Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - tonhaatit

#1
ขอบคุณค่ะ ^^
#2
อธิบายได้ดีค่ะทำให้เข้าใจอะไรได้เยอะขึ้น
#13
ขอบคุณค่ะจะเอาภาพมาฝากอีกเยอะเลย ^^

ลองอ่านวิธีทำภาพจากlinkนี้ก็ได้ค่ะ

http://writer.dek-d.com/mindteuk/story/view.php?id=473640
#15
ผู้สร้างตั้งใจที่จะสร้างพระตรีมูรติ แต่ด้วยความที่ศิลปะไร้ขอบเขต ช่างจึงได้สร้างรูปแบบนี้ขึ้นมา มันเป็นความพยายามของช่างที่จะนำเอาศิลปะของไทยมาผนวกรวมกับของอินเดียให้เกิดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งถ้าจะถามว่ารูปแบบนี้มันผิดลักษณะเทวปรณ์ของอินเดียหรือไม่ คำตอบคือใช่ แต่ถ้าดูตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างแล้ว นับว่าผิด เพราะเขาตั้งใจจะสร้างให้เป็นพระตรีมูรติไม่ใช่พระศิวะปัญจมุข
#17
ความงามของนางโมหินีนั้นมากมายสุดจะพรรณา แม้แต่พระศิวะเองยังทรงหลงไหลนาง เข้าไปสวมกอดพระวิษณุในร่างโมหินี จนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน หรือว่านี่คือที่มาของ พระหริหระ ..พระวิษณุและพระศิวะในร่างเดียวกัน

http://www.youtube.com/v/h6u4wruHfXM
#18
Mahalasa Narayani นอกจากจะเป็นพระแม่เทวีที่ชาวฮินดูเชื่อถือกันว่าเป็นภาครวมของนางโมหินีซึ่งเป็นอวตารของพระวิษณุแล้ว ประวัติของพระแม่ยังได้ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ สกัณทะปุราณะเอาไว้ด้วยว่า พระแม่ได้บังเกิดขึ้นบนโลกเพื่อปราบอสูรที่ชื่อว่า Chandasur โดยมีปรศุรามซึ่งเป็นภาคอวตารหนึ่งของพระวิษณุ ได้ขอให้ประชาชนร่วมใจกันสวดอ้อนวอนถึงพระแม่เทวีให้มากำจัดปีศาจ ซึ่งนี่ก็คือภาคอวตารของพระแม่ศักตินั่นเอง

ในคัมภีร์พรหมปุราณะได้กล่าวไว้ว่าพระแม่ Mahalasa Narayani คือการรวมกันของภาคอวตารโมหินีของพระวิษณุและตำนานนี้ได้เชื่อมโยงกับ Malhari Martand Bhairav หรือ Khandoba ซึ่งเป็นภาคอวตารของพระศิวะ ว่ากันว่าพระแม่ Mahalasa ปรากฏตัวขึ้นบนโลกเพื่อที่จะแต่งงานกับ Martand Bhairav

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระแม่ Mahalasa มีอยู่ 2 ภาค คือเป็นทั้งภาครวมของนางโมหินีและภาคของพระแม่ศักติหรือพระแม่อุมา เราจะเห็นรูปวาดหรือรูปปั้นของพระแม่ Mahalasa มีทั้งหมด 4 มือด้วยกัน โดยที่มือหนึ่งจะถือตรีศูลและในอีกมือหนึ่งจะถือศีรษะปีศาจเอาไว้ ซึ่งนั่นเป็นสัญลักษณ์ของพระแม่เทวีผู้ปราบอธรรม
#19
ประโยชน์ของการเรียนรู้เกี่ยวกับพลังจักระ

๑. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคภัยได้
๒. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างพลังกายทุกส่วนให้แข็งแรง
๓. พลังจักระสามารถใช้รักษาโรคให้ตนเองและผู้อื่นได้
๔. พลังจักระสามารถช่วยเสริมสร้างพลังจิต ให้เกิดจิตใต้สำนึก ที่เป็นกุศลหรือพลังบวก
๕. พลังจักระสามารถช่วยเสริมหรือแผ่ให้แก่ผู้อื่น ที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าได้ ยิ่งแผ่ให้ผู้อื่นมากก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่าขณะที่แผ่ให้ผู้อื่นนั้น ทั้งผู้ให้และผู้รับพลังจะต้องมีจิตที่สงบตั้งมั่น จึงทำใให้เกิดความปีติ และความสุข เพราะว่าร่างกายจะหลั่งสารสุขออกมา จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายมีร่างกายและจิตใจสบายเบิกบานและแข็งแรง

วิธีฝึกเสริมพลังจักระ


๑. สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยและตั้งนะโม ๓ จบ

๒. นั่งขัดสมาธิ, นับ ๑ พร้อมกับหายใจออกช้า ๆ ให้ลมออกจนหมด ....นับ ๒ หายใจเข้าช้า ๆ จนถึงก้นกบ .....  ทำเช่นนี้และนับไปด้วยจนได้ ๑๐๐ ครั้ง....นี่เป็นวิธีการเตรียมความพร้อมทางกายและใจ

๓. ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม.....ละจากการนับ.....เริ่มกำหนดจิตอยู่ที่ศูนย์พลังจักระที่ ๗....พลังสีม่วงซึ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อม....นึกถึงวงล้อที่มีสี "ม่วง" วางอยู่บนกลางกระหม่อม.....แล้วหมุนวงล้อสีม่วงนี้ด้วยจิต....เริ่มหมุนไปตามเข็มนาฬิกา หมุนไปเรื่อย ๆ ....ในระยะแรก ๆ อาจจะหมุนช้าบ้าง หรือเร็วบ้างไม่ได้ระดับสม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะว่าในระยะแรก ๆ จิตยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านบ้างเป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่....เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่นขึ้น ก็จะเห็นว่า "ล้อสีม่วง" เริ่มหมุนด้วยความเร็วช้าาลงและสม่ำเสมอ....ในที่สุดจะเห็นล้อสีม่วงชัดเจนขึ้น

๔. เมื่อเห็นล้อสีม่วงชัดเจนขึ้นมาก  ก็ไม่ต้องตกใจหรือตื่นเต้น....เพราะว่านั่นเป็นเพียงภาพนิมิตที่ปรากฏให้สติตามระลึกรู้แล้วก็ดับไปเท่านั้น....เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงทางจิตขณะนั้น....ถ้าไม่มีอะไรปรากฏก็ไม่เป็นไร...เพราะเหตุว่า "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้....ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย...ดังนั้นเพียรฝึกต่อไป คือทำเหตุให้ถึงพร้อม....สักวันก็จะเกิดผลเอง

๕. เมื่อศูนย์พลังจักระที่ ๗  นี้มีพลังในระดับสูงมาก....คือหมายถึงจิตมีความสงบตั้งมั่นแน่วแน่...จิตจะสามารถสัมผัสกับเทพ เทวดาหรือวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ ได้....แต่ก็ไม่ต้องตกใจกลัว ให้ตามระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางจิตขณะนั้น ว่าเป็นเพียงสภาวะธรรมหรือภาพนิมิตเท่านั้น....สิ่งที่ปรากฏหรือสิ่งที่สัมผัสไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลต่อท่าน...เขามาปรากฏเพราะว่า ขณะนั้นจิตของท่านมีพลังหรือมีกระแสจิตที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา จึงสื่อติดต่อและสัมผัสกันได้....มันดูเหมือนง่ายมากเลยนะ...แต่จริง ๆ แล้วไม่ง่ายหรอกจ๊ะ....ต้องใช้ความเพียรและขันติอย่างมากทีเดียว และต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องทำอย่างหักโหม ทำวันละครึ่ง ๒๐-๓๐ นาที ทุกวันสำหรับระยะแรก ๆ "ทุกอย่างสำเร็จด้วยความเพียร"

๖. เคล็ดลับในฝึกเสริมพลังจักระ...การที่จะมีจิตสงบได้นั้น...ต้องสงบจากกิเลสทั้งปวงในขณะนั้น จึงจะเป็นสมาธิที่ตั้งมั่นได้...และจะต้องเป็นผู้ที่มีปรกตินิสัย เป็นผู้มีจิต "เมตตา"  คือมีความเป็นมิตร ไมตรีกับทุกคนไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ เป็นผู้ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์สุข โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ รักผู้อื่นเสมอเหมือนรักตน....เป็นผู้มี "เมตตาพรหมวิหาร" เป็นเครื่องอยู่ของจิต....แล้วการฝึกพลังจักระจึงจะสำเร็จดังปรารถนา....ท่านก็จะสามารถสื่่อติดต่อกับโลกทิพย์ได้อย่างอัศจรรย์

สำหรับการฝึกจักระศูนย์พลังที่ ๖,ที่ ๕,ที่ ๔, ที่ ๓, ที่ ๒ และที่ ๑ (จักระฐาน).....ก็ฝึกวิธีเดียวกัน.....เริ่มในลักษณะเหมือนกันคือ....กำหนดจิตอยู่ที่ฐานนั้น ๆ  แล้วนึกถึงวงล้อสีของพลังในฐานนั้นด้วย.....จากนั้นก็หมุนตามเข็มนาฬิกา จนเกิดสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่.....จนเกิดภาพนิมิตเห็นวงล้อสีของฐานนั้นชัดขึ้น ๆ ตามลำดับของพลัง......ให้ฝึกจนครบทุกจักระ โดยเริ่มจากจักระฐานที่กระหม่อมก่อน.....แล้วเลื่อนลงไปจักระที่ ๒ และจักระที่ ๓ ลงไปจนครบทุกจักระ....เมื่่อครบทุกจักระแล้ว ให้เริ่มจากจักระที่ ๑ (จักระฐาน) ซึ่งเป็นฐานพลังสีแดง....กำหนดจิตที่วงล้อสีแดงอยู่ตรงก้นกบ....แล้วหมุนจนเกิดสมาธิตั้งมั่น.....จากนั้นก็เลื่อนไปจักระที่ ๒.....เลื่อนไปเรื่อยจนถึงจักระที่ ๗ (ฐานกระหม่อม) เป็นอันว่าครบวงจรของการสร้างพลังจักระ
ที่มา.http://khunmeaw.blogspot.com/
#20
ความสำคัญของจักระต่างๆที่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย

จักระที่ ๑.....เป็นฐานของศูนย์พลังงานทั้งหมดในร่างกาย....เป็นธาตุดิน....เป็นศูนย์พลังสีแดง....อยู่ที่ก้นกบ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกทั้งหมด ขา ไตและลำไส้....พลังในจักระที่ ๑ นี้
ทำหน้าที่สร้างภูมิต่อต้านโรคต่าง ๆ  ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง....ถ้าฝึกจนเกิดพลังสูงมาก จักะในฐานนี้ก็จะเปิดเองโดยไม่ต้องทำอะไร

จักระที่ ๒....อยู่ที่ตรงสะดือ...เป็นธาตุน้ำ....เป็นพลังสีส้ม...เป็นศูนย์พลังที่ทำให้เกิดพลังทางเพศ....ถ้ามีคุณภาพก็จะทำให้เกิดพลังความเชื่อมั่นในตนเอง....มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่แปลก....ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี....พลังนี้ทำให้มีชีวิตชีวาและสามารถล้างพิษในร่างกายได้ด้วย....นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธ์....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รังไข่ ลูกอัณฑะ ต่อมลูกหมาก ม้าม มดลูก อวัยวะสืบพันธ์ กระเพาะปัสสาวะ....จักระที่ ๒ นี้ถ้ามีพลังมากจะสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะที่กล่าวมาแล้วได้ด้วย

จักระที่ ๓....อยู่ตรงกลางระหว่างหัวใจกับสะดือ....เป็นพลังสีเหลือง....เป็นธาตุไฟ.....อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ ระบบประสาทกล้ามเนื้อ ตับ ถุงน้ำดี ต่อมหมวกไต กระเพาะอาหาร....ทำหน้าที่ขับถ่ายสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ควบคุมระบบการย่อยอาหาร....จักระที่ ๓ นี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย.....ถ้ามีพลังมากจะทำให้เป็นคนร่าเริง ตื่นตัวเสมอ สามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ มีความเชื่อมันในตนเอง.....พลังในฐานนี้ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร  ลำไส้ ไส้ติ่ง ตับ ม้าม ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ  ไต เบาาหวาน

จักระที่ ๔....อยู่ตรงทรวงอก.....เป็นพลังสีเขียว...เป็นธาตุลม....อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ ต่อมไร้ท่อ ปอด แขนและขา....ศูนย์พลังนี้ทำหน้าที่ควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิต หัวใจ  ไขมันในเส้นเลือด... ...ถ้ามีพลังมากจะสามารถรักษาโรคหัวใจและเกี่ยวกับหลอดเลือดได้....ถ้ามีคุณภาพจะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูง มีมนุษยสัมพันย์ดี มีเมตตาจิต....พลังในจักระที่ ๔ นี้ สามารถรับพลังจักรวาล พลังจากเทพหรือจากวิญญาณชั้นสูงได้ด้วย

จักระที่ ๕...อยู่ที่ลำคอ...เป็นพลังสีฟ้า...ธาตุอากาศ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมไธรอยด์ พาราไธรอยด์ ปาก คอ....มีหน้าที่ควบคุมระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง  การพูด เสียงและการสื่อความหมาย....ถ้ามีพลังมากจะสามารถใช้รักษาโรคปอด หลอดลม ลำคอ หอบหืด ไอ จมูก ไซนัส ผื่นคัน ผิวหนัง....นอกจากนั้นพลังในจักระที่ ๔ นี้ถ้ามีคุณภาพมาก จะทำให้เป็นคนมีความสามารถในการพูด มีวาทะศิลป์ มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักมารยาทในสังคม

จักระที่ ๖....อยู่ตรงกลางหน้าผาก....เป็นพลังสีน้ำเงินแก่....ธาตุแสงสว่าง....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมพิตูอิทารี ต่อมฐานสมองเกี่ยวกับตาข้างซ้าาย หูทั้งสองข้าง จมูก....ทำหน้ามี่เปรียบเสมือนเป็นตาที่สาม ควบคุมสติปัญญา ความนึกคิดและระบบประสาท ใช้พลังนี้ติดต่อกับเบื้องบนได้ด้วย....ใช้ทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้ด้วย

จักระที่ ๗....อยู่ตรงกลางกระหม่อม....เป็นพลังสีม่วง....ธาตุรู้....ทำหน้าที่ควบคุมระบบประสาททั้งหมดในร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมจักระทั้งหมด....จักระนี้สามารถรับพลังจักรวาลแล้วแผ่ไปทั่วร่างกายได้  สามารถสื่อติดต่อและสัมผัสกับวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ ได้....สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ....อวัยวะและต่อมที่เกี่ยวข้องได้แก่ ต่อมไพนีล ศูนย์รวมระบบประสามตาข้างขวา






#21
พลังจักรวาลนี้ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในเรื่องพระศรีกฤษณะด้วย หลังจากที่พระกฤษณะและพระพลรามได้ปราบพญากังสะลงได้แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็ทรงออกบวชและท่านอาจารย์ของพระองค์ก็ได้สอนเกี่ยวกับวิชาพลังจักรวาล จักระทั้ง7 นี้ด้วย

http://www.youtube.com/v/UFxHmhjvLF4
#22
พูดถึงเรื่องพลังจักรวาลแล้วก็ให้คิดโยงไปถึงเรื่องจักระทั้ง7



ตำแหน่งจักระทั้ง7


จักระที่ 1 ตั้งอยู่ ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ

จักระที่ 2 ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์

จักระที่ 3 อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ

จักระที่ 4  อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า อะนาหตะ  จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา

จักระที่ 5  ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ 

จักระที่ 6 อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่  และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง  ความมีสติ ความรู้แจ้ง  จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล

จักระที่ 7 อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส  จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส  ณ ตำแหน่งนี้ ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้
หน้าที่หลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด




พลังจักรวาล หรือชื่อเต็มว่า พลังไฟฟ้าสากลจักรวาล  เพราะการทำหน้าที่ของจักระทั้ง 7 ก็คล้ายกับการส่งกระแสไฟฟ้าเช่นกัน มีทั้ง พลังบวก (หยาง) พลังลบ (หยิน) ทำให้เกิดสมดุลขึ้น พลังจักรวาลนี้ ก็ไปเหมือนหลาย ๆ วิชา เช่น โยคะ กำลังภายใน ลองคิดตามหนังจีนก็คงจะรู้จักกันดี หรือปราณ  หยิน-หยางของจีน และฤาษีดัดตนของไทยด้วย รวมถึงพลังจิตแต่ต่างอยู่ที่ พลังจักรวาลเป็นพลังจากนอกโลกควบคุมการดำเนินของโลก แต่พลังจิตนั้นอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งคุณสมบัติของวิชาพลังจักรวาลเกิดจากแห่งพลังงานที่ไม่เสื่อมสลายในจักรวาล  จะเปรียบเทียบก็คือ พลังดึงดูดของแม่เหล็กที่ไม่เสื่อมสลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่พลังงานนั้นจะมีกำลังสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวัสดุที่ถูกสร้างขึ้น ส่วน พลังจักรวาลนั้นมาจากบ่อพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอนันต์ และมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต

พลังจักรวาลนี้ ไม่ค่อยยุ่งยากในการฝึกเท่าไหร่ ไม่ต้องกินมังสวิรัติ หรือแต่งงานแล้วก็ฝึกได้

พลังงานจักรวาลนี้ ควบคุมการทำงานของชีวิต จะมี ประตู อยู่ 7 ประตู  เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง ส่วนใหญ่คนจะปิด ร่างกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้  ร่างกายเรามีพลังงานห่อหุ้ม หลายคนคงรู้จักออร่ากันดี บางคนเรียกว่า กายทิพย์  ซึ่งสามารถแยกสีออกไป แต่ละบุคคล

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ได้ประดิษฐ์กล้อง ถ่ายภาพรัศมี นี้ได้แล้ว เรียกว่า กล้องเกอร์เลียน เมื่อถ่ายออกมาจะเป็นแสงสีต่าง ๆ รอบตัวเรา  เมืองไทยก็มีอยู่บ้างครับ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่   

พลังจักรวาลนี้ ช่วยให้ร่างกายของเรา สามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง และควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ จนทำให้อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวด หายไปได้น่าสนใจทีเดียว


http://www.luangputo.com/forum/index.php?topic=90.0
#23
ดูจากรูปและความคล้ายคลึงกันแล้วน่าจะเป็นเศียรบรมครูนะ




http://jarparadee.com/wizContent.asp?wizConID=93&txtmMenu_ID=7
#24
นี่เป็นอีกตอนที่พระวิษณุแปลงร่างเป็นนางโมหินี มีอสูรตนหนึ่งที่ชื่อว่า Bhasmasur ได้สวดบำเพ็ญภาวนาถึงพระศิวะจนพระศิวะมาประทานพรให้ อสูร Bhasmasur ได้ขอพรให้ตนมีมือวิเศษ ที่เมื่อเอามือไปวางบนศรีษะใครผู้นั้นจะถูกเผาผลาญ และเมื่อได้พรนั้นแล้ว อสูรBhasmasur กลับจะวางมือบนศรีษะของพระศิวะแทน ทำให้พระวิษณุต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยแปลงร่างเป็นนางโมหินีหลอกล่ออสูรให้เต้นรำตาม สุดท้ายก็ถูกท่ารำเผาผลาญตัวเอง (คล้ายๆกับตอนที่พระนารายณ์ปราบนนทกที่มีนิ้วเพชรในเรื่องรามเกียร์ติเลย)

http://www.youtube.com/v/avpWQsGpXhg
#25
http://www.youtube.com/v/0XAULur30yo
กวนเกษียรสมุทร
http://www.youtube.com/v/1NEzRUhgGDw
พระวิษณุแปลงร่างเป็นนางโมหินี
#26
ไม่รู้ว่าหมายถึงปางอวตารหนึ่งของพระวิษณุรึเปล่าที่ชื่อว่า โมหินี ซึ่งเป็นตอนที่พระองค์แปลงร่างเป็นหญิงสาวสวยไปหลอกล่อพวกอสูรเพื่อชิงน้ำอมฤตกลับมา ซึ่งเรียกปางนี้กันว่า Shri Mahalasa Narayani (ถ้าหากเราเข้าใจผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยไว้ด้วยละกัน ^^)








#27

DEVI – STUTIH

Ya devi sarvabhuteshu Vishnu-mayeti sadbita
Namas tasyai, Namas tasyai, Namas tasyai namo namah.

Ya devi sarvabhuteshu buddhi – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu nidra – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu ksudha – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu chhaya – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu sakti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu trisna – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu ksanti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu lajja – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu shanti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu Sraddha – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu kanti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu lakshmi – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu vritti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu smriti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu daya – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu tusti – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...
Ya devi sarvabhuteshu matri – rupena samsthita, namas tasyai ... ... ...

คำแปลในภาษาอังกฤษ

To that goddess who in all beings is called Visnumaya
Salutations, Salutations, Salutations to Thee, again, and again.

To that goddess who abides in all beings as intelligence : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as sleep : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as hunger : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as reflection : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as power : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as thirst : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as forgiveness : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as modesty : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as peace : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as faith : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as loveliness : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as good fortune : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as activity : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as memory : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as compassion : Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as contentment ; Sautaions to Thee, ...
To that goddess who abides in all beings as mother : Sautaions to Thee, ...
#28
ตามประวัติมีเขี้ยวนะลองอ่านดู http://www.siamganesh.com/kali.html


"เมื่อพระแม่อุมาได้ฟังคำจากพระขันทกุมารว่า พระศิวะไม่มีความเกรงใจและจะผ่านเข้าไปในพิธีให้ได้ จึงได้เกิดความโมโห ตาถลนออกนอกเบ้า หน้าตาดุดัน แลบลิ้นยาวน่าเกลียดน่ากลัว ทำปากแบะกว้างเห็นเขี้ยวโง้ว มีเลือดไหลจากมุมปากและตามมือและลำตัว ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ตรงเข้าหาพระศิวะทันทีด้วยความโมโห เมื่อพระศิวะเห็นถึงกับผงะ ตกใจหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต"
#29


นี่เป็นพระแม่กาลีไม่ใช่หรอ
#37
นรสิงหาวตารเซ็ตนี้อาจจะดูน่ากลัวไปสักหน่อย
แต่ในความน่ากลัวก็แฝงไว้ด้วยความกรุณาปราณีค่ะ