Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - ศรีมหามารตี

#41
คุณบุตรมาเต นอนได้แล้วคะ ฮ่าๆ  ดึกแล้วไม่ใช่เหรอ
#42
 
  พรหมี  ब्राह्मणी - ศักติของพระพรหม









   








   
#43
   
               .... ขออนุญาติตอบกระทู้นี้นะค่ะ  เฝ้าดูอยู่นานไม่เห็นมีใครมาช่วยสักที  สงสารท่านเจ้าของกระทู้คะ

                  แต่ก่อนจะไปที่เรื่องของพริกกับมะนาวนั้น  ต้องขอท้าวความไปถึงเรื่อง ''ทรรศนะ'' ก่อนคะ
                  ในโลกของฮินดูนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสายตา การมองเห็น หรือแม้แต่กระทั่งการถูกมองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก



               
      



       ''การเพ่งดู''  (Darsana/Darshan - दर्शन ) ในการบูชาพระเจ้าก็คือการได้รับพลังผ่านทางดวงตาดังนั้นการมองจึงมีพลังมหาศาล
       ยิ่งโดยเฉพาะในทางเทวาลัยฝ่ายใต้ของอินเดียด้วยแล้ว  การมองยิ่งจะเข้ามามีบทบาทมากคะ

 
      ตัวอย่างเช่นการเข้าไปสักการะองค์พระเป็นเจ้าในเทวาลัยของทางฝ่ายอินเดียใต้    เริ่มต้นที่
      การเข้าเคราพพระแม่ธรณี  โดยการใช้มือขวาแตะที่ธรณีประตูตรงรูปดอกบัว (มณฑณจักรวาล) แล้วแตะที่ศรีษะก่อนข้ามผ่าน
      จากนั้นตามด้วยการสักการะเทพรอบนอก  ซึ่งโดยตามธรรมเนียมแล้วจะสักการะเทพด้านนอกก่อนเทพประธานด้านใน

   
      มาถึงขั้นตอนที่สามคือการบูชาเทพเพื่อ ''ทรรศนะ '' คะ  ในกรณีที่มีโอกาสได้เข้าไปถึงห้องชั้นในหรือห้อง ''ครรภคฤหะ''
      ให้พึงสำรวม  ส่งเครื่องบูชาแก่พราหมณ์แล้ว ''เพ่งดู''  เพื่อรับพลังจากองค์เทวรูปคะ   ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญมาก


      แล้วด้วยสาเหตุที่ว่าเทวาลัยฮินดูส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะอนุญาติให้ผู้ที่มิได้เป็นฮินดูเข้าไปภายในห้องที่ประดิษฐานเทวรูปประธาน  ''ครรภคฤหะ ''
      ส่วนหนึ่งก็มาจากความเชื่อที่ว่าการมองของคนนอกนั้นอาจทำให้เกิดภาวะแปดเปื้อนต่อองค์เทวะ
      ทั้งนี้อิชั้นคิดว่าการห้ามถ่ายภาพก็คงมีฐานมาจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


      เมื่อการมองมีพลังด้านมืด  ของดีงามที่ถูกจ้องมองบ่อยๆก็จะเสื่อมถอย  และที่ยิ่งไปกว่านั้น หากมีสายตาที่ไม่ประสงค์ดี  คิดอิจฉาริษยา
      ก็ยิ่งส่งผลร้าย  ดังนั้นตามหน้าบ้าน  หน้าร้าน โรงงาน เครื่องจักร หรือแม้แต่เพิงขายของในทมิฬนาฑู เราจะสังเกตเห็นภาพอสูรแลบลิ้น
      ซึ่งเป็นการปกป้องสถานที่นั้นๆจากสายตาชั่วร้าย เพราะเมื่อสายตาเห็นภาพหน้าอสูร  พลังด้านมืดก็จะถูกดูดกลืนไป
      ภาพหน้าอสูรนี้บางครั้งเขียนไว้บนลูกฟักทองกลมๆแขวนใส่สาแหรกใต้ชายคาหน้าบ้าน หรือร้านค้าก็มีคะ


            
    



               
                   

                        




                           









   
         




                
               
                




    ซึ่งคติความเชื่อนี้แพร่หลายมาก ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกพลังด้านมืดของดวงตาทำนองนี้ว่า ''Evil  eyes ''
    ส่วนในภาษาสันสกฤตเรียกว่า (Drishti -धीति ) โดยรากศัพท์คือทิษฐิ ในภาษาไทยนั่นเอง      


การป้องกันตาร้อนอาจทำได้หลายวิธี  แต่ที่เห็นได้ทั่วไป  แม้แต่หน้าร้านแขกในเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นชุมชนร้านค้าแถวพาหุรัดหรือแถววัดแขกสีลมตามที่ท่านเจ้าของกระทู้ได้พบเจอมานั้น  คือการร้อยพริกกับมะนาว อันเป็นของแสบร้อน  แขวนเป็นพวงหน้าบ้านหรือหน้าร้าน


               




                  



               เครื่องรางที่ใช้เพื่อการนี้อีกอย่างก็คือก้อนสารส้มที่แขวนห้อยไว้กับผมเปีย  พบเห็นห้อยแขวนอยู่หน้ารถยนต์ ข้างป้ายทะเบียน
               หน้าประตูโรงแรมหรือหน้าบ้านก็มี


              แม้แต่ภาพปั้นที่เป็นเรื่องทางเพศ (Erotic Art) ที่มีประดับปนๆอยู่บนชั้นหลังคาซุ้มประตู (โคปุระ) ตามเทวาลัยต่างๆ ก็มีผู้ให้คำ
              อธิบายว่าเป็นการป้องกันสำหรับเทวสถานเช่นกันคะ


                จริงๆมันมีตำนานที่ว่าด้วยเรื่องของพริกกับมะนาวที่เกี่ยวข้องกับองค์พระเทวี แต่วันนี้อิชั้นมีเวลาจำกัด เลยเขียนได้เท่านี้
               ขาดตกบกพร่องอย่างไรก็กราบขออภัยด้วย หรือกูรูท่านอื่นจะมาเสริมเพื่อเป็นประโยชน์เป็นความรู้แก่หลายๆท่านในบอร์ดนี้ก็ยินดีคะ


               
                  
#44
 
ขออนุญาตเพิ่มเติมเรื่องการกินใบกระเพรา  หรือการกินผัดกระเพราของคุณ Chai สักนิดนะค่ะ เนื่องจากว่าส่วนตัวแล้วอิชั้นมีความเห็นต่างไปนิดหน่อย  ตามเท่าที่ได้ศึกษามา  เพราะก็เห็นว่าคนอินเดียเขาก็ทานใบกระเพรากันเยอะแยะไป<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p>
<o:p> </o:p>
ปกติก็เห็นเหล่าฮินดูชนให้ความสำคัญกับต้นกระเพรามิใช่น้อย  ด้วยล้วนแล้วแต่ก็มีเหตุผลแตกต่างกันออกไป  กล่าวคือ นอกจากจะมีการนับถือบูชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์แล้วยังถูกให้ความสำคัญในฐานะพืชสมุนไพรที่สำคัญของแดนภารตะอีกด้วย
<o:p> </o:p>
ซึ่งก็แน่นอนว่ามีตำราการใช้สมุนไพร อาทิเช่นใบสะเดา หรือต้นกระเพรามีปรากฏอยู่ในอายุรเวทของอินเดีย
<o:p> </o:p>
ในทีนี้ขอหยิบยกพืชสมุนไพรที่โดดเด่นและสำคัญในวัฒนธรรมฮินดูมาสองอย่าง เริ่มต้นที่สะเดาเลยละกันนะค่ะ
<o:p> </o:p>
สะเดานี่ถ้าจำไม่ผิดมีความเกี่ยวข้องกับพระมารีอัมมันโดยเฉพาะ  โดยคำว่า มารี ในภาษาทมิฬนั้นพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ โรคติดต่อร้ายแรงในสมัยก่อน   ผู้บูชาด้วยใบสะเดาซึ่งถือเป็นยา  จักได้รับการคุ้มครองให้ห่างจากโรคร้ายนี้

ซึ่งในเมืองไทยเรานั้นก็มีวัดแขกสีลมซึ่งแต่เดิมนั้นประดิษฐานมูรติพระมารีอัมมันใต้ต้นสะเดากลางไร่อ้อยย่านหัวลำโพงมาก่อน
<o:p> </o:p>
ในพิธีสนธยาของชาวฮินดูก็มีความเกี่ยวข้องกับสมุนไพรทั้งสองประเภทนี้คะ ทั้งสะเดาและกระเพรา
<o:p> </o:p>
พิธีสนธยาเป็นพิธีชำระให้บริสุทธิ์ด้วยน้ำอีกวิธีหนึ่ง  ในการนี้มีการอาบน้ำวันละสามครั้งในแม่น้ำคงคาอันศักสิทธิ์  เริ่มต้นด้วยการสวดมนต์สดุดีแม่น้ำคงคาว่า เป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถล้างบาปและทำให้พ้นความชั่วได้ ระหว่างนี้ก็ระลึกนึกถึงแม่น้ำทั้งสองในอินเดียเสร็จแล้วลงอาบน้ำ  และทำจิตใจให้แน่วแน่ว่าได้ลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาแล้ว
<o:p> </o:p>
ต่อไปก็วักน้ำใส่มือสามครั้ง  หันหน้าไปทางพระอาทิตย์  เสร็จแล้วขึ้นจากน้ำ แต่งตัว แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ระหว่างนี้กรอกน้ำใส่หม้อทองเหลือง  แล้วตั้งไว้ตรงหน้า
<o:p> </o:p>
ถัดมาใช้ขี้เถ้าจากขี้วัวหรือไม้หอมถูหน้าผาก เอาขี้เถ้าแต้มเป็นดิลก แล้วสวมดอกไม้หรือลูกประคำคอ ระลึกถึงพระวิษณุ แล้วดื่มน้ำสามอึก
<o:p> </o:p>
ต่อมารินน้ำในหม้อลงดินสามครั้ง เป็นการแสดงความนอบน้อมต่อพระอาทิตย์ เสร็จแล้วรินน้ำลงดิน กรวดน้ำให้พระพรหม วิษณุ ศิวะ อินทร์ อัคนี ยม วรุณ วายุและกุเวร


ต่อไปลุกขึ้นเปล่งนามพระสุริยเทพเป็นการสักการะ  แล้วก็เข้าสมาธิระลึกนึกถึงพระวิษณุ สวดมนต์สรรเสริญพระวิษณุและเทวดาองค์อื่นๆ  ต่อมาสวดมนต์สรรเสริญพระอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง
<o:p> </o:p>
เสร็จแล้วหมุนรอบตัวเองสิบสองครั้ง หรือยี่สิบแปดครั้ง เป็นการบูชาพระอาทิตย์
<o:p> </o:p>

ถัดมาเดินไปยังต้นสะเดาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  แล้วสวดมนต์สรรเสริญพระตรีมูรติที่ต้นกระเพรา กล่าวคือ สวดว่ารากกระเพราได้แก่พระพรหม ลำต้นได้แก่พระศิวะ และกิ่งก้านได้แก่พระวิษณุ ทีนี้ทำทักษิณาวรรตรอบต้นกระเพราเจ็ดครั้ง สิบสี่ครั้ง ยี่สิบเอ็ดครั้ง ยี่สิบแปดครั้ง หรือสามสิบห้าครั้งตามศรัทธาแล้วร่ายเวทขอขมาบาปในโลกนี้ แล้วขอสวรรค์ในโลกหน้าเป็นอันเสร็จพิธี
<o:p> </o:p>
ตามวัฒนธรรมของชาวทมิฬนี้ต้นสะเดาถูกสถาปณาขึ้นเป็นเทวีอีกองค์นามว่า พระแม่วิเปเล่ คล้ายกับเทวีตุลศีหรือพระแม่วริณดาที่อยู่กับต้นกระเพราคะ




http://www.youtube.com/v/56dzeKZXGXM&feature=related


<o:p> </o:p>



โดยปกติแล้วชาวอินเดียจะใช้กิ่งของต้นสะเดาถูฟันทุกๆเช้า ฟันของเขาจึงสะอาดอยู่เสมอโดยไม่ต้องใช้แปรงและยาสีฟัน  ต้นสะเดาใช้ทำยารักษาไข้ได้  เปลือกของมันก็ใช้รักษาไข้ทรพิษด้วย  ในการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย พวกฮินดูเอากิ่งสะเดาแขวนไว้ที่ชายคาบ้าน และแขวนไว้รอบๆตัวคนไข้  สำหรับบ้านหญิงที่มีครรภ์หรือออกลูก  ก็เอากิ่งสะเดาแขวนที่ชายคาเพื่อไล่ผี  เวลาไปไหนถ้ากลัวผีก็เอาใบสะเดาไปคุ้มตัวด้วย  ทั้งนี้เชื่อกันว่าถ้าผู้ใดนอนใต้ต้นสะเดาจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆคะ








มาถึงต้นกระเพรากันบ้างนะค่ะ   ต้นกระเพราปกติเขาก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับท้องไส้อยู่แล้ว
<o:p> </o:p>
อ้างอิงตามธรรมเนียมฮินดูเช่นเคยว่าหลังจากตื่นนอนพวกที่เคร่งในศาสนาจะไปทำทักษิณาวรรครอบๆต้นกระเพรา ซึ่งปลูกไว้หน้าบ้าน  ระหว่างนี้ก็จะร่ายพระเวทไปด้วย  กระทั่งแสงเงินแสงทองขึ้น หมายถึงแสงอาทิตย์นะค่ะ
<o:p> </o:p>
เวลาพราหมณ์ท่านใดที่กำลังจะสิ้นใจจะถอนต้นกระเพราไปวางไว้ที่แท่นบูชา  เมื่อทำพิธีบุชาต้นกระเพราแล้ว ก็จะเด็ดรากหน่อยหนึ่งไปวางที่ปากของผู้ตาย  แล้วเอาใบของมันวางไว้ที่หน้า ตา หูและ หน้าอก 
<o:p> </o:p>
ต่อมาก็ใช้กิ่งกระเพราจุ่มน้ำพรมไปทั่วกายของผู้ที่กำลังจะสิ้นใจ แล้วก็ท่องว่า ตุลศีๆๆ
<o:p> </o:p>
ชาวฮินดูบางส่วนจะนิยมปลงอาบัติกับต้นกระเพรา  กล่าวคือถ้าผู้ใดแตะต้องต้นกระเพรา  บาปต่างๆที่ทำไว้ก็จะหายหมด  ถ้าผู้ใดป่วยแล้วไหว้ต้นกระเพรา  ความป่วยของเขาก็จะหาย คนที่รดน้ำต้นกระเพราย่อมได้บุญมาก  คือสามารถพ้นจากวิบากกรมไปได้







<o:p> </o:p>
จากปุราณะกล่าวว่าถ้าผู้ใดใช้กิ่งกะเพราบูชาพระหริแล้ว จะได้กุศลยิ่งกว่าบูชาพระองค์ด้วยวัวหนึ่งพันตัวเสียอีกคะ
<o:p> </o:p>
ทั้งนี้ยังเชื่อกันอีกว่าถ้าผู้ใดมีกิ่งกระเพราติดตัวไว้  หากตกทุกข์ได้ยาก มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ต้นกระเพราก็จะบรรเทาผลร้ายลงได้  พวกฮินดูจึงนิยมปลูกกระเพราไว้ทุกๆบ้าน



ซึ่งจะปลูกมันบนกองทรายย่อมๆเรียกว่า พฤทาวน หรือปลูกบนยอดเสาสี่เหลี่ยม สูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร  หลังอาหารพวกฮินดูมักกินใบกระเพราหนึ่งถึงสองใบเพื่อช่วยย่อยอาหาร  และหลังจากอาบน้ำเย็นแล้วก็กินใบกระเพราป้องกันหวัดและไข้
<o:p> </o:p>
จากข้อมูลที่อิชั้นชี้แจ้งมาทั้งหมดนี้คงจะทำให้คุณชัยคลายความสงสัยได้กับคำพูดที่ว่าเลิกกินผัดกระเพรานะค่ะ
<o:p> </o:p>
เพราะอิชั้นก็เห็นว่าฮินดูชนนิยมทานใบกระเพรา แม้แต่พิธีสันธยาอารตีที่โบสถ์เทพมณเทียร หลังเสร็จพิธีแล้วจะมีพิธีมอบของเทวประสาทให้ ก็จะให้ดื่มน้ำมนต์ศักสิทธิ์ซึ่งก็มีใบกระเพราลอยอยู่ด้วยอะคะ<o:p></o:p>
<o:p> </o:p>
ฝากทิ้งท้ายไว้อีกนิดไหนๆก็ไหนๆแล้ว  เดี่ยวคุณจะหาว่าเหล่าฮินดูชนไร้สาระไหว้อะไรก็ไม่รู้  ไหว้ไปได้ต้นไม้
ก้อนหิน  ถ้าเราจะหันกลับมามองพิธีกรรมเหล่านี้ในแง่ของมานุษยวิทยา หรือคติชนวิทยาแล้วอิชั้นว่าพิธีหรือความเชื่อพวกนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งคะ
<o:p> </o:p>
จะเห็นได้ว่าฮินดูชนให้ความเคราพนับถือสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ที่ให้ทั้งคุณและให้ประโยชน์กับพวกเขา  ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หรือพืชสมุนไพรตามที่อิชั้นได้กล่าวมาในข้างต้นนะค่ะ ทั้งยังมีการนับถือพระโคซึ่งก็คงพูดอย่างไม่ต้องสงสัยว่าแม่โคมีประโยชน์อย่างไรกับประเทศอินเดียตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
<o:p> </o:p>
หรือแม้แต่ผืนแผ่นดินนี้ที่ให้กำเนิดพวกเราเหล่ามนุษยชาติ  ฮินดูชนก็ยังสำนึกในบุญคุณแล้วแล้วแสดงความกตัญญูคะ เรื่องนี้คุณก็น่าจะทราบดี  <o:p></o:p>
<o:p> </o:p>
อยากให้คุณเปิดใจให้กว้างสักนิด  มองทุกอย่างในแง่บวก อิชั้นเชื่อแน่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีนัยดีๆแอบแฝงอยู่ในตัวมันเองคะ  แล้วยิ่งโดยเฉพาะกับสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้  แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ถึงความลี้ลับของสกลจักรวาลและโลกใบนี้    อย่าลืมนะค่ะ เปิดใจให้กว้าง ศึกษาให้ท่องแท้ แล้วลดละเลิกพฤติกรรมก้าวร้าว ทิษฐิ อวดดีถือดี  แค่เท่านี้อิชั้นว่าคุณจะเข้าไปนั่งอยู่ในใจใครหลายๆคนได้แน่เชียวคะ<o:p></o:p>





#46
เหอๆ  กลับมาเหมือนเดิมเลยนะค่ะ ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆสำหรับคุณปลาวาล คุณแต่ก็มิได้นำพา หรือคุณตรีศังกุ ในภาคใหม่ว่า chai

อย่างไรก็ขอให้ใช้เหตุและผลในการถกันนะค่ะ  ดิชั้นเชื่อดีว่าพระเป็นเจ้าจะทรงรู้ดีที่สุดว่าอะไรเปนอย่างไร ใครมีเจตนาอย่างไร

ศานติ คะ
#48


ขอบพระคุณสำหรับภาพงามๆอีกครั้งคะ
#49
 



เนื่องด้วยวันมหาศิวราตรีปีนี้    ขอพรแห่งพระศิวะและพระศิวาจงสถิตอยู่ทุกท่านทั้งหลายในบอร์ดแห่งนี้นะค่ะ
#50
 

   ขอบพระคุณภาพงามๆทั้งในวันนี้และในวันงานสถาปณาศิวลึงค์องค์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้นะค่ะ คุณอินทุศิตาลา

   

#51
 

  ขอบคุณคุณอักษรีมากจ้า...
#52
 
   ก็ตามที่จั่วหัวไว้นะค่ะ  ว่าต้องการมันตราบทนี้แบบที่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ ท่านใดที่มีมนต์บทนี้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอักษรเทวนาครี 

ภาษาอังกฤษ  ภาษาไทย   ก็ช่วยเมตตาแบ่งปันอิชั้นบ้างนะค่ะ  เพราะก็พลิกแผ่นดินหามาร่วมปีแล้ว  จนท้อไปหมด อิอิ

  เจอก็แต่คลิปเสียง  งั้นรอบนี้ก็จะทิ้งเป็นคลิปเสียงไว้ละกัน  เผื่อท่านใดคุ้นๆก็จะได้ช่วยกันหานะค่ะ

  กราบขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้าด้วยจริงๆจากใจ และขอพรจากองค์พระศรีมหากาลีคุ้มครองทุกท่านนะค่ะ



  http://www.youtube.com/v/GhcRcMesQp4&feature=player_embedded



 

   
 
#53
ขอให้ท่านเจ้าของกระทู้ได้เทวรูปสมดังใจปราถนาเร็วๆนะค่ะ ...






#54
ใจเย็นๆเหมือนที่คุณบุตรมาเตว่าคะ
#59
Quote from: กาลิทัส on February 17, 2011, 17:23:03
ลายเซ็นเจ้ากิ๊ฟได้ใจครับ มาเม้นต์โดยเฉพาะ

พระมหากาลี งดงามจับใจ


ฮ่าๆ  เพิ่งจะมีถูกใจเฮียยีนส์ก็คราวนี้ละน๊อ
#60





คำตอบอยู่ในลิ้งนี้ลองอ่านดูคะ  http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1045.80
#61
 

  มณทปบุด้วยทองคำ  และรูปพิเภก  อัญเชิญพระรังคนาถ






















#62
 
  ว่ากันต่อเรื่องกำแพงหลายชั้นที่คุณ มาตาศรีมารีอัมมันถามถึงนะค่ะ ....


   ตัวเมืองศรีรังคามนี้มีกำแพง  ( ภาษาทมิฬเรียก ปราการ Prakara ) ล้อมถึงเจ็ดชั้นด้วยกัน

   - วงกำแพงชั้นที่ 7-5

   กำแพงชั้นนอกสูงสุด 7 เมตร  กว้าง 2  เมตร   และมีขนาดกว้างยาว 945*775 เมตร 

   แต่ปัจจุบันนี้ตั้งแต่ชั้นนอกสุดคือชั้นที่ 7 เข้ามาจนถึงแนวกำแพงชั้นที่ 4  กลายเป็นบ้านของพราหมณ์ ตลาด ร้านค้า  เทวาลัยน้อยใหญ่
   โรงเก็บรถะของเทวาลัยศรีรังคนาถ   ตลอดจนที่พักแรมสำหรับผู้แสวงบุญ   ประมาณกันว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเขตกำแพงนี้หลายหมื่นคน

    หากมองจากภาพถ่ายทางอากาศ  หรือภาพถ่ายดาวเทียม เช่น Google Earth ก็จะเห็นว่าบ้านเรือนในแต่ละชั้น จะตั้งหันหลังเข้าหากำแพงเดิม
    แล้วหันหน้าเข้าหากันเป็นชั้นๆตามแนวถนน

     เทวาลัยแห่งนี้มีโคปุรัมอยู่ 21 แห่ง  ส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 14-17  ยกเว้น  ราชาโคปุรัม หรือโคปุรัมอันเป็นทางเข้าหลักทางทิศใต้ 

    มีเกร็ดของคนทมิฬเล่าว่า  แต่เดิมโคปุรัมใหญ่มีการบูรณะสร้างเสริมเป็นโคปุรัม 13 ชั้นที่สูงถึง72 เมตร  เมื่อปี พศ.2530/1987  หรือเมื่อ20กว่าปีมานี้เอง

    ทว่า  โคปุรัมที่สูงที่สุดในรัฐทมิฬนาฑูปัจจุบัน  กลับดูเหมือนจะไปบดบังสายพระเนตรของพระนารายณ์ที่เฝ้ามองเกาะลังกาอยู่   นับแต่นั้นมา  เกาะลังกาจึงเกิดความวุ่นวาย   จากการรบพุ่งระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวทมิฬและรัฐบาล ของชาวสิงหลมาโดยตลอดจนบัดนี้ 

   ส่วนวงกำแพงชั้นที่ 4  ประกอบด้วย 

    - เทวาลัยเวณุโคปาล
   
    - เทวาลัยศรีรังคนาชายาลักษมี

    - มณฑปพันเสา

    -  มณฑปม้าศึก

    - พิพิธภัณฑ์

   
      วงกำแพงชั้นที่สาม  ประกอบด้วย

     - ครุฑมณทป


       วงกำแพงชั้นที่ 2 และชั้นในสุด  ( อนุญาติให้เข้าได้เฉพาะฮินดู )
   
        ถัดจากนี้เข้าไปคือเทวสถานของพระนารายณ์  หรือวิมานศรีรังคนาถ   ในกำแพงชั้นที่2 และชั้นในสุด   ภายในประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์บรรมทสินธุ์ ขนาดยาว 4.5 เมตร  เป็นประธาน   ซึ่งห้ามิให้ คนนอก หรือ Non-hindu เข้า  แต่ถึงแม้จะไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้  ก็มีภาพเทวรูปพระนารายณ์  อัดใส่กรอบแขวนไว้ให้ดูอยู่ภายนอก

    ในเขตเทวสถานชั้นยังยังมีสถานที่บูชาเทพเจ้าอีกหลายองค์  ในที่นี้รวมถึงพิเภกด้วยนะค่ะ 


   รอบนี้เอาข้อมูลกันไปแค่นี้ก่อนนะค่ะ  พอดียุ่งๆ  ถ้ามีเวลาจะมาลงรายละเอียดให้  ปัจจุบันนี้พบว่ามีวัดหลายแห่งสร้างเลียนแบบเทวาลัยศรีรังคนาถ ตามรูปข้างล่างที่ยกมาคะ


















































   
#63
 
  ขออนุญาติเข้ามาเพิ่มเติมอะไรเล็กน้อย นิดๆหน่อยๆนะค่ะ

  ตามที่ท่านอาจารย์หริทาสกล่าวนั้นละคะ  ว่าหลังจากเสร็จศึกลงกาแล้ว ทศกัณฑ์สิ้นชีพไป  พระรามก็อภิเษกให้พิเภกกลับไปครองกรุงลงกา
  โดยประทานเทวรูปให้ไปสักการะแทนองค์  พิเภกจึงนำเทวรูปทูนเหนือเศียรเหาะไปยังกรุงลงกา

  ระหว่างทางผ่านแม่น้ำเกาเวริ  จึงแวะลงพักผ่อนและชำระร่างกาย ด้วยว่าแม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำศักสิทธิ์ของอินเดียใต้เทียบเท่ากับแม่น้ำคงคาในอินเดียเหนือเลยทีเดียว

พิเภกวางรูปปฎิมา ณ ริมฝั่งแม่น้ำ  แต่เมื่ออาบน้ำเสร็จ  จะอัญเชิญเทวรูปเดินทางต่อ  กลับยกไม่ขึ้น  สุดท้ายจึงต้องยอมตามพระทัย ให้ประทับอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเกาเวรินั้น

  พิเภกก็ต้องกลับลงกาไปมือเปล่า  แต่ก็สัญญาว่าจะกลับมาถวายสักการะรูปพระนารายณ์ทุกปี ซึ่งในปัจจุบันนี้ คนท้องถิ่นก็ยังเชื่อกันว่าพิเภกก็ยังกลับมาอยู่จนบัดนี้

ต่อมาบริเวณโดยรอบที่พระนารายณ์สถิตอยู่เกิดเป็นป่าทึบเข้าปกคลุมนานหลายร้อยปี    จนเมื่อพวกโจฬะเข้ามาถึงและพบรูปปฎิมานี้จึงได้สร้างเทวสถานขึ้นเป็นเทวาลัยศรีรังคนาถ

  ว่ากันว่าไฮไล้ของเทวสถานแห่งนี้คือ หลังคาของเทวาลัยประธาน (ศรีรังคนาถวิมานะ )  ที่บุด้วยทองคำ  จะมองเห็นได้เมื่อปืนขึ้นไปดูบนจุดชมวิวด้านบนเทวาลัยเวณุโคปาลในบริเวณกำแพงชั้นสี่

 



#64
นำคลิปวีดีโอ  เหล่าอโฆรี ที่อยู่กับศพกินกับศพ ใช้ของศพ นั่งนอนใช้ชีวิตทุกอย่างกับศพ มาประกอบคำอธิบายของคุณหริทาสนะค่ะ

อย่างไรแล้วก็อย่าเพิ่งอาเจียนกันไปสะก่อนละ อิอิ

http://www.youtube.com/v/W0bGrvKVxac&feature=related

http://www.youtube.com/v/fAIv7R8yk5c&feature=related


http://www.youtube.com/v/u_rJu_20Aps&feature=related


http://www.youtube.com/v/n8lDTLlmvwk&feature=related


http://www.youtube.com/v/PknfxJHwpuI&feature=related
#65
กำ... พี่ไม่ได้อยู่เมืองไทยจ๊ะหนู พี่มาเรียนต่อยาวเลย เลยไม่รู้จะถ่ายรูปที่บ้านมาให้ดูอย่างไรดี  จะมีก็แต่แท่นบูชาน้อยๆที่หอคะ
#66
 
เอ่อ  คุณค่ะ  ขอรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหมค่ะ  ดิชั้นได้ยินได้ฟังอะไรมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเลยที่จะรู้ว่าพระศรีหริเข้าไปอยู่ในต้นมะม่วงตอนไหน

เคยได้ยินแต่พระอุมาบูชาศึวลึงค์ใต้ต้นมะม่วงในวัดเอกัมพเรศวร  แต่พระนารายณ์อยู่ใต้ต้นมะม่วงนี่ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆคะ

#69
ขอความสุขความสมบูรณ์จงเกิดแก่ผู้ที่บูชาองค์พระแม่นะค่ะ


#72
 
ก็อย่างที่คุณเสือว่านั่นละคะ  ว่าปัจจุบันนี้อินเดียนิยมทำเทวรูปเป็นหินแกรนิตสีดำออกมาเยอะมากกว่าหินดำภูเขาไฟในรูปแบบเดิม

  อีกอย่าง .. ราคาของเทวรูปที่เป็นในส่วนของหินแกรนิตนั้นก็จะมีราคาที่ถูกลงมาด้วย

สำหรับหินแกรนิตที่ว่านี้  เมื่อผ่านการชโลมด้วยน้ำมันแล้วจะพบว่าก็ไม่ต่างอะไรมากไปกว่าหินดำชนิดเดิมนะค่ะ

สังเกตว่าเทวาลัยบางแห่งสมัยนี้ก็นิยมเอาองค์มูรติที่แกะจากหินแกรนิตมาบูชาเป็นองค์ประธานของวัดบ้างแล้วคะ

แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้วละว่าจะซีเรียสเอาหินดำแบบเดิมที่เค้านิยมกันนั้นหรือไม่

อย่างไรแล้วก็ลองเลือกให้ดีๆ  เพราะราคาก็มิใช่ถูกๆหลักหมื่นขึ้นไป


สุดท้ายนี้ก็ขอให้คุณโชคดีได้มูรติที่งามๆ  และอย่าลืมว่าไม่ว่าเนื้อของเทวรูปจะทำมาจากวัสดุอะไรก็สุดแล้วแต่ 

แต่ถ้าคุณละเลยในสวดของการสวดมนต์  ปฎิบัติบูชา บำเพ็ญภาวนาและระลึกนึกถึงพระองค์อยู่เสมอ 

  และที่สำคัญที่สุดคือการเป็นคนดี  แน่นอนที่สุดถ้าคุณรวมถึงทุกคนขาดคุณสมบัติเหล่านี้ พระเป็นเจ้าจะทรงละทิ้งทั้งคุณละพวกเราไปอย่างแน่นอนคะ

ส่วนร้านที่คุณกาลิทัสว่าในซอยเดียวกับร้านสุขจิตนั้นคือร้านกาลีคะ  ลองแวะไปดูนะ  แต่ถ้าอยากได้จริงๆ  มาเลเซียโน้น  ..อิอิ
































 
#73
 
ต้นมะม่วงต้นเดิมตามตำนานที่มีอายุหลายพันปีเพิ่งแห้งตายไปเมื่อไม่นานมานี้

กล่าวกันว่าแต่เดิมต้นมะม่วงต้นนี้มีอยู่สี่กิ่งด้วยกันคะ แต่ละกิ่งก็จะให้ผลและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

ดังนั้นต้นมะม่วงในภาพที่อิชั้นนำมานี้ก็จึงเป็นต้นทดแทนที่ปลูกขึ้นมาแทนของเดิม

ทั้งนี้ก็เป็นความเชื่อของชาวทมิฬที่ว่าสตรีใดที่แต่งงานแล้วยังมิมีบุตรหรือผู้ที่ตั้งครรภ์แล้วแต่ก็ปราถนาอยากจะมีบุตร ก็จะมาขอพรกับที่นี้

เพื่อให้ได้มาซึ่งบุตร ดั่งที่หวังไว้ และมีความปลอดภัยในตอนที่จะให้กำเนิดทารกคะ
#74
รูปที่สองและสามของคุณมาตาศรีมารีอัมมันนี้เป็นภาพมาจากวัดเอกัมพเรศวร  ที่เมืองกาญจีปุรัมนิค่ะ   

ตามตำนานเล่าว่าพระนางปาราวตีเสด็จลงมาบูชาศิวลึงค์ (ปฤถวีลึงค์ - ลึงค์ที่สร้างขึ้นด้วยมูลดิน ) ใต้ต้นมะม่วงแห่งนี้  แล้วต่อมาจึงสร้างเทวาลัยครอบในบริเวณนั้น














#75
  เพื่อมิให้เสียเวลา ก็ขอเข้าเรื่องเทพปกรณัมที่ว่าด้วยตำนานของเมืองนี้กันเลยคะ

  เรื่องเริ่มต้นด้วยว่ามีชาวนาผู้หนึ่งนามว่า ''ธันนันชวา''เดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง  ก็ได้พบเห็นว่าพระอินทร์กำลังสักการะสวยัมภูลึงค์ใต้ต้นกระทุ่ม

จึงนำความไปกราบทูลกูราเสการา กษัตริย์แห่งราชวงศ์ปาณฑยะ  พระองค์จึงมีรับสั่งให้ถางป่าเพื่อสร้างเทวาลัยขึ้น  โดยมีสวยัมภูลึงค์ เ
เป็นประธาน

จากนั้นจึงเกิดบ้านเมืองรายล้อมจนกลายเป็นศาสนธานี  พระศิวะเห็นดั่งนั้นจึงเสด็จมาประทานน้ำอมฤตอันหอมหวานจากมวยผม

เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า '' มธุไร ''  อันมีความหมายว่าน้ำอมฤตหรือน้ำหวาน  ก็คล้ายๆกับมธุรสอะนะค่ะ

แต่ในทางคัมภีร์ของพุทธศาสนาภาษาบาลี เช่น มหาวงศ์หรือพงศาวดารลังกาเรียกเมืองนี้ว่า '' มธุรา ''


  ในทางประวัติศาสตร์แล้ว  มธุไรจัดเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีการอยู่อาศัยสืบเนื่องกว่าสองพันปี  มีหลักฐานปรากฎทั้งในบันทึกของกรีกและทมิฬว่าเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่ง

  กำ.. เดี๋ยวมาต่อนะค่ะ  พอดีมีธุระด่วน อิอิ
#76
ขออนุญาติเข้ามาตอบตามความรู้ที่พอจะมีอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆนะค่ะ เรียนตามตรงว่าเรามิใช่ผู้สันทัดกรณีทางอินเดียภาคใต้จริงๆ  ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่แห่งนี้ด้วย

เมืองมาดูไรหรือมธุไร மதுரை นับเป็นเทวาลัยที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมากๆคะ เชื่อว่าหลายๆท่านในบอร์ดแห่งนี้ไม่มีท่านไหนที่ไม่รู้จักเป็นแน่   ยิ่งโดยเฉพาะกับพระแม่มีนัคชี่หรือพระแม่มีนักษีด้วยแล้ว

ชื่อเสียงที่ว่านี้มิได้มีจำกัดเฉพาะอยู่แค่ในเมืองไทย  แต่ดังไกลไปถึงระดับโลก ฮ่าๆ

  ดังไม่ดังก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นเอเธนส์แห่งบูรพาทิศไปแล้ว   ( Athens of the East )

  เหตุเพราะเมืองนี้มีมานานกว่าสองพันปีแล้วคะ   บวกกับมีหลักฐานว่าครั้งหนึ่งในอดีตนั้นได้มีการติดต่อกับกรีกและโรมันด้วย

เมืองมาดูไรห่างจากนครเชนไนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และนับเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทมิฬนาฑู



































เดี๋ยวมาต่อเด้อคะ ...
   
#78
เพิ่มเติมนะค่ะ สำหรับพระธัญลักษมี