูกต้องด้วยตนเอง.
๑๐. ครูวิศวามิตรก็ดี อาฬารดาบส และอุทกดาบสก็ดี ไม่ได้สอน
ของจริงทั้ง ๔ อย่างนี้เลย ของจริงนี้ พระองค์ตรัสรู้เอาเอง
เพราะฉะนั้น จึงได้พระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 16
ปฐมโพธิกาล
ปริเฉทที่ ๖
ปฐมเทศนา และ ปฐมสาวก
๑. ครั้นตรัสรู้แล้ว ได้ประทับในที่ ๗ แห่ง ๆ ละ ๗ วัน คือ :-
(๑) ที่ ต้นโพธิ (อัสสัตถพฤกษ์) เป็นสถานที่ตรัสรู้นั้นเอง
เสวยวิมุตติสุข พิจารณาปฏิจจสมุปบาท, เปล่งอุทาน ๓ ข้อใน
๓ ยามแห่งราตรี.
(๒) ที่ ต้นไทร (อชปาลนิโครธ) อยู่ทิศตะวันออกของ
ต้นโพธิ เสวยวิมุตติสุข, มีพราหมณ์ หุหุกชาติ มาทูลถามถึง
พราหมณ์ และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์.
(๓) ที่ ต้นจิก (มุจจลินท์) อยู่ทิศอาคเนย์ของต้นโพธิ
เสวยวิมุตติสุข, เปล่งอุทานว่า ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรม
ได้สดับแล้วเป็นต้น, มีฝนตกพรำ, มีพระยานาคชื่อมุจจลินท์
เข้ามาวงด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พันพานปกพระองค์.
(๔) ที่ ต้นเกต (ราชายตนะ) อยู่ทิศทักษิณของต้นโพธิ
ได้มีนายพาณิช คือ ตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑ ถวายข้าวสัตตุก้อน
สัตตุผง แก่พระพุทธองค์ เป็นปฐมบิณฑบาตหลังจากตรัสรู้แล้ว
แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธ กับพระธรรม ก่อนใคร ๆ ใน
โลก (เทฺววาจิกอุปาสก).
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 17
(๕) ที่อนิมมิสเจดีย์ อยู่ทางทิศอีสานของต้นโพธิ เสด็จ
ยืนจ้องดูต้นมหาโพธิ ไม่กระพริบพระเนตร.
(๖) ที่รัตนจงกรม อยู่ระหว่างต้นโพธิ กับ อนิมมิสเจดีย์
เสด็จจงกรมในที่ซึ่งนิรมิตขึ้น.
(๗) ที่เรือนแก้ว อยู่ทางทิศปัจฉิมพายัพของต้นโพธิ
ทรงพิจารณาอภิธัมมปิฎกในเรือนแก้ว ซึ่งเทวดานิรมิตขึ้น.
๒. บาลีมหาวรรคว่ามีเพียง ๔ แห่ง อรรถกถาสามนต์ เติมอีก ๓ แห่ง
เรียงลำดับดังนี้ ๑. โพธิ ๒. อนิมมิส ๓. จงกรม ๔. เรือนแก้ว
๕. ไทร ๖. จิก ๗. เกต.
๓. เสด็จจากไม้เกตลับไปร่มไม้ไทรอีก ทรงพิจารณาเห็นว่า
ธรรมนี้ลึกซึ้ง ยากที่ผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้ แต่ผู้มีกิเลสน้อย
อาจรู้ได้ เพราะความทั้งหลาย เปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า คือ :-
(๑) ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าอาจรู้ธรรมได้ฉับพลัน เปรียบ
เหมือนดอกบัวจักบานวันนี้.
(๒) ผู้มีอินทรีย์ปานกลาง เปรียบเหมือนดอกบัวจักบาน
วันพรุ่งนี้.
(๓) ผู้มีอินทรีย์อ่อน เปรียบเหมือนดอกบัวจักบานในวัน
ต่อไป.
(๔) คนอาภัพ กิเลสหนาแน่นไม่อาจรู้ธรรมเลย เปรียบ
เหมือนดอกบัวที่เป็นเหยื่อของปลาและเต่า.
จึงทรงตั้งพระหฤทัยเพื่อแสดงธรรม และตั้งปณิธานเพื่อดำรง
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 18
พระชนม์อยู่จนพระศาสนาแพร่หลายถาวร.
๔. ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เสด็จไปพาราณสี เจออุปกาชีวก ระหว่าง
แม่น้ำคยากับพระมหาโพธิ์ต่อกัน อุปกาชีวกทูลถามถึงศาสดา พระ
องค์ตรัสตอบว่า พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีใครเป็นครูสอน.
อุปกาชีวกไม่เชื่อสั่นศีรษะแล้วหลีกไป พระองค์เสด็จไปป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน.
๕. วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีที่ตรัสรู้นั้นเอง ได้ทรงแสดงธรรม
ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ คือ ฤษี ๕ ตน
คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ที่ป่าอิสิปตน-
มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี.
๖. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันนับเป็นปฐมเทศนา มีใจความเป็น
๕ ตอน คือ :-
(๑) ทรงชี้ทางผิด (สุดโต่ง) ๒ อย่าง อันได้แก่ความ
หมกมุ่นในกาม และการทรมานตนให้ลำบาก ว่า
เป็นทางไม่ควรเสพ แล้วทรงชี้ทางถูก (มัชฌิมา
ปฏิปทา คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ) ว่าเป็นทางแห่ง
พระนิพพาน.
(๒) ทรงชี้ความจริงแท้ (อริยสัจ) ๔ อย่าง คือ ทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค.
(๓) ทรงยืนยันว่าเป็นพระพุทธะ เพราะทรงรู้จักตัว
ความจริง หน้าที่เกี่ยวกับความจริง และได้ทรงทำ
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 19
กิจที่เกี่ยวกับความจริงเสร็จแล้ว.
(๔) ทรงแสดงความพ้นวิเศษ สุดชาติสิ้นภพ อันเป็น
ผลของการรู้เห็นความจริงแท้นั้น.
(๕) ผลของการแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระ-
โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดมีความเกิด
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับเป็น
ธรรมดา (เป็นพระโสดาบัน). แล้วขอบวชได้เป็น
พระเอหิภิกขุสงฆ์ สาวกโสดาบัน องค์แรกในโลก
(ข้อนี้แหละเป็นมูลเหตุให้ พุทธศาสนิกชนทำ
อาสฬหบูชาประจำปี).
๗. อยู่มาถึงวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙ (เดือน ๘ ของไทย) ปีนั้น
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมชื่อ อนัตตลักขณสูตร มีใจความเป็น
๕ ตอน คือ :-
(๑) ทรงแสดงว่าเบญจขันธ์มิใช่ตัวตน เป็นไปเพื่อความ
เจ็บป่วย บังคับไม่ได้.
(๒) ทรงตั้งปัญหาให้พระปัญจวัคคีย์ตอบเป็นข้อ ๆ จนได้
ความแน่นอนว่า เบญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มี
ความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ควรลงความเห็นว่า
เบญจขันธ์เป็นของเรา เราเป็นเบญจขันธ์ เบญจขันธ์
เป็นตัวตนของเรา.
(๓) ทรงเน้นเป็นการเตือนให้เบญจวัคคีย์ลงความเห็น
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 20
ด้วยปัญญาชอบตามเป็นจริงว่า เบญจขันธ์ทั้งหมด
คือที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก
หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกลหรือใกล้ก็ตาม
ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นเบญจขันธ์ ๆ ไม่เป็นตัว
ตนของเรา.
(๔) ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า พระอริยสาวกเมื่อ
ลงความเห็นอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในเบญจ-
ขันธ์ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น สิ้นชาติ จบ
พรหมจรรย์ เสร็จกิจ.
(๕) ผลของการแสดงอนัตตลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์
สำเร็จพระอรหัต.
๘. ครั้งนั้นพระอรหันต์ในโลก ๖ องค์ คือพระพุทธเจ้า ๑ พระสาวก ๕.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 21
ปริเฉทที่ ๗
ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา
๑. พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมชื่อ อนุปุพพีกถา ๕ ข้อ คือ:-
(๑) ทาน คือการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่.
(๒) ศีล คือรักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
(๓) สวรรค์ คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะได้ด้วยทานศีล.
(๔) โทษของกามคุณ คือกามคุณนั้นไม่เที่ยงประกอบด้วย
ความคับแต้น.
(๕) คุณของการบวช คือเว้นจากกามคุณได้แล้วไม่มีความ
คับแค้น. และแสดงอริยสัจ ๔ (สามุกกังสิกา ธัมมเทสนา พระธรรม-
เทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง) โปรดลูกชายเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ
ยส ยสได้เป็นโสดาบัน ภายหลังได้ฟังอนุปุพพีกถา ๕ ข้อ และอริย-
สัจนั้นซ้ำอีก จึงได้เป็นพระอรหันต์แล้วของบวช.
๒. บิดาพระยส เป็นอุบาสก มารดาและภรรยาเก่า ของพระยศ
เป็นอุบาสิกา ถึงรัตนตรัยคนแรกในโลก (เตวาจิกอุบาสก - อุบา-
สิกา) และได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นโสดาบัน เพราะได้ฟังอนุ-
ปุพพีกถา และอริยสัจเหมือนกัน แล้วเลี้ยงพระกระยาหารอัน
ประณีต แด่พระศาสดาและพระยส ก่อนกว่าใคร ๆ ในโลก.
๓. พระองค์ได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถานั้น โปรดสหายของพระยส ๔
คนคือ วิมล, สุพาหุ, ปุณณชิ, และควัมปติ และสหายอื่นอีก ๕๐
คน จนได้เป็นโสดาบันแล้วทั้งหมดบวชเป็นภิกษุ และได้เป็น
พระอรหันต์.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 22
๔. รวมพระอรหันต์ในคราวนั้น ๖๑ องค์ ทั้งพระพุทธเจ้า พระพุทธ-
เจ้าทรงส่งไปแสดงธรรมสอนประชาชนทุกทิศ.
๕. พระศาสดาเสด็จจากพาราณสี จะไปตำบลอุรุเวลา แวะพักที่
ไร่ฝ้าย, ภัททวัคคีย์ ๓๐ คนเข้ามาทูลถามหาหญิง พระองค์ย้อน
ถามว่า ท่านจะแสวงหาหญิง หรือว่าหาตนดีกว่า ตอบว่า
หาตนดีกว่า พระองค์จึงให้พวกสหายนั้นนั่นลง แล้วแสดง
อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ภัททวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรม* ขอบวช
พระองค์ประทานอุปสมบทแล้ว ส่งไปประกาศพระศาสนา.
๖. พระองค์เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลา ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แสดง
ธรรมทรมานชฎิล (ฤาษี) ๓ ตนพี่น้อง คือ :-
(๑) อุรุเวลากัสสป มีบริวาร ๕๐๐ ตน.
(๒) นทีกัสสป มีบริวาร ๓๐๐ ตน.
(๓) คยากัสสป มีบริวาร ๒๐๐ ตน.
เขาได้บวชเป็นภิกษุทั้งหมดพร้อมกับบริวาร ภายหลังได้ฟังธรรม
ชื่อ อาทิตตปริยายสูตร ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา.
๗. อาทิตตปริยายสูตรมีใจความเป็น ๓ ตอน คือ :-
(๑) ทรงแสดงว่า สิ่งทั้งปวง คือ อายตนะภายใน
อายตนะภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนา เป็นของ
ร้อน ร้อนเพราะไฟ คือราคะ โทสะ โมหะ
ร้อนเพราะ เกิด แก่ ตาย โศก คร่ำครวญ เจ็บกาย
เสียใจ คับใจ.
* ในปฐมสมโพธิ์ว่า ได้แก่ มรรคผลเบื้องต่ำทั้ง ๓
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 23
(๒) ทรงสรูปผลของการปฏิบัติว่า พระอริยสาวก เมื่อ
ลงความเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวงนั้น
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลาย
กำหนัด จิตจึงหลุดพ้นจากความถือมั่น สิ้นชาติ จบ
พรหมจรรย์ เสร็จกิจ.
(๓) ผลของการแสดงอาทิตตปริยายสูตร ภิกษุชฎิลพันรูป
สำเร็จพระอรหัต.
แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสังเขป - หน้าที่ 24
ปริเฉทที่ ๘
เสด็จไปกรุงราชคฤห์แคว้นมคะ และได้อัครสาวก
๑. พระองค์เสด็จไปกรุงราชคฤห์ ประทับ ณ ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม)
ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ โปรดพระเจ้าแผ่นดินมคธ
พระนามว่า พิมพิสาร ท้าวเธอพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วนได้ดวงตา
เห็นธรรม อีก ๑ ส่วนตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์.
๒. ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารครั้งยังเป็นพระราชกุมาร ๕ ข้อ
คือ :-
(๑) ขอให้ข้าพเจ้