Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ศรีมหามารตี

#82
















  เต็มอิ่มนะค่ะ  สำหรับรูปนวดุรกาทั้งเก้าปาง อิอิ




#83
คุณอักษรชนนีคะ อิชั้นขอสอบถามสักนิดในเรื่องของการโพสข้อความเข้าไป แล้วมันแก้ไขไม่ได้อะคะ  เช่นบางทีจะแก้คำผิดหรือจะเพิ่มรูปเข้าไปเพื่อไม่ให้เราต้องคอมเม้นซ้ำซ้อน

รบกวนด้วยคะ
#85
 
รูปข้างบนและรูปทั้งหมดที่อิชั้นนำมานี้เรียกว่านวทุรคาคะ พระดุรกาทั้งเก้าปาง




#87
มาแก้ให้คะ ...

รูปนี้เรียกว่า ทศมหาวิทยา  ... ทศ दश มาจากคำว่าสิบไงค่ะ  ในภาษาสันสกฤต  เทวีในกลุ่มนี้มีทั้งหมดสิบพระองค์

ส่วนที่คุณบุตรมาเตว่ามานั้น คงจะไปสับสนกับคำว่า  สัปตมาตริกา สัปต सप्त  แปลว่าเจ็ด เทวีในกลุ่มนี้เป็นแม่ซื้อไงค่ะ เจ็ดพระองค์ด้วยกัน


หวังว่าคงจะไม่มีอะไรผิดพลาดนะค่ะ
#88
ขออนุญาติตอบเท่าที่พอจะทราบนะค่ะ  ผิดพลาดประการใดก็ต้องกราบขออภัยทุกท่านด้วย ...

แต่ทั้งนี้ส่วนตัวแล้วจะไม่ขอแสดงความเห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก เหตุเพราะในฐานะที่เราก็เปนคนรุ่นหลัง ก็เลยมิบังอาจไปตัดสินอะไรใครได้
อิชั้นเชื่อดีเหลือเกินว่าพิธีกรรมบางอย่างล้วนแฝงไปด้วยนัยหรือความหมายบางอย่างชนิดที่ว่าคนรุ่นใหม่อย่างเราๆไม่มีทางที่จะล่วงรู้ได้  ถ้าไม่ได้เอาใจใส่หรือศึกษาแบบจริงๆจังๆ

ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะค่ะ มาถึงขนาดนี้แล้วก็ขอท้าวความไปถึงที่มาหรือต้นกำเนิดความเชื่อแบบนี้เลยละกัน  หลายๆท่านก็จะได้กระจ่าง  มิเช่นนั้นก็จะเป็นแบบที่ท่านเจ้าของกระทู้ไปประสบพบเจอมาอะคะซึ่งเดี๋ยวก็จะพาเข้ารกเข้าพงหรือออกนอกลอยทะเลไปไกล



ความเชื่อในเรื่องการบูชาศักติหรือนับถือเทพเจ้าเพศหญิงด้วยการบูชายัญด้วยสัตว์หรือมนุษย์นั้น  ถ้าว่ากันตามหลักประวัติศาสตร์ศาสนาแล้วพบว่าลัทธิการบูชาแบบนี้มีมานานแล้วคะ  ตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่แล้ว
ท่านพนะ(Bana)  นักโบราณคดีอินเดีย  ได้บันทึกไว้ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ว่าคนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งแถบภูเขาวินธัยสังเวยเจ้าแม่จันทิกาด้วยเนื้อสด และเฉือนเนื้อตัวเองเอาเลือดสังเวยองค์เจ้าแม่
พระราชินีของเมืองอุชเชนีได้กระทำการสังเวยเจ้าแม่องค์นี้เพื่อขอกำเนิดโอรสเช่นกัน

จากหลักฐานในข้างต้นนี้แสดงให้เราเห็นว่าการนับถือองค์เจ้าแม่นั้นแพร่หลายในหมู่คนชั้นสูงและคนพื้นเมืองทั่วไป  โดยมักถูกเรียกรวมๆว่าความเชื่อแบบ ศักตะ ( Shakta) หรือตันตระ (Tantra)
และเมื่อเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูจึงเรียกว่าฮินดูตันตระ โดยมีคัมภีร์ศักตาคมหรือตันตระเป็นศูนย์กลางความเชื่อ


เรื่องตันตระของฮินดูนั้นในทางเทววิทยาและศาสนศาสตร์เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งที่โลกใบนี้เริ่มมีมนุษย์แล้วคะ
แม้แต่สังคมเกษตรหรือชาวนาชาวสวน  ก็พบว่ามีเรื่องของเวทมนต์และโชคลางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นอะนะค่ะว่าถึงกับขนาดมีการบูชายัญด้วยมนุษย์เพื่อทำให้ที่นาอุดมสมบูรณ์
หรือถ้าไปดูอีกฟากฝั่งหนึ่งของซีกโลก เช่นเทพคิฮัวโคเทิล เทพโบราณของอเมริกากลางต้องการให้มีการสังเวยมนุษย์ทุกสัปดาห์
หรือแม้แต่พวกอารยธรรมอินคาหรือก่อนหน้าอารยธรรมอินคาก็พบหลักฐานการสังเวยชีวิตมนุษยเพื่อการบูชายัญต่อเทพที่พวกเขาเคราพรักนับถือ


สมัยฮารัปปา-โมเฮนโจดาโร ก็ปรากฎว่าได้มีการเคราพพระเทวี  และแม้แต่ในสังคมยุคโบราณซึ่งนอกเหนือจากอินเดียแล้วเหล่าบรรดานักปราชญ์ก็ยอมรับเทพประจำห้วงอากาศ( Sky God) และเจ้าแม่ธรณีหรือพระปฤถวี (Earthen Goddess )
ก็เคยได้รับการบูชามาแล้วในสมัยเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ เพื่อทำให้ฟ้าฝนและการทำนาอุดมสมบูรณ์  ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าตันตระของฮินดูก็มิใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมาเข้ากับศาสนาต่างๆแล้วความโน้นเอียงผันแปรให้เข้ากับศาสนาหรือลัทธินั้นๆก็ย่อมมีเป็นธรรมดา

ตันตระอุบัติขึ้นทางอินเดียใต้  เพราะเชื่อกันว่าย่านนั้นเป็นย่านกำเนิดของเจ้าแม่กาลี  จากนั้นตันตระค่อยๆขยายออกไปทางเหนือจนถึงรัฐพิหาร ( มคธ ) และมาทางเบงกอลตะวันออก  จนถึงอัสสัม
ศูนย์กลางของตันตระเชื่อว่าอยู่ที่แคว้นเบลกอล ในที่นั้นมีเทวรูปและวิหารของพระศรีมหากาลีอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งเหล่าศิษย์ยานุศิษย์ขององค์พระแม่ก็น่าจะทราบกันดี รวมถึงพระเทวีต่างๆในกลุ่มทศมหาวิทยาก็ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่นี้ด้วย




นักปราชญ์ในยุคหลังอย่างเช่นท่านรามากฤษณะ สาวกคนสำคัญของพระศรีมหากาลีกล่าวว่าความเชื่อในศักติมีมาตั้งแต่สมัยพระเวทแล้ว  ทั้งนี้ท่านได้ยกข้อความในฤคเวทมาสนับสนุนว่า ....


''ศักติอยู่ในสรวงสวรรค์ค้ำจุนโลก ( The support of the earth living in the heaven )  และอีกแห่งในฉานโทคยะอุปนิษัท (3,12) ว่าอาศัยศักติเอกภพจึงดำรงอยู่ได้ (By which the universe is upheld )

ทีนี้มาถึงเหล่าสาวกที่บูชาพระกาลี ซึ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายได้แก่พวก '' ทักษิณาจารี '' ฝ่ายขวา กลุ่มนี้ตีความศักติในทางปรัชญาว่ามหาเทวีคือพลังอิทธิฤทธิ์พระศิวะที่ปรากฎในรูปบุคคล ( Personized) ในฐานะชายาของพระองค์
เช่นในปางอุมา เการี ปาราวตีและชคัทมาตา คือพลังฝ่ายดีในธรรมชาติ เสมืองหนึ่งการมีชีวิต

ส่วนในปางกาลีและทุรคา  คือพลังฝ่ายชั่วเสมือนหนึ่งความตายและเป็นความจริงของชีวิต   
ท่านรพิทรนาถ ตะกอร์และรามกฤษณะเห็นว่าศักติคือมายา (ภาพลวงตา ) ซึ่งแสดงปรากฎการณ์สองด้านของโลก คือสวยงามและน่าเกลียด



มาถึงอีกฝั่งหนึ่งได้แก่พวกฝ่ายซ้าย ''วามาจารี''  สำหรับกลุ่มนี้แล้วไม่นิยมตีความศักติในเชิงปรัชญา  แต่เข้าใจตามตัวอักษรว่าศักติคืออำนาจพิเศษทางเวทมนต์และพลังในการประกอบกิจกรรมทางเพศระหว่างชายหญิง
ทั้งพระกาลี ไภรวี ทุรคา และภวณี เป็นที่นิยมของศาสนิกกลุ่มนี้   

ซึ่งประเด็นหลักที่เป็นข้อฉงนสงสัยของท่านเจ้าของกระทู้ก็อยู่ตรงนี้  ทั้งนี้ข้ออธิบายพอสังเขปและยกข้อความในคัมภีร์ตันตระ (นิรวาณตันตระ ) มาอธิบายคร่าวๆให้พอเข้าใจนะค่ะ

การร่วมเพศเพื่อเป็นการบูชาองค์เจ้าแม่ด้วยวิธีนี้ถูกเรียกว่า ''พาดิราวีจักรา ''   

โดยจะต้องรวบรวมผู้ร่วมประกอบกามกิจ ในจำนวนที่เป็นเลขคี่ คือสาม ห้า เจ็ด เก้า หรือบางครั้งจำนวนอาจมากกว่านั้นในพิธีใหญ่ๆ
แต่โดยมารตรฐานคือเก้า เท่าจำนวนดาวพระเคราะห์เก้าดวงในระบบสุริยะจักรวาลที่โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์

เพราะบูชาเจ้าแม่กาลี ความสำคัญจึงอยู่ที่สตรี ตั้งแต่เริ่มจนจบพิธี บุรุษเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น ทั้งนี้การร่วมรักจะเป็นไปในหลายแบบ อาทิเช่น หญิงกับหญิง ชายกับชาย ชายคนเดียวหญิงหลายคน เพราะจำนวนเป็นเลขคี่ จึงไม่มีการจับคู่กัน
ก่อนและหลังประกอบกามกิจ ก็จะมีการสวดมนต์บูชาองค์เจ้าแม่กาลีอยู่ตลอด การถึงจุดสุดยอด ถะถั่งน้ำรักถือว่าเป็นการแสดงการบูชาให้องค์เจ้าแม่พึงพระทัย


ตรงกลางวงกลมจะมีเด็กสาวเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทน  นางไม่ได้ร่วมปฎิบัติกามกิจ แต่จะคอยรับเครื่องบูชาเช่นรวงข้าว ดอกไม้ ผลไม้ ของหวาน ผ้าแพรไหมตลอดจนเพชรนิลจินดา ที่ผู้บูชาองค์เจ้าแม่มอบให้
เครื่องบูชาเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับเหล่านางที่อยู่ในวงกลมพาดิราวีจักรา ร่วมประกอบกามกิจบูชาองค์เจ้าแม่ อันเป็นการให้เกียรติสาวกเจ้าแม่กาลี

จากนี้ขออ้างอิงข้อความสักหนึ่งบทซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างพระศิวะและศักติ มีปรากฎอยู่ในคัมภีร์ตันตระมาให้อ่านกันนะค่ะ



'' โอ้ ศิวะ พระผู้รอบรู้  ขอได้โปรดประทานความหมายและความแตกต่างแห่งแรกเริ่มกามา  เวลาใดเป็นเวลาเหมาะที่สุดในการประกอบกามกิจ และยังมีพิธีกามอย่างอื่นอีกไหม



อะไรคือความลับของจักราปูจา  พาดิราวีจักรา และโยคินีจักรา  มันก่อเกิดได้อย่างไร ได้โปรดบอกข้า อะไรคือความหมายที่สุดดื่มด่ำ ''....  พระอุมาศักติ

'' พระนางถามได้ดียิ่ง หนทางเริ่มต้นแห่งกามา มีวิถีมากมาย แต่ความหมายอันแท้จริงของกามาหมายถึงการยินยอม มอบร่างและจิตวิญญาณแก่ผู้หนึ่ง ''

การผ่านพ้นโยนีของผู้เป็นแม่ คือการลืมชีวิตในชาติก่อน ลืมอดีต แม่รับความเจ็บปวดแต่หนหลังของลูกแทน เมื่อลูกออกมาแม่คือผู้ให้ทั้งโลกแก่ลูก
ชีวิตเกิดใหม่ได้เริ่มต้นใหม่ จนกว่าจะเดินไปสู่ประตูแห่งความตายของโลกนี้ ... นี่คือจุดเริ่มต้นแรกสุดแห่งวิถีกามาของมนุษย์

กาม อารมณ์ราคะ ไปสู่การเสพสมร่วมรักของชายหญิง มีทั้งให้ผลดีและผลเลว ตามแต่ผลกรรมและเจตนาของผู้กระทำ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาจากผู้รู้ทั้งหลาย  ในการปฎิบัติฝึกทางกายและจิต เบ่งบานปัญญาถึงผลกรรมบาปบุญคุณโทษ

ในวิถีกามาทั้งหมด ที่สุดคือการแลกเปลี่ยน  อารมณ์ความรู้สึกของทั้งจิตใจและร่างกาย ที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ให้ผุดออกมารับรสแห่งความสุขที่สวรรค์มอบให้   ตามแต่จะสามารถเข้าใจและตักตวงได้ กับการให้และรับ

การร่วมรักคือกรรมมะ  ร่วมกระทำด้วยกัน โยนีคือเบ้าหลอมของความเปลี่ยนแปลง  ลึงค์คือคฑาวิเศษ ที่มีอำนาจเปลี่ยนสภาพหนึ่งไปสู่อีกสถานภาพหนึ่ง.... '' พระศิวะ ''

ในฮาธาโยคะของทางตันตระ จำแนกถึงการฝึกท่ากลับหัว ณ ขณะที่ร่วมเพศ ว่าก็เป็นการฝึกจิตด้วย มีการบังคับจังหวะหายใจ การขมิบกล้ามเนื้อรูทวาร ที่กลายเป็นปากประตูบนสุดของวิหารร่างกาย
เสมือนการทำหน้าที่หายใจ รับเข้าแทนรูจมูกทั้งนี้ก็เพื่อเอาชนะกระบวนการร่างกายปกติให้ได้

เมื่อพลังปราณะและอปาณะรวมกันเป็นหนึ่ง  จิตวิญญาณจะไปสถิตที่หัวใจ และจะนิ่งพอที่จะสัมผัสดวงปัญญาแห่งสรรพสิ่ง

หลายตำรากล่าวว่า  การเฉียดใกล้ความตายมากเท่าไหร่จิตจะสัมผัสกับปัญญาแห่งสรรพสิ่ง แล้วก็ผูกผนวกไปกับช่วงเวลาแห่งการถึงจุดสุดยอดในกาม  ก็เป็นช่วงสัมผัสดวงปัญญาแห่งสรรพสิ่ง
อันใกล้เคียงกับอาการจุดใกล้เคียงเฉียดความตาย

ในระหว่างชายหญิงเสพกาม  อยู่ในห้วงกามาไปสู่จุดสุดยอด  พลังชีวิตจะสั่นพลิ้วระรัว แตกซ่าน เบิกบาน ซาบซ่า เป็นความรู้สึกราวกับกระแสไฟผ่าน
มีสภาพช็อก กระตุก หัวใจเต้นแรงขึ้น รัวผิดปกติ หน้าแดงก่ำ พลังพลุ่งพล่าน จนทั้งตัวระริก กล้ามเนื้อเกร็งสลับคลาย

เป็นช่วงที่จิตวิญญาณกระชับร่วม   ร่างระริกราวกับควบคุมไม่ได้ พลังถูกดูดกลืนหลั่งหาย  สั่นสะท้านและว่างเปล่า สำลักความสุขจนหายใจติดขัดเป็นห้วง
   

ร่างกายที่กระตุบตุบ ควบคุมไม่ได้  ก็เหมือนร่างที่ชักกระตุกเมื่อวิญญาณปลดปลงออกจากร่าง
ความสุขเสียวซ่านแห่งกามอย่างสุดขั้วของคู่กาม  เป็นความรู้สึกที่เฉียดฉิวความตาย

น่าทึ่งที่ว่า ความสุขสุดขั้วทางกามารมณ์ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบว่าเป็นความตายเล็กๆ  การหลุดพ้นของมนุษย์ที่ไต่สัมผัสถึงสวรรค์  มีเขียนไว้ทั้งในตำราตะวันออกและตะวันตก

ในวิทยาการสมัยใหม่  ให้โจทย์ที่ท้าทายว่า  อาการขาดออกซิเจนในช่วงถึงจุดสุดยอด  ปฎิกิริยาของร่างกาย จะยิ่งขับสารเคมี  ความพึงใจตอบสนองมากกว่าปกติ  ทำให้ยิ่งจะสร้างความเสียวซ่านมากเกินระดับธรรมชาติ  จึงมีท่ากามรุนแรง  รัดคอด้วยผ้าแพร  เพื่อไปสู่จุดนั้น

ในตำราตันตระโบราณระบุว่า ความตายเล็กๆเป็นมุมมืดที่ไม่ควรท้าทาย  เพราะจะทำให้ความเชื่อมโยงของจิตวิญญาณและสายพลังชีวิตหลุดขาดออกจากกัน  จะทำให้ทวารเปิด  พลังชีวิตที่หมุนเวียนในวิหารร่างกายจะไหลออกและเปนอันตรายถึงชีวิตได้
ระหว่างการร่วมรักเสพกามของชายหญิง พลังชีวิตจะไหลเวียนพลุ่งพล่าน  จึงต้องระวังการปิดทวาร  เพื่อมิให้พลังชีวิตไหลออก

เมื่อ(ศิว)ลึงค์และ(อุมา)โยนีสัมผัสสอดใส่ต่อกัน  ในตำราตันตระถือว่าเป็นการช่วยอุดทวารส่วนล่างซึ่งกันและกันของชายหญิง  นอกจากจะสกัดพลังมิให้พลังชีวิตไหลทางทวารเปิดแล้ว  ยังเป็นการแลกเปลี่ยนพลังชีวิตกับจักราส่วนต่างๆอีกด้วย






สำหรับรายละเอียดตลอดจนขั้นตอนต่างๆของพิธีกรรมในทางตันตระบูชาที่อิชั้นยกมาทั้งหมดนี้  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะช่วยบอกหรือแสดงนัยสำคัญอะไรสักอย่างให้พวกเราได้ประจักษ์แจ้งถึงความจริงบางสิ่งบางอย่างของพลังทางเพศที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลนี้นะค่ะ
กล่าวคือ..ถ้าใช้ไปในทางที่ดีก็จักบังเกิดผลดี  และทำให้เราหันกลับมามองมาเข้าใจในธรรมชาติและตัวเองมากยิ่งขึ้น

ส่วนเรื่องที่ว่าพระมหากาลีท่านจะทรงโปรดพิธีพวกนี้หรือไม่ก็ไม่มีใครสามารถจะทราบได้    ซึ่งถ้าสมมุติว่าการกระทำทั้งหมดที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์นี้ไม่เป็นความจริง  ไม่บังเกิดผล ไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อเราเลย  คัมภีร์ทางตันตระนี้ก็มิใช่ว่าจะไร้สาระหรือกลายเป็นเรื่องงมงายไปเสียสะทีเดียว


เพราะถ้าเราลองหันมามองในมุมกลับ  กลุ่มคนโบราณก็อาจจะมีเจตนาที่จะต้องการจะถ่ายทอดองค์ความรู้โบราณ
ผ่านเรื่องเล่า ผ่านเทพปกรณัม  ผ่านข้อความทางศาสนา ตลอดจนผ่านพระคัมภีร์  เหมือนที่หลายๆชนชาติในครั้งโบราณกาลยึดถือวิธีนี้กันมาแต่ดั้งแต่เดิมนะค่ะ

สำหรับอิชั้นแล้วในฐานะที่ก็เป็นสาวกคนหนึ่งก็ยังขอยืนยันคำเดิมว่าก็ยังให้ความเคราพในพิธีกรรมแบบนี้อยู่  โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่มีเจตนาที่จะไปดูถูกหรือเหยียดหยาม  และก็เห็นตามเพื่อนๆหลายๆท่านในทีนี้ด้วยว่าอย่างเราๆไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องไปประกอบพิธีแบบนั้น

การบูชาในแบบอื่นๆ  หรือที่หมู่ฮินดูชนยึดถือและกระทำมากันที่เรียกว่าความภักดี ก็เป็นการเข้าถึงพระเจ้าได้อีกรูปแบบหนึ่งคะ
อีกอย่างเพราะพระเจ้าสูงสุดของเรา (เทวีกาลี)  ทรงเป็นปรพรหมัน  พระองค์จะทรงสถิตอยู่ทุกที่ และตอบรับการบูชาของเราไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็แล้วแต่  ขอเพียงแต่เรามีใจภักดีและมีศรัทธาที่เหนียวแน่นมั่นคง ในองค์เจ้าแม่ตลอดไป

ฝากไว้เท่านี้คะ




#89
โอ้โห ..... อาจารย์เทวบารมี มหาเทวบารมี

ขอชี้แจงหน่อย  ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมานั้นว่าในพระเวท ไม่ได้ห้ามให้เลี้ยงน้องกุ แต่ในพระเวทก็ไม่ได้สอนหรือแนะนำให้เลี้ยงนิ

คะ  เหตุเพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร และมิใช่ทางที่จะพาเราเข้าสู่โมกษะธรรมอันเป็นเป้าหมายคำสอนสูงสุดในศาสนาฮินดู



....  ส่วนเรื่องที่ว่าอย่าให้วัฒนธรรมอื่นมาทำลายมรดกไทยนี่ ท่านอาจารย์เทวาบารมีก็ทำอิชั้นช็อกอีกคะ

มีเรื่องอยากจะแนะนำสักหน่อยว่า  แค่มรดกไทยยังน้อยไป  น่าจะเสนอชื่อให้องค์กรยูเนสโก พิจารณาเปนมรดกโลกเลยอะคะ

อิอิ ...  ทั้งหมดนี้พูดเล่นนะค่ะ

#90
ด้วยความเคราพนะค่ะ คุณอักษรชนนี ....

มิทราบว่ารูปที่ห้านี่ใช่พระสกันท์เหรอค่ะ  อิชั้นว่าเป็นพระศรีกฤษณะมากกว่าอะคะ

ลองดูรูปที่อิชั้นยกมาเทียบนี้นะค่ะ  ทางฝั่งขวามือเป็นรูปพระศรีกฤษณะ  ส่วนทางซ้ายมือเป็นพระสกันท์ ปรากฎเทวลักษณะชัดเจน


คือจะว่าไป  รูปพระศรีกฤษณะทางขวามือนี้มีความคล้ายกับพระสกันมากจริงๆ  ส่วนหนึ่งอาจมีนกยูง  แต่รูปพระกฤษณะก็ไม่ทรงหอกศักติคล้ายกับพระสกันในรูปแรกอะคะ

ซึ่งอาวุธที่อยู่ในพระหัตถ์ศรีกฤษณะนั้นก็จะไปคล้ายกับพระสกัน ในปางปาลานีอย่างที่ก็ทราบๆกันดีอะคะ
แต่ถ้าอิชั้นเข้าใจผิดหรืออย่างไรก็กราบขออภัยด้วยที่มาท้วงติง
ด้วยความปราถนาดีคะ ....


ส่วนรอบนี้ขอฝากรูปไว้นิดๆหน่อยๆนะค่ะ  เหตุเพราะอิชั้นก็ได้นำมาลงไว้บางส่วนแล้ว









#92
ขอพรจากพระศรีลักษมี ที่ท่านเจ้าของกระทู้คือน้องน้ำหวานสุดสวยเคราพนับถืออยู่

จงอวยพรอวยชัยให้ทั้งน้องน้ำหวานและพวกเราพี่ๆน้องๆเหล่าฮินดูชนในบอร์ดนี้  ประสบพบแต่ความสุข ความสำเร็จ

  ความร่ำรวยตลอดปีนี้นะค่ะ

#94
ขออนุญาติที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมานะค่ะ พอดียังจำได้ว่ายังมีรูปพระคงคาที่ตกหล่นอยู่  เลยอยากจะนำมาเพิ่มเติมให้ได้ชมกัน







#95
   ขออนุญาติเข้ามารับพรจากอาจารย์ศรีหริทาสเป็นคนแรก .. อิอิ
   เลยขอหยิบยกพื้นที่นี้ในการอวยพรเพื่อนๆทุกท่านเลยละกันคะ  ในฐานะที่อิชั้นก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี้เนอะ


   เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่นี้  สำหรับพวกเราเหล่าฮินดูชนแล้วคงจะไม่มีพรใดที่จะประเสริฐไปกว่าพรของพระเป็นเจ้าที่พวกเราเคราพนับถือยึดเป็นสิ่งสูงสุดนะค่ะ

   จึงใคร่ขออัญเชิญพรจากพระศรีคเณศองค์ปฐมบรมครูของพวกเรา  รวมไปถึงพระตรีเทพ  อันได้แก่  พระศรีหริวิษณุเทพ พระพรหมเทพ และพระมเหศวรศิวะ   ตลอดจนพระตรีเทวี อันได้แก่ พระศรีมหาอุมาเทวี พระศรีมหาลักษมี พระศรีมหาสรัสวตี  และที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นอิษฐเทวฺตาสูงสุดของอิชั้นคือพระศรีมหาภัทรกาลี  จงอวยพรอวยชัยให้เพื่อนๆข้ามผ่านพ้นสิ่งไม่ดี  ตลอดจนอุปสรรคขวากหนามที่จะต้องประสบพบเจอในปีนี้ให้ได้นะค่ะ  คิดหวังวิ่งใดก็ขอให้สมความปราถนา 

   สุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายรูปภาพสวยๆเป็นของขวัญปีใหม่เล็กๆน้อยๆให้เพื่อนๆนะค่ะ  ขอพระเป็นเจ้าอวยพระพรคะ





      










































#96
โห  น้องเสือเราไม่เจอตั้งนานกลับมาครั้งนี้ทั้งทีความรู้แน่นเอียด เลิศคะ
#97
ขอมอบรูปนี้ให้เพื่อนๆเหล่าบรรดาสาวกในสายไวษณ นะค่ะ  ขอพระศรีหริวิษณุ ศรีราม และศรีกฤษณะคุ้มครองทุกท่าน



#98
พูดถึงพระมหิษาแล้ว เราก็จำได้ว่ามีอยู่รูปนึงเป็นภาพเขียนสีน้ำมัน ตรงประตูทางเข้าวัดพระดุรกาที่เมืองศรีชยาวารดีนะปุระโกฎิ

อินเดียใต้ เขยิบไปทางศรีลังกาโน้น ....


#99
ถ้าเพื่อนๆท่านใดว่างก็อยากให้แวะไปเข้าร่วมในพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลบ้างคะ
#101

















อิชั้นจัดให้หนักสำหรับสาวกพระศรีกฤษณะ อิอิ


#103
ช่วยอีกแรงนะค่ะ ไม่รู้จะถูกใจท่านเจ้าของกระทู้หรือเปล่านะ ....
























#104
















เทพตัวเขียวมีเยอะแยะไปคะ














พระแม่มาตังกีก็ตัวเขียว

#105
ตอบตามตรงด้วยความปราถนาดีอย่างยิ่ง ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจหลายๆท่าน 

อิชั้นไม่อยากให้พวกคุณมัวแต่หมกมุ่น ยึดติดอยู่แต่กับมายา รูปลักษณ์หรือติดอยู่แต่กับเปลือกนอก

แล้วละเลยแก่นสารคำสอนที่แท้จริงไป   น่าจะมองหาธรรมมะ หรือคำสอนดีๆที่แฝงหรือสอดแทรกไว้ในปกรณัมหรือหลักปรัชญาของศาสนาอะคะ


จะน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าศาสนาที่มีการนับถือบูชากันมาเป็นพันๆปี  ให้ได้แค่ความสุขใจในการหลงยึดติดกับมายา

ศาสนาสอนให้ให้เพียรปฎิบัติกรรมะ กรรมดี เพื่อสักวันเราจะได้กลับไปรวมกับพรหมัน

ศาสนาให้พวกคุณได้แค่นี้เองเหรอค่ะ ???
#106
พีชมนต์กาลี นี่  กรีง เหรอค่ะ ไม่เคยได้ยิน ส่วนบทที่สองกาลีอินเดียใต้เหรอค่ะ
#107
#108
#109
#110
#111
ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับคุณ กาลอวตาร อย่างแรงคะ อิอิ

พระเป็นเจ้าทรงเป็นเอกภาวะ  ซึ่งสภาวะดังกล่าวต่างไปจากโลกสมมุติโดยสิ้นเชิง มิสามารถหาอะไรมาเปรียบเปรยเปรียบเทียบได้

ดังนั้นพระองค์จึงทรงสภาวะ นิรคุณพรหมัน โดยสมบูรณ์
#113
ช่วยท่านเจ้าของกระทู้และกันนะค่ะ สำหรับอัษฐลักษมี  อิอิ  แต่ของเราเป็นอินเดียใต้
























ต่อไปเป็นแบบมูรติที่อลังการัมเอานะค่ะ เริ่มจาก วีรลักษมี



ต่อด้วยธัญลักษมี




อติลักษมี






ธนาลักษมี



สันตนลักษมี




























ไล่ลงมาเหมือนเดิมนะค่ะ     อธิลักษมี





สันตนลักษมี




ธนาลักษมี




วิชยลักษมี




วิทยาลักษมี



ธัญลักษมี



คชลักษมี








#114
ธยานัมน่าจะหมายถึงการทำสมาธิรำลึกถึงพระเป็นเจ้า จะคล้ายๆกับจาปา แต่คนละอย่างกัน
#117
พระกามัคชี่ เป็นปางหนึ่งของตรีปุระสุนทะรีไงค่ะ  จัดอยู่ในกลุ่มศรีวิทยา หรือที่เรารู้จักกันในปางใหญ่คือ ลลิตามหาตรีปุระสุนทะรีอะคะ

ปางสำคัญของตรีปุระสุนทะรีที่เรารู้จักกันก็เช่น

พระแม่มีนัคชี่ แห่งมาดูไร

พระแม่อกิลันเดชวารี แห่งติรุวันไนกาวัน




พระแม่วิชาลากชี แห่งวาราณสี




วัดที่มีชื่อเสียงของพระกามัคชี่ คือศรีกามัคชี่อัมมัน ในเมืองกาญจีปุรัมคะ เพื่อนๆน่าจะคุ้นกันดี ถ้าจำไม่ผิดนะ

อาจจะงงกันนิดๆ เพราะเทวีในสายลลิตามีเป็นพันๆองค์ เหอๆ
#118
ว้าว หินน้ำนมด้วย เลิศ
#119
ขออนุญาตินะค่ะ อิชั้นรู้สึกว่าบางรูปของคุณมิเชลมิใช่พระแม่กาลี  ตัวอย่างเช่นรูปที่สองนี่เห็นจะเป็นพระชินมัสตาคะ

ที่มีปรากฎอยู่ในทศมหาวิทยา


อิชั้นก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเคราพรักศรัทธาในองค์พระกาลีมากเช่นกัน และก็ทราบดีถึงกลุ่มพลังศรัทธาต่อองค์พระแม่ในประเทศนี้

ว่ามีกันอย่างล้นหลาม  แต่น้อยนักที่จะอุทิศตัวศึกษาในเรื่องราวประวัติของพระแม่  น้อยนักที่จะเข้าใจ เข้าหา เข้าใกล้พระเป็นเจ้าที่เรารัก

ทั้งในเรื่องของ พระคัมภีร์ มันตรา  และอะไรอีกหลายๆอย่าง

ส่วนใหญ่เข้าใจว่ามัวแต่ไปติด ไปวนอยู่แต่กับรูปลักษณ์ (มายา) อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์  และก็อะไรไร้สาระต่างๆนาๆ จนลืมแก่นคำสอน ปรัชญาและธรรมมะที่แฝงอยู่ในปางอวตารที่แท้จริงของศาสนาไป   

สำหรับตัวอิชั้นแล้ว กาลีคือพลังสูงสุด กาลีคือพรหมมัน  เราเกิดมาเพื่อเพียรปฎิบัติกรรมดี เพื่อที่สักวันเราจะได้กับไปรวมกับพระเป็นเจ้า(พรหมัน)โดยสมบูรณ์

สุดท้ายนี้ขอฝากคลิปมนต์ตราศักสิทธิ์   ศรีกาลีกายาตรี  ไว้ให้ผู้ที่มีความศรัทธาเคราพรักในองค์พระเทวี ได้สวดสรรเสริญ ภาวนามนต์แห่งพระเทวีให้กึกก้องไปทั่วสามโลก  ให้พระแม่ได้รับรู้ถึงความศรัทธาที่พวกเรา เหล่าสาวกมีต่อพระองค์
และเราเหล่ากาลีสาวกก็จะเดินตามรอยสาวกเอกแห่งพระกาลีนั่นคือท่าน รามกฤษณะ สืบไป











http://www.youtube.com/v/eGZad4FHS84