Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Oam

#81
การจัดวางแบบตรีเทวปกรณ์ ก็อย่างที่คุณกาลิทัส ได้แนะนำไปแล้ว
ซึ่งไม่ว่าแขก หรือจีน ก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงแต่คนจีน ถือว่า..
"เฮง" มาก่อน "เก่ง" แล้วเงินทองก็จะตามมา

ดังนั้น หากวางตามคตินี้ จะวางพระคเณศ ไว้ตรงกลาง
เพราะถือว่า ทรงประทานการชนะอุปสรรค ให้ประสบความสำเร็จ
ถือว่าเป็นความ "เฮง"
ข้างๆ ก็จะเป็น พระแม่สุรัสวดี (เก่ง) และพระแม่ลักษมี (ทรัพย์) ครับ
#82
บางความเชื่อ กล่าวว่า อรรถนารีศวร เป็นปางอันเป็นอุดมมงคลสูงสุด
อันแสดงถึง การผสมผสานกันระหว่างขั้วพลัง 2 ขั้ว
เช่นเดียวกับหยินและหยาง ก่อให้เกิดความสมดุลย์ และความสมบูรณ์
แสดงว่า มหาเทพและมหาศักติ ต้องอยู่คู่กัน แยกจากกันมิได้

เมื่อจะสร้างโลก ก็ต้องร่วมกันสร้าง เมื่อจะทำลาย ก็ต้องร่วมกันทำลาย

ความจริง รูปเคารพใดๆ ก็เกิดจากจิตนาการของมนุษย์ทั้งนั้น
จะวาดหรือสร้างครึ่งใครกับใคร ก็แล้วแต่จะคิดสร้างหรือวาด..
สิ่งสำคัญ คือ ต้องรู้ว่า ความหมาย คืออะไร ต้องการสื่ออะไร...

มนุษย์สร้างพิธีกรรมต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงวิถีการบูชาพระเป็นเจ้า
ตามลักษณะการดำรงชีวิต ของผู้คนในภูมิภาคนั้นๆ...ไม่มีใครผิดหรือถูก

พระเจ้าใหญ่น้อยทั้งปวง คือ "พลังงาน" ตามธรรมชาติ
พลังงานทั้งปวง ทำหน้าที่ของมันเอง...
บริหารจัดการตามระบบของธรรมชาติอันซับซ้อน ของจักรวาล
เช่นเดียวกับที่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ พลังงงานใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมดวงดาวไม่โคจรชนกัน ทำไมจักรวาลขยายตัว ทำไมเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ
ทำไมดวงดาว จึงมีผลต่อวิถีชีวิต และชะตาของมนุษย์ ทั้งหมด มีความเกี่ยวโยงกันอย่างไร
เป็นต้น

ในเมื่อพระเป็นเจ้าคือ "พลังงาน" ก็ปรากฏ "รูป" ใดก็ได้...
พลัีงงาน ก็ผสาน หรือ รวมตัว กันได้..แล้วก่อให้เกิดผลอย่างหนึ่ง หรือ หลายอย่าง

หากมนุษย์รู้จัก "น้อม" เอาพลังงานเหล่านั้น ไปใช้ในวิถีทางที่ถูกต้องดีงาม
ก็ย่อมเป็นประโยชน์ ต่อบุคคลนั้นๆ ... สำคัญที่ "ใจ" และ "เจตนา"
#84
เข้าใจว่า เจ้าของกระทู้ นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ ในตรีมูรติ
จึงตั้งพระวิษณุไว้ตรงกลาง

แต่ถ้านับถือพระพรหม หรือพระศิวะ เป็นใหญ่
ก็ขอให้สลับ เอาพระพรหม หรือพระศิวะ พร้อมศักติ มาไว้ตรงกลาง
จะดีกว่า
แล้วเชิญพระพุทธรูป มาไว้ตรงกลาง บนสุด
แล้วเสริมฐานพระพุทธ ให้สูงกว่าพระโพธิสัตว์กวนอิม
อย่างนี้จะเหมาะสมที่สุด ครับ

แต่ถ้ายังไงก็จะเอาพระวิษณุไว้ตรงกลาง
น่าจะใช้วิธีเสริมฐานของพระพุทธรูป ด้วยม้าหมู่ซักตัว
ให้สูงกว่านี้ ก็น่าจะใช้ได้นะครับ

คือ ให้ชัดเจนว่า ตั้งใจยกพระพุทธรูป ให้สูงกว่าเทพ
ให้เศียรพระ อยู่สูงกว่านาคของพระวิษณุไปซักนิด
ก็ใช้ได้แล้วล่ะครับ
#85
หิ้ง (ตู้) พระน่ารักจังครับ...
ผมอยากได้อย่างนี้เหมือนกัน ไม่ทราบซื้อที่ไหนเหรอครับ..
พระหยัดเนื้อที่ดี..จัดวางได้เหลายลักษณะครับ...
ชั้นล่างเป็นที่ลิ้นชักเก็บของด้วย..ประหยัด+คุ้ม

บอกหน่อยน้าาา..ซื้อที่ไหนมาอ่ะ..

อืม..พระพิฆเนศสวยดีครับ...

ไอเดียลอยดอกบัว.ถ้วยละดอก..ประหยัดดีครับ สวยด้วย
#86
สำหรับผู้สนใจบทสวด พร้อมคำแปล
ลองหาหนังสือของอาจารย์ กิตติ วัฒนะมหาตม์ 2 เล่ม
คือ [HIGHLIGHT=#ffff00]"คู่มือบูชาเทพ"[/HIGHLIGHT] และ [HIGHLIGHT=#ffff00]"บทสวดมนต์บูชาเทพ"[/HIGHLIGHT] มาอ่านดูนะครับ

แต่ที่ผมอยากได้มากกว่า คือ เสียอ่าน หรือ เสียงสวด
ของบทสวดที่อยู่ในหนังสือน่ะครับ...


ที่สำคัญคือ การบูชาด้วยใจ มิเช่นนั้น คนหูหนวก ตาบอด หรือเป็นใบ้
หรือด้อยโอกาสทางการศึกษา อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
จะไม่สามารถสักการะบูชา พระเป็นเจ้าได้เลย...
ซึ่งท่านก็คงเมตตากับคนทุกประเภท มิใช่เฉพาะคนปกติ ที่ไม่พิการ หรือผู้มีการศึกษา เท่านั้น

หากสวดแล้วสบายใจ ก็สวด.. มีสติในการสวด
แต่หากไม่ถนัดสวด.. ก็อาจใช้บทสั้นๆ แล้วนมัสการด้วยจิตศรัทธา และตั้งใจจริง
กระแสจิต ที่เกิดจากความเคารพ และบริสุทธิใจ ย่อมเป็นกระแส ที่พระองค์ทรงปารถนา

หากสวดด้วยความเคยชิน ติดปาก นอกจากไม่มีสติแล้ว (เรียกว่า สวดด้วย "กระดูกสันหลัง")
มันก็เป็นลม กับคลื่นเสียง ที่ผ่้านอวัยวะกล่อมเกลาเสียง ออกไปเท่านั้นเองครับ...
#87
อืม นำมันตะเกียงเหรอครับ
ถ้าจุดตะเกียง ก็ น้ำมันตะเกียงใสๆ น่ะครับ ขายเป็นแกลอน

ผมไม่ค่อยจุดตะเกียงนานๆ.. แต่เวลาอาราตี ใช้สำลี ชุบน้ำมันมะพร้าว..
ปล่อยให้ไหม้ซักพัก ตัดปลายออกหน่อย ไม่ให้เหลือปลายแหลมมากไป
ก็จะทำให้ไม่มีควัน..

บางคน ก็ปล่อยให้สำลีัไหม้จนหมด แต่ผมเป็คนขี้เกียจ ไม่อยากปั้นใหม่
ก็เลยดับ เมื่ออาราตีเสร็จ.. ประหยัดน้ำมันกว่าด้วย...
ครั้งต่อไป ก็เติมน้ำมันก่อนจุดซักนิด.. แล้วจุดใหม่...เท่านี้แหละ..ประหยัด คุ้ม

ตะเกียง เทียน หรือประทีป.. จุดประสงค์ คือ ถวายแสงสว่าง
ไม่ว่าัลัทธิ นิกายใด ย่อมถือว่า แสงสว่าง นำมาซึ่งความสว่างของชีวิต

สมัยนี้ หากจุดตะเกียงไว้นานๆ อาจไม่ปลอดภัย เพราะเป็นฟืนไฟ...
ผมว่า อาจใช้หลอดไฟเล็กๆ หรือโคมไฟดอกบัวเล็กๆ มีสวิช เปิด-ปิด
ตั้งไว้หน้า ที่บูชาพระ หรือ เทพ แล้วเปิดบูชาได้ตลอดเวลา และปิดได้เมื่อต้องการ
และควรเลือกแบบกินไฟน้อยนะครับ...
น่าจะปลอดภัยกว่า จุดด้วยน้ำมัน และไฟ..

แต่บางคนอาจบอกว่า ควรถวาย "ธาตุ" นั่นก็คือ ถวายคุณสมบัติของธาุตุ คือ ความร้อน
ก็ใช้อาราตี เป็นเวลา....ก็แล้วกันนะครับ
วิธีอาราตี แต่ละสำนักก็ต่างกันออกไป แต่ก็ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน

ในที่ใด ที่มีเสียงระฆัง กรุ้งกริ้ง เทวดาผ่านไปมา ก็รู้ว่า เอ่อ อาจเป็นที่บูชานะ
ในที่ใด ที่มีกลิ่นอันประณีต เทวดา ก็จะชอบมากกว่า
ในที่ใด ที่มีแสงสว่าง ท่ามกลางที่มืด เทวดา ก็อาจเห็นว่า เป็นที่สักการะ

ดังนั้น การสั่นกระดิ่้ง ก็ตาม การถวายประทีป ก็ตาม การถวายเครื่องหอม ก็ตาม
ล้วนเป็นเครื่องประกอบสมมุติ หากจิตไม่ตั้งมั่น ก็ไม่มีผลอะไร
สั่นกระดิ่งให้ดังจากท้ายซอย ดังไปถึงปากซอย ก็ไม่มีผลอะไร จะถูกข้างบ้านด่าด้วยซ้ำ
จะจุดกำยาน ให้ควันกรุ่นยังไง ก็เท่านั้น จะเป็นมะเร็งปอดซะเปล่า
จะไฟให้ลุกโพลง โชติช่วง แต่ไม่มีจิตตั้งมั่น.. มันก็เท่านั้น

ทำอะไร ก็พอดี พอควร...รู้ว่า ทำอะไรเพื่ออะไร นะครับ..

ส่วนเรื่องอานิสงส์ ของการถวายประทีป นั้น...
พระอนุรุทธะ ท่านได้ทิพยจักขุก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า
จะได้เพราะสักแต่ถวายประธีปอย่างเดียว และไม่ได้ถวายชาติเดียวก็จะได้...
ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยอ่านประวัติท่านนะ... ท่านถวายมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว
เป็นอธิษฐานจิต... และติดเป็นนิสัย ที่กระทำหลายชาติ สืบเนื่องกันมา
นับแต่ชาติที่ตั้งจิตอธิษฐาน ต่อหน้าพระพักตร ของพระพุทธเจ้า พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง
แล้วจะต้องได้รับการอนุโทมนา และประทานพุทธทำนาย ด้วย

ทิพยจักขุ อาจเกิดจากกสิน ก็ได้..
หากเกิดจากกสิน ก็เป็นได้ว่า การฝึกกสิน มีมาก่อนพุทธกาล
พระอนุรุืทธะ อาจฝึกเคนฝึกกสิน และพอใจในการถวายประทีปมาแล้ว หลายชาติ ติดต่อกัน
เหมือนนักกีฬา ฝึกซ้อมมาก ไม่ขาดการฝึกฝน ก็เชี่ยวชาญมาก

ด้วยความเป็นผู้มีใจเป็นกุศลในการถวายประทีป
ภาพประทีป และเปลวไฟที่จุดถวาย อาจเกิดติดตา ตรึงใจ
หลับตาเห็น ลืมตาเห็น เหมือนผู้ฝึกกสินก็เป็นได้ จนเกิดเป็นปฏิภาคนิมิต
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นบาทของกสิน ที่ทำให้เกิดทิพยจักขุ...

ชาติสุดท้าย จึงส่งผล ให้เกิดทิพยจักขุได้ง่าย และแจ่มชัด
ด้วยอานิสงส์ ของการที่เคยฝึกฝนมาก่อน จึงมีความถนัดด้านนี้มากเป็นพิเศษ
และแจ่มใส กว่าพระอรหันต์รูปอื่น ด้วยอานิสงส์ของใจ ที่มีต่อการถวายเป็นพุทธบูชา
มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน รวมถึงการอธิษฐาน ให้เป็นเอก ด้านผู้เลิศทางทิพยจักขุ

ดังนั้น ไม่ควรปักใจเชื่อทั้งหมด ว่า 
เพียงแค่ การถวายประทีป ทำให้ตาสวย หรือมีทิพยจักขุ แจ่มใส
แต่ต้องดูบริบท อื่นๆ ประกอบด้วย นะครับ


หมายเหตุ...
กสิน เป็นบาทของสมาบัติ สมาบัติ เป็นบาทของอภิญญาทั้งปวง

แต่ทิพยจักขุ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากกสินเสมอไป
แต่อภิญญา 6 มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องมีกสินเป็นบาท

ดูกร มหานามะ อริยสาวกนั้นอาศัยจตุตถฌาน มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ย่อมระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อนได้เป็นอันมาก...
...เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรนดี-ทราม
ด้วย[HIGHLIGHT=#ffff00]ทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์[/HIGHLIGHT] ล่วงวิสัยจักษุของมนุษย์

(เสขปฏิปทาสูตร)


แสดงว่า ทิพยจักขุ ที่แจ่มชัด จักเกิดแก่ผู้ที่ได้จตุถฌาณ
อันประกอบด้วยอุเปกขา เป็นเครื่องยังสติให้บริสุทธิ์
ไม่ได้บอกว่าต้องมาจากกสินเสมอไป
อานาปานสติ ก็ก่อให้เกิดจตุถฌาณได้เช่นกัน

อันนี้ ขอให้ทำความเข้าใจคำว่า "ญาณ" เสียก่อน ว่าแปลว่า "เครื่องรู้"
...ดังนั้น ทิพยจักขุญาณ จึงแปลว่า "เครื่องรู้อันเป็นทิพย์ ดั่งตาเห็น" 
เพราะฉะนั้น การรู้การจุติ หรือ อุบัติ ของสัตว์ ไม่จำเป็นต้อง "เห็นเป็นภาพ" เสมอไป
ที่กล่าวกันว่า "ตาทิพย์" นั้น มักเข้าใจโดยส่วนเดียวว่า "เห็นเป็นภาพ"
ดังนั้น หากจะให้เห็นเป็นภาพนิมิต ก็ต้องมีกสินเป็นบาท
แต่ถ้าเห็นด้วย "อำนาจของใจ" ก็เป็นการ "รู้" สภาวะนั้นๆ
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นภาพปรากฏเสมอไป แต่เป็นการ "ปรากฏแจ้งแก่ใจ"


นี้ยังไม่ได้กล่าวถึงอภิญญา 6 เลยแม้แต่น้อย



ในวิสุทธิมรรค กล่าวว่า...
อัชฌาสัยของท่านที่ชอบมีฤทธิ์มีเดชทำอะไรต่ออะไรเกินกว่าสามัญชนจะทำได้
เรียกว่าอัชฌาสัยของท่านผู้มีฤทธิ์ หรือท่านผู้ทรงอภิญญา ๖

อภิญญา ๖ นี้ เป็นคุณธรรมพิเศษสำหรับนักปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
ต้องฝึกฝนให้สามารถทรงคุณสมบัติห้าประการดังต่อไปนี้

     ๑.อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆได้

     ๒.ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกล หรือเสียงอมนุษย์ได้ยิน

     ๓.จตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์

     ๔.เจโตปริยญาณ รู้ความรู้สึกในความในใจของคนและสัตว์

     ๕.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่าง ๆที่ล่วงมาแล้วได้


ทั้งห้าอย่างนี้ข้างต้น จะต้องฝึกให้ได้ในสมัยที่ทรงฌานโลกีย์จึงฝึกอบรมวิปัสสนาญาณต่อไป
เพื่อให้ได้อภิญญาข้อที่ ๖

     ๖. อาสวักขยญาณ ได้แก่การทำลายอาสวะให้หมดสิ้นไป

ก็จะเข้าสู่ความเป็นโลกุตรฌาน นั่นคือเข้าสู่ความเป็นพระอริยะ

ญาณข้อ ๑. ท่านสอนให้ฝึกการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ การแสดงฤทธิ์ทางพระพุทธศาสนานี้
ท่านสอนให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้

   ท่านให้[HIGHLIGHT=#ffff00]เจริญคือฝึกกสิณให้ชำนาญ[/HIGHLIGHT]...


อ้างอิืงข้อความจากพระไตรปิฏก
เอตทัคคบาลี

เล่ม ๒๐
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระอัญญาโกณฑัญญะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้รู้ราตรีนาน ฯ

พระสารีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก ฯ
พระมหาโมคคัลลานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์ ฯ
พระมหากัสสป เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้ทรงธุดงค์ และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์ ฯ
[HIGHLIGHT=#ffffff]พระอนุรุทธะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีทิพยจักษุ ฯ[/HIGHLIGHT]

พระภัททิยกาฬิโคธาบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เกิดในตระกูลสูง ฯ
พระลกุณฏกภัททิยะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีเสียงไพเราะ ฯ
พระปิณโฑลภารทวาชะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้บันลือสีหนาท ฯ
พระปุณณมันตานีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เป็นธรรมกถึกฯ
พระมหากัจจานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา
ผู้จำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร ฯ

จบวรรคที่ ๑

อีกประการหนึ่ง ในประวัติของพระอนุรุทธะ  กล่าวว่า...

พระอนุรุทธเถระได้บรรลุพระอรหัตพร้อมวิชา ๓ คือ

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ทิพพจักขุญาณ และ
อาสวักขยญาณ

[HIGHLIGHT=#ff0000](อภิญญา ๖ ที่กล่าวมา ไม่รวม "ทิพยจักขุ" นะครับ)[/HIGHLIGHT]

ตามปกตินอกจากเวลาฉันภัตตาหารเท่านั้น
นอกนั้นท่านจะพิจารณาตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพพจักขุญาณ
(เปรียบกับคนธรรมดาก็เหมือนกับผู้มีใจเอื้ออาทรคอยเอาใจใส่ดูแล ทุกข์สุขของผู้อื่นตลอดเวลา)
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงยกย่องท่านว่า
เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ได้ทิพพจักขุญาณ

พระอนุรุทธเถระนี้ได้[HIGHLIGHT=#ffff00]สร้างสมบุญกุศล[/HIGHLIGHT]ที่จะอำนวยผลให้เกิดทิพยจักษุญาณในพุทธกาล
[HIGHLIGHT=#ffff00]เป็นอันมาก[/HIGHLIGHT]คือได้ทำการบูชาด้วยประทีปอันโอฬารที่พระสถูปเจดีย์
ด้วยผลบุญอันนี้จึงทำให้ได้ บรรลุทิพยจักษุญาณ [HIGHLIGHT=#ffff00]สมกับปณิธานที่ตั้งไว้
[/HIGHLIGHT]
แต่อย่างไรก็ดี การได้ผลบุญ มีผลจากการตั้งจิตอธิษฐาน เป็นสำคัญ
เช่น พระอินทร์ ถวายอาหารทิพย์ แก่พระพุทธเจ้า เมื่อทรงแรกออกจากนิโรธสมาบัติ
โดยทูลขอพร ให้เป็นเทพผู้มีรัสมีสุกสว่างกว่าเทพทั้งปวง...ก็สำเร็จดังประสงค์
ด้วยอนุโมทนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าวที่ถวาย ไม่เห็นเกี่ยวกับรัสมี แสงสว่าง ตรงไหนเลย...

หากเป็นผู้อื่น อาจถวายประทีป แล้วอธิษฐานเป็นอื่น ที่ไม่ใช่้ทิพยจักขุอันแจ่มใส
ก็อาจสำเร็จดังประสงค์ได้
จึงสันนิษฐานได้ว่า พระอนุรุทธะ ท่านอธิษฐานของท่านไว้ เช่นนั้น...
และสะสมความชำนาญไว้เช่นนั้น นะครับ...

(สำหรับผู้สนใจประวัติของภิกษุและภิกษุณี ผู้เป็นเอก คือ เอตทัคคะ
หรือผู้ชำนาญ-เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านต่างๆ ก็มีหนังสือให้ค้นคว้าหาความรู้กันนะครับ
ลองหาอ่านดู ก็แล้วกัน)

เพราะอย่างพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ก็ต้องถือว่า ทิพยจักขุแจ่มใส
เพียงแต่ไม่ได้ใช้สงเคราะห์สรรพสัตว์ทั่วไป เกือบตลอดเวลา เท่ากับพระอนุรุทธะ เท่านั้น
ก็ด้วยเหตุที่ท่านไม่ได้ตั้งปารถนาจะให้เป็นเลิศด้านทิพยจักขุ โดยเฉพาะ นั่นเอง...

ผมก็สันนิษฐานเอานะครับ เพียงแต่ต้องการบอกว่า
เหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง เกือกูล ให้เกิดผลอย่างหนึ่ง เท่้านั้น
ไม่ต้องการให้ใครเชื่อ หรืองมงาย ว่า
การประกอบกุศลอย่างหนึ่ง แล้วจะต้องได้ผลจำเพาะ แบบนั้นๆ เสมอไป

เช่น ถวายหนังสือ หรือสื่อโสตทัศนูปกรณ์แด่สงฆ์ ก็ไม่จำเป็นว่า ต้องเกิดมา ปัญญาดี
เพราะ "ปัญญา" จริงๆ แล้ว เกิดจากความฉลาดของจิต ภายใน อันเกิดจากการฝึกสติ
จนเห็นความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ถือว่าเป็น "ปัญญา" ในพระพุทธศาสนา...

มิเช่นนั้น คนจะทุ่มเทถวายหนังสือ สื่อการสอน แล้วจะคิดว่า จะมีปัญญามาก
โดยไม่ต้องฝึกสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่การถวายหนังสือ หรือสื่อการสอน อาจส่งผล อำนวยให้มีโอกาสทางการศึกษา
หรือมีโอกาส ได้รับองค์ความรู้ที่สมควรแก่การพัฒนาจิตใจ ได้สะดวก

เมื่อรู้จักเจริญสติ อย่างถูกต้อง ย่อมเกิด "ปัญญา" ตามลำดับ
อันนี้เป็นไปได้ ดังนั้น ต้องพิจารณา เหตุ-ปัจจัย ของอานิสงส์
ในการประกอบกุศลนั้นๆ ด้วย เป็นต้น ครับ
#88
อรรถนารีศวร เป็นศิวะ+ทุรคา เหรอครับ ไม่ใช่ ศิวะ+ปรวตี เหรอครับ??...
ถือเป็นความรู้ใหม่นะเนี่ย...พอจะมีเทวรูปอรรถนารีศวร สำริดงามๆ มาให้ชมบ้างมั้ยครับ?

อืม...เท่าที่ดู ผมยังไม่เคยเห็นเทวรูปครึ่งนารายณ์ ครึ่งลักษมี นะครับ...
อาจมีก็ได้ ลองไปหาแถวร้านแถบพาหุรัดดูนะครับ อาจมีก็ได้..
แต่ถ้าไม่มี ไม่เจอ ก็อย่าเสียใจ อาจบูชาเป็นรูปไปก่อนก็ได้..

หรือไม่ก็ให้คิดอย่างนี้ครับ...
พระเป็นเจ้านี่ ภาวะสูงสุดคือ ปรพรหม ใช่มั้ยครับ คือ พรหมสูงสุด
ไม่ปรากฏแม้รูปร่าง แล้วจะมีเพศได้อย่างไร...

ดังนั้น.. เมื่อมีจิตศรัทธาในพระเป็นเจ้าแล้ว ก็ขอให้คิดว่าท่านเป็น "พลังงาน" ก็แล้วกันครับ
พลังงาน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีเพศ ...

ถ้าดูตามรูปศัพท์ ไวษณวี หรือ วิษณุที่เป็นผู้หญิง ก็คือ ลักษมี นั่นเอง
เรื่องรูปลักษณ์นี่เป็น บุคลาธิษฐาน น่ะครับ... ถึงที่สุด ก็ เพิกเสีย ซึ่งสมมุติ ทั้งปวง...

ดังนั้น ก็ใช้วิธีระลึกถึง คุณของพระเป็นเจ้า ก็ใช้ได้แล้วครับ...จบข่าว
#89
ผมก็มีอาการเหมือนมีคนเอานิ้วมาจิ้มที่กลางหน้าผมกเหมือนกันครับ
แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกครั้ง เป็นเฉพาะบางครั้ง เท่านั้น ที่รู้สึกอย่างชัดเจน

บางที หากอยู่ในพิธีบวงสรวง ก็รู้สึกเหมือนเจ้าจุดนี้ มันลากยาวไปจนถึงท้ายทอยเลย
และบางครั้ง ก็เกิดเหมือนเป็นสนามแม่เหล็ก คล้ายๆ ไฟฟ้าสถิตย์ อยู่บนหัวเรา...
ทำให้นึกถึงเทวดาฝรั่ง ที่เขามีวงกลมสีทอง อยู่บนหัวน่ะครับ

มีคนเคยบอกผมว่า อาจเกิดเพราะเคยฝึกพวก จักระ มากก่อนมั้ง...
จุดตรงหน้าผาก เหมือนเป็นทวาร สำหรับการติดต่อกับมิติของเทพ-พรหม

คือ ผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญ จนเปิดจักระให้ตัวเองได้..
คงเป็นแค่ของที่เคยทำได้ แล้วมันยังค้างอยู่น่ะครับ

คนที่สมาธิดี อาจวัดระยะออร่า หรือสนามแม่เหล็กของตัวเองได้ ว่าตอนนี้
รัสมีออรา หรือคลื่นแม่เหล็กของตัวเรา แผ่ออกไปแค่ไหน..
เพราะคนเรา มีสนามแม่เหล็กแ่ผ่ออกจากตัวทุกคน...

บางคนที่ีพลังจิตกล้าแข็ง
หรืออาจมีความสามารถพิเศษ ในการดึงดูดพลังงานแม่เหล็กรอบๆ ตัว
หรือกระแสจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้...ก็อาจทำให้มี ออกร่า ไกล กว่าคนปกติ ก็เป็นได้ครับ

สำหรับจุดกลางหน้าผากที่หน่วงๆ หรือเหมือนมีอะไร มาจิ้ม นั้น
มีคนแนะนำว่า ให้ลองจิตนาการเป็นรูป จักร แล้วเคลื่อนให้หมุน
อาจบริกรรม พร้อมกำหนดนิมิต ก็ได้ครับ...ก็ลองทำดูแล้วกัน
มันอาจเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งก็ได้

แต่วิธีที่พยายามหน่วงเอาความรู้สึกนั้นไว้ตลอดเวลา ผมก็เคยทำ
แต่มันไม่มีอะไร...นอกจากรู้สึกว่า มันแรงขึ้น จัด-ชัดขึ้น เท่านั้น...

ถ้ามีใครพอจะแนะนำว่าควรทำอย่างไร ก็บอกด้วยแล้วกันนะครับ