Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - jaidevima

#1
เคยได้ยินมาว่าเป็นเทวรูปของพระแม่อุมามาก่อนค่ะ

ส่วนพระแมสันโตษีที่เพิ่งมีผู้นิยมบูชามาในยุคหลังและเป็นคติที่เล็กกว่า ไม่มีประติมานที่แน่นอน จึงยืมเอาประติมานของพระแม่อุมา มาใช้
#2
อย่างที่คุณกาลปุตราตอบไปนั้นแหละค่ะ
พระนางมารีอัมันเดิมทีเป็นเทวีประจำถิ่นของชาวอินเดียใต้
ต่อมาเมื่อศาสนาฮินดูเข้ามาก็กลืนพระนางเข้าไปเป็นเทวีในระบอบของฮินดู
แต่งให้พระนางเป็นอวตารของพระแม่ปารวตีบ้าง เป็นน้องสาวของพระวิษณุบ้าง เอาเรื่องนางเรณุกามาผูกบ้าง
แต่ความน่าสนใจของการนับถือพระนางคือ พระนางไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นเทวีชั้นรองในระบอบของฮินดู
แต่พัฒนาไปเป็นความเชื่อในเรื่องอธิปาราศักติ
คือจากเทวีท้องถิ่น เป็นเทวีในศาสนาฮินดู แล้วกลายเป็นเทวีผู้เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง
#4
Quote from: durgakali on March 26, 2010, 11:44:08
พระแม่โยคีจามนไดคือองค์นี้คับ

http://www.youtube.com/watch?v=ykAZwrTE8sQ
อ้าวเห็นในหนังเป็นชื่อเรื่อง ราชากาลีอัมมัน นึกว่าพระแม่ในหนังคือพระนางราชากาลีซะอีก
#5
เราเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องกาลีห้าปางเหมือนกันแฮะ ชื่อลิสๆที่ให้มานอกจากมหากาลีแล้ว ไวษณริกาลีนี่พอคุ้นๆว่าน่าจะเป็นพระนางไวษณวี หนึ่งในพระแม่ทั้งเจ็ดมากกว่า รูปเคารพท่านก็ไม่ใกล้เคียงกับพระนางกาลีเลย


#6
พระนางเป็นบุคลาธิษฐาน คือไม่มีตัวตนจริงใช่ไหมคะ 
#7
เคยได้ยินมาว่า ฮินดูเค้านิยมนั่งไหว้ค่ะ จึงตั้งเทวรูปไว้กับพื้น หรือค่อนข้างต่ำ เวลาสวดมนต์ ไหว้ เทวรูปจะได้อยู่ในระดับสายตาพอดี
#8
เคยได้ยินมาว่า ตามตำราไสยเวทย์ไทย วันเสาร์ห้า ถือเป็นฤกษ์ที่แรงในการกระทำมายาศาสตร์ต่างๆ จึงนิยมการปลุกเสกเครื่องรางในวันนี้ค่ะ

คงต้องรอผู้มีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์มาเสริมด้วยค่ะ
#9
ประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เราเคยขอบางอย่างแล้วไม่สมหวัง แต่ต่อมาเราถึงได้รู้ว่า ถ้าวันนั้นเราได้ตามที่ขอไป จะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดีกับชีวิตในขณะนี้

สิ่งที่เราได้รับหรือไม่ได้รับล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับเรา ของจงเชื่อในพระวินิจฉัยของพระเป็นเจ้าเถอค่ะ
#10
สวยงามค่ะ

นมถวายเพียงกล่องเดียวได้ค่ะ แต่ถ้าจะถวายทั้งกล่อง ควรเจาะหลอดไว้เหมือนพร้อมดื่ม
ถ้าจะให้ประณีตจริงๆให้รินใส่ภาชนะไว้ค่ะ
#11
ขอบคุณคุณสิรวิย์มากๆค่ะ
#12
คุณสิรวิย์พอมีข้อมูลเกียวกับนางวัชรโยคินีไหมคะว่ามีความเป็นมายังไง

เคยเห็นหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเทวรูปพระแม่กาลี
#13
โห ดูรูปใกล้ๆเห็นว่างานละเอียดมากค่ะ สวยมาก
#14
Quote from: กาลปุตรา on January 26, 2010, 20:06:36

พอดีวันนั้นผมได้เอายันต์ "ศรี ศักติ วิทูร" ไปทำพิธีปลุกเสกพอดี แล้วเจอจิ้งจอกพันหน้าเอาองค์มา เลยให้นำองค์มาเข้าร่วมพิธีที่ผมจัดด้วย เลยมีรูปเอามาให้ดูกันครับ ว่าองค์ของน้องจิ้งจอกพันหน้าคือองค์ไหน จึงขออนุญาตลงให้ดูแทนเลยแล้วกันนะครับ

เข้ามาบอกว่ามีหนังสือไว้ในครอบครองแล้วนะคะ กำลังจะอ่าน ยันตราที่ให้มาสวยมากๆ
#15
มีผ้าปูแล้วดูดีมากค่ะ

ส่วนขนมน่าจะแกะจากกล่องจะดูประณีตกว่านะคะ
#17
ไมตรงตรงไหนอ่ะคะ จากวิกิลิงค์ที่คุณให้มาก็บอกอยู่ว่า



She had countless number of eyes upon Her that gave Her the name SATAKSHI. She was carrying grains, cereals, vegetables, greens, fruits and other herbs - and was hence called SHAKAMBARI.
She was so moved by their plights that tears rolled down from her eyes for nine continuous days and nights. The tears took the form of a river, as the result of which the drought came to an end.
#19
เรียบร้อยดูสะอาดตามากค่ะ

ตามความเห็นของเราน่าจะย้ายพระบรมฉายาลักษณ์ลงมา ถ้าจะให้ดีก็นำไปติดผนังด้านอื่น
ส่วนแก้วน้ำที่วางเรียงรายนั้นเข้าใจว่าคงถวายเท่าจำนวนเทวรูป แต่ความจริงแล้ว ถวายเท่าจำนวนองค์เทพที่เราบูชาอยู่ได้ค่ะ

พระลักษมีหนึ่งแก้ว พระสรัสวตีหนึ่งแก้ว  พระคเณศหนึ่งแก้วก็เพียงพอค่ะ
#20
ขอบคุณคุณหริทาสค่ะ ได้ความรู้มากมาย รู้จริงอะไรจริง

แล้วมีคุรุหรือนักบุญที่เป็นเพศหญิงบ้างหรือเปล่าคะ
#21
Quote from: durgakali on February 27, 2010, 18:32:24
ในแต่ละภาคปางนั้นจะต้องมีสัตว์พาหนะประจำองค์ซึ่งสามัญชนเรียกว่า สัตว์เทวะของพระเป็นเจ้า ซึ่งอาจจะซ้ำกันบ้างไม่ซ้ำใครบ้าง แต่ว่าตามความเชื่อผมที่พระแม่มนษาเทวีทรงเป็ดนั้นเพราะพระนางมิได้เป็นหนึ่งในคณะสวรรค์เนื่องจากพระนางมิลงรอยกับพระมหาเทวี(อุมา)เพราะครั้งหนึ่งได้ทะเลาะกันแล้วนางมนษาได้ก้าวร้าวพระนาง ต่อจากนั้นพระอุมาจึงคอยตามราวีจนนางมาริษาต้องมาอยู่ที่โลกไงคับ


คือเราเองก็พยายามหาข้อมูลเรื่องพาหนะของพระแม่เจ้าองค์นี้ แต่ก็ไม่เจอเนื่องด้วยพระนางเป็นเทวีที่นับถือกันค่อยข้างเฉพาะกลุ่มข้อมูลจึงน้อยมาก

แต่สัตว์หาหนะโดยส่วนใหญ่แล้ว ล้วนแล้วแต่เกิดจากการพยายามผนวกลัทธิที่บูชาสัตว์ประจำเผ่า หรือสัตว์ชนิดนั้นrepresentคุณลักษณะของเทวะองค์นั้นๆเช่น

วัวของพระศิวะ พญาครุฑ พญานาคของพระวิษณุ เกิดจากการพยายามดึงคติการบูชาวัว ครุฑ นาคเข้ามาในไศวะนิกายและไวษณพนิกาย

ส่วนที่representก็เช่น เสือหรือสิงของพระแมทุรคา แสดงถึงพลังอำนาจพระแม่เจ้าองค์นี้คือเทวีแห่งพลังอำนาจจึงประทับอยู่เหนือสัตว์ที่เป็นเจ้าป่า

หงส์และนกยูงของพระแมสรัสวดี
หงส์ของความสูงส่ง ความรู้ อีกทั้งเชื่อว่าหงส์สามารถแยกน้ำออกจากน้ำนมได้ คือการแยกสิ่่งที่เป็นสาระออกจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
นกยูงคือความเย่อหยิง ผยอง บัณฑิตผู้มีความรู้พึงกดความเย่อหยิ่ง ผยองต่างๆไว้

ในขณะที่นกยูงของพระสกันท์หมายถึงความสง่างาม ผ่าเผย องอาจ


เราว่าคงไม่เกี่ยวกับที่ว่าพระนางมนสาไมได้ประทับอยูเป็นสวรรค์เลยต้องทรงเป็ดหรอกค่ะ
#22
Quote from: giftzy_69 on March 01, 2010, 05:05:13
ตามต่อด้วยพระกาลีเด้อ   ภาพแรกเป็นพระแม่อุ้มพระศิวะ น่ารักดี เชื่อว่าไม่ค่อยน่าจะได้เห็นกัน อิอิ   รู้สึกพระศิวะจะดูดนมอยู่ด้วยนะค่ะ เอิ้กๆ

พระแม่ให้นม




น่าจะเป็นพระนางตารา หนึ่งในทศมหาวิทยาค่ะ

แต่ความจริงภาพในลักษณะนี้ก้มีปกรณัมที่เกี่ยวข้องกับพระแม่กาลีด้วย

ความคิดเห็นส่วนตัวเราว่าเทวลักษณะของพระแมทั้งสองพระองค์ใกล้เคียงกันมาก น่าจะเป็นเทวีองค์เดียวกัน

ข้อแตกต่างคือรูปพระแม่กาลีจะประทับเหนือพระศิวะ ในขณะที่พระแม่ตารายืนบนศพของผู้ชายที่เป็นใครก็ได้ ไม่ได้มีลักษณะบ่งบอกวาเป็นพระศิวะ

เผลอๆอาจจะเป็นเทวลักษณะของพระแม่กาลีก่อนที่จะเข้ามาเกี่ยวพันในไศวะนิกายก็เป็นได้ เพราะมีหลายๆแห่งก็กล่าวว่าพระแม่กาลีนั้นเป็นผู้ประทับอยู่เหนือซากศพ
#24
ไมแน่ใจว่าที่ว่าเนี่ยจะคือในกระทู้นี้หรือเปล่าคะ


http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1602.0
#25
เคยได้ยินมาเหมือนกันค่ะว่าลัทธิทีบูชาพระแมสันโตษี เป็นลัทธิเล็กๆที่ไม่แพร่หลายและเกิดขึ้นมาทีหลัง จึงยืมเอาเทวลักษณะของพระแมอุมามาใช้ ซึ่งในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใน เพราะเคยมีการค้นคว้าว่ารูปเคารพพระแม่มารีกับพระบุตร อาจเอาเทวลักษณะมาจากพระแม่ไอซิสหรือพระแม่ฮาเธอร์ให้นมเทพโฮรัสเหมือนกัน
ส่วนปกรณัมเรื่องความชัดแย้งของพระแม่สันโตษีกับพระแม่ทั้งสาม สันนิษฐานวาอาจเกิดจากความไมลงรอยของลัทธิที่นับถือพระม่สันโตษีเป็นใหญกับลัทธิที่นับถือพระแม่ตรีศักติ
#26
เรื่องผึ้งกับความรัก คงเปรียบว่าหวานเหมือนน้ำผึ้งมั้งคะ เหมือนธนูของพระกามเทพที่ว่าทำจากท่อนอ้อย แล้วมีผึ้งเรียงตัวต่อกันเป็นสาย ใครโดนเข้าไป
ไมเจ็บปวดแตหวานซ่าน

สาวนปกรณัมเรื่องพระแม่ แปลคร่าวๆว่ามีอสูรตนนึงชื่อรุณ รบกับพวกเทพ พวกเทพแพ้จึงหนีออกจากไปพึ่งพระศิวะ โดยทิ้งชายาไว้ อรุณกับพวกอสูรบุกยึดสวรรค์แล้วสั่งให้นำตัวบรรดาพระชายามา บรระดาพระชายาหวาดกลัว จึงสวดอ้อนวอนต่อพระปรเมศวรี

พระแมเจ้าแปลงร่างเป็นนางพญาผึ้งยักษ์ บินมารบกับสูรพร้อมด้วยบรรดาฝูงผึ้ง อสูรแพ้ไปตามระเบียบ
#27
Quote from: superboh on October 19, 2009, 03:48:43
สวัสดีครับ....เข้ามาแสดงความเห็นเรื่องอธิฐานจิตด้วยคน

สำหรับท่านที่ต้องการความรวดเร็วและชัวร์แน่นอน ขอแนะนำว่าให้ไปวัดแขก บูชาอะไรก็ได้ตามแต่ที่ท่านชอบให้ตรงกับเทวรูปที่ท่านบูชามา

เช่น คุณเช่าเทวรูปพระคเนศมาแต่ยังไม่ทำพิธี ท่านก็ไปเช่ารูปหรือเหรียญเล็ก ๆ ภายในวัดแขก พราหมณ์จะทำพิธีให้ท่านแน่นอน หลังจากนั้นนำวัตถุที่ผ่านพิธีมาแล้ว นำมาติดเข้ากับเทวรูป โดยใช้กาวเหนียวแบบละลายยิงให้ติดกับเทวรูป เชื่อว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ถึงเทวรูปท่านแน่นอน

เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้ไปวัดแขก ก็ได้ไปเช่าเหรียญเงินจากทางวัดแขกมาด้วยกันสามเหรียญ พระศิวะ พระคเนศ พระแม่อุมา แล้วนำเหรียญมายิงกาวแปะไว้ใต้ฐานทั้งสามพระองค์ ...ทำพิธีอันเชิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (ก็พิธีทั่วๆไปนั่นหล่ะครับ แต่จุดธูปอธิฐานให้องค์ญาณท่านมาประดิษฐสถานที่องค์เทวรูป) เป็นอันเสร็จพิธี

ขอเน้นว่าการทำเช่นนี้ เป็นการทำเพื่อความรวดเร็วและแน่นอนเท่านั้นสำหรับคนมีเวลาไปกรุงเทพฯ น้อยเช่นผม

โอม...นมัส ฉิวายะ




เหรียญก็เหรียญ เทวรูปก็เทวรูป มีขั้นตอนการเทวาภิเษกที่ตางกัน ดังนั้นจะเอาเหรียญไปแปะเทวรูปแล้วอนุมานวามีการถ่ายเทพลังกันไมได้


วัตถุมงคลของวัดแขกสีลม ผ่านการเทวภิเษกแบบอินเดียใต้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมือเราทำการเช่าบูชา พรามหณ์จะเจิมพร้อมกับถามชือของผู้เช่า เพื่อให้สิริมงคลและเทวนุภาพของเทวรูปนั้นๆแสดงประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้เช่าบูชาค่ะ
#28
Parmeshwari Devi transformed herself into a large bee and with a swarm of bees which emerged out from her form surrounded the wives of the devas and sent out numerous lines of black bees, which joined with those emerging from her hands, covering the whole Earth. The sky was completely overcast with the swarm of bees, and the Earth was cast into darkness. The sky, mountain peaks, trees, forests, all became filled with bees and the specacle presented a terrific sight. Then the black bees began to tear assunder the breasts of the demons, as bees sting those who disturb their hives. The powerless asuras could not fight or communicate with one another, and so perished rapidly. Adi Shakti, in her form as the divine bee approached Aruna asura and said, "O, asura! Meet your end!" And she stung him to death. The devis thanked Parmeshwari Devi for saving their chastity. That is how Devi got the name of 'Bhramari Devi' as the protector.
#29
According to Hindu mythology, there once lived an asura (demon) called Arun. He wanted to establish his kingdom by driving out the devas (nature spirits). The devas gathered together to decide how to defeat their enemy, but meanwhile, Aruna, surrounded by his army, invaded the heavens and dislodged the devas from their stations. The devas left their city, families and wives to seek advice from Lord Shiva. Thus Aruna effortlessly entered the kingdom. He summoned his fellow demons and angrily ordered them to summon the wives of the devas. The devis were brought before Aruna. In utter fear they closed their eyes and prayed to Parmeshwari Devi to save them.
#31
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1121.0

ที่กระทู้นี้มีค่ะ เป็นแบบเดียวกับที่วัดแขกสีลมแจก
#32
ชอบไอเดียที่ทำให้เทวรูปมีกลิ่นหอมค่ะ

ส่วนตัวเราเองเป็นคนไม่มีฝีมือทางด้านศิลปะ แต่จะรอชมผลงานนะคะ
#33
เห็นด้วยกับแนวทางการบูชาโดยส่วนใหญ่ค่ะ

ส่วนเรื่องการขอพร เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความโลภหรืออะไร แต่พึงสงวรณ์ไว้ว่าเราขอในลักษณะที่ผู้บูชา ขอความช่วยเหลือ ความพึ่งพา ไม่ใช่เดียลกันว่า ถ้าสำเร็จแล้วฉันจะให้นั่นให้นี่ ถวายนั่นถวายนี่


และเชื่อในพระวินิจฉัยของพระเป็นเจ้าว่าสิ่งที่เราได้รับ หรือไม่ได้รับนั้นล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับเรา ล้วนแล้วแต่เป็นพระกรุณาจากพระเป็นเจ้าที่เรานับถือ


ส่วนเรื่องยันตราและเครื่องรางนั้นเราเห็นต่างออกไป การผูกยันตรา การสร้างเครื่องราง เป็นศาสตร์โบราณอีกศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในเกือบทุกลัทธินิกาย ถ้าศาตร์จำพวกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีความหมายหรือใช่ไม่ได้จริง ย่อมสูญหาย ไม่มีผู้สิบทอด หรือกระทั่งรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
#34
Quote from: ตรีศังกุ on February 19, 2010, 09:36:37
คนที่ก่อกองกูณฑ์ได้ ต้องเป็นวรรณะพราหมณ์ หรือนักบวชเท่านั้น

ฆราวาส หรือคนวรรณะอื่น อาจไปช่วยทำพิธี ช่วยตักเครื่องบูชาลงกองไฟก็ได้

เพราะการทำพิธีนี้ ทำโดยผู้ชำนาญพระเวท อาจเป็นวรรณะพราหมณ์ ฤๅษี

...

ในรามายณะ วรรณะชั้นต่ำทำพิธีโหมกรรม จนบ้านเมืองวิปริต ทำให้ลูกชายพราหมณ์คนนึงตาย จนพระรามทราบเรื่อง และพบวรรณะศูทรผู้ทำพิธีนี้ พระรามเลยตัดหัวคนนั้นเป็นการลงโทษ

เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่า ถ้าคนวรรณะอื่น หรือวรรณะต่ำๆ ทำตัวแบบพราหมณ์ ทำตัวแบบนักบวช ทำให้บ้านเมืองหายนะได้
ว๊าย ถ้าอย่างนั้นบ้านเราคงโดนกันหลายรายนะคะ
#35
เรื่องแต่งค่ะ

แต่เนื่องด้วยล้นเกล้ารัชกาลที่หกท่านมีคสามรู้เรื่องภาษาศาสตร์มาก จึงแต่งบทบูชาไฟที่ได้ต้นเค้าจากพระเวทย์

มีการบรรยายคุณสัมบัติของพระอัคนีที่เป็นไฟทั้งสามในฉันท์บทนั้นด้วย
#36
ในบทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนพาธา มี บทบูชาไฟที่แปลเป็นภาษาไทยด้วย
เล่าให้ฟังเฉยๆค่ะ เห็นด้วยว่าถ้าไม่ช่นักบวชไม่ควรปฏิบัติเอง
#37
สิบปีก่อน เคยลงเรียนวิชาศาสนาฮินดูอยู่หนึ่งตัวค่ะ สนุกดี อาจารย์ที่สอนท่านเป็นลูกครึ่ง ไทย อินเดีย ได้เรียนปรัชญาฮินดู
สำนักต่างๆอย่างกว้างๆด้วย อาจารย์แนะนำว่า ถ้าสนใจไปลงต่อวิชาปรัชญาอินเดียเลย แต่ยากมั่กๆนะเธอ ครูไม่ได้สอนด้วย เลยไม่ได้ลงเรียน

แต่จากการเรียนครั้งนั้นทำให้เรามองศาสนาฮินดูเปลี่ยนไปมากๆค่ะ คือมันไม่ได้มีเฉพาะการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าเท่านั้น มีอะไรที่สูงส่งกว่าลึกซึ้งกว่า

ในปีเดียวกันได่ไปเยี่ยมมาดามชาวอินเดียเพื่อขอ้ขอมูลในทำบทละครในสมัยเรียน พวกมาดามน่ารักมากๆค่ะ ทำขนมให้ทานหลายอย่าง วิ่งขึ้นวิ่งลงเอารูปต่างๆให้ดู สอนห่มส่าหรี่ ยังประทับใจอยู่ถึงทุกวันนี้ 
#38
Quote from: giftzy_69 on February 15, 2010, 13:30:29
ขออนุญาติแถมให้อีกหนึ่งองค์นะค่ะ  อิอิ   ท่านมหาฤษีมเหษโยคี  ท่านนี้เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับ ในแวด วงเทววิทยาระดับโลกคะ


ท่านเกิดที่รัฐมัธยประเทศ  แถมยังเคยเป็นนักฟิสิกมาก่อนด้วย  แต่หลังๆท่านหันมาสนใจศึกษาเทวศาสตร์ฮินดู


หลังจากนั้นท่านเดินทางมาเผยแพร่ศาสนาที่เมกาในปี 2508


ได้ยินมาว่า ใน ปี 2512  สมาชิกวงเดอะบีตเทิล หรือสี่เต่าทอง เดินทางมาพบท่านที่อินเดียเพื่อขอศึกษาวิธีการฝึกสมาธิ

คำสอนตลอดจนหลักปรัชญาซึ่งมีสอดแทรกไว้ในตำราของศาสตร์เทววิทยาที่อเมริกามากมายเลยคะ

#39
ขอบคุณคุณหริทาสค่ะ

อย่างคุณหริาสบอกนั่นหละค่ะ ว่าการศึกษาเรื่องนี้มันสนุกตรงที่ได้รู้ ได้เข้าใจความเชื่อของคนในสมัยก่อน ที่เป็นรากเหง้าของความเชื่อปัจจุบัน

ศาสนาฮินดูมีความพิเศษตรงที่เป็นศาสตร์โบราณที่ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน จึงมีทั้งพาร์ทที่เกี่ยวกับความเชื่อยุคดั้งเดิม และพาร์ทที่เป็นปรัชญาขั้นสูงที่ผ่านการคิดการตีความของปราชญ์ตีคู่มาด้วย

เราเองถึงแม้จะสนใจในเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้เป็นนักวิชาการที่สนใจเพื่อเขียนตำราหรือเอาโทเอาเอก แต่สนใจในฐานะผู้บูชา ดังนั้นจึงไม่อาจละเลยในส่วนที่เป็นmystics หรือเทวอำนาจ
#40
งั้นเริ่มจากบ้านเราเป็นไงคะ ฮิๆๆ
ไม่นานมานี้ได้เห็นเครื่องรางของขลังชนิดนึงที่ทำให้ถึงกับต้องกุมอกอุทานว่า โอ้วววว

เครื่องรางชนิดนั้นเรียกว่า เหรียญแม่อุมาแปดแหก  เป็นการพยายามโยงเอาเรื่องพระแม่เจ้าเข้ากับเอ่อ....อีเป๋อน่ะคะ

คงไม่ถามนะคะว่าถ้าเป็นอีเป๋อแล้ว ไอ้แปดแหกที่ว่ามันแหกอะไร และใช้ในเรื่องทำนองไหน