Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - กาลปุตรา

#121

คายทรีมันตระ (กายตรีมนตรา) นั้นเป็นมนต์บทหนึ่งที่ถือว่าสำคัญมาก

เดิมนั้นเป็นมนตราที่ใช้บูชา สุริยเทพ ในภาคของจิตใจที่มีพระนามว่า "สวิตฤ"

ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีในบทมนต์คายตรีนั้นจะกล่าวถึงพระนามของสุริยเทพพระองค์นี้ไว้


गायत्रीमन्त्र กายะทรีมัรทระ หรือ คายตรีมนตรา
ॐ भू र्भुवः स्वः । โอมฺ บูรบุวะฮ สฺวะฮ
तत् सवितुर्वरेण्यं । ทัท สะวิทุรวะเรณฺยัมฺ
भर्गो देवस्य धीमहि । บฺรโก เดวัสยะ ดีมะฮิ
धियो यो नः प्रचोदयात् ॥ ดิโย โยนะฮ พระโชดะยาทฺ

โอม = พยางค์อันศักดิ์สิทธิ์, ความเป็นอมตะ, พรหมัน, ปรมาตมัน
บูร = โลก, พื้นดิน, มนุษย์, โลกวัตถุ, ภูมโลก
สฺวะฮ = อากาศ, ชั้นบรรยากาศ, ดวงดาว, อวกาศ, จักรวาลวัตถุ
ทัท = นั้น, ดังนั้น, เช่นนั้น (ใช้นำหน้าเพื่อบ่งชี้)
สะวิทุร = อิศวร, ผู้สร้างโลก, ผู้กระตุ้น, ผู้ก่อให้เกิดความจรรโลงใจ, ผู้ขัดเกลา, พลังอันเจิดจรัสของพระอาทิตย์, พระนามหนึ่งของสุริยเทพองค์ปัจจุบัน คือ พระสวิตฤ (สาวิตรี)
วะเรณฺยัม = อันเป็นที่น่าปรารถนา, ดีเลิศ, งดงาม, ทางเลือกที่ดีที่สุด, สมควรแก่การบูชาบรวงสรวงกราบไหว้

บฺรโก = ความเบิกบาน, ความสว่างไสว, ความงดงาม, ชื่อเสียง, ความรุ่งเรือง, การทำลายซึ่งอวิชชา, การล้างบาป
เดวัสยะ = นามหนึ่งของพระสวิตฤ หมายถึง ผู้ปลุกให้ตื่นจากหลับใหล, ผู้เตือนให้รู้, พระผู้เป็นเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นทิพย์, โชติช่วง, เปล่งปลั่ง, เป็นประกายสุกสว่าง
ดีมะฮิ = การนำมาซึ่งความสำเร็จ, การนำไปสู่ปัญญาในการแก้ไขปัญหา, การเรียนรู้, การรับรู้, การพิจารณาไตร่ตรองแล้ว, การเข้าถึงซึ่งฌาน
Dheemahi = We meditate

ดิโย โยนะฮ = ปัญญาอันหลักแหลมเหนือโลกวัตถุ, การทำสมาธิสวดมนตร์บูชาด้วยความภักดีของเรา, การแตกฉานทางปัญญา
พระโชดะยาทฺ = การชี้ทางสว่างให้มุ่งไป, แรงกระตุ้น, แรงบันดาลใจ, ความเคลื่อนไหว, ความมุ่งมั่น, การก่อให้เกิดแรงจูงใจ, อาการเหมือนเด็กที่ไม่เคยอยู่ไม่นิ่ง

แปลโดยรวมว่า
"โอม ด้วยพลังแห่ง พื้นปฐพี ห้วงนภากาศ แลสวรรค์อันเป็นทิพย์
ข้าแด่ พระสุริยเทพผู้มีพระนามว่า "พระสวิตฤเจ้า" ผู้ปลุกเหล่ามวลชีวิตให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงนำมาซึ่งความเจิดจรัสสว่างไสว
ข้าพระเจ้าขอสวดมนตร์สรรเสริญพระองค์ด้วยความภักดีทั้งกายและใจ
ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแรงกระตุ้นแห่งชีวิต ดุจดั่งดวงประทีปแห่งปัญญาอันสร้างสรรค์
ทรงโปรดเมตตาชี้นำทางสว่างในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ"

คายตรี นั้นจะหมายถึง บทสวด 3 ช่วงเวลา ซึ่งในสมัยโบราณจะนิยมสวดในช่วงเวลาดังนี้

1. ช่วงเช้ามืดในขณะที่แสงอุษาจับท้องฟ้า หรือ ขณะที่พระอัศวินแฝดเคลื่อนราชรถนำพระอุษาและสุริยเทพโผล่พ้นท้องฟ้าในรุ่งอรุณ หรือ เมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าเรือนที่ 1 ในจักรราศี (เรือนลัคนา)
โดยจะทำการบูชาพระสุริยเทพในองค์แรก (สุริยเทพมี 8 - 12 องค์ที่ถูกกล่าวไว้ในฤคเวท
ในที่นี้จะหมายถึง สุริยเทพไววัสวัต (Vivasvat - वैवस्वत - ผู้แผ่รัศมี) เป็นสุริยเทพผู้ขับไล่ความมืดมน ความน่าสะพรึงกลัว จึงมีอีกนามหนึ่งว่า ภาสกร คือ ผู้ทำให้เกิดแสงสว่าง

2. ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ตรงกลางศีรษะ หรือ พระอาทิตย์สถินในเรือนที่ 3 (เรือนสหัชชะ) ของจักรราศี หรือ พระอาทิตย์อยู่ในส่วนที่ 4 จากทั้งหมด 7 ส่วนของท้องฟ้าเวลากลางวัน
จะบูชาพระมิตรา (Mitra - मित्रा) สุริยเทพแห่งข้อความสัญญาต่างๆ โดยมีหูหนึ่งพัน และดวงตานับหมื่นดวง มีแสงเจิดจรัสมาก พระมิตรานั้นเป็นหนึ่งในจำนวนสุริยเทพทั้งหลาย ซึ่งทำหน้าที่ประสานสามัคคีในหมู่ชน เป็นผู้ผยุงสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นสุริยเทพแห่งเวลากลางวัน


3. ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หรือ ช่วงอสูรสายันณ์ หรือ พระอาทิตย์สถิตอยู่ในเรือนที่ 7 (ปัตนิ) ของจักรราศี
จะบูชาพระปุษัณ (pushan – पुष्ण) สุริยเทพในรูปคนศีรษะล้าน แก่ชรา ไม่มีฟัน ดังนั้นของที่จะนำมาถวายแด่พระปุษัณจึงเป็นข้าวที่ต้มจนเละ เป็นสุริยเทพผู้ขับต้อนเหล่าสรรพสัตว์ให้กลับที่พักเพื่อพักผ่อนในยามเย็น

แต่ต่อมาในยุคมหากาพย์ การจะตีความถึงสภาวะของแสงสว่างภายในจิตใจให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างนั้นกระทำได้ยาก
จึงได้ถูกปรับเปลี่ยนมาใช้เป็นบทมนต์บูชาเทพที่ตนนั้นนับถือให้เป็นพระเจ้าสูงสุดองค์ใดก็ได้แทน
แล้วต่อมาอีกได้เกิดความคิดในรูป "บุคคลาธิฐาน" ให้ปรากฏออกมาในรูปของพระเทวีองค์ใหม่ซึ่งมี 5 เศียร
โดยแต่ละเศียรจะมาจาก พระปารวตี, พระลักษมี, พระสรัสวตี, พระปฤถวี (พระภูมิเทวี หรือ พระธรณี) และ พระคงคา
ซึ่ง 2 องค์หลังนี้บางท่านก็ให้ความหมายว่าเป็นพระพักตร์ของพระแม่ทุรคากับพระแม่กาลี
ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่ทรรศนะความเชื่อส่วนบุคคล

แต่ถ้าจะถือตามความหมายในบทมนต์เดิมแล้ว จะสื่อถึงพระสวิตฤ ซึ่งเป็นสุริยเทพในแง่นามธรรม
เพราะจะเปรียบพระสุริยเทพพระองค์นี้เป็นดั่งแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่ภายในจิตใจของคนเรา
พระองค์จะแผ่รัศมีความสว่างแห่งปัญญา เพื่อขับไล่ความมืดมิตแห่งอวิชชา นั่นเอง

ฉะนั้นอย่าไปยึดติดกับรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นมายา (สุคุณพรหมัน) หรือ ปฏิมาให้มากนัก
พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงนั้นทรงไร้ซึ่งรูปลักษณ์ ไร้เพศ โดยในฤคเวทจะกล่าวถึงพระองค์ในรูป "นิรคุณพรหมัน"
ซึ่งเป็นพรหมันอันไม่ปรากฏรูปลักษณ์ อันหมายถึง ภาวะของการไร้ซึ่งคุณ แต่กลับแฝงไว้ด้วยคุโณปการอันมากมายมหาศาล

ขอให้เราเข้าใจเพียงแต่ว่า พระเจ้าที่แท้จริงแล้วนั้นคือความสงบสันติภายในจิตใจของเราก็พอ