Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ลองภูมิ

#41
พระ ลีลา วิศวัมภร ( LEELA VISHVAMBHAARA)
ในระหว่างเดือน ปุษยะ ( PUSHAYA สิงหาคม ) ในช่วงวันเพ็ญ ศุทธะ ( SHUDDHA) ตรงกับวันพุธ ในตอนเช้าตรู่   พระทัตตะเตรยะ ทรงแบ่งภาคมาอีกพระองค์หนึ่ง ขึ้นอยู่กับรัศมีแห่งพระองค์ บรรดาสาวกบริบาลเป็นจำนวนมากพากันมาเข้าเฝ้าหมอบการบอยู่รอบพระองค์ พระทัตตะเตรยะในภาค อวธูต ( AVADHUTA ) ปรารถนาที่จะทรงอยู่เพียงลำพังเพียงพระองค์เดียวและอยู่ห่างไกลจากเหล่าสาวกทั้งหมด ดังนั้นเพื่อทดสอบถึงความเป็นจริงใจต่อการตั้งหมั่นเคารพบูชาของสาวก พระองค์ทรงได้กระโจนลงในทะเลสาบที่อยู่ข้างๆหายองค์จากไป ภายหลังพวกสาวกต่างเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาแห่งเทพเจ้า สาวกบางคนต่างอดทนรอคอยไม่ไหวต้องหนีจากริมฝั่งทะเลสาบนี้กลับคืนสู่ยังชีวิตแห่งโลกตามเดิม แต่ก็มีบางคนที่ตั้งมั่นรอคอยการเสด็จกลับของเทพเจ้าด้วยความอดทนรอยคอยอยู่นานหลายปี เพื่อจะทอสอบพวกที่อยู่ต่อไปอีก พระทัตตะเตรยะ ทรงพยายามทำให้พวกเขาทั้งหลายนี้เกิดความสับสน โดยทรงใช้พระมายาของพระองค์ เนรมิตหญิงงามนางหนึ่งขึ้นมาในรูปร่างเปลือยล่อนจ้อน ขึ้นมาจากทะเลสาบ โดยพระองค์ได้เสด็จขึ้นมาพร้อมด้วยกัน ทรงดำเนินเคียงคู่กับหญิงงามนางนี้ พวกบริวาลสาวกต่างจ้องมองดูอย่างไม่กระพริบตา พระองค์ทรงนำนางมายังต้นไม้ใหญ่ และให้นางนั่งตักของพระองค์ สาวกที่แท้จริงไม่หลงในพระมายานี้  ไม่หลงต่อการกระทำครั้งนี้ ต่างเข้าใจดีถึงพระมายาของเทพเจ้าแห่งจักรวาล

มหามายา พระแม่แห่งจักรวาล ทรงแปลงร่างของหญิงสาวนางนี้ ความสัตย์และพลังอำนาจทั้งสองนี้คือสิ่งเปลือยเปล่า วิญญาณ จะได้รับซึ่งความว่างเปล่าเท่านั้นโดยได้รับผลแห่งตันหา ความหวาดกลัวและความโกรธ ภาคอวตารนี้เองของพระทัตตเตรยะ แสดงถึงความเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่และพลังอำนาจของพระองค์ที่เรียกว่า พระลีลา ในภาคนี้จึงรู้จักกันคือ พระลีลา วิศวัมภร       ( LEELA ) เป็นภาคอวตารที่ 6 แห่งพระองค์
#42
พอดีวันนี้ผมพึ่งได้เข้าร้านหนังสือนายอินทร์ และได้เดินไปดูหนังสือใหม่ที่เกี่ยวกับศาสนา พอดีบังเอิญเหลือบตาไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง หน้าปกเกี่ยวกับศาสนาฮินดู ที่ปกมีแถมยันต์จักรา และ ผู้ที่เขี่ยนหนังสือเล่มนี้ใช้นามแฝงว่า "กาลปุตรา" ผมเลยอยากทราบว่า เป็นท่านเดียวกับที่เป็นสมาชิกเว็บนี้หรือเปล่า ครับหรือบังเอิญใช้ชื่อเดียวกันครับ ถูกผิดประการใดขออภัยด้วยครับ ถ้าละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ขอบคุณครับ
#43
ลองค้นภาพเก่ามาเปิด ขอสักสองภาพ พอดูออกมั่ยครับว่า สองรูปนี้เป็นนักบวชจริงหรือเปล่า หรือสังกัดนิกายใด?






#44
ก็เพราะเหตุนี้ ผมถึงได้สงกะสัยครับ เพราะนักบวชแนวนี้ ฉานม่ายเคยเห็นคับ
#45
Quote from: sompope on February 27, 2010, 10:58:28
ผู้ใดเคยไปที่ต้นแม่น้ำคงคามาแล้วบ้าง คือจะไปซื้อน้ำที่เค้าบอกว่ามีขายที่พาหุรัด นั้นเข้านำมาจากแม่น้ำคงคาจริงหรือเปล่า
สงสัยนะครับ กลัวไม่ใช้ แล้วท่านที่เคยไปมาช่วยเล่าให้ฟังหน่อย ครับ อยากรู้ ว่าคนที่ไปเป็นอย่างไร รู้่สึกอย่างไร
ชื่อว่าใน HM จะต้้องมีท่านที่เคยไปสัมผัสมาแล้ว ด้วยความศรัทธา




จริงเหรอ????ที่เอาน้ำมาจากแม่น้ำคงคา แม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กว่า ไปตักมาใครจะไปรู้จริงมะ 55555  และข้อสำคัญ ไม่จำเป็นต้องนำน้ำมากจากแม่น้ำคงคาหรอก น้ำประปาบ้านเราก็ได้ ของแบบนี้อยู่ที่ความศรัทธาเป็นหลักครับ พี่น้อง .....
#46
ถ้าความจำไม่ผิดนะครับ มีเจิมที่หน้าผาก เพียงจุดเดียว แถมสีขาวอีกต่างหาก ครับผม และเพิ่มเติม ใส่แว่นตา  มือคีบบุหรี่ และถือโทรศัพท์ด้วยครับ
#47
ผมอยากจะนำบทความเก่ามานำเสนอ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์บ้าง ยังไงเจ้าของกระทู้ลองอ่านดูนะครับ




อสูร 9 วัน
ลองภูมิ

[ไม่ได้ลงทะเบียน]
โพสต์เมื่อ: 27/09/2006-22:14 GMT+7   
[/COLOR][/FONT][/SIZE]<!-- BBCode Start -->เมื่อคืนนี้ ผมได้บูชาองค์เทพเหมือนอย่างทุกวันที่เคยกระทำมา แต่ครั้นจะลุกออกจากที่หน้าหิ้ง แว่วเสียงอันนุ่มและอบอุ่นก็แว่วมา
"ลูกแม่ ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยว่า ลูกจะละเนื้อสัตว์ให้แม่กี่วัน "

ผมเลยลุกไม่ขึ้น ได้แต่พนมมือแล้วตอบกลับไปว่า

"ยังเลยขอรับพระองค์ ผมว่าจะ จะ จะ "

เสียงอันอบอุ่นนั้นก็แว่วมาอีกว่า

" จะกี่วันก็ต้องบอกแม่นะลูก "

ผมได้แต่ตอบว่า"ครับ "

และแล้วเสียงนั้นก็สิ้นสุดลง

แต่ตัวผมลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว

จึงได้แต่นั่งมองไปยังรูปปั้นขององค์พระแม่ ผู้ทรงศักดิ์ พระผู้ยิ่งใหญ่ ยากที่มนุษย์ผู้ไหนจะทัดเทียม

ในใจขณะนั้นก็ได้แต่นั่งจ้ององค์พระแม่ และแล้วในใจก็นึกไปว่า

โอ้ มนุษย์หนอ เรานี้หลงโง่ เสียนี้กระไร เราทำไมต้องให้พระองค์ต้องมาเตือนละ ?

และแล้วผมก็นั่งสมาธิลง ปากก็พร่ำบ่นท่องพระนามของพระองค์ จนกระทั้ง จิตได้ดำดิ่งลึกลงไป จนไม่รู้ว่า ตนเองนั้นอยู่ที่ใด

และแล้วในจิตก็มองเห็นภาพสายน้ำที่ไหล ริน พลันมีเสียงในจิตว่า

" มนุษย์ควรทำตนเหมือนอย่างสายน้ำ ให้ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง จงไหลรินผ่านโขดหินน้อยใหญ่ ไหลผ่านที่สูงและที่ต่ำ ตามธรรมชาติที่กำหนด อย่าหยุดที่จะไหล เพราะหยุดไหลแล้ว ใบไม้ที่หลุดจากขั้นแห่งธรรมชาติก็จะหล่นทับถม จนน้ำนั้นเน่าเสีย จะหาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย สายน้ำบางครั้งก็ไหลเอื่อย บางครั้งก็ไหลแรง อาจจะต้องตกจากที่สูงบ้างเป็นครั้ง แต่น้ำก็ต้องเป็นน้ำต้องทำตนให้เป็นประโยชน์ เมื่อไหลผ่านแหล่งชีวิตไหนแล้ว ก็ต้องให้ประโยชน์ และจงไหลต่อไป"

ครั้นแล้วภาพแห่งสายน้ำก็ดับไป เหลือไว้แต่ความมืดมิด แต่ในความมืดมิดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งเป็นประกายเข้ามาในจิตขณะนั้นได้แต่มองดู ว่า อะไร?
และแล้วก็มีเสียงดังขึ้นในจิตอีกว่า การดำเนินชีวิต ก็เหมือนดั่งมนุษย์ที่นั่งสนเข็มอยู่ในห้องมืด เจ้าจะสนอย่างไรและยังต้องเสี่ยงต่อการที่เข็มจะทิ่มแทงมือเจ้าเอง และเจ้าจะทำอย่างไรถึงจะทำสำเร็จ ถ้าเจ้าปราศจากแสงสว่างแล้ว มันยากที่จะดำเนินต่อได้ มีมนุษย์จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้จักแสงสว่างนี้เลย แสงแห่งองค์พระแม่ พระผู้มีเมตตา พระผู้มีความการุญ เจ้ารู้มั้ยว่า 9 วัน ที่พระแม่ได้ต่อสู้อสูรนั้น พระแม่ได้ต่อสู้กับความชั่วร้ายแทนลูก ความชั่วร้ายความไม่รู้ที่สะสมอยู่ในตัวลูกๆทุกๆคน ลูกหลายคนอาจจะไม่รู้ และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักพระแม่เลย พระแม่กลับไม่เคยโกรธ ที่เขาไม่รู้จักพระแม่
แต่แม่รู้จักลูกๆทุกคน
แม่ยังรอให้ลูกทุกคนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดพระแม่ แม่ให้อภัยทุกคน และแม่ก็รักลูกทุกคนเช่นเดียวกัน

แล้วตัวลูกละ วันนี้คิดจะทำอะไรให้พระแม่หรือยัง "

แว่วเสียงในจิตก็เงียบลง ผมก็ออกจากการนั่งสมาธิ แล้วก้มลงกราบแบบไม่เคยซาบซึ่งอย่างนี้มาก่อนเลย ลงกราบแทบจะไม่อยากจะเงยขึ้นมาด้วยซ้ำ น้ำตาก็เริ่มไหลริน ด้วยความรักและศรัทธาเป็นอย่างที่สุด ไม่เคยได้รู้เลยว่า พระแม่เองท่านได้ต่อสู้สิ่งชั่วร้ายแทนเราตลอดมา
ผมจึงเอ่ย พระนามท่านออกไปดังๆว่า พระแม่จงเจริญ พระแม่จงเจริญ พระแม่จงเจริญ โอมเจมาตากี โอมเจมาตากี โอมเจมากาลี โอม ....

ผมรักพระแม่ขอรับ ....
<!-- BBCode End -->


อสูร 9 วัน ภาค 2
ลองภูมิ



โพสต์: 420

โพสต์เมื่อ: 05/09/2007-13:35 GMT+7   




[/SIZE]เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาที่ผมไม่ได้เข้าเฝ้าองค์แม่เลย แต่ในใจก็คิดว่า องค์แม่ท่านคงดูเราอยู่ตลอดเวลา ท่านคงปล่อยให้ลูกได้ใช้เวลาในการดำเนินชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป

จะว่าไปมนุษย์นี้ช่างแปลก เวลาที่ทุกข์ก็มักจะวิ่งหาพึ่งพา ในสิ่งที่ คิดว่าจะทำให้พ้นทุกข์ แต่เมื่อเวลาสุขแล้ว เราก็มักจะลืมสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และในตอนที่เรามีความสุข เราก็มักจะลืมหน้าที่บางอย่างที่เราเคยรับปากกับท่านไว้ เพียงเพื่อต้องการให้เราแค่พ้นจากความทุกข์ ในขณะที่เราทุกข์ขณะนั้น วันไหนสุขก็คิดในใจว่า องค์ท่านช่วย วันไหนทุกข์ก็บอกว่า องค์ท่านทิ้ง เอ๊ะ ..... มนุษย์มักคิดอย่างนี้จริงหรือ แทบจะชอบไม่ใช้ปัญญาในการตรึกตรองเลย
ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ตอนหนึ่ง ท่านได้กล่าวถึงเรื่องปัญญาไว้น่าสนใจเป็นอย่างมาก มีการบันทึกไว้ว่า “ปัญญานั้นได้มาจากการรู้แจ้งจริงๆ เกี่ยวกับคำสอนโบราณ ไม่ใช่ได้มาการการอ่านคัมภีร์เท่านั้นหรอก พวกเธอควรแก้ไขปัญหาทั้งปวงโดยการทำสมาธิ พวกเธออย่าไปพึ่งความคิดหรือวิธีคิดอันไร้สาระ แต่จงพยายามแก้ปัญหาโดยการติดต่อทางจิตวิญญาณกับพระเป็นเจ้าผ่านสมาธิดีกว่า พวกเธอจงขจัดล้างคราบไคลแห่งความเคร่งครัดให้หมดพ้นจากใจเธอ แล้วจงหัดมาตักตวงน้ำทิพย์ที่เรียกว่า ญาณทัศนะ หรือสัมผัสที่หกแทน เพราะถ้าเธอสามารถปรับจิตของเธอให้สอดคล้องกับอาตมันที่เป็นผู้นำทางภายในตัวเธอได้แล้ว เธอจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องในทุกๆปัญหาชีวิตที่เธอเผชิญ...... มนุษย์นี้ช่างเป็นอัจฉริยะในการสร้างปัญหาที่เป็นทุกข์ให้แก่ตัวเองอย่างไม่รู้จักเบื่อเลย แต่พระผู้เป็นเจ้าท่านก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลืออย่างไร้ขอบเขตจำกัดโดยไม่รู้จักเบื่อเช่นกัน”
เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ขับรถไปแถววัดแขกสีลม แต่ไม่ได้แวะลงไปกราบไหว้บูชา เพียงยกมือไหว้ไปเฉยๆ ในใจก็บอกไปว่า นมัสการครับองค์แม่ เพียงแว็บเดียวก็มีเสียงที่เราคุ้นเคยแต่ห่างหายจากเราไปนานมาก เสียงดังขึ้นมาว่า “ลืมแม่ไปแล้วหรือ” อุ้ย เสียงองค์แม่นี้หว่า ในใจผมขณะนั้นได้เพียงแต่นึกในใจว่า เออ.... เรานี้ขาดการติดต่อองค์แม่มานานเหมือนกัน ตั้งแต่สุขสบายขึ้น เรานี้แย่จังเลย เห็นที่ต้องทำอะไรเพื่อองค์แม่คงจะดี (ในใจตอนนั้นรู้สึกผิดมาก) นี้เราลืมแม่พระของเราไปเลยหรือ มัวแต่ไปมัวเมาในวัตถุอื่นๆ ลืมจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา ความสงสาร ที่มีต่อลูกของพระองค์ เราแย่จริง ๆ ครั้นพอคิดได้เลย คิดว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับพระแม่มาให้เพื่อนและลูกขององค์แม่ได้รับรู้ถึงเกียรติและการเสียสละขององค์แม่ให้ลูกได้รับรู้กัน วันนี้ เลยยกเรื่องราวที่พระแม่อุมาทรงอวตารมาเป็น พระแม่ทรุคา(นางกาตยายนี) พระมาตาทุรคา เป็นอวตารหนึ่งที่ทรงต่อสู้กับความโง่เขลา หรืออสูรควายนั้นเอง ในพิธีกรรมต่างๆในประเทศอินเดีย มักจะบูชาพระแม่อุมาในปางทุรคา(ดูรกา)กันมากในทุกแคว้น และพระแม่ทุรคาก็ทรงมีมากถึง 9 ปางด้วยกันหรือเป็นที่มาของกระทู้ อสูร 9 วันนี้นั้นเอง

ปางที่ 1 พระนางทุรคาปางนิลกันตรี ทรงมี 4 กร ทรงถือตรีศูล โล่ห์ และภาชนะ พระหัตถ์ที่ 4 ทรงแสดงประทานพร ปางนี้เป็นปางที่ประทานความสุขและความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้สักการะบูชาต่อพระองค์

ปางที่ 2 พระนางทุรคาปางเกศมันคารี ทรงมี 4 กร ทรงถือดอกบัว ตรีศูล ภาชนะ และพระหัตถ์สุดท้ายทรงประทานพร เพื่อให้มีสุขภาพดีแรงแรง พร้อมไปด้วยปัญญา ให้แก่ผู้ที่บูชาต่อพระองค์

ปางที่ 3 พระนางทุรคาปางหรสิทธิ ทรงมี 4 กร ทรงถือกลอง (บันเดาะห์) คนโท ดาบ และภาชนะ ปางนี้เป็นปางที่ทรงประทานความสำเร็จและความปรารถนาสำหรับผู้สวดอ้อนวอนต่อพระองค์

ปางที่ 4 พระนางทรุคาปางรุทรัมศทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือตรีศูล ดาบ สังข์ และจักร และทรงสวมอาภรณ์อย่างกษัตริย์ มีรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์กระนาบข้าง เบื้องหน้าเป็นสิงห์โตที่เป็นพาหนะ หมอบอยู่ ปางนี้ เป็นปางที่ประทานชัยชนะอย่างสมบูรณ์ที่สุดสำหรับผู้ที่บูชาต่อพระองค์

ปางที่ 5 พระนางทุรคาปางวนทุรคา ทรงมี 8 กร ทรงถือจักร สังข์ ดาบ โลห์ ลูกศร คันศร ตรีศูล และพระหัตถ์สุดท้าย ชี้นิ้วไปข้างหน้า ปางนี้เป็นปางถึงการขจัดอุปสรรคทั้งปวงต่อผู้ที่บูชาพระองค์

ปางที่ 6 พระนางทุรคาปางอัคนีทุรคา ทรงมี 8 กร ทรงถือจักร ดาบ โลห์ ลูกศร บ่วงบาศก์ และชี้นิ้วขึ้นที่สูง มีรูปสิงห์โตหมอบอยู่เบื้องพระบาท และมีเทวีอีก 2 นาง ยืนซ้าย ขวา นางหนึ่งถือดาบ อีกนางหนึ่งถือโลห์ ปางนี้ เป็นปางที่ทรงประทานความยิ่งใหญ่ เกียรติยศและชื่อเสียงกว่าผู้ใด สำหรับผู้ที่บูชาพระองค์

ปางที่ 7 พระนางทุคาปางชัยทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือสังข์ จักร ดาบ ตรีศูล ทรงมี พระเนตรอีก 1 กลางหน้าผากของพระนาง และมีสิงโตยืนอยู่ข้างหน้าพระองค์ ปางนี้เป็นปางที่มีชัยชนะต่ออวิชาทั้งหลาย ผู้ที่บูชาจะสามารถหลุดพ้นได้ง่ายถ้าบูชาพระนาง
ปางที่ 8 พระนางทุรคาปางวิทยาวาศรีทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือจักร สังข์ และอีก 2 กรแสดงประทานพร และประทานอภัย มีรูปทวยเทพองค์อื่นรายล้อมรอบพระองค์ โดยมีสิงโตหมอบอยู่ข้างหน้า

ปางที่ 9 พระนางทุรคาปางริปูมารีทุรคา ปางนี้ มีเพียง 2 กร ทรงถือตรีศูล และอีกกร ทรงชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า ปางนี้เป็นปางที่ทรงประทานพร ให้โชคดี มีความปลอดภัย ไม่มีศัตรูมาเบียดเบียน

ในด้านพิธีกรรมในการบูชาพระแม่มหิษาสุรมรรทินี จะมีพิธีบูชาอยู่ 9 วันเช่นเดียวกัน เรียกกันว่า พิธีเทศกาลดุซเซร่าห์ (เทศกาลทุรคาบูชา)

วันแรกของงานเทศกาล ทุรคาบูชาหรือ ดุซเซร่าห์ ชาวฮินดูจะบูชา “พระนางมหากาลี”

วันที่สอง จะบูชาพระแม่ทุรคา ผู้ที่ฆ่าจอมอสูรควาย จึงมีการขนานนามว่า “มหิษาสุรมรรทินี”

วันที่สาม จะบูชาพระแม่ “จามุนดา” ซึ่งมีกำเนิดความเป็นมาจากการฆ่ายักษ์สองพี่น้องที่ชื่อว่า “จันทรและ มุนดา”
วันที่สี่ จะบูชาพระแม่ที่เรียกกันว่า “กาลี”ซึ่งเป็นผู้ฆ่าอสูรโดยการดื่มเลือดทั้งหมดของอสูร
วันที่ห้า จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “นันทา”ซึ่งเป็นลูกสาวของคนเลี้ยงสัตว์
วันที่หก จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “รักธาฮันตี” ซึ่งปางนี้ทรงฆ่าอสูรโดยการใช้ฟันกัดจนตาย
วันที่เจ็ด จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “สักกัมทารี”
วันที่แปดจะบูชาพระแม่ที่ชื่อว่า “ทุรคา”ซึ่งจะซ้ำกับวันที่สอง เป็นการย้ำเตือนในการระลึกถึงการฆ่าอสูรควาย
วันที่เก้าจะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า”ลัคภรมารี”ซึ่งปางนี้จะพระแม่ทรงฆ่าอสูรที่มีชื่อว่า”อรุณ” ในวันสุดท้ายนี้จะมีการเฉลิมฉลองโดยมีการแห่พระแม่ไปตามถนนต่างๆผู้คนจะแห่กันออกมาเฉลิมฉลองกัน โดยมีการร่วมรำทำเพลงมีขบวนแห่และบรรเลงดนตรีอย่างสนุกสนาน และสิ้นสุดโดยการแห่รูปปั้นพระแม่ทุรคาไปหรือสรงน้ำจุ่มในแม่น้ำที่ใกล้ที่สุดของเมืองนั้นๆ เพื่อเป็นการล้างบาปแก่ผู้ที่มาร่วมพิธีทั้งหมดด้วย

แถมท้ายด้วย วันในการบูชาพระแม่ทุรคามหาศักติ

วันอาทิตย์ ถวายด้วยปายส้ม/ปายัส (ข้าวสุก นม น้ำตาล)
วันจันทร์ ถวายด้วยนมสด
วันอังคาร ถวายด้วยผลไม้ต่างๆและกล้วย
วันพุธ ถวายด้วย เนยสด
วันพฤหัสบดี ถวายด้วยน้ำตาลและอ้อย
วันศุกร์ ถวายด้วยน้ำตาลและทรายขาว
วันเสาร์ ถวายด้วยน้ำมันเนยและน้ำเปรี้ยว

ส่วนมนตร์ในการบูชาพระแม่ทุรคา
โอม ชยันตี มงคลกาลี ภัทรันกาลี กปาลินี ทุรคา กัษมา ศิวา ธาตรี สวะธา นดม สตุเต
โอม อัมเพ อัมวิเก อัมพา ลิเกสมานัยติ ศัศจนัส สัตยัสวัก / สวะ ภัทธิกัม กาม บิลลวาสินี ทุรคาเย นมัช //

จบบริบูรณ์ ครับ กับอสูร 9 วัน ภาค 2

#48
ผมนับถือท่านนี้มากครับเป็นหนึ่งในใจเลย ท่านมีนามว่า คุรุ โยคะนันทะ ครับ และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ไสบาบาแห่งเชอร์ดิ (องค์เดิม)
#49
ต้องขอขอบคุณทั้งสองท่านที่ช่วยมาเสริมให้ครับ งั้นก็จะรอคำตอบจากผู้รู้ท่านอื่นต่อไปครับ แต่เรื่องเสาที่หน้าโบสถ์วัดพระแก้วก็น่าสนใจนะครับ ความเป็นมาและจุดประสงค์? ...
#50
ถ้าใครเคยไปเขาพนมรุ้ง มีใครเคยสังเกตุหรือเปล่าว่า เหตุใดร่องน้ำที่รองใต้ศิวลึงค์(โยนี)ต้องอยู่ทางด้านซ้ายของฐาน โดยด้านหน้าของลึงค์จะหันออกทางทิศตะวันออก ไม่ทราบว่าเขามีคติในการสร้างแบบนี้จากที่ใด และเหตุใดร่องน้ำของโยนีต้องหันไปทางทิศเหนือ แล้วมีข้อจำกัดในทิศของการวางศิวลึงค์หรือเปล่า ? แล้วอีกข้อหนึ่ง เสาหินที่เป็นมีรูปดอกบัวในวัดพระแก้วมรกต เป็นเสาอะไร หรือเป็นศิวลึงค์หรือเปล่า (ตั้งอยู่หน้าโบสถ์)

ในรูปประกอบเป็นศิวลึงค์ที่อยู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอู่ทอง




#51
ให้ช่วยค่าโฮทส์กะโดเมนมั่ย รู้ว่ามีค่าใช้จ่าย แต่ไหนๆก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยากจะช่วยครับ ถึงทรัพย์น้อยแต่มีน้ำใจ เพื่อแบ่งเบาภาระช่วยสังคมฮินดูมิตติ้ง...ครับ

ว่าไปยังติดค่าทำบุญกะเจ้าเอ๋อยู่เลย เอ๋เอ๋ย ท่านอยู่ไหน อีก 2-3 วันอยากเจอตัวครับ  
#52
ผมลองเข้าไปทดสอบห้องรู้สึกว่า ข้อความไม่ขึ้น หรือต้องทำไง งง   
#53
โยคี-ญาณ วัลลัภ (YOGI-JANA-VALLABHA)
อวตารภาคที่ 5 เพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นต่อเปลวไฟแห่งโยคะแห่งโยคะกรรมฐานไม่ใช่ของท่านฤษีอัตริเพียงผู้เดียว แต่รวมถึงเหล่าฤษี นักพรต ดาบสทั้งหลายผู้เกี่ยวข้องที่ผูกพันต่อพระองค์ และต่อโลกทั้งหลายด้วยการทำสมาธิกรรมฐานสวดมนต์ถวายพระองค์ ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงโปรดด้วยการสวดมนต์บูชาของพวกเขาทั้งหลาย เทพเจ้าได้ทรงปรากฏองค์เป็นโยคีหนุ่มรูปงาม มีพระนามว่า พระ”โยคี-ญาณ-วัลลัภ” และทรงได้ประทานความผาสุกที่ยิ่งใหญ่ต่อฤษีและเหล่าเทพทั้งหลาย
พระองค์ทรงเสด็จมาในลักษณะท่าทางที่แตกต่างกัน พระองค์จะทรงอยู่กลางเบื้องลึกแห่งกรรมฐาน ในขณะเดียวกันพระองค์จะทรงให้คำแนะนำพวกสาวกและบริวารถึงพระวินัยคำสั่งสอนที่จะได้เข้าถึงความสำเร็จความสำนึกแห่งตนเองที่แท้จริง ในช่วงเวลาอื่น พระองค์จะเป็นผู้มอบคำดำรัสที่เกี่ยวกับหลักปรัชญาแห่งความสัตย์จริงที่สูงสุด พระองค์ทรงสั่งสอนเกี่ยวกับระยะเวลาแห่งโลกนี้ ซึ่งเปรียบเหมือนป่าทึบอันกว้างใหญ่ อันความรู้สึกอลหม่านของพวกเขานั้น เหมือนกับความสับสนแห่งถนนอันคับแคบของป่านั่นเอง คนเห็นแก่ตัวจะต้องผูกมัดติดอยู่กับสิ่งของ เปรียบได้เหมือนราชสีห์ซึ่งจำเป็นต้องรักษาชีวิตให้รอดในป่าใหญ่  ความโกรธเหมือนดั่งอสรพิษและความหลงใหลเหมือนการติดหล่ม ซึ่งผู้คนผู้เห็นแก่ตนตกอยู่ การที่จะให้หลุดพ้นจากป่าทึบนี้ เขาจะต้องรู้จักการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าอย่างแท้จริงโดยมีคุรุและพระธรรมเป็นผู้ให้คำสอน
#54
555555 ผมเห็นแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมไม่มีคนเข้า ก็โถ่...ท่าน เล่นไปเอาไปอิงไว้ซะเล็กจนเกือบไม่สังเกตุเห็น  ผมยิ่งแก่ตาไม่ค่อยดีเท่าไร 55555
#55
Quote from: อักษรชนนี on January 15, 2010, 17:13:52
เรียน คุณลองภูมิ

จริงๆแล้วเว็ปเราก็มีห้องแชทแบบสดๆอยู่เหมือนกันครับ คือที่ http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?action=hm-chat  แต่มิใคร่มีคนรู้ หรือเป็นที่นิยมเท่าไรนัก ซึ่งทางเว็ปก็ยังไม่ได้แยกเป็นห้องต่างหากอีกห้องหนึ่ง เพียงแต่วางลิงค์ไว้ใต้ชื่อห้องชุมชนคนรักฮินดูเท่านั้นครับ ^_^ ไว้ยังไงรอพี่กาลิทัสอีกทีนะครับว่าจะเห็นว่าอย่างไร

อ้าวเหรอ ท่านอักษร ผมก็พยายามหานะ จำได้ว่าเหมือนเคยมีห้องนี้แต่หาไม่เจอ ยังไงก็ลองยกมาไว้ในที่เห็นง่าย จะได้เข้าไปแชทกัน
#56
เรียนเว็บมาสเตอร์ครับ ผมขอเสนอให้มีการสร้างห้องอีกห้องหนึ่งเป็นห้องสนทนา,ห้องแชทสด(chat)โดยเฉพาะ เพื่อให้สมาชิกฮินดูมิตติ้งได้สนทนากันสดๆ  ซึ่งผมคิดว่าเพื่อนสมาชิกหลายท่านอยากจะคุยกับเว็บมาสเตอร์หรือผู้รู้หลายท่านแบบสดๆ เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ในชมรมให้มีความรักและสามัคคีกันมากขึ้น และขอให้ครอบคลุมถึงการไม่ละเมิดกฏของบอร์ดด้วย จักเห็นด้วยหรือไม่แล้วแต่ท่านเว็บมาสเตอร์โปรดพิจารณาครับ

ขอเสียงสนับด้วยครับ โหวตด้วยครับสำหรับท่านใดเห็นด้วย

ปล.เพิ่มเติม การล็อคอินขอให้ใช้ชื่อที่ใช้ในบอร์ดครับ เพื่อกันการป่วนกันเอง
#57
กาลาคนิศมัน (KAALAAGNI SHAMANA)
ภาคอวตารที่ 4 แห่งพระทัตตะเตรยะ ก็คือ พระ “กาลาคนิ ศมัน” เทพเจ้าทรงได้อวตารอีกครั้งในระหว่างเดือน มารกศีรษะ (MARGASHEERSHA) เดือน ธันวาคม ในวันเพ็ญ ตรงกับวันพุธ เมื่อดาวพระเคราะห์ โรหินี (ROHINI) สุกสว่างแจ่มใส เมื่อท่านฤษีอัตริแลเห็นปรากฏการณ์แห่งรัศมีความสัตย์ ที่กำเนิดพระทัตตะเตรยะ ท่านฤษีอัตริมีความต้องการที่จะได้รับพระองค์ไว้เป็นพระราชโอรสของท่าน ด้วยเหตุนี้ ท่านฤษีอัตริจึงได้เริ่มประกอบสมาธิสำรวมขึ้น ด้วยการก่อกองเพลิงเพื่อบูชา   กองเพลิงแห่งโยคะได้พุ่งพวยออกมาจากมวยผมของศีรษะของท่านฤษีอัตริ และทำให้เกิดไฟเผาไหม้ไปทั่วโลก เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ พระทัตตะเตรยะจึงได้อวตารลงมาเป็น พระกาลานิศมัน (พระผู้ทำลายเปลวไฟให้เยือกเย็น)
#58
พระทัตตะเตรยะ ( DATTATREYA)
ท่านอัตริ ได้ถวายการกราบไหว้บูชาต่อ พระอัตริ-วรัท เพื่อให้พระองค์ทรงโปรด พร้อมด้วยภรรยาของท่าน เพื่อที่จะได้รับพระโอรสที่มีรูปร่างสง่างามเหมือนกับพระองค์ พระอัตริ-วรัท ทรงให้คำมั่นสัญญาต่อท่านฤษีอัตริว่า จะไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว พระองค์ทรงอวตารลงมาด้วยพระองค์เองมาเป็นพระราชโอราชของพวกเขา เมื่อทรงมีรับสั่งดังนี้ พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ โดยแปลงองค์เป็นทารกน้อยในร่างเปลือยเปล่า ( พระทิคัมพร ) พระกุมารทรงมีแสงสุกสว่างเป็นรัศมีดั่งแสงไพริน ทรงมีพระพักตร์กลมโตดั่งพระจันทร์ เต็มดวง มี 4 พระกร ภาคอวตารนี้ทรงแปลงเป็นพระทัตตะเตรยะที่แท้จริง นับว่าเป็นภาคอวตารที่ 3 แห่งเทวะทั้ง 3 พระองค์ เรื่องนี้กำเนิดเกิดขึ้นในข้างแรม เมื่อดวงดาวพระเคราะห์มฤคเศรษะมีอำนาจสุกสว่างตรงกับวันศุกร์ ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และยังเป็นการเกี่ยวโยงไปตามคำขอของท่านฤษีทุรวาส ( DURVAASA) ซึ่งขอให้เทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์อวตารมาในรูปร่างเดียวกัน  ซึ่งกาลหนึ่ง พระรุทร (RUDRA) เป็นส่วนหนึ่งแห่งพระศิวะ , พระจันทร์ ( CHANDRA) ภาคหนึ่งแห่งพระพรหม และพระทันตะ(DATTA) ภาคหนึ่งแห่งพระวิษณุเทพ
#59
Quote from: กาลิทัส on January 14, 2010, 14:40:03
ถ้าอยุธยาแนะนำวัดหน้าพระเมรุเลยครับ ผมเคยเห็นพระนวโกฎิครั้งแรกก็ที่วัดนี้

ถ้าเป็นกรุงเทพ วัดยานนาวา มีนะครับ


น้องยีนส์ พี่ไปบ่อยนะวัดหน้าพระเมรุ เพราะถือว่าเป็นวัดเดียวที่รอดจากการโดนเผาครั้งเสียกรุง แถมยังขลังในครั้งที่พม่าได้ยิงปืนใหญ่ใส่วัดแต่ปืนดันระเบิดใส่พวกพม่าเอง เคยมีคนเก่าๆเล่าให้ฟังว่า วัดนี้มียันต์ฉนวนติดกับประตูทางเข้าโบสถ์สองข้าง ถือว่าเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์มากๆ ไปยืนมองหลายทีแล้ว แต่ดูเหมือนโดนถอดออกแล้ว เอาของก็อปใส่แทน น้องยีนส์เคยสังเกตุปะ
#60
ในกรุงเทพ ก็มีหลายที่ตามที่เพื่อนๆได้แจ้งมานั้น วันนี้ก็ขอเพิ่มเติมอีกที่ บังเอิญได้อ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสดวันนี้ หน้าหลังสุดได้ลงการสร้างพระชุดนี้ไว้ สถานที่ให้ไปชมและติดต่อได้ที่
พิพิธภัณฑ์พระเก้าหน้าพระสมเด็จอภิมหาเศรษฐีนวโกฏิ นนทบุรีครับ ส่วนอยู่ตรงไหนตามลิงค์นี้ครับ





http://www.tumsrivichai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%B4.html




#61
[HIGHLIGHT=#f4f4f4]ครูคือดวงประทีปขององค์ความรู้ ครูดี ศิษย์ย่อมดี ไปด้วย เป็นกำลังใจให้ท่านหริทาสครับ [/HIGHLIGHT]
#62
ถ้าจำไม่ผิด ที่วัดหน้าพระเมรุ อยุธยามีให้เช่าครับ
#63
ภาคอวตาร แห่งพระสัทคุรุ ทัตตะเตรยะ

INCARNATION OF SADGURU DATTATREYA

จากความสัตย์จริงที่ไม่มีวันรู้จบหรือเทวะ ,พลังอำนาจเสียงแห่งพระองค์ “โอม” และแสงสว่างแห่งความรู้ความฉลาดที่ปรากฏขึ้น อำนาจแห่งการสร้างแห่งพระองค์ ที่เรียกว่า พระมายา ( MAYA) สร้างการไร้รูปร่าง ไร้พระนาม เพื่อการให้กำเนิดพระนามและรูปร่างที่จะเห็นและเข้าใจได้ ดังนั้น อันความสัตย์ที่ทรงแบ่งภาคมาเป็นพระพรหม       (พระผู้สร้าง) พระวิษณุเทพ (พระผู้อนุรักษ์) และพระศิวะ (พระผู้ทำลายล้าง) คำว่า “โอม” “”หมายถึง พระวิษณุ   ,  “” หมายถึงพระพรหม  , “” คือพระศิวะเทพ อันความสัตย์ที่ไร้รูปร่างได้แปลงภาคเป็นเทวะทั้งสามพระองค์ สามหัวข้อแห่งพระพลังการสร้าง อันมี 3 ลักษณ์ ห้อมล้อมทั้ง 3 พระองค์  3 พระลักษณะ  มีชื่อเรียกกันว่า
1.    พระสัตตะวะ (SATTVA ) เที่ยงตรง ,พระวิษณุเทพ
2.    พระราชัส  (RAJAS) ความโลภ โกรธ หลง ,พระพรหม
3.    พระตัมส์ (TAMAS) การอยู่ นิ่งเฉย , พระศิวะ
สาระที่สำคัญก็คือ เทพเจ้าที่ทรงเป็นพระองค์เดียว ทรงมีซึ่งความสัตย์ ทรงเป็นธรรมชาติแห่งความมั่นคงที่แท้จริง , ความรู้ความฉลาด , ความเมตตา ที่แท้จริงด้วยพระนามและรูปร่าง ความสัตย์ที่ทรงได้ปรากฏใน 3 รูปลักษณะ

ภาคอวตารครั้งแรกของพระองค์ก็คือ พระโยคีราช (YOGIRRAJA)

เพื่อการสร้างโลกให้ดำเนินและปรากฏอยู่นานเท่านาน พระพรหมทรงสร้างพระโอรสขึ้นมา 7 พระองค์จากดวงจิตของพระองค์ (MANASA-PUTRAS) ในระหว่างพระราชโอรสทั้งหมด ท่านฤษีอัตริ (ATRI) ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สอง ท่านฤษีได้สมรสกับนาง อันสุยะ (ANSUYA) ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระฤษีกรรทัม (KARDAMA) เพื่อที่จะทรงให้กำเนิดพระราชบุตรแห่งสวรรค์ขึ้นมา  ,   ท่านฤษีอัตริ พร้อมด้วยภรรยาจึงได้ประกอบพิธีบวงสรวงขึ้น ณ เทือกเขา ริกษะ (RISKSHA) ซึ่งอยู่ในภูเขาหิมาลัย ด้วยการกระทำสมาธิอย่างยาวนาน จนเป็นที่พอพระทัยของเทพเจ้า เทพเจ้าจึงทรง อวตารลงมาเป็นบุตรบุญธรรมของฤษีอัตริ ในพระนามว่า พระราชโยคี (กษัตริย์แห่งโยคี) ซึ่งนับได้ว่าทรงเป็นภาคอวตารครั้งแรกแห่งเทพเจ้าของทั้งสามพระองค์ โดยทรงมีรูปลักษณ์งามและบริสุทธิ์เหมือนดั่งผลึกแก้วใส   
(พยายามนึกภาพเอานะครับตามจินตนาการ) จบการอวตารครั้งแรก ต่อไปจะพบกับการอวตารครั้งที่ สอง

ภาคอวตารที่ 2 ของพระทัตตะเตรยะ ซึ่งรู้จักกันในนามพระนามว่า “พระอัตริ-วรัท”
เรื่องราวมีอยู่ว่า หลังจากพระฤษีอัตริได้ทำสมาธิอยู่นานหลายสิบปี ในภาคอวตารครั้งแรกของเทพเจ้าเป็นพระราชโยคี  ความร้อนที่เผาไหม้เกรียม ได้ปรากฏออกมาจากศรีษะของท่านฤษีอัตริ เนื่องจากพลังแห่งการประกอบสมาธิกรรมฐาน จึงทำให้เกิดควันร้อนแผ่กระจายไปทั่วโลกทั้งหลาย  ด้วยเหตุแห่งนี้ เหล่าเทวะแห่งสวรรค์ จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจาก เทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือพระพรหม พระวิษณุเทพ พระศิวะเทพ
เมื่อเทพเจ้าทั้งสามจึงทรงเสด็จไปปรกฏตาหน้าท่านฤษีอัตริ และให้พรแก่ฤษี โดยทรงแสดงความรู้แห่ง 3 ใน 1 แห่งเทวะทั้งสามของศาสนา ฤษีอัตริได้กราบไหว้บูชาพระองค์ พระองค์จึงทรงสมมุติรูปร่างอันอัศจรรย์ บังเกิดรวมกันเป็นหนึ่งองค์ โดยมีรูปร่างเดียวกัน และมี 3 เศียร 6 กร พระกรของพระองค์ทรงถือลูกประคำ ที่พระหัตถ์ขวาล่าง ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายล่าง ทรงถือหม้อน้ำ กมันทลุ (KAMANDARU) ส่วนพระหัตถ์กลางขวา ทรงถือ บัณเฑาะ (DAMARU) ทางด้านพระหัตถ์กลางซ้ายทรงถือ ตรีศูล ในพระหัตถ์ขวามือบนทรงถือ จักรสุทรศัน  (SUNDARSHANA CHAKRA) และทรงยังถือตะบอง หอยสังข์ (ปัญจชัญ PANCHASANYA) เพื่อทรงจะได้ปกป้องแด่เหล่าบริวาลผู้นับถือทั้งหลาย เพื่อไว้ทำลายล้างความชั่วร้ายและความโง่เขลาเบาปัญญา

ในการอวตารมาครั้งนี้  “อัตริ- วรัท”แห่งพระทัตตะเตรยะ ได้กล่าวถึงการมาและให้พรแก่ท่านฤษีอัตริให้พบความสุข  ท่านฤษีอัตริและภรรยา ได้กราบบูชาต่อพระทัตตะเตรยะ แล้วฤษีอัตริได้กล่าวเสมือนดังกับพระบุตรของท่านเอง

เทพอวตารทรงยินดีและทรงได้แปลงองค์อีกครั้ง เป็นพระกุมารน้อย ในลักษณะเปลือยกายแห่งความสัตย์    ( เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันศุกร์ และวันนั้น ดวงดาว มฤคเศรษะ (MRIGASHEERSHA) ได้ขึ้นเป็นประธานอยู่บนท้องฟ้า ในวันนั้นเป็นวันข้างแรมแห่งเดือนการติก (KARTIKA) 

ยังไม่จบนะครับ ตอนต่อไปจะเป็นภาคที่ 3 แห่งองค์พระทัตตะเตรยะ
#64
[HIGHLIGHT=#f4f4f4]เล่าเรื่องพระทัตตะเตรยะต่อ ค้างตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่อไปเป็นตอน  [/HIGHLIGHT]


[HIGHLIGHT=#f4f4f4]ตามพระมรกันเทยะปุราณะ[/HIGHLIGHT]



เรื่องมีอยู่ว่า ณ แคว้น ปรติสสถาน ยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่งพระนามว่า พราหมณ์เกาศิก เขาเป็นโรคเรื้อนเกี่ยวเนื่องจากกรรมเก่าของเขา นางสุมติ ผู้เป็นสาวกพรหมจารินของเขา นางได้ปฏิบัติรับใช้สามีเหมือนดั่งเทพเจ้าตามขนบประเพณี นางรับใช้ต่อสามีทุกอย่าง เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อทำให้สามีมีความสุขและพอใจ ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกายสามีอย่างไม่รังเกียจต่อโรคเรื้อน ล้างเท้าสามี สวมใส่เสื้อผ้าและป้อนอาหารต่อสามี นางได้ทำความสะอาดบาดแผลและล้างร่างกายสามีทุกวันด้วยความเคารพสูงสุด นางได้บีบนวดแขนขาของสามีและพูดจาด้วยความเคารพและสงสาร นางได้สวดมนตร์เพื่อให้สามีของนางได้หายจากโรคร้ายนี้เสมอ

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านางจะปรนนิบัติรับใช้ต่อสามีด้วยความเคารพบูชาอย่างยิ่งใหญ่ สามีของนางก็ยังโกรธ และใช้ถ้อยคำอันหยาบคายด่าว่าภรรยาเสมอและเป็นประจำ แต่กระนั้น นางผู้เป็นภรรยาซึ่งเคารพสามีดั่งเทพเจ้าและไม่เคยโต้ตอบหรือรังเกียจชังสามี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม

ในราตรีหนึ่ง พราหมณ์สามีผู้ป่วยไข้ได้มีคำสั่งให้ภรรยาของเขานำตัวเขาไปยังครอบครัวของหญิงงามเมืองนางหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสามีของนางเจ็บป่วย แต่ด้วยความรัก นางสุมติ นางผู้เกิดในตระกูลผู้ดีสูงส่ง ได้ร้องไห้อยู่สักครู่ใหญ่ ต่อมานางได้ตัดสินใจช่วยให้สามีของนางสมความมุ่งหมายและนำพราหมณ์เกาศิก แบกขึ้นหลังของนาง ออกเดินทางในราตรีที่มืดมิด ทั้งที่ฝนตกฟ้าผ่าอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางย่อท้อแต่อย่างใด ขณะที่นางแบกพราหมณ์เกาศิกเดินผ่าน อาศมแห่ง ฤษี มันทวะ ขณะนั้นฤษีมันทวะกำลังทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง ความมืดทำให้เท้าของสามีไปแตะถูกท่านฤษีโดยไม่รู้ตัว  แต่ใจนางขณะนั้นได้แต่คิดว่า เราคงถูกโจรป่าดักปล้นเป็นแน่แท้

ฝ่ายฤษีที่นั่งบำเพ็ญพรตก็เกิดความโกรธขึ้น ด้วยว่าถูกลบหลู่ ในขณะที่กำลังบำเพ็ญตบะ ก็ได้ร้องสาปแช่งออกไปว่า “ใครบังอาจใช้เท้าแตะข้า มันผู้นั้น ต้องตายในตอนรุ่งอรุณ”

เมื่อนางได้ยินคำสาปแช่งของท่านฤษี ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยใจว่ารักและเคารพสามีดั่งเทพเจ้าตลอดชีวิตของนาง นางจึงได้ยกแขนขึ้นแล้วชี้ไปที่บนท้องฟ้า แล้วประกาศว่า “ถ้าการได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจะทำให้สามีของข้าตาย ก็ขอให้พระอาทิตย์อย่าได้บังเกิดแสงพระอาทิตย์อีกต่อไปเลย “นางได้พูดครั้งแล้วครั้งเล่า “พระอาทิตย์จะไม่ขึ้นมาอีก”

ด้วยความรักและศรัทธาต่อสามีสูงสุดของนางสุมติ ร้อนไปถึงพระบิดาพระพรหม พระองค์จึงมีรับสั่งให้เหล่าเทวะทั้งหลายได้เข้ามาฟัง เพื่อรับสั่งว่า จงไปหานางอันสุยะ นางผู้เป็นภรรยาฤษีอัตริ พระมารดาแห่งทัตตะเตรยะ  นางผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา นางจะเชื่อใจในนางภรรยาผู้ซื่อสัตย์แห่งพราหมณ์เกาศิก และนางจะช่วยให้โลกได้รับความผาสุกจากแสงอาทิตย์

ด้วยคำบัญชาของพระพรหม เหล่าเทวะทั้งหลายได้เดินทางมายังอาศมของนางอันสุยะ นางผู้เป็นพราหมณ์อันบริสุทธิ์ และได้แจ้งข่าวของการมา เมื่อนางได้ฟังแล้วพิจารณา นางได้กล่าวว่า “โอ่ เทวะทั้งหลาย นางผู้เป็นภรรยาผู้เทิดทูนสามีดั่งเทพเจ้าของตน นางทำไปด้วยเพราะรัก ข้าจะไปช่วยนางให้หลุดพ้นจากคำสาปนี้เอง”

นางพราหมณ์อันสุยะได้ออกเดินทางเพื่อไปหาพรมหมณ์เกาศิกและนางภรรยาผู้ซื่อสัตย์ของเขา

ครั้งมาถึง นางสุมติได้ต้อนรับนางพราหมณ์ด้วยความปิติยินดีในการเยือนของนางในครั้งนี้ และถวายผลไม้ ดอกไม้ต่อนางพราหมณี

นางพรมหมณีอันสุยะได้กล่าวขึ้นว่า “โอ่ นางผู้มีจิตใจดีงามซื่อสัตย์ คนทั้งหลายได้รับผลบุญจากการที่ได้ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงต่างๆ การอุทิศให้ทาน การทำสมาธิกรรมฐาน ครั้งหนึ่งแห่งบุญทั้งหลายนี้ ได้ตกไปสู่ยังผู้หญิงซึ่งได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของสามีของพวกนาง ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างจากการรักษาซึ่งวินัย หรือพิธีกรรมบูชาไฟ การอุทิศทานอาหารในงานพิธีศพต่อบรรพบุรุษ สำหรับผู้หญิงทั้งหลาย โอ่นางผู้มีจิตใจงดงาม ความซื่อสัตย์และการเชื่อฟังคำสั่งสามีของนาง นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่แห่งพรของเทพเจ้า”

เมื่อนางพราหมณีพูดจบ นางผู้เป็นภรรยาของพราหมณ์เกาศิกได้ตอบว่า

“ข้าแต่พระมารดาอันสุยะ พระองค์ได้เพิ่มพูนความสัตย์ซื่อและความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าให้มากขึ้น พระนางนำพรอันยิ่งใหญ่มาสู่ยังข้าพเจ้าและสามี โดยการแสดงธรรมศาสนาของพระองค์ ขอให้โปรดช่วยเหลือข้า ว่าข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี”

นางอันสุยะได้กล่าวว่า “โอ่ นางผู้มีชื่อเสียง พระพรหม และเทวะทั้งหลาย กำลังวิตกกังวลด้วยการขาดพระอาทิตย์และแสงสว่างของพระองค์เอง เทวะทั้งหลาย ต้องการให้มีการเป็นไปอย่างเดิม แห่งกลางวันและกลางคืน พิธีกรรมบูชาและการกระทำที่ดี จะต้องดำเนินต่อไปดังเดิม เทวะทั้งหลายขอร้องต่อนางเพื่อให้เป็นไปตามธรรมชาติแห่งกลางวันและกลางคืนดั่งที่เคยเป็นก่อนที่นางจะได้กล่าวคำทั้งหลายออกมา”

“โอ่ นางพราหมณี ตามคำที่ท่านได้กล่าว พระอาทิตย์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ด้วยเหตุนี้ การขาดกลางวัน จึงไม่มีการประกอบพิธีบวงสรวงทางศาสนาทั้งหมดขึ้น ดังนั้น บรรดาบรรพบุรุษและพวกเทวะทั้งหลายจะไม่ได้รับความเจริญรุ่งเรื่องสิ่งใดเลย เพราะว่าปวงชนทั้งหลายไม่ได้ประกอบพิธีสวดมนต์และประกอบพิธีทานของพวกเขาต่อเทพเจ้า เว้นแต่การกระทำในระหว่างเทวะและมนุษย์ชาติจะจัดตั้งใหม่ โลกจะสูญสิ้นอันเกิดจากสาเหตุความแห้งแล้ง ดังนั้น นางผู้ยิ่งใหญ่ ขอนางได้ช่วยเหลือโลกนี้ ขออนุญาตให้โลกนี้ได้รับแสงสว่างดั่งเดิมด้วยเถิด”

นางภรรยาพราหมณ์เกาศิกได้ตอบว่า “แล้วสามีของข้าพเจ้าเล่าจะเป็นอย่างไร คำสาปของท่านฤษี มันทวะยะจะฆ่าเขาในทันที ที่พระอาทิตย์ขึ้น”

นางพราหมณีอันสุยะได้กล่าวว่า”อย่าปล่อยให้ดวงจิตต้องหม่นหมองเป็นทุกข์เลย โอ่นางผู้เจริญแล้ว ข้าจะมอบผลบุญและสวดมนต์ต่างๆเพื่อนำชีวิตของนางให้กลับมา ข้าให้คำสาบานในนามของเทพเจ้า ขอได้โปรดคืนพระอาทิตย์กลับมาด้วย”

“ตัตตะสุต TATASTU “ขอให้เป็นตามที่ขอมา” นางภริยาพรมหณ์เกาศิกให้พร

นางทั้งสองได้เรียกพระอาทิตย์ ด้วยการสวดมนต์ เพื่อให้รับหน้าที่เป็นผู้นำแห่งสุริยคติ เมื่อพระอาทิตย์ได้เริ่มจับขอบฟ้าขึ้นช้าๆทางเขาพระสุเมรุ พราหมณ์เกาศิกได้ขาดใจลง นางสุมติผู้เป็นภรรยาได้ร้องไห้อย่างหนัก

นางพราหมณีอันสุยะได้ปลอบโยนนางสุมติว่า นางได้เก็บรักษาดวงวิญญาณของสามีแล้ว แล้วนางพราหมณีอันสุยะก็เริ่มประกอบพีธีกรรมทันที นางพรหมณีอันสุยะได้สวดมนต์ของนางและพรมน้ำมนต์ทางศาสนาลงที่ใบหน้าของพรหมณ์เกาศิก โดยพูดว่า ขอให้พรหมณ์ผู้นี้เป็นอิสระจากความเจ็บป่วยด้วยเถิด

ด้วยอำนาจของนางพรหมณีอันสุยะ พรหมณ์เกาศิกได้ฟื้นคืนร่างขึ้นมาใหม่ เขามีความสงบเสงี่ยม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นคนหนุ่ม โรคร้ายที่เป็นอยู่ก็หายไปหมดสิ้น ความสุขของนางผู้เป็นภรรยาของพรหมณ์เกาศิกได้กลับคืนมาอีกครั้ง

ในเวลาต่อมา พระพรหม พระวิษณุเทพ พระศิวะเทพ และเหล่าเทวะทั้งหลายได้เสด็จลงมาสู่นางพรหมณีอันสุยะ และมีรับสั่งว่า

“โอ่ นางผู้มีจิตใจเมตตา นางได้นำเอาดวงวิญญาณของพรหมณ์เกาศิก ให้กลับฟื้นคืนมีชีวิตและทำให้นางผู้เป็นภรรยาของเขามีความสุขได้อยู่ร่วมกับสามีดั่งเดิม นางทำให้ระบบสุริยะจักรวาลกลับสู่ปกติให้ชีวิตต่อมนุษย์โลก นางได้รักษาซึ่งอาณาจักรโบราณทั้งหมดเอาไว้ ดั้งนั้นด้วยผลบุญนี้ขอให้นางปรารถนาอยากจะได้อะไร พวกเราจะประทานพรให้นั้นให้ต่อนางอันสุยะ”

นางพรหมณีอันสุยะได้กราบทูลขอว่า “ข้าแต่เทวะทั้ง3 โลก พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ถ้าพระองค์ทรงโปรดด้วยหม่อมฉัน ที่จะทรงประทานพรอันยิ่งใหญ่ให้แล้ว ก็ขอให้พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เทวะทั้ง 3 พระองค์จึงถือกำเนิดมาเป็นพระโอรสของหม่อมฉันและสามีอัตริ ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงสุด โดยการที่ได้รับใช้ปรณนิบัติพระองค์ทั้ง 3 ที่ทรงถือกำเนิดเป็นพระราชโอรสของเราทั้งสองด้วยเถิด”

เทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ทรงได้รับคำขอนี้และทรงให้พรแก่นางโดยตรัสขึ้นว่า “ ตัตสตุ ขอให้พรนี้แก่นาง

จงเป็นตามนั้นเถิด”    ....................


จบอีกตอนหนึ่งแล้ว  ต่อไปจะไปยังเรื่องราวของภาคอวตวร แห่งพระสัทคุรุ ทัตตะเตรยะ ซึ่งมีทั้งหมด 16 ภาคอวตาร  .....
#65
หลังๆมาเวลาบูชาเทพ ผมไม่นิยมจะจุดธูปแล้ว เนื่องจากหายใจติดๆขัดๆ จุดเพียงกำยานก็พอแล้ว ยังไม่อยากตายไว ยังไงเพื่อนๆที่จุดธูป ก็ควรอย่าไปอยู่หลังจุดธูปแล้วนะครับ เปิดพัดลมระบายอากาศ ให้โปร่ง เพื่อตัวท่านเองจะปลอดภัยกว่าครับ
#66
จากประสบการณ์ตรงครับ เดิมชอบเก็บไว้ ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน จะทิ้งก็แปลกๆในใจ เลยเก็บพอเก็บมากๆเข้า ก็รก เลยจัดการเผา ด้วยใจคิดว่า เป็นการส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติ แต่พอครั้งวันรุ่งขึ้น หิ้งที่บูชาเกิดเพลิงไหว้ ดีว่ามีมาเจอก่อน ไม่งั้นไฟได้ไหม้บ้านแน่ แต่ก็คิดว่าคงเกิดจากความประมาทของเราที่ไม่ดูธูปให้หมดก่อน เพราะธูปนั้นเมื่อเกิดความร้อนมากๆเขาจะลุกเป็นไฟ และคงบังเอิญลมคงพัดเอาสะเก็ดไฟไปปลิวใส่ของบางส่วนที่อยู่บนหิ้งทำให้เกิดไฟลุก สรุปแล้วตอนหลังก็เลยเอาไปลอยน้ำครับ ก็คงไม่มากพอที่ทำให้แม่น้ำสกปรก...... 
#67
ไปฆ่าเขา วันหนึ่ง คนฆ่า ตายไปก็กลับมาให้เขาฆ่าบ้าง ฆ่ากันไปไม่รู้จักจบสิ้น น่าสงสารจริงๆ บาปกรรม
#68
Quote from: สิรวีย์ on January 10, 2010, 19:37:16
งี้ ถ้าสมมุตนะคะสมมุต

สมมุตเรามีสององค์ แล้วได้เพิ่มมาอีกองค์
เราเชิญท่านไว้ในกล่องก่อน แล้วหามาเพิ่มให้เป็นสี่หรือห้าแล้วถึงนำขึ้นหิ้งได้ไหมคะ

อารมณ์ว่าเจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สิน
ไรงี้




ระวังเจอองค์ท่านเล่นตลกนะ คือพอได้มาเพิ่มองค์ที่ 4 - 5 แล้วมาเปิดกล่อง ท่านก็หายวับไปไหนก็ไม่รู้ ข้อหานำมาท่านมาแล้วเก็บไว้ในกล่องไม่ยอมบูชา ......ล้อเล่นนะครับ อิอิ
#69
ขอแนะนำให้ตั้งห้องมาไว้รออีกห้องหนึ่ง เป็นห้องพิจารณา เพื่อย้ายกระทู้ที่มีปัญหา หรือเข้าข่ายผิดกฎบอร์ด ให้ย้ายมาเพื่อรอให้เจ้าของกระทู้มาแก้ไขข้อความที่เข้าข่าย โดยมีการเตือนก่อน เพราะบางคนไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำผิด ควรให้โอกาสเพื่อนสมาชิกในการแก้ตัว(มีระยะเวลาตามกำหนด) และไม่ควรลบกระทู้ทั้งหมด ควรลบเฉพาะบางข้อความเท่านั้น เพราะมีข้อความที่อาจจะเป็นประโยชน์กับสมาชิก hm โปรดลองพิจารณาดูครับ ท่านเว็บมาสเตอร์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p>
#70
จาให้พี่เม้นจิงๆเหรอ น้องเสือ ถ้าจาให้เม้น ขอเม้นในข้อความส่วนตัวได้ปะ กัวช็อค????? อิออิ
#71
เรื่องข้อห้าม เทวรูปแบบเดียวกัน 3 องค์ อื้ม รู้สึกว่าเคยอ่านเจอใน นิตยสาร เทวาลัย สมัยก่อนนะ แต่พยายามค้นหาเล่มนั้นไม่เจอ ใครเคยซื้อนิตยสาร เทวลัย เก่าๆไว้ลองเอามาค้นหาดูนะครับ เขามีคำตอบ
#72
แหม่ๆก็ให้มีกระทู้แบบแปลกหยองๆบ้างเป็นสีสัน   มีหลายหลายรสสนุกดีออก จะว่าไป ถ้าจะให้เล่าเรื่องอยุธยาเนี้ย มีเพียบ ถ้าจะให้หนุกต้องให้ น้องยีนส์ เจ้าถิ่นแห่งเมืองอยุธยา มาเล่าบ้าง ก็จะสนุกไม่น้อยเลยนะ

เรื่องของคุณเจมส์ก็น่ากลัวดี ของน้อง matakali ก็ยิ่งน่ากลัวใหญ่ แต่เรื่องพวกนี้ ผมว่าเกือบทุกคนที่อยู่ในบอร์ดนี้ คงโดนกันถ้วนหน้า เพราะผมเชื่อว่าทุกคนในบอร์ดนี้ล้วนมีซิกเซนต์(ลางสังหรณ์)กันทุกคน ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไป

จะพูดถึงเนินดินที่กล่าวอ้างว่าเป็น ที่ถวายพระเพลิงพระนเรศ เนินนี้ผมเคยไปครับ ก็เคยไปลองทดสอบถ้าจำไม่ผิดก็ไปนอนในบริเวณโบราณสถานที่หน้าเจดีย์ใหญ่ กันเลยที่เดียว ที่พระที่ท่านเล่าว่า ในนั้นมีโกศตั้งอยู่สองใบ จารึกไว้ว่า พระรามและพระลักษณ์ อันนี้ต้องพิจรณาเอง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จริงหรือเปล่า .... เคยไปสืบเรื่องราวอยู่พักหนึ่งแต่พอดีดันไปสะดุดเรื่องบ้างเรื่อง เลยไม่ได้เข้าไปอีกเลย ก็คิดว่าช่างเขาเถอะ ....

บ้างครั้งคนเราก็ต้องฟังหูไว้หู และพิจารณาจากหลักฐานเป็นหลัก ยิ่งถ้าสืบไปลึกๆ ยิ่งไม่อยากเข้าไปยุ่งใหญ่ ทุกวันเลยได้แต่ผ่านไปแล้วก็ยกมือไหว้ คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นต่อไป .... เดี่ยวค่อยมาอัพเดสใหม่ เผื่อจะมีใครมาเสริมอีก
#73
เท่าที่ติดตามผลงานของคุณ กาลปุตรา มาซักพัก เห็นได้ว่าเป็นคนที่มีความรู้ทางด้านศาสนาฮินดูมากท่านหนึ่ง และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกันเพื่อนชาว HM และที่สำคัญ ไม่ยกตนข่มท่าน......  งั้นข้าพเจ้า ขอยกชาเขียวคาราวะท่านหนึ่งจอก ยอมรับความสามารถท่านจริงๆ ท่านน่าจะไปสมัครแข่งแฟนพันธ์แท้ แบบท่าน หริทาสนิ  
#74
ไอ้เครื่องเราก็ไม่มีภาษาสันสฤตซะด้วย....ทำไงดี


ถ้าแบบนี้ คงไม่ผิดกฏนะ  


#75
[HIGHLIGHT=#f4f4f4] การถวาย  กุม - กุมัม ( kumkumam  ) ตามหลักศาสนา[/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]คำมนตร์[/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]คัน - ธัสยะ   อุป - ริ   หริ - ทรา[/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]กุม - กุมัม   สมร - ปยามิ [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]อักษะ - ตาน   สมร - ปยามิ [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]คำแปล  ข้าพเจ้าขอน้อมถวายด้วยสีชาดแดง อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา (กุม - กุมัม ) ต่อพระคเณศวร [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]กระทำพิธีกรรม [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#f4f4f4]ใช้ปลายนิ้วมือขวา แตะสีชาดแดง เจิมที่หน้าผากเทวรูปที่บูชา [/HIGHLIGHT]
#76
หลังจากที่ขับรถข้ามฝากมาแล้วก็ ได้เดินไปที่โบสถ์เก่าของหลวงพ่อสมัยที่สร้างไว้ เราเข้าไปกราบไหว้ตามปกติ แต่บังเอิญที่หน้าโบสถ์ เขาเก็บดอกไม้ธูปเทียนแล้ว ก็ตอนนี้มันเย็นแล้ว ผมกับกัลยานิตรก็ได้แต่มองหน้ากัน ว่าเอ่อ สิบนิ้วยกกรวันทานี้ละวะ ในโบสถ์ขณะนั้น มีผู้หญิงนั่งไหว้พระอยู่อีกสามคน เราก็รอจนเขาไหว้เสร็จ หลังจากไหว้แล้วเราก็เดินสำรวจภายในโบสถ์ โบสถ์นี้สร้างแบบมหาอุต เพื่อใช้ในการปลุกเสกเครื่องรางให้มีความเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ( เป็นผมนะ แค่จะแทงผมก็ไม่กล้าเข้าแล้ว ก็แทงไม่เข้าเหมือนกัน 5555) พอครั้งจะออกจากโบสถ์ ก็มองเห็นพานซึ่งมีธูปสองชุด และหมากพลูสองชุด วางอยู่ ผมก็พูดว่า เอ่อ ใครเอามาไหว้แล้วไม่จุดธูปวะเนี้ย หรือว่ายังไง ก็ไม่คิดอะไร แต่พอครั้งกำลังจะเดินออกจากโบสถ์ ผมได้ยินเสียงในหัวว่า เอ่อ กูนี้ละเตรียมไว้ให้พวกมึง มาแล้วก็ไหว้ซะ ผมหันควับ มองไปที่รูปปั้นหลวงพ่อทันที เอ่.... เอาไงวะ เอ้า ไหว้ก็ไหว้ สรุปก็เลยได้ธูปจุดโดยปริยายไป หลังที่ได้จุดธูปเทียนแล้วผมก็นิ่งเพื่ออธิฐานเตรียมขอพร และแล้ว ภาพในนิมิตรก็เกิดขึ้นอีก คราวนี้ เป็นใบหน้าของพระรูปหนึ่ง คางใหญ่ ตาดุ หูใหญ่แหลม หน้าตาดูดุดันยิ่งนัก ผมก็เลยก้มกราบ ท่านก็พูดว่า กูก็พาชาวบ้านหนีไปทางสุพรรณสิวะ ก็กูอยู่สุพรรณ .....ผมลืมตาขึ้น เพราะเป็นคำถามที่ผมถามเล่นในรถว่า เอ่อ....แล้วเมื่อค่ายแตกแล้วหลวงพ่อไปไหน หรือตายกับพวกชาวบ้าน ก็ได้แต่ตั้งคำถามกันเล่นๆ แต่บัดนี้ได้คำตอบแล้ว

หลังจากนั้น ผมพร้อมด้วยกัลยานิมิตร ก็ได้เดินออกมาแล้วไปสำรวจในบริเวณโดยรอบต่อ แล้วก็เดินไปยังศาลรวมวิญญาณบรรพชน เพื่อจะได้กราบไหว้ต่อ พอไปถึงคนขายเครื่องสังเวย แก่เล่าเรื่องบางระจันซะสนุกเลยว่า เนี้ย ถ้าชุดใหญ่นี้ 90 บาท มีหญ้าให้เจ้ากล้ากินด้วย เจ้ากล้าเป็นควายของปู่ทองเหม็น ที่นี้ศักดิ์สิทธิ์นะ มีคนมาแก้บนเรื่อยๆ นั้นป่าไม้แดง เขาห้ามไปตัด มีแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวคนหนึ่ง แก่ไปหักเอากิ่งไม้มาเป็นฟืน ปรากว่า รถก๋วยเตี๋ยวแก่ไหม้ทั้งคันเลย แล้วนี้นะ แถวนี้เป็นหลังค่าย ถ้าอยากไปดูหน้าค่ายต้องเดินไปหลังวัด จะมีคูน้ำกั้นอยู่พวกพม่ามันยกทัพมาทางนั้น ถ้าอยากไปดูก็ลองไปดูนะ แล้วแก่ก็ยังพูดต่อไปว่า แถวนั้นนะ เฮี้ยนน่าดู บางครั้งมีคนได้ยินเสียงคนตีฆ้องบ่อยๆ โดยปกติไม่มีใครเขาจะตีนะ เอ้า ยังไงมาที่นี้ก็ขอให้ร่ำให้รวยนะ จ่ายมา 90 บาทก็ขอให้ได้ 90 ล้านนะคะพวกคุณ............. คำอวยพรนี้เราสาธุอย่างเร็วเลย

ครั้นผมเดินขึ้นไปหน้าศาล ขนผมลุกมาก แต่ก็พยายามข่มใจไว้ แล้วก็จะยกถาดที่มีเครื่องเซ่นวางไว้กับพื้น เพื่อจะจุดธูป แต่แล้วผมก็ไม่สามารถวางถาดลงได้ เหมือนมีคนเอามือมาดึงถาดขึ้นตลอดเวลา ผมมองหน้ากัลยานิมิตรแล้วพูดว่า เขาไม่ให้เราวางกับพื้น งั้นเธอไปจุดธุปนะ เราจะนั่งรอ พอครั้งจุดธูปเสร็จแล้ว ผมก็สวดคำอธิฐานที่ติดไว้แถวนั้นแล้วก็คุกเข่า พยายามสื่อเผื่อจะเห็นอะไร และแล้วผมก็ต้องตกใจอย่างแรง เพราะภาพในนิมิตร เป็นมือคนแก่ขนาดใหญ่กำลังยื่นมืออันใหญ่โต แล้วมาคว้าเอาเครื่องสังเวยที่เรานำไปถวาย  แล้วดึงเข้าไปในศาล ผมก็เลยลืมตาขึ้น ก็พบมาของยังอยู่ครบ แต่นี้แสดงว่า วิญญาณท่านคงมารับของไปแล้ว พอครั้งเสร็จ เราก็เดินไปให้อาหารเต่าหลังวัด ซึ่งเป็นหน้าค่าย ที่นั้นมีของเก่ากระดูกคนตายที่วางไว้ในไห ไว้ให้ได้ชมกัน ใครว่างไปก็ลองไปไหว้ไปชมกันนะครับ เผื่อจะได้เจอแบบแปลกๆแบบผมบ้าง ....จบ


เอาละ เรื่องทั้งหมดที่ผมเขียนขึ้นมาไม่ได้มีเจตนาต้องการให้ใครเชื่อตามผมนะครับ เอาเป็นว่าผมมาเล่านิทานให้ฟังสนุกต้อนรับปีใหม่ก็แล้วกัน วันขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ครับ ไปละบายไปนอนก่อน









#77
แหม่ๆๆ กระทู้เก่าแล้วยัง ขุดขึ้นมาขายได้อีกนะเนี้ย อิอิอิ ครับ แม่เสือ ผมยอมให้กัดครับ แต่ถ้าเป็นพ่อเสือ ก็เจอไม่หน้าสามก่อนสักตั้ง อิอิอิ เป็นซะงั้นอะนะ เอ้าไหนๆ กระทู้นี้เป็นเรื่องผีๆ สางแล้วก็ต่อซะเลย นั่งล้อมวงเข้ามา จะเล่าให้ฟัง ........................เฮออออออ


แบบสดๆเลยนะ พึ่งเจอวันนี้เอง ขนลุกยังไม่หาย เรื่องมีอยู่ว่า วันนี้ผมพึ่งสึกจากการไปถือศีล 8 ที่อยุธยามา ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเมืองนี้ ตายกันเยอะไม่ต่ำกว่าแสน ช่วงกรุงแตก เอาละ แต่เรื่องในอยุธยาผมยังไม่เล่าดีกว่า แต่วันนี้จะเล่าเรื่อง ค่ายบางระจันให้ฟัง

หลังจากที่สึกแล้วผมก็ไปไหว้พระหน้าพระเมรุ ผ่านไปวัดเชิงท่า แล้วย้อนกลับมาไหว้พระนเรศที่วัดใหญ่ชัยมงคล เสร็จแล้วผมก็คุยกับกัลยานิมิตรที่ชอบไปอยุธยาด้วยกันว่า เอ่อ วันนี้เราไป ค่ายบางระจันดีมั่ย ก็ โอเคนะ ไม่มีเสียงคัดค้านแต่ประการใด เราทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังเมืองสิงห์บุรีทันที ผ่านวัดเกสไชโยก็ได้เข้ากราบสักการะพระคู่บ้านคู่เมือง ก็ลุยไปต่อที่ ค่ายบางระจันทันที .....เส้นทางก็มีป้ายบอกเป็นระยะ ไปง่ายครับ พอไปถึงค่ายก็ราวๆ 5 โมงเย็น เราขับรถไปที่ อนุสาวรีย์ก่อน ในขณะที่ก้าวลงเหยียบบนพื้นถนน ขนผมลุกซู่ เอ่อแปลกอีกแล้ว ปกติไม่ค่อยเป็น แสดงว่า แถวนี้แรง ผมก็เดินไปซื้อ หมากพลู บุหรี่พร้อมดอกไม้ ไปไหว้เผื่อว่าชาติใดชาติหนึ่ง ที่บังเอิญได้เกิดร่วมชาติชาวบางระจัน จะได้ขออโหสิกรรมให้ ถ้าบังเอิญว่าเราเกิดมาแล้วเราไปทำให้เขาเกลียดชังเรา ก็ขอให้ยกโทษ อย่าได้จองเวรต่อกันอีกเลย (อันนี้ในใจนึกไว้) พอผมก้มลงเพื่อจะกราบ และหลับตาลง ก็มีนิมิตรในความรู้สึกว่า มีชายคนหนึ่งเขายืนยกปืนยาวประทับเตรียมยิง แต่แววตาเขาไม่ตั้งใจจะยิง เพียงแต่เขากันเพื่อสิ่งบางอย่าง ผมก็นิ่งพยายามรวมสมาธิเพื่อขอดูภาพต่อ ก็ได้ยินว่า เอ็งรู้มั่ยว่า นี้เป็นเขตหวงห้าม เขตพระราชฐาน ใครแอบเข้ามา มีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต ........ สิ้นเสียงชายที่ถือปืน ชายที่นั่งนิ่งคุกเข้า ได้พูดว่า ข้าได้นำสารลับของท่านหลวงพ่อมามอบให้ท่านกรมบวร........สิ้นคำพูด ชายที่ประทับปืน ได้คว้าสารลับนั้น แล้วมีคำสั่งให้นำมันผู้นี้ไปโบยก่อนขับออกจากวัง กฏย่อมเป็นกฏ ไม่อาจละเว้นได้ นี้โทษเพียงสถานเบา เพราะเป็นม้าเร็วจากค่ายมารายงานทัพ แล้วภาพก็ดับวูบลง ผมไม่สามารถดูอะไรได้ต่อ ก็เลย กราบลา แล้วขับรถไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อจะเข้าไปกราบสักการะ ศาลหลวงพ่อธรรมโชติ.....



#78
คงไม่ช้าไปนะ พึ่งกลับมาจากการไปถือศีล8 มาครับ เอ้าพี่น้องทั้งหลาย ผมเอาบุญมาฝากครับ ขอให้เพื่อนชาวฮินดูมิ้ตติ้งทุกคน จงรวยในบัดดล รวยทันใจ รวยแบบไม่รู้เรื่อง รวยแบบมีเงินทองท่วมบ้าน นะครับ ปีนี้ รับไป ใครยังไม่มีคู่ปีก่อน ก็ขอให้เจอะเจอ เนื้อคู่มั่นหมาย ใครที่สุขภาพไม่แข็งแรง ปีนี้ก็ขอให้หายจากโรคภัย ปีก่อนใครไม่มีบ้านปีนี้ก็ขอให้มีบ้านสองหลัง ปีก่อนใครไม่รถ ปีนี้ก็ขอให้ได้รถสปอต์ สุดท้ายและท้ายสุด ขอให้เพื่อนๆทุกๆคน จงมีแต่ความสุขตลอดปี 53 นี้นะครับ เพี้ยง......ร่ำรวย ยั่งยืน มั่นคง รวยถาวร
#79
Quote from: สิรวีย์ on December 30, 2009, 11:58:06
เอ่อ ฟังแล้วขนลุกเกรียวค่ะ คือถ้าสมมุติเราใส่ลงไปเองโยไม่มีพิธีล่ะค่ะ แผ่นดวงอ่ะค่ะ ดวงเราเอง ฝากเทพให้คุ้มครอง แล้วเราก็บูชาเอง

อืม ฟังดูไม่ค่อยสมาคมกับชาวบ้านเท่าไรเลยนะคะ



การใส่แผ่นดวงไว้ใต้ฐานเทวรูปที่เราบูชา เต็มที่ก็ได้แค่ความสบายใจครับ เพราะผลพวงทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราล้วนเกิดจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น ต่อให้บูชาเทพแทบเป็นแทบตาย แต่เรายังเป็นคนไม่ดี เทพหรือเทวดาหน้าไหน ท่านก็คงเบือนหน้าหนี แต่ถ้าเรายกความดีไว้เทินบนศรีษะ นั้นแหละครับ สุดยอดขอการบูชาเทพสุงสุดเลยครับ
#80
Quote from: สิรวีย์ on December 29, 2009, 11:25:05
ตายแล้ว แล้วถ้าเป็ฯแผ่นจารึกด้วยชะตาที่บรรจุในพระพุทธรูปหรือเทวรูปล่ะคะ ถือว่าผิดด้วยไหม


เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานพอสมควรครับ เรื่องการนำแผ่นดวงชะตาไปบรรจุใต้ฐานองค์พระพุทธรูป แบ่งเป็นสองความคิด ข้างที่เข้าข้างเชื่อว่าการนำแผ่นดวงชะตาของตนนำไปไว้ใต้ฐานแล้วจะเกิดความเป็นศิริมงคล ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ หลายๆวัดได้จัดทำเพื่อให้คนบริจาคเงินเข้าทำบุญ ตรงนี้นานาจิตตังครับ แต่ถ้ามาฟังเหตุผลของฝ่ายที่รับไม่ได้ กับเรื่องนี้ เขาว่า การที่เรานำดวงชะตาเราไปบรรจุนั้น ไม่เป็นผลดีเพราะ เชื่อว่า คนเราที่ไปกราบไหว้ขอพรจากพระพุทธรูป จะส่งผลให้ดวงของคนที่ถูกบรรจุใต้ฐาน ถูกขอไปด้วย เพราะเขาเชื่อว่า ส่วนมากคนที่ไปกราบไหว้ขอพรนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ฉนั้น ดวงชะตาของเขาจะไม่ดีไปด้วย และ ถ้าคนที่มาทำพิธีหล่อพระหรืออัญเชิญพระ ทำผิดหลักการบวงสรวงนั้น(สมัยนี้จะหาคนที่ทำตามหลักสูตรโบราณแท้ๆหายากครับ ) จะพลอยทำให้ดวงของคนที่ถูกบรรจุพลอยไม่ดีไปด้วย ซึ่งฟังดูก็น่าคิดเหมือนกันครับ เพราะหลักการบวงสรวงที่ถูกต้องตามหลักจริงๆ ต้องได้รับการถ่ายทอดจากตำหรับตำราโบราณ แต่ด้วยสมัยนี้ บางครูบาอาจารย์หลายๆท่านไม่ค่อยชอบถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ทั้งหมด เลยทำให้คัดลอกกันมาขาดๆเกิน บางก็แต่งกันเสริมกัน จนมั่วไปหมด ผมเคยได้สนทนากับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านนี้ได้รับการยกย่องยกนิ้วให้จากเจ้าของหนังสือโลกทิพย์และอุณนิมิตรในเรื่องสูตรพิธีกรรม ท่านกล่าวว่า เราจะต้องทราบว่า พิธีที่เราจะทำเป็นพิธีใด จะต้องเตรียมเครื่องบัตรพลีกี่อย่าง เทียนกี่เล่ม วางจุดไหน สิ่งของอื่นๆต้องครบและที่สำคัญ ฤกษ์ผานาทีต้องตรงแม่นยำ อันนี้ สำคัญที่สุด ไม่เช่นนั้นพิธีที่ทำก็ขาดๆเกินๆไป พลอยทำให้เกิดความอุบาวท์ แทน ความเป็นศิริมงคลครับ