Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - หริทาส

#41
ถ้าผมจำไม่ผิดพระนารายณ์องค์นี้ มีพระนามว่า พระรังคนาถสวามี  วัดที่ประดิษฐานชื่อวัด ศรีรังคัมครับ
ตำนานเล่าว่า เมื่อรบทศกัณฑ์ชนะแล้ว พิเภก ทูลขอเทวรูปพระนารายณ์มาบูชา พระรามจึงประทานพระรังคนาถใส่บุษบกทองให้
พอมาถึงพิเภกแบกไป ยังไม่ถึงลังกาก็แวะที่อินเดียใต้ ปรากฏว่าบุษบกไม่เขยื้อน จำต้องประดิษฐานไว้ที่นั้น โดยเทวรูปจะหันไปทางลังกา พิเภกก็มองจากลังกามายังเทวรูปนี้เสมอๆ(ชาวใต้ถึงกับเชื่อว่า พอไปทำกำแพงปิดมุมที่พระรังคนาถมองไปยังลังกา ทำให้ลังกาวุ่นวายอย่างที่เห็น)


นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในหมู่ ชาวไวษณวนิกาย สายพระอาจารย์รามานุชะหรือศรีสัมประทายะ ว่า พระรังคนาถมิใช่เทวรูปธรรมดาๆ แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง เนื่องจากพระเป็นเจ้าทรงมีพระกรุณามาก จึงทรงลงมาเป็นเทวรูปสำคัญๆในเทวสถานต่างๆ วัดนี้จึงถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
#42
vอย่างในพระราชพิธีสิบสองเดือน ร.5 ท่านยังพระนิพนธ์ไว้ว่า เรื่องสีตามวัน ซึ่งจะใช้เป็นสีเครื่องทรง มีมติต่างกัน พระยาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านจะถือตามหลักของฮินดู อย่างที่ใช้ในปัจจุบัน แต่มีขุนนางท่านนึง ซึ่งเป็นชาวพนักงานภูษามาลา ยืนยันจะให้ใช้อีกแบบ ท่านก็ทรงยอมตาม เพราะขุนนางท่านนั้นสืบเชื้อสายชาวภูษามาลามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา ซึ่งท่านก็บอกว่าในสมัยกรุงเก่าใช้แบบนั้น
#43
อันนี้ก็มองต่างมุมนะครับ

อ่อ เพิ่มเติมอีกนิดครับ  ตันตระ (ตนฺตฺร) หมายถึง ลัทธิตันตระ
ส่วน ตันตริก (ตนฺตฺริก) หมายถึงผู้รับนับถือลัทธิตันตระ ครับ อันนี้เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจครับ
#44
คุณชัยหมายถึงเวรูปแบบไทยๆใช่ไหมครับ

อาจเป็นอย่างนี้ไหมครับ ผมสันนิษฐานว่า ในฝ่ายไทยเรา มีการกล่าวถึงพระนพเคราะห์สองสามแบบ แบบหนึ่งก็อิงตามปุราณะฮินดู แต่มีคัมภีร์ที่ออกแนวๆท้องถิ่นเราเอง หรือได้อิทธิพลของพื้นบ้านทางอินเดียใต้ เช่นพวกคัมภีร์พระไสยศาสตร์ ซึ่งเหมือนจะไปอีกแบบ อาจทำเทวรูปตามคัมภีร์ประเภทหลังรึปล่าวครับ  หรือสุดจะเป็นไปตามพระราชนิยม และ ที่รับมาจากกรุงเก่า
#45
อันนี้ผมมองต่างจากคุณเขี้ยวกาลีนะครับ

คุณกาลิทัส เอ่อ อันนี้คงไม่ผิดกฏนะครับเพียงแต่มุมมองต่างกัน คงไม่ใช่การทุ่มเถียงกัน แต่คุยกันด้วยเหตุผลครับ

ประการแรก ผมเป็นนักวิชาการ ก็จำเป็นต้องตอบไปตามหลักวิชาที่เรียนมา

สอง  ผมคิดว่า ถ้าอะไรๆ โดยๆเฉพาะเรื่องทางศาสนา อิงกับประสบการณ์ส่วนบุคคลเสียทั้งหมดจะเกิดปัญหา
สมมุติว่า ผมมีประสบการณ์ไปนั่งสมาธิหรืออะไรบางอย่าง แล้วผมพบว่า พระคเณศในนิมิตผม ไม่ได้มีพระเศียรช้าง เพื่อนอีกคนไปบำเพ็ญออกมาบอกว่า พระคเณศ มีพระเศียรเป็นอย่างอื่นอีก คราวนี้ แต่ละคนก็จะทุ่มเถียงกัน ไม่ยอมใคร เพราะยึดเอาประสบการณ์ของตัว
สมมุติให้สุดโต่งไปอีกว่า เพื่อนผมเกิดนิมิต(ซึ่งสามารถตั้งข้อสงสัยได้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะของแบบนี้อาจเกิดจากหลายสิ่งก็ได้เช่น มินิมิตจริงๆ เกิดจากจิตใจ สับสน เจ็บป่วย ฯลฯ)เทพบอกให้ทำอย่าง อีกคนท่านบอกให้ทำอีกอย่าง(ทั้งสองคนมีประสบการณ์ทางศาสนาพอๆกัน เรียนรู้เรื่องศาสนามาพอๆกัน ฯลฯ) คราวนี้จะยุติยังไงล่ะครับ?

ฉะนั้นผมคิดว่า เราควรยึดตามหลักวิชาหรือตามหลักการเพราะศาสนาฮินดูไม่ใชข่ศาสนาเลื่อนลอยที่อิงกับประสบการณ์ของบุคคลอย่างเดียว
แต่เป็นศาสนา ที่มีมิติของเหตุผลสูงเช่นเดียวกัน(ถ้าลองศึกษาปรัชญาอินเดียดูจะพบว่า เป้นหลักการที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล) และมี คัมภีร์ต่างๆเป็นรากฐานเช่นเดียวกับศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเวท ซึ่งมีคุรุ หรือพระอาจารย์ทั้งหลายได้ทำการอรรถาธิบายมานาน มีนักปราชญ์และครูอาจารย์มากมาย
ผมคิดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรละเลย มิฉะนั้น ถ้าเราจะทำอะไรก็ได้ตามใจเราคือคิดอะไรก็ได้ตามใจเราโดย ทำไปภายใต้ความเชื่อของเราว่านี่เป็นศาสนาฮินดู มิเท่ากับว่า เราปฏิบัติอย่างไม่สมควรต่อศาสนาฮินดูหรือครับ


ผมนั่นเห็นคุณค่าของทั้งสองอย่าง คือมิติทางประสบการณ์ทางศาสนาของแต่ละคนก็มีคุณค่าในฐานะศาสนิกชน(และควรตรวจสอบตรวจทานประสบการณ์นั้นๆอย่างมีโยนิโสมนสิการ) แต่เราก็ควรให้ความสำคัญกับหลักการต่างๆที่มีในศาสนาด้วย
#46
ประเด็นของผมอาจต่างจากคุณเขี้ยวกาลี คือผมก็ว่าไปตามหลักการทางวิชาการนะครับ ไม่ได้อิงประสบการณ์ตรง

ประเด็นของผมอาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบารมีหรืออะไรแนวนั้น

เพราะประเด็นของผมคือ

ที่อ้างๆว่าทำกันแบบตันตระนั้น ก็ผิดแล้วครับ  เพราะอย่างที่บอก ปกติการทำบูชาแบบตันตระ ไม่ใช้ พอไปอ่าหนังสือบางเล่มที่เล่าว่าสมัยโบราณเขามีเรื่องเพศ บูชาด้วยเลือด แล้วก็เลยทึกทักไปว่า เออ ถ้าเราเอาไปทำที่บ้านเองก็ได้ ตามที่เรานึกๆฝันๆไปเอง เรียกว่าบูชาแบบตันตระวิธีแล้ว
(ยิ่งสมัยนี้ ในสังคมไทยเราถึงขนาดมีสถานที่อ้างว่า ทำบูชาแบบตันตระ  แล้วเอา "ตันตระ" ไปเป็นไตเติ้ลซะด้วย ทั้งๆที่ทำพิธีฮินดูแบบผิดๆถูกๆอ้างว่าเป้นตันตระอีกตะหาก)


แม้แต่การบุชาตามแบบตันตระ มันมีระเบียบวิธีการของมัน มีมนตร์ มุทรา ฯลฯ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การเรียนรู้จากคุรุ ไม่ใช่ทึกทักทำเอง

ประเด็นของผมคือ ขนาดตันตระที่มีระเบียบวิธี มีคุรุยังเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายแล้ว   การบูชามั่วๆของเราเองไม่ยิ่งอันตรายกว่าอีกหรือ
#47
ตามที่น้องศรีมหามารตี และคุณกาลิทัสว่าไว้ ถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้วครับ


ผมขอมีความคิดเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า เรื่องการบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพที่มาจากเทพพื้นเมือง ที่อารยันนำมาผนวกเข้าเป็นเทพในสารบบศาสนาฮินดู ซึ่งต้องบูชาด้วยการฆ่าสัตว์นั่น ในวงการศาสนาฮินดูเองก็มีความคิดที่แตกต่างหลากหลาย ครั้งนึงมหาตมะคานธีไปเยี่ยมชมวัดพระแม่กาลีที่กัลกัตต้า ท่านถึงกับออกอาการสะอิดสะเอียน และเขียนให้คนละเลิก  แต่บางที่ยังคงทำอยู่ทั้งๆที่มีการโจมตีจากนักบวชและฮินดูหัวใหม่ ฝ่ายที่บูชายัญ ก็ยืนยันว่าเขาทำมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย และเป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมของเขา

ผมมีความเห็นเป็นดังนี้ครับ เรื่องการอนุรักษ์ รักษาประเพณีก็เป็นเรื่องหนึ่ง ในฐานะคนที่สนใจวัฒนธรรม เราอาจพอศึกษา พิธีกรรมโบราณซึ่งยังสืบทอดมาได้ด้วยความเคารพ

แต่ในฐานะศาสนิกชน เราจะทำยังไงดี และแน่นอนว่า คนโบราณมีภูมิปัญญาบางอย่างที่ควรเคารพ
แต่เราต้องไม่ลืมนั่นก็เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในบริบททางสังคมและในเวลาแห่งยุคสมัยนั้นๆ การบูชายัญต้องเป็นภูมิปัญญาอะไรบางอย่างแน่ๆ
ท่านอาจารย์บางท่านจึงเสนอวิธี หรือทางออก เช่น แทนที่จะใช้สัตว์จริงๆ ก้ใช้พืชหรือสัญลักษณ์บางอย่างแทน คือยังรักษาพิธีการบุชาไว้ แต่เปลื่ยนการฆ่าสัตว์มาเป้นการใช้อย่างอื่น อันนี้ก็ทางหนึ่ง

อีกอย่างศาสนาฮินดูเป็นศาสนาโบราณก็จริง  แต่ก็ผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน ศาสนาฮินดู ได้พัฒนาตัวเองทั้งด้านปรัชญา ด้านคำสอน ความเชื่อ ตลอดจนถึงพิธีกรรมต่างๆ จนมีรูปอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ผมคิดว่าเราต้องถามตัวเองว่า เราจะเป็นฮินดู แบบไหน แบบโบราณ หรือแบบที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวเอง อย่างความคิดที่ลึกซึ้งของฮินดูก็พัฒนามาจากความเชื่อโบราณเหล่านั้น


ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ พิธีกรรมในศาสนาฮินดู เวลาเราปฏิบัติ ผมคิดว่าเราควรรู้ความหมาย หรืออย่างน้อยๆ ควรรู้วัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของพิธีนั้นๆว่าคืออะไร

อย่างในกรณีที่มีการร่วมเพศต่อหน้าเทวรูป ซึ่งเป็นพิธีในฝ่ายตันตระ คิดว่าเราไม่ควรเลียนแบบด้วยประการทั้งปวงเพราะว่า
หนึ่ง เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอย่างที่ พวกตันตริกเขาต้องการจริงวๆ
ผมเข้าใจว่า การร่วมเพศหรือทำอะไรที่ผิดศีลธรรมของคนในฝ่ายตันตริก ต้องการ "สิทธิอำนาจ" บางประการ ซึ่งมีนัยยะ สื่อถึง อำนาจในทางจิต หรือพลังพิเศษบางอย่างไปจนกระทั่งสามารถเข้าสู่ทิพยศักดิ์หรือความหลุดพ้น หรือ ฯลฯ อะไรในทำนองนั้น ซึ่ง ตามแนวคิดของศักตะ หรือลัทธิตันตระ ทิพยอำนาจเหล่านั้น หากใช้วิธีการตามปกติ ก็อาจช้าและไม่รวดเร็วเท่าวิธีการในทางตันตระ 

แต่... ทิพยอำนาจในทางตันตระ ต้องยอมสูญเสีย การประพฤติชอบทางศีลธรรม ดังนั้น พระโยควาจร หรือ นักบวชในทางตันตระ จึงต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ และมีพฤติกรรมที่สังคมฮินดูโดยทั่วไปรังเกียจ
สอง ต้องมีคุรุ ที่จะชี้นำหนทางต่างๆเหล่านั้น
สาม ต้องมุ่งมั่นที่จะบรรลสิทธิอำนาจ จนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสามัญชนคนปกติได้ เช่นต้องออกไปเป็น นักบวชหรือคนเร่ร่อน

ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ได้มีเป้าประสงค์เหล่านั้น เราจะทำพิธีแบบนั้นทำไม อีกอย่างที่ทำๆอยู่ก็ไม่ใช่จะถูกต้องตามหลักตันตระ(เพราะขาดคุรุทางตนัตระ ซึ่งหายากมาก หรือถ้ามีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่กคุรุปลอมๆเยอะมากๆ)

วิถีตันตระ แม้จะทรงพลังอำนาจ แต่รุนแรงและอันตราย ดัง น้ำผึ้งที่อยู่บนมีดโกน ถ้าไม่ระวัง มีดก็อาจบาดลิ้นได้
ประกอบวิธีทางตันตระผิด แนที่จะได้ผลดี อาจพบผลร้าย


อีกอย่าง ทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิธีการทางตันตระ ก็อาจให้ผลเช่นเดียวกันได้ แม้ว่าจะช้าหรือต่างไปบ้าง โดยวิธีปกติทั่วๆไป
และถ้าจะใช้ตันตระ ก็มีวิธีการ และระดับที่สามารถทำได้โดยไม่อันตราย เช่นการใช้พีชมนตร์และมุทราต่างๆ


ผมถามอย่างตรงไปตรงมานะครับ เราจะยอมรับการมีสิทธิอำนาจโดยวิธีแปลกๆไหม รู้จักนักบวชที่เรียกว่า "อโฆรี" ไหมครับ นักบวชเหล่านี้มีมากที่พาราณสีและที่ต่างๆริมน้ำ และตามป่าเขา
นักบวชพวกนี้ประพฤติตรงข้ามกับปกติมนุษย์ธรรมดา เปลือยกาย นอนตามป่าช้า เอากระดูกคนมาประดับร่างกาย เอาขี้เถ้าศพมาทาตัว  พวกนี้จะไปขโมยศพมนุษย์มากินครับ  นอกจากศพมนุษย์ ยังมีการกินอุจจาระและปัสสาวะ รวมทั้งของเน่าเหม็นด้วย เขาบอกว่าที่ทำแบบนี้ เพื่อสามารถข้ามพ้น ทวิลักษณ์ ที่เราปกติยึดติด เช่น สะอาดสกปรก เน้า -ไม่เน่า ฯลฯ และลุถึงอำนาจทางจิต


เราจะทำไหมละครับ

อีกอย่าง การใช้เพศสัมพันธ์เพื่อลุถึงสิทธิอำนาจ ต้องผ่านการ ฝึกฝนทางจิตอย่างอุกฤษฎ์มาแล้ว
มีคำพูดของพระอาจารย์ในทางตันตระว่า  นักบวชที่เสพมังสาและสุราเมรัย(เพื่อพิธีในทางตันตระ)ก็แปรของเหล่านี้เป็นอมฤตได้ แต่ท่านเหล่านี้ก็สามารถแปรอุจจาระและน้ำปัสสาวะเป้นอมฤตและดื่มกินได้เช่นเดียวกับเสพมังสะและสุราเช่นเดียวกัน ถ้ายังไม่สารถดื่มกินอุจจาระปัสสาวะ ก็อย่าคิดลองเสพมังสะและเมรัย(ในทางตันตระ) * (ปกตินักบวชชั้นสุงไม่เสพมังสะและเมรัยครับ)

ถ้ามิอาจกลืนเข็มเข้าไปนับร้อยและขับออกมาได้โดยไม่เป็นอันตราย ก็จงอย่าใช้การร่วมเพศเป้นทางไปสู่สิทธิอำนาจ


ลองพิจารณาดูนะครับ
#48
เท่าที่ผมจำได้ ที่ คยามีวัดพระแม่อะไรซักอย่างอยู่ตรงทางเข้าพุทธคยาเลยครับ แต่เป็นวัดเล็กๆ   ส่วนที่พาราณสีวัดเยอะครับ วัดที่พลาดไม่ได้ คือวัด วิศวนาถ หรือวิศเวศวร เป็นหนึ่ง ใน 12 ชโยติลึงค์ ของพระศิวะ วัดจะอยู่ตรงทางลง ท่าทศวเมธฆาฏ เป็นวัดประจำพาราณสี  แต่วัดนี้ ปกติไม่ใช่ฮินดูห้ามเข้าครับ (อาจขอเขาได้) ยังมีวัดตุลสีมานัส ฯลฯ

คราวนี้อยู่ที่ว่า ขึ้นเครื่องและลงที่กัลกัตตา รึป่าว หรือไปลงเดลลี ก็อีกอย่าง ถ้าไปลงเครื่องและขึ้นที่กัลกัตตา วัดพระแม่กาลีเพียบครับ
วัดใหญ่ๆมีวัดกาลีกัฏ เป็นวัดประจำเมือง วัด พระแม่ตารา แล้วก็วัดทักษิเณศวร  แต่ปกติ ไปกับกรุ๊ปทัวร์แนวพุทธ เขไม่ค่อยพาไปครับ ต้องลองขอดู  อรกอย่งบางทีเพื่อนๆร่วมทริปซึ่งเน้นทางพุทธ เขาก็จะไม่ค่อยอยากไปครับ อาจต้องไปเองหรือหาเวลาปไ แนะนำว่าให้เอาไกด์ท้องถิ่นหรือไกด์ของเราไปด้วยจะสะดวกและปลอดภัยครับ
#49
เข้าใจว่าที่วัดเทพมณเฑียรไม่ได้จัดบูชาพิเศษโดยเฉพาะครับ แต่จะมีสมาคม โมหันน่า (Mohana) ซึ่งเป็นของชาวเบงคอลี มาจัดที่วัดครับ
#50
โอมฺ อาทิตฺยาย โสมาย  มงฺคลาย พุธาย จ
คุรุ ศุกฺร ศานิภฺยศฺจ ราหเว เกตเว นมะ

โอม ขอความนอบน้อมมีแด่ พระอาทิตย์ พระโสมะ(จันทร์) พระมงคล(อังคาร) พระพุธ พระคุรุ(พฤหัสบดี) พระศุกร์ พระศนิ(เสาร์) พระราหู และพระเกตุ



ย่อๆแบบรวมๆทุกองค์ประมาณนี้ครับ แต่ถ้าจะเป็นองค์ๆไปเลย  เอาไว้ว่างๆจะแปลมาไว้ให้ครับ แล้วยังมีแบบที่มีพีชมนตร์อีก หรือพวกมนตร์ตันตริกอ่ะครับ แต่ผมคิดว่าที่ให้ไว้ข้างบนก็โอเคแล้วครับ
#51
ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
#52
ขอบพระคุณในคำพรนะครับ คุณศรีมหามารตี น้องคิว และคุณหวาน

ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
#53
สวัสดีปีใหม่ด้วยคนครับ
#55
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ

ในศุภวาระขึ้นปีใหม่นี้ ผมขออำนาจแห่งเทพยเจ้าทุกพระองค์ ดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุข มีอายุยืน และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการครับ

ภารกิจงานราชการผมเยอะ สอนก็เยอะ จึงไม่ค่อยได้มีเวลาพูดคุยได้แต่ดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ (อิอิ) ก็ขอมาเป็นส่วนหนึ่งในความสุขปีใหม่ รีบมาอวยพรก่อน กลัวว่าช่วงปีใหม่เน็ตจะล่มนะครับ

ขออัญเชิญมนตร์ในพระเวทเป็นพรแด่ทุกท่านนะครับ

โอมฺ ศฺรีวรจสฺยมายุษฺย มาโรคฺย มาวิธาตฺ ปวมานมฺ มหียเต
ธนํ ธานฺยํ ปศุมฺ พหุปุตฺรลาภํ ศต สมฺวตฺสรํ ธีรฺฆมายุะ

โอมฺ! พระศรีโปรดประทานพรแด่ทุกท่าน
ทั้งโรคันภยันตรายทุกข์นิราศร้างหาย
ธนธัญญทรัพย์ปศุบุตรมีมากมาย
อายุยืนยาวสบายนับร้อยร้อยปี

อ่อ ลืมไปครับ

ถ้าใครไม่รู้จะไปไหนในวันสิ้นปี ผมขออนุญาตเรียนเชิญ ไปร่วมงาน มันตระภาวนาเพื่อรับปีใหม่ที่วัดเทพมณเฑียรนะครับ
โดยทางวัดจะจัดสวดภาวนามนตร์สั้นๆของเทพทุกพระองค์ในวัด(มีเอกสารแจก) จนถึงเวลาสิ้นปีเลยครับ และจะมีอารตีเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้ทุกท่านได้รับพรและศิริมงคลในปีใหม่ และผมจะไปช่วยงานที่นั่นด้วย มีการแนะนำเรื่องการภาวนา ส่วนมนตร์ที่แจกนั้นสามารถนำไปภาวนาถึงองค์เทพต่างๆได้ที่บ้านนะครับ
วันที่ 31 ธ.ค. ตั้งแต่ประมาณ 4 ทุ่มเป็นต้นไปครับ

อ่อ ขอให้กำลังใจกับเวปมาสเตอร์ทุกท่าน ที่มีความเข้มแข็ง เผชิญสิ่งต่างๆตลอดปีที่ผ่านมา ขอให้มีกำลังใจเข้มแข็งในทุกๆปีไปเลยนะครับ
#56
ผมก็จะไปช่วยงานนนี้ด้วยครับ

เราจะมีการภาวนามนตร์ของเทพทุกพระองค์ในวัดเทพมณเฑียร ซึ่งสามารถนำไปใช้ภาวนาในชีวิตประจำวันได้ อละมีการแนะนำเรื่องการ ชป หรือการภาวนา สุดท้ายจะมีการอารตี และการประสาทพรปีใหม่ครับ
#57
ผมไปวัดวิษณุ เห็นก็เลยถามท่านบัณฑิตพรหมานันทะที่สนิทกัน ท่านก็บอกว่า เป็นประเพณีทางบ้านท่านที่จะผูกผ้าไว้เฑาะพระแม่สามองค์ จะเปิดก็ต่อเมื่อวันที่ 7 ของเทศกาลไปแล้ว
ท่านบอกว่าท่านเองก็ไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ทำๆสืบกันมา ท่านว่าเดี๋ยวว่างๆจะไปสืบหามาให้ครับ
เราก้คุยๆกันท่านก้สันนิษฐานว่า อาจเกี่ยวกับเรื่องที่มีในมารกัณเฑยะปุราณะ(เทวีภาควตปุราณะ)  ว่าพระแม่ต่างๆรบกับพวกอสูรและมีชัยในวันที่7 (เรื่องวันผมไม่แน่ใจ) ดังนั้นใน่วงเวลาที่พระแม่เจ้าสู้กับพวกอสูรอยู่จึงได้ผูกตาไว้ และเปิดเมอื่อสูรพ่ายแพ้ไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับวิธีการในลัทธิตันตระ เกี่ยวกับพลังอำนาจของเทวรูปและอะไรโน่นนี่เยอะครับ
#58
Quote from: kalika on November 24, 2010, 16:58:58
มีอันนี้ค่ะ




รูปนี้ไม่ใช่เจ้าแม่กาลีนะครับ เป็นเทพเจ้าในพระพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน
#59
Quote from: lnw_Deva_Purana on October 22, 2010, 00:06:08
   รบกวนท่านผู้รู้ทุกท่านช่วยอธิบายถึงคำเหล่านี้ที ว่าหมายถึงอะไรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
  Stotram
  Stuti
  Pooja
  Sooktam
  Ashtakam
  Sloka
  Dyhanam
ขอบคุณครับ

Stotram  คือ สฺโตตฺรมฺ  หมายถึงบทสวดมนตร์สรรเสริญ สโตตร เป็นบทสวดประเภทฉันท์ มีฉันทลักษณ์แบบต่างๆ ซึ่งคณาจารย์เป็นผู้ประพันธ์ขึ้น นับว่า ในบรรดาบทสวดสรรเสริญสโตร เป็นชนิดที่มีความแพร่หลายมาก ใช้สวดทั่วๆไป แต่ไม่ได้ใช้ในระหว่างการประกอบพิธี มีบ้างที่อาจใช้สวดท้ายพิธี นอกจากเป้นบทสรรเสริญแล้วอาจเป็นบทที่เป็นคติสอนใจก็ได้
  Stuti  สตุติ หรือ บทสดุดี เป็นคำประพันธ์ประเภทฉันท์ สตุติ มีความหมายว่า สดุดี ซึ่งหมายถึงการสรรเสริญนั่นเอง
  Pooja  ปูชา ถ้าหมายถึง การกระทำ ก็คือการบูชา หรือการปรนนิบัติพระเป็นเจ้าด้วยอุปจาระหรือขั้นตอนต่างๆ แต่ถ้าเป็นบทสวด ก็มักเป็นประเภท มานสปูชา หรือการบูชาด้วยใจ ซึ่งในบทสวดจะบรรยายการบุชาด้วยขั้นตอนต่างๆ ให้เราจินตนาการว่าเราได้บูชาเทพเจ้าพระองค์นั้น
  Sooktam  สูกตมฺ หรือ สูกตะ หมายถึงบทสวดในคัมภีร์พระเวท ในคัมภีร์พระเวท จะแบ่งออกเป็น เล่มๆเรียกว่า มณฺฑล (ฤคเวทมี 10 มณฑล) ในแต่ละมณฑล จะแบ่งเป็นบท แต่ละบทเรียกว่า สูกตะ เช่น บทสวดถึงพระลักษมี เรียก ศรีสูกฺตะ บทถึงพระปรมาตมันหรือพระวิษณุใช้ปุรุษสูกตะ เป็นต้น ในแต่ละสูกตะ จะประกอบด้วย มนฺตฺร (มันตระ) การสวดสูกตะ จะมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดในการออกเสียง สุงต่ำ และทำนอง เรียกว่า เวทสวระ ซึ่งต้องเล่าเรียนเอาจากครู เรียกวิธีนี้ว่าคุรุปรัมปรา
  Ashtakam  อษฺฏกมฺ แปลว่า แปดบท ได้แก่ สโตตฺรต่างๆ ที่มีการกำหนด ฉันทลักษณ์และในหนึ่งชิ้นจะมีจำนวนคำประพันธ์ทั้งสิ้นแปดบท
  Sloka  โศลก หมายถึง ชนิดของคำประพันธ์(ฉันท์)ประเภทหนึ่งที่ใช้ในการแต่ง รามายณะ แต่ภายหลัง มักเลือนความหมาย ใช้เรียก คำประพันธ์ทั่วๆไป
  Dyhanam  ธฺยานมฺ ธยาน หมายถึง การเพ่งจิตหรือทำสมาธิ ในคำประพันธ์หมายถึง คำประพันธ์สั้นๆ ที่ใช้ท่องสวดเพื่อให้เกิดจินตนาการหรือเพ่งจิตยังเทวดาที่เราจะทำการบูชาหรือสวดมนตร์ถึง ดังนั้นธยานมักจะเป้นคำประพันธ์ที่บ่งบอกรายละเอียดของเทพองค์นั้นๆ
#60
ท่านสวามีนารายัณ (ถ้าจำไม่ผิด ชื่อท่านอีกชื่อคือ สวามีสหชานันทะ)
ท่านเป็นนักบวชในยุคกลางของอินเดีย เป็นศิษย์ของสวามีรามานันทะที่มีชื่อเสียง จากนั้นท่านออกมาก่อตั้งนิกายเอง เรียกว่าสวามีนารายยัณ

โดยมีคำสอนว่า ท่านสวามีนารายัณนี่เองที่เป็น รูปสูงสุดในการอวตารของพระวิษณุเป็นเจ้า(ยิ่งไปกว่าพระกฤษณะ) เรียกว่าศรี อักษร ปุรุโษตมะ
คืออวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีมา(อันนี้แล้วใช้วิจารณญาณของทุกท่านพิจารณานะครับ)

นิกายนี้เรียกว่า สวามีนารายัณสัมประทายะ มีวัดใหญ่มากๆในอังกฤษ และกำลังพยายามเผยแพร่ไปทั่วโลกครับ
#61
เดี๋ยวว่างๆ จะมาตอบนะครับ
#62
Quote from: ۞ Musika ۞ on September 21, 2010, 17:41:18
ไปก่อนหน้าอารตีตอนเย็นแปปเดียวเองค่ะ เห็นพี่คิวถ่ายรูปอยู่เลย แต่ไม่ได้เข้าไปทัก...

ดิฉันยืนอยู่แถวๆรูปวาดพระพิฆเนศนะค่ะ...คนเยอะได้อีก...

พี่ตุลก็ร้องเพลงได้....จะใช้คำนี้ได้มั้ยค่ะ ?...."มันส์" ค่ะ

ได้ขึ้นไปถวายผ้าสไบให้พระพิฆเนศองค์ของวัดด้วย..(ถ้าใครไปแล้วเห็นท่านห่มสีฟ้านั่นแหละค่ะของดิฉัน)


5555 เพลงที่ว่าร้องมันส์ อันที่เป็นเนื้อร้องภาษาไทยพี่แต่งเองนะครับ เอาไว้ใช้ที่ศิลปากร พอดีท่านบัณฑิตเห้นว่ามันส์ดีเลยให้เอามาใช้ที่เทพมณเฑียรด้วย
#63
อันนี้เป้นข้อกำหนดที่มีมาในคัมภีร์พระเวท และปุราณะครับ เป็นโศลกแต่ผมจำไม่ได้แล้ว ไม่ใด้หมายความว่า ห้ามมีเทวรูปเทพองค์เดียวกัน 3 องค์ทุกพระองค์ แต่เท่าที่จำได้มีดังนี้ครับ

1.พระคเณศ ห้ามมี 3 องค์ในที่เดียวกัน
2.สังข์ห้าม 2 ขอน
3.ศาลิครามศิลาห้ามมี 3(อันนี้ไม่แน่ใจ)
4.พระศิวลึงค์ 2 องค์
5.พระแม่ที่มีพระนามเดียวกันสาม(อันนี้ไม่แน่ใจ)
ฯลฯ

ข้อห้ามเหล่านี้ เป็นข้อห้ามสำหรับคฤหัสถ์ แต่นักบวชหรือสันยาสี จะมีไว้เท่าใดก็ได้
ท่านกล่าวว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้จะเกิดรังควาน หรือหาความสงบสุขในที่นั้นไม่ได้ครับ แต่จะมีมากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนที่ว่าไว้ได้ทั้งนั้น

แต่โดยปกติ ชาวฮินดู จะมีเทวรูป เขาก็มีอย่างละองค์ ไม่ค่อยได้เก็บสะสมแบบคนไทยครับ
#64
ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่มาร่วมงาน รวมทั้งน้องคิวด้วยนะครับ วันส่งเสด็จพวกเราปลาบปลื้ม ซาบซึ้งใจมาก
ผมและท่านบัณฑิต มาคุยกันทีหลังว่า หลังจากกราบพระบาทก่อนส่งเสด็จแล้วพวกเราแอบมีน้ำตาซึม ยังไงปีหน้าเจอกันใหม่นะครับ
#65
หลังจากพิธีบูชาไฟ(โหมกรรม) แล้ว ได้ทำการเคลื่อนย้ายองค์เทวรูปออกจากปะรำพิธี
โดยก่อนออกแห่ บัณฑิต ได้ถวายอารตี ทุบมะพร้าว และถวายผงสี (มีการสาดสีกันอย่างสนุกสนาน) และมีดนตรีปี่กลอง จากนักศึกษาสาขาสังคีตทำให้งานสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้น




แม้แต่ท่านอาจารย์บัณฑิตยังอยากแบกองค์เทวรูป










ท่านอาจารย์บัณฑิตได้ทำการบูชา อารตีและทุบมะพร้าวอภิเษก ก่อนวิสรชันหรือส่งเสด็จ



ส่งเสด็จสู่สระแก้ว ภายในมหาวิทยาลัย ปีหน้าขอให้มาเร็วไว เราจะได้พบพระองค์อีก!



สภาพหลังงานเสร็จสิ้น นอกจากสีแดงเถือกเต็มตัวแล้ว ยังเพียบไปด้วยรอยยิ้มและหยาดน้ำตาของความสุขครับ
#66
วันที่ 16 ก.ย. ซึ่งเป็นวันส่งเสด็จ

ในช่วงบ่าย มีพิธีบูชาเทวดาทั้งหลาย(เวทิกเทวดา)ซึ่งประดิษฐานในสรัวโตภัทรปีฐ จากนั้นทำการบูชาพระคเณศด้วยอุปจาระ 16 ขั้นตอน ตามด้วยพิธีบูชาไฟ(โหมกรรม)108พระนาม ด้วยทูรวา(หญ้าแพรก) และทำการตั้งขบวนแห่ไปส่งเสด็จครับ













#67
จากนั้น พวกเราได้มอบของที่ระลึกและถ่ายรูปรวมกับศิลปินที่น่ารักมากๆ และให้ความเป็นกันเองกับพวกเรา ภายใต้ ความศรัทธาแห่งพระคเณศพระองค์เดียวกัน



#68
เย็นของวันที่ 15 ก.ย. 53
เวลา 17.00 น. พิธีสวด คณปตยาถรวศีรษะ 11 รอบ จากนั้น เป็นการแสดงดนตรีคลาสสิคของอินเดีย  และนาฏศิลป์ ภารตนาฏยัมครับ




วงดนตรีคลาสสิค บรรเลงซีตาร์
โดย ท่านอาจารย์ สุพราตา เท(Subrata De) ศิลปินที่มีชื่อเสียง จากศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย
ซึ่งได้บรรเลงเพลงถวายขับกล่อม แด่องค์พระคเณศ พระปรัชญาคณปติของพวกเรา และทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสวยงามไพเราะ




จากนั้น เป็นการแสดงนาฏศิลป์ "ภารตนาฏยัม" ซึ่งเป็นการแสดงที่สำคัญในอินเดียทางภาคใต้ ในสมัยโบราณใช้แสดงถวายแด่ เทพเจ้าในเทวสถานต่างๆ
ในวันนี้ แสดงโดยท่านอาจารย์ สุศานทัม(Sushandam) จากศูนย์วัฒนธรรมอินเดียเช่นเดียวกัน
การแสดงแรก คือ "อลาริปปุ" เป็นการรำเบิกโรง แสดงการแสดงความเคารพองค์พระคเณศ และเทพเจ้า เพื่อเป็นสวัสดิมงคล
การแสดงที่สอง เรียกว่า "วารณัม" แสดงเรื่องราวของวีรบุรุษ หรือเทพเจ้าในเทวตำนาน ซึ่งในวันนี้ แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับองค์พระกฤษณะ ซึ่งเป็นการแสดงที่งดงามมาก


#69
Quote from: กาลปุตรา on September 20, 2010, 16:31:11
วันนั้นไปร่วมงานที่วัดเทพมณเฑียร เจอคิวแต่ไม่ได้ทักทายเห็นกำลังยุ่งกับการถ่ายรูปอยู่ ขอโทษด้วยนะครับ

เล้ววันนั้นอยู่ถึง 4 - 5 โมงเย็นก็ต้องกลับก่อน เพราะต้องรีบไปซื้อข้าวของเตรียมจัดทำซุ้มวันงานของวัดแขกสีลม เลยไม่ได้อยู่จนเลิกงาน

ได้เจอกับทีมงานสยามคเณศ และคุณตุล (หริทาส) ตัวเป็นๆ เท่านั้นเองวันนั้น

ได้เจออาจารย์แหนม(กาลปุตรา)แป๊บเดียว ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย
ขอบคุณมากสำหรับ ผ้ายันตร์นะครับ
#70
ขอบคุณน้องคิวและทุกท่านที่มาร่วมงานนะครับ

เดี๋ยวรูปงานวันที่ 15-16พี่จะค่อยๆนำมาให้ชมนะครับ
#71
Quote from: อักษรชนนี on September 19, 2010, 18:31:49
Quote from: หริทาส on September 19, 2010, 17:57:06
น้องคิวอัพรูปเร็วทันใจจริงๆ แล้วจะรอชมภาพงานของวันนี้นะครับ

อัพภาพงานครบหมดทั้งสองวันแล้วนะครับพี่ (เมื่อวานกับวันนี้)

ดูพี่ตุลน่าจะเป็นหนึ่งในทีมงานที่เหนื่อยมากๆ เพราะไหนจะเป็นทั้งพิธีกรในพิธีบูชา ไหนจะเป็นคนตีกลองในขบวนแห่ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคร๊าบบพี่ ^_^

(รวมทั้งเป็นกำลังใจให้ผู้จัดงานทุกๆท่านนะครับ ขอบคุณที่จัดงานดีๆแบบนี้ให้พวกเราที่ศรัทธาในองค์พระเป็นเจ้าได้ร่วมบุญกันนะครับ)



พี่คงไม่เหนื่อยเท่า เพื่อนๆน้องๆที่ทำงานเบื้องหลังครับ
ยังไงก็ขอบคุณคิวด้วยนะครับที่ให้เกียรติมางานทั้งของที่ภาควิชาปรัชญาและของเทพมณเฑียร
ทำให้งานของเราได้เผยแพร่ออกไปในโลกไซเบอร์

ปีหน้าเจอกันใหม่ในงานคเณศจตุรถีนะครับ
#72
น้องคิวอัพรูปเร็วทันใจจริงๆ แล้วจะรอชมภาพงานของวันนี้นะครับ
#73
ขอบคุณน้องคิว และคุณสิรวีย์ ที่มางานนนะครับ
ยินดีอย่างยิ่งที่มีความสุขกับงานของเราครับ แล้วเจอกันวันวิสรชัน ครับ
#74
กำลังรอดูรูปที่คิวถ่ายด้วยความใจจดใจจ่อ 55
#75
Quote from: อักษรชนนี on September 13, 2010, 22:20:46
Quote from: หริทาส on September 13, 2010, 22:18:47
ขอบคุณน้องคิวครับที่มางาน

แหมเสียดายไม่ค่อยได้คุยกันเลย   วันแห่ ถ้ามีโอกาสและเวลาแวะมานะครับ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็วางแผนว่าจะไปร่วมงานแห่อย่างแน่นอนครับพี่

ว่าแต่วันนั้น ยังสามารถเชิญเทวรูปไปร่วมพิธีได้อยู่หรือเปล่าครับ


ได้ครับ ในวันสุดท้ายสามารถนำเทวรูปมาได้ครับ และเป็นพิธีใหญ่เหมือนวันนี้

หรือหากต้องการบูชาพระ  เป็นหมู่คณะ เป้นการส่วนตัว  ก็ติดต่อมาได้ ตลอด 14-15 ก.ย. ครับ  โดยนำเทวรูปมาเอง
แต่คงเป็นพี่นั่นแหละครับที่ทำ เพราะท่านอาจารย์บัณฑิตจะมาวันสุดท้ายครับ
#76
ขอบคุณน้องคิวครับที่มางาน

แหมเสียดายไม่ค่อยได้คุยกันเลย   วันแห่ ถ้ามีโอกาสและเวลาแวะมานะครับ
#77
วันนี้ 12 (ก.ย. 53)
เทวรูปองค์พระคเณศที่ใช้ในพิธีของเราได้ลงสีและเก็บรายละเอียดเสร็จสิ้นแล้ว
ใครอยากชมของจริง เชิญมาที่ศิลปากร ทับแก้ว นครปฐมได้เรยขอรับ

#78
อันนี้ฟังมาจากเพื่อนชาวอินเดียนะครับ

ตามความเชื่อในบางท้องถิ่นของเขา
ในวันคเณศจตุรถี เขาห้ามมองดวงจันทร์ครับ เพราะ เขาอ้างตำนานในปุราณะว่า พระคเณศไม่โปรดพระจันทร์นะครับ ในเรื่องทรงเสวยโมทกะแล้วตกจากมูษกราชท้องแตกพระจันทร์มาเห็น แล้วเยาะขำพระองค์ท่าน(คิดว่า น่าจะเป็นตำนานท้องถิ่นมากกว่าครับ  ) พระคเณศจึงไม่โปรดให้ใครมองพระจันทร์ในวันจตุรถี ใครมองแล้วจะกลายเป็นจัณฑาล เขาว่าอย่างนี้ มองแล้วหาความสุขความเจริญไม่ได้
แต่บางคนก็บอกว่า ที่จริงเขาห้ามมองพระจันทร์ ในวันวิสรชัน หรือวันส่งเสด็จ ซึ่งในอินเดีย คือวันจตุรทศี (14 ค่ำ) ที่อินเดียในปีนี้ ตรงกับวันที่ 22 ครับ

วิธีแก้ถ้าเผลอไปมองดวงจันทร์ คือ ให้คนมาด่ามาแช่ง ให้ชิบหายวายวอดให้ตายโหงตายห่า ทันทีในวันนั้นหลังจากเผลอไปมอง อาจรอดคำสาปได้ครับ
#79
เชิญชมภาพต่อเรยครับ





ขออนุญาต นำกำหนดการมาลงไว้อีกรอบนะครับ กันลืม

พิธีคเณศจตุรถี
ณ มณฑลพิธีหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทับแก้ว นครปฐม
13-16 ก.ย. 2553


วันที่ 13 ก.ย. 53 (วันสถาปนาเทวรูป)(พิธีใหญ่1)
13.00 น.เป็นต้นไป  พิธีสถาปนาเทวรูปในพิธี บูชาเทวดาในปีฐ อันได้แก่ พระคเณศและพระแม่เคารี พระแม่โษฑศมาตฤกา พระแม่สัปตมาตฤกา กลัศสถาปนา ทีปสถาปนา เทวดานพเคราะห์ จากนั้นบูชาพระคเณศ ด้วยอุปจาระ 16 ขั้นตอน อภิเษก จากนั้น บูชา 108พระนาม อารตี เสร็จพิธีรับเทวประสาทและของมงคลจากปูชารี

14 ก.ย. 53
10.00น. บูชาเทวดาในปีฐ บูชาพระคเณศด้วยอุปจาระ 5 ขั้นตอน
17.00น. สวดคเณศอาถรวศีรษะ 11 รอบ และอารตีประจำวัน

15 ก.ย. 53 (สมโภช)
10.00น. บูชาเทวดาในปีฐ บูชาพระคเณศด้วยอุปจาระ 5 ขั้นตอน
17.00น. สวดคเณศอาถรวศีรษะ 11 รอบ และอารตีประจำวัน
17.30 น. การออกร้านและกิจกรรมของนักศึกษา(ถึง 22.00 น.)
19.00 น. การแสดงดนตรีและนาฏศิลป์อินเดีย โดยอาจารย์ Subrata De (ซีตาร์) และอาจารย์ Sushandam (ภารตนาฏยัม) จากศูนย์วัฒนธรรมอินเดีย (ICCR)
21.30.น. มงคลอารตี

16.ก. ย. 53  (วันวิสรชัน หรือส่งเสด็จ)(พิธีใหญ่ 2)
14.30 น. บูชาพระคเณศ ด้วยอุปจาระ 16 ขั้นตอน อภิเษก จากนั้นยัชญะ บูชาไฟ(โหมกรรมหรือหาวน) 108 พระนาม มงคลอารตี
เสร็จพิธีรับเทวประสาทและของมงคลจากปูชารี
16.30 น. ตั้งขบวนแห่เทวรูปไปส่งเสด็จ  ยังสระแก้ว มีการเล่นสาดสี(ด้วยผงอบีระ)เพื่อเป็นมงคล
17.00น. ส่งเสด็จ รับเทวประสาท และรับพร เป้นอันเสร็จพิธี

ปุโรหิตในวันแรกและวันสุดท้าย  อาจารย์ บัณฑิตพรหมานันทะ ทวิเวที พราหมณ์อินเดีย

ในพิธีมีการแจก น้ำมนต์จากคงคา(จากเมืองพาราณสีที่ท่าทศวเมธ และจากเมืองหริทวาร) แม่น้ำโคธาวารีที่ท่ารามกุณฑ์เมืองนาสิก น้ำจากปัญจมหานที(ยมุนา ฯลฯ) น้ำจากแม่น้ำสรยู ที่เมืองอโยธยา
ผงศักดิ์สิทธิ์ (สินทูร กุงกุม )จาก เทวสถาน อัษฏวินายกทั้ง 8 แห่งขององค์พระคเณศ และจากพระสิทธิวินายก เมืองมุมไบ และเมล็ดรุทรากษะมงคล ฯลฯ ฟรี


ติดต่อ 081-2722406 อ.คมกฤช  081-8590901 อ.พิพัฒน์
#80
อัพเดท ข่าวคราว งานคเณศจตุรถีของภาควิชาปรัชญานะครับ

เมื่อวันที่ 7  ก.ย. ที่ผ่านมา ศิลปินของเรา  อาจารย์ ชัชวาลย์ วรรณโพธิ์ หยุดปั้นหนึ่งวัน เพื่อไปรับรางวัล เหรียญทองแดง ศิลปกรรมแห่งชาติ

เมื่อวาน( 9. ก.ย.) อาจารย์ได้มาปั้นรายละเอียดขององค์ท่าน แล้วครับ วันนี้จะได้ทำการลงสีต่อไป




องค์พระที่ปั้นเสร็จแล้ว




คนเสื้อน้ำตาลนี่แหละครับศิลปินใหญ่ของเรา