Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - กาลปุตรา

#81
โอเคครับ ผมได้เล่าเรื่องหญิงค่อมในมหาภารตะให้ฟังแล้วนะครับ
#82
ภาพนี้หรือเปล่าครับ



ถ้าดูจากภาพน่าจะเป็นพระกฤษณะในวัยเด็กมากกว่านะครับ ส่วนที่พูดถึงหญิงค่อมนั้น ในกฤษณาวตาร และมหาภารตะก็มีกล่าวถึงไว้เช่นกัน

โดยอยู่ในตอนที่พระกฤษณะได้รับคำเชิญจากกัมสะ (พญากงส์) ให้เข้าไปในเมืองเพื่อจะได้ทำการสังการพระกฤษณะและพลราม โดยเรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อพระกฤษณะเสด็จเข้าไปในเมือง พระองค์ได้ทรงพบกับหญิงค่อมนางหนึ่งซึ่งถือถาดใส่แป้งกระแจะจันทน์เดินมา พระกฤษณะจึงตรัสทักหญิงค่อมผู้นั้นไปว่า "โอ้หญิงสาวผู้สูงโปร่งรูปงาม เธอนั้นเป็นใคร แล้วกำลังถือถาดกระแจะจันทน์ไปให้ใคร เราคิดว่าเธอนั้นควรที่จะถวายกระแจะจันทน์นั้นแก่เราทั้งสอง เพราะถ้าหากเธอกระทำเช่นนั้นเรามั่นใจว่าเธอนั้นจะกลายเป็นผู้ที่มีโชคดี"

หญิงค่อมจึงกล่าวตอบไปว่า "เรานั้นเป็นข้ารับใช้และกำลังจะนำแป้งกระแจะจันทน์นี้ไปถวายแด่ราชากัมสะ"

พระกฤษณะตรัส "น้องหญิงจะมีประโยชน์อันใด ที่เธอนั้นจะไปรับใช้มารเช่นกัมสะ เธอนั้นจงมารับใช้เราและองค์พลรามจะดีกว่า แล้วเธอนั้นจะได้รับผลแห่งการรับใช้เราทั้งสองในทันที"

หญิงค่อม ตอบ "โอ้ ... ศยามสุนทรผู้มีวรกายสีนิล ข้าพเจ้านั้นต้องส่งกระแจะจันทน์ให้แก่ราชากัมสะทุกวัน แต่ในครั้งนี้ข้าพเจ้าได้พบผู้สมควรแก่การถวายที่แท้จริงทั้งสองพระองค์แล้ว ดังนั้นแป้งกระแจะจันทน์นี้ข้าพเจ้าขอถวายแด่พระองค์แทนจะควรกว่าการนำไปถวายราชาแห่งมาร"

แล้วหญิงค่อมก็หยิบแป้งกระแจะจันทน์บรรจงทาไปทั่วร่างของพระกฤษณะและพระพลราม ปรากฏว่าแป้งกระแจะจันทน์ที่ถูกทาลงไปที่ทั้งสองพระองค์นั้น ปรากฏเป็นรัศมีเปล่งปลั่งสวยงามกว่าที่เคยมี

พระกฤษณะทรงพอพระทัยในการรับใช้ของหญิงค่อมเป็นอย่างมาก จึงพิจารณาว่าจะให้รางวัลอะไรเป็นการตอบแทน เมื่อพระกฤษณะคิดได้จึงกดพระบาทรูปดอกบัวของพระองค์ไปที่ฝ่าเท้าของหญิงค่อม และใช้พระหัตถ์จับที่แก้มของนาง จากนั้นก็ทรงกระตุกร่างของนางให้ลุกขึ้น ปรากฏว่าร่างของหญิงค่อมเปลี่ยนกลายมาเป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามและมีลำตัวที่ตรง ร่างกายสมส่วนในทันที

นางจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของพระกฤษณะมาก และนางเองก็เกิดความหลงรักในพระกฤษณะ นางจึงเกิดความเขินอายเมื่อยามพระกฤษณะทรงแย้มพระสรวลให้ นางจึงไปจับชายผ้าของพระกฤษณะแล้วบิดดึงไว้ พร้อมทั้งเกิดอาการเร่าร้อนประดุจต้องศรของกามเทพ จนนางเองลืมไปว่านางกำลังอยู่บนถนนและอยู่ต่อหน้าองค์พลรามด้วย

แล้วนางก็ได้สารภาพความในใจของนางว่านางนั้นเกิดความหลงรักพระกฤษณะตั้งแต่แรกเห็น แล้วทูลเชิญพระกฤษณะให้ไปยังบ้านของเธอ พระกฤษณะจึงตรัสว่า "น้องหญิงผู้น่ารักและเป็นที่รักของเรา เรานั้นยินดีตอบรับคำเชิญตามปรารถนาของเธอ และเราจะไปยังบ้านของเธอเมื่อเราเสร็จสิ้นภารกิจการกำจัดมารกัมสะเสียก่อน"

หลังจากพระกฤษณะได้สังหารมารคัมสะเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จมาหาหญิงค่อมผู้นั้นตามที่ได้สัญญาไว้ และได้รับนางนั้นไว้เป็นสนมตามที่นางปรารถนาด้วย

เรื่องของหญิงค่อมกับพระกฤษณะก็มีด้วยประการฉะนี้ บ้างก็ว่าหญิงค่อมนั้นเป็นหนึ่งในอวตารของพระลักษมี เพราะในมหากาพย์ภารตะนั้นพระลักษมีได้แบ่งภาคอวตารลงมาในหลายรูปแบบ เป็นชายาของพระกฤษณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระราธา หรือมเหสี ชายาองค์อื่นด้วย
#83
นั่นก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ ที่อาจมองว่า การที่เทพเจ้าหันอาวุธเข้าหากันจะไม่ดี เพราะมองว่าเป็นเหมือนการปะทะกะ โดยเฉพาะส่วนนี้ก็มาจากพวกหมอดูฮวงจุ้ยนั่นเอง

อย่างที่ผมเคยเขียนลงไปในนิตยสาร เรื่องการแก้ฮวงจุ้ยครุฑอยู่ตรงข้ามบ้านนั่นเอง โดยมีหมอดูผมขาวชื่อดังท่านหนึ่ง (ไม่ขอบอกนามนะ) ได้คิดวิธีแก้แบบวิตถารขึ้น คือ ให้เอากากีมาตั้งไว้ในบ้าน เพื่อให้พญาครุฑหลงรักและไม่ทำร้าย ซึ่งผมก็เคยแย้งเขาไปว่า หลักฮวงจุ้ยนั้นสอนให้รู้จักการปรับสมดุลของธรรมชาติเป็นหัวใจ

การนำรูปมงคลมาไว้ในบ้านเรือนก็เปรียบเสมือนในบ้านเรามีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นมงคลอยู่ในบ้านเช่น เทพที่เกี่ยวกับความร่ำรวย เป็นต้น จะได้ทำให้ครอบครัวเราร่ำรวยตามไปด้วย

แต่คราวนี้เขาดันไปเอากากี ซึ่งคนไทยมองว่าเป็นหญิงหลายผัวมาไว้ในบ้าน ผมก็เลยถามเขากลับไปว่าต้องการให้คนในครอบครัวนี้กลายเป็นกะ..?.. ไปหรือไง ถึงเอาหญิงหลายผัวมาตั้งในบ้าน ซึ่งหมอดูที่อายุมากท่านนี้ก็นิ่งตอบไม่ได้

เห็นหรือยังครับคนบางคนอาศัยความดังของตัวเองมาสร้างกระแสของตน ซึ่งผมเองก็เคยใช้วิธีนี้ศอกกลับเขาไปบ่อยๆ เช่นการไปไหว้พระตรีมูรติ เห็นเขามักชอบคิดกันและสร้างกระแสของตัวเองเพื่อเช็คว่าคนสนใจเขามากแค่ไหน โดยบอกว่าการจะไปไหว้พระตรีมูรตินั้นต้องเอาช้างคู่ไปถวาย

ผมก็เลยย้อนศรบ้าง โดยเขียนในแบบผมบ้าง ว่าการไหว้พระตรีมูรติที่ถูกต้องนั้น ต้องมาทำความรู้จักกับพระตรีมูรติกันก่อนว่าท่านเป็นใคร มีอะไรเป็นพาหนะหนือสัตว์คู่วรกายท่าน ผมเลยเขียนไปว่าการถวายช้างนั้นถือว่าไม่ถูกสักทีเดียว ที่ถูกต้องควรถวายสุนัข เพราะเป็นสัตว์คู่วรกายของพระตรีมูรติ อันหมายถึงพระเวททั้งสี่ อีกอย่างถ้าต้องการถวายตัวเดียวก็ถวายวัวตัวเมีย จะถูกกว่า

ผลที่ได้รับก็คือ ในวันวาเลนไทน์หลายปีที่ผ่านมา ผมได้เดินไปดูที่ศาลพระตรีมูรติ ปรากฏว่ามีการนำรูปปั้นสุนัขไปวางกันเป็นจำนวนมาก เลยทราบว่ามาจากกระแสของผม และผมคิดว่าถ้าจะทำเช่นนี้แล้ว ก็ควรทำให้ถูกต้องคล้องจองกับหลักของเขา

การที่มองว่าเทพเจ้าหันอาวุธเข้าหากันแล้วไม่ดี ก็เกิดขึ้นจากที่มาทำนองเดียวกันนั่นเอง แต่มีใครเคยคิดหรือไม่ ว่าพระเจ้านั้นคืออะไร พระเจ้านั้นคือความดีนั่นเอง ส่วนปฏิมากรรมพระผู้เป็นเจ้าก็เหมือนบุคลาธิฐานที่เราต้องการให้ปรากฏความดีให้เป็นรูปเป็นร่างมองเห็นได้

ดังนั้นการที่ความดีหันศาสตราของความดีมาชนกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องร้าย เพราะเขาเอาอาวุธแห่งปัญญามาเจอกัน ผมเลยมองสูงขึ้นไปอีกหน่อยว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี แล้วสามารถวางได้ตามความเหมาะสม

แต่ถ้าวางแล้วเรารู้สึกไม่ดี เราก็เปลี่ยนเอาครับ นานาจิตตัง ขอเพียงให้วางแล้วเราสบายใจก็พอ ไม่ใช่เอารูปพระเจ้ามาไว้ในบ้านแล้วเราเองดันมาทุกข์ใจ อย่างงี้ตกลงเราเอามาบูชาหรือเอามาประดับบ้านอวดบารมีกันเล่า
#84
ตรงนี้เขาหมายความถึง เทพองค์เดียวกัน เช่น พระคเณศซึ่งก็คือพระคเณศ แล้วมีไว้ 3 องค์พอดี โดยเป็นความเชื่อนะครับว่าจะไม่ดี แล้วมีการนำไปใช้กับเทพองค์อื่นด้วย ทั้งนี้ไม่รวมกับปางที่เอาไปรวมกับเทพองค์อื่นนะครับ เช่น ปางที่ทำมาเป็นรูปพระศิวะ+พระคเณศ+พระอุมา เช่นนี้เป็นต้น ดังดังเรื่องพระสกันทะนั้นจะอยู่ร่วมชายาอีก 2 องค์ก็ถือว่าไม่ผิด เพราะมีสกันทะกุมารปรากฏเพียงองค์เดียว

ส่วนเรื่องศาสตรา หรือ อาวุธของเทพเจ้าก็เหมือนกัน ห้ามมีของชนิดเดียวกันไว้ 2 อัน อาทิเช่น สังข์ ก็ห้ามมีไว้ 2 ขอน หรือ จักรก็ห้ามีไว้ 2 อันจะน้อยกว่าหรือมากกว่าก็ได้ อันนี้ก็ไม่ค่อยทราบที่มาเหมือนกันว่าเพราะอะไร เพียงแต่มีการกล่าวเอาไว้เท่านั้นเอง
#85
ที่มาของเรื่องการไม่คล้องพวงมาลัยที่องค์พระนั้น คุณเสือร้องไห้เขาน่าจะมีเหตุผลมาจากคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และพระเกจิอีกหลายท่าน

ที่ท่านกล่าวไว้เกี่ยวกับการนำพวงมาลัยไปคล้ององค์พระ โดยยึดจากพระวินัยข้อ คือ ห้ามใช้ของหอม และห้ามตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้

ดังนั้นสูตรนี้จึงถูกนำมาใช้กับพระพุทธด้วย โดยจะไม่นิยมคล้องมาลัยที่องค์พระพุทธ และเกิดการเปรียบเทียบว่าพระนั้นมิใช่นักร้องไม่ควรคล้องมาลัย

ผมก็กระทำเช่นนั้นเหมือนกัน โดยการถวายดอกไม้ใส่พานเอา และเหตุผลอีกอย่างก็เพราะในดอกไม้นั้นมีความชื้นสูง จะทำให้โลหะที่ทำพระ

เกิดรอย หรือเกิดสนิมได้ง่าย

ส่วนการห่มองค์พระนั้น ผมเห็นว่าไม่มีกฏใดห้ามไว้ ดูอย่างการห่มจีวรให้พระพุทธรูป จึงมีปรากฏอยู่มากมาย

ดังนั้นอนุมานได้ว่า คุณเสือร้อไห้เขาน่าจะเอาสูตรมาจากเรื่องการคล้องมาลัยพระพุทธ แล้วขยายไปจนถึงเรื่องห่มจีวร

เรื่องการคล้องมาลัยองค์เทพนั้น สามารถกระทำได้ เนื่องจากศาสนาฮินดูไม่ได้มีพระวินัย หรือข้อห้ามไว้ ดังจะเห็นได้จากในตำนานต่างๆ

จะมีการถวายพวงมาลัยที่องค์เทพเสมอ

ฉะนั้นผมจึงเห็นว่า การคล้องมาลัยองค์พระพุทธรูปนั้นไม่ควร แต่การคล้องมาลัยองค์เทวรูปนั้นกระทำได้ ตามเหตุผลที่อ้างไว้ข้างบนครับ
#86
คงลงแข่งไม่ไหวหรอกครับ แก่แล้วชอบหลงๆ ลืมๆ กว่าจะต้องได้ที ต้องไปนั่งนึกก่อนว่าอยู่ในตำราเล่มไหน

ส่วนชาเขียวหนึ่งจอกนั้นคงไม่พอครับ เพราะเป็นคนชอบดื่มชามาก อย่างน้อยก็ต้องสัก 3 - 4 ขวด

#87
พิมพ์บทเต็มมาให้คุณกาลิทัส กับ คุณลองภูมิครับ เห็นคุณลองภูมิบ่นไม่มี font Mangal เลยพิมพ์มาให้

गन्धस्य परि हरिद्रा = กันดัสยะ อุพะริ ฮะริดรา
कुंकुमं समर्पयामि = คุมคุมัม สะมรพะยามิ
अक्षतान् समर्पयामि = อัคชะทานฺ สะมรพะยามิ


कुंकुम แปลว่า Crocus หรือ Kumkuma หรือ ผงสีเหลืองส้ม, ดอกดิน, กันกุมา (กุมกุมา) ดูรูปตัวอย่างของต้นกุมกุมาได้มีหลายชนิด หลายสี เอาเกสรมาตากแห้งแล้วบดผ่านกรรมวิธีสักหน่อยก็จะได้เป็นสีเจิม เรียกว่า कुङ्कुमम् คุงคุมัม (Kukuman)

ดอกจะใช้ทำสีใส่ขนมได้และลดอาการของโรคเบาหวานได้ ส่วนผงเกสรกุมกุมานั้นถือว่ามีพิษอ่อนๆ นะครับ ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้เสียงแหบ โบราณเขาใช้กรอกปากนักโทษในปริมาณมากๆ จะทำให้เป็นใบ้ไปชั่วคราว (แบบว่าห้ามพูด แลดูโหดและไม่เป็นธรรมเน๊าะ) และมีฤทธิ์ต่อตับ

ฉะนั้นเวลาสาดผงกุมกุมา ต้องระวังหน่อย อย่าสาดไปโดยพวกขนมหรือของกิน โดยเฉพาะท่านที่ชอบสาดผงเจิมจำนวนมาก เดี๋ยวเสียงจะหายชั่วขณะหรือแหบ แล้วจะหาว่าผมไม่บอกนะครับ

เพื่อนๆ เจอมาเยอะแล้วในงานแห่พระแม่ มาบ่นกันว่า กลับจากงานพระแม่ทีไรเสียงหายประจำ ก็จะไม่หายได้ไง เล่นกินลัฑฑูที่เคลือบผงเจิมกันทุกคน อิอิ




#88
รูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้านั้นมนุษย์เราเสกสรรค์ปั้นแต่งเพื่อเป็นบุคลาธิษฐาน ฉะนั้นอย่าคิดอะไรมากครับ
#89
ต้องถามก่อนว่าคุณนับถือศาสนาใดเป็นศาสนาหลัก

ถ้าคุณเป็นชาวพุทธเถรวาท ก็บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ถ้าเป็นมหายาน ก็จะบูชาพระโพธิสัตว์ ร่วมด้วยเพราะถือว่าพระโพธิสัตว์ นั้นชาติต่อไปถ้าพระองค์ปรารถนาก็จะมาบังเกิดเป็นพุทธเจ้า

ถ้าเป็นฮินดู นิกายไวษณวะ เขาก้จะบูชาพระที่เกี่ยวกับพระวิษณะ และอวตารของพระองค์เป็นใหญ่ และเขาก็เอาพระพุทธเจ้าของเราไปเป้น 1 ในอวตารของพระวิษณุด้วย

แต่อย่างที่คุณบอกมาก็สามารถตั้งได้ โดยเอาพระพุทธองค์เป็นประธาน ขอให้อยู่สูงกว่าหน่อย

เจ้าแม่กวนอิมก็ลดหลั่นลงมา อยู่ทางขวามือของพระพุทธ และทางซ้ายมือของพระพุทธก็จะวางพระกฤษณะ-ราธา ก็ได้ผมถือว่าไม่ผิด

เพราะ พระเจ้าทั้งหมด คือ ความดี แล้วความดีงามจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เช่นไร จริงไหมครับ

ส่วนของถวายพระเจ้าจะใช้อะไรก็ได้แล้วแต่ศรัทธา แต่เรามักจะไม่นิยมถวายของคาวกัน

ขอถวายที่พระกฤษณะโปรดปรานก็คือใบกะเพราครับ ส่วนขนมก็คือขนมลัฑฑู หรือที่คนไทยมักเรียกกันผิดว่า ลาดูปนั่นเอง

แต่ถ้าไม่มีเวลาจัดหา ก็เพียงถวายน้ำเปล่าสักหนึ่งแก้วก็พอ ขอเพียงแต่มีจิตใจที่ศรัทธาภักดี ก็เพียงพอแล้วครับ
#90
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเคยเห็นงานของเขาแล้วด้วยว่าทำออกมาสวยเหมือนแบบเลย

ลองไปคุยกับเขาได้ครับ ให้เขาตีราคาให้ก่อนว่าตกเท่าไรดีไหมครับ

อีกอย่างเขามีแบบโลหะให้ดูด้วยว่าจะชอบแนวไหน แต่ที่เคยเห็นเขาผสมสัมฤทธิ์อยู่ชิ้นหนึ่งต้องยอมรับเลยว่าสวยมาก

พอนานไปจะกลายเป็นสีเปลือกแมลงทับ หรือ สีรุ้งขึ้นมา เคยถามเขาเหมือนกัน เขาตอบว่าอันนี้อยู่ที่สูตร ซึ่งเขาหวงมาก

ลองไปดูได้นะครับ ยังไงก็พาไปคุยได้ ถ้าต้องการ ส่วนราคาตกลงกันเองเอง

เพราะ สูงเป้นเมตร ท่าจะเอาเรื่องอยู่เรื่องราคา
#91
षोडशोपचार โษฑโศปจาร เป็นการผสมกันของคำ 2 คำคือ

คำว่า โษฑศ षोडश หมายถึง สิบหก กับคำว่า อุปจาร उपचार หมายถึง การดูแล, การรับรอง, การให้ความเคารพนับถือ ดังนั้นจึงรวมความได้ว่า เครื่องรับรองบูชา หรือ อัญเชิญเทพเจ้าด้วยสิ่งของสิบหกอย่าง บางครั้งอาจมีการเรียกแบบไม่รวมคำก็ได้ว่า "โษฑศ อุปจาร"

การบูชาด้วยโษฑโศปจารถือว่าเป็นการบูชาชุดใหญ่แบบหนึ่ง ส่วนสิ่งของที่จะนำมาใช้บูชาและพิธีกรรมในการบูชานั้น ควรปรึกษาหรือสอบถามจากพราหมณ์ผู้รู้ท่าน จะถูกต้องกว่าครับ เพราะ ผมไม่ค่อยเน้นในเรื่องพิธีกรรมนัก
#92
ที่ผมเคยลองแปลในท่อนนี้ไว้นะครับ ลองดูแล้วกัน เห็นว่าความหมายคล้ายกันกับของท่าน คุรุ BEAR ครับ

अजं निर्विकल्पं निराहारमेकं निरानन्दमानंदमद्वैतपूर्णम् ।
परं निर्गुणं निर्विशेषं निरीहं परब्रह्मरूपं गणेशं भजेम् ॥१॥
อะจัม นิรวิคัลพัม นิราฮาระเมคัม นิรานันดะมานัมทะมะดไวทะพูรณัม
พะรัม นิรกุณัม นิรวิเซซัม นิรีฮัม พะระบระฮมะรูพัม กะเณซัม บฺะเจมฺ 1


พวกข้าพเจ้าขอสักการะพระผู้เป็นเจ้าผู้ไม่มีการกำเนิด ผู้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผู้ไม่ปรากฏรูปลักษณ์ ผู้เป็นเอก สถิตอยู่เหนือบรมสุข พระผู้เป็นความสุขอันนิรันดร์ ผู้เป็นความบริบูรณ์แห่งอทวิภาวะ พระผู้เป็นพระเจ้าอันสูงสุด พระผู้เป็นนิรคุณพรหมัน พระผู้ปราศจากความโต้แย้งหรือแตกต่าง ผู้ปราศจากความปรารถนา พวกข้าพระเจ้าขอถวายสักการะแด่พระคเณศเจ้า ผู้ทรงเป็นพระปรพรหมันสูงสุด
#93
ดวงมันจะเจอเรื่องฮาๆ อะครับ นั่งปิดกล้องฟังเพลงอยู่ต้องนาน อยู่ๆ ก็มีเด็กหัวเหลือง im มาคุย กะแล้วต้องมาแนวนี้ เพราะเจอบ่อย พวกขึ้นงานถามแบบนี้อ่ะ

เลยตัดสินใจว่า "เอาก็เอาว่ะ" แก้เครียดในช่วงทำงาน พอคุยเสร็จเห็นฮา เลยเอามาให้อ่าน ดิ้นเป็นเต่าโดนเผาเลย  ... อิอิ

#94
วันนี้มีเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังกัน พอดีออนแคมฟ๊อคนั่งคุยกับเพื่อน อยู่ๆ ก็มีคนเข้ามาทักแล้ว แล้วก็เจอเช่นนี้ เลยก๊อปมาให้อ่าน ฮาดี แต่ยาวหน่อยนะครับ


BAS_0870695943 :
ไมเอารูปเเม่ขึ้นล่ะ

PuRuSha_RiShi :
ขี้เกียจเปิดกล้องครับ

PuRuSha_RiShi :
ทำงานอยู่ครับ

BAS_0870695943 :
นับถือเเม่ด้วยเหรอ

PuRuSha_RiShi :
อ่ะ

BAS_0870695943 :
นับถืนานยังอ่ะ

BAS_0870695943 :
ถือ

PuRuSha_RiShi :
นานแระ

BAS_0870695943 :
เหรอ

BAS_0870695943 :
มีองค์ป่าวอ่ะ


PuRuSha_RiShi :
มีแต่องคชาติคับ ... อิอิ

PuRuSha_RiShi :
องค์นะเขาไม่ลงร่างหยาบเหม็นๆ อย่างผมหรอกครับ

PuRuSha_RiShi :
พวก เปรียบตนว่าเสมอพระเป็นเจ้า มันจะเป็นบาปมาก

PuRuSha_RiShi :
ผมเลยไม่กล่ามีองค์ โดยเฉพาะ การเป็นร่างทรง

BAS_0870695943 :
ก็นายพูดจาเเบบเนี้ยก็สมควรมีเเต่องคชาติหรอก

PuRuSha_RiShi :
ทำไมอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
หรือไม่จริง

PuRuSha_RiShi :
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบฮินดูนะ

BAS_0870695943 :
ดูถูกผู้ปฏิบัติ

PuRuSha_RiShi :
ผู้ปฏิบัติคือผู้ปฏิบัติ

PuRuSha_RiShi :
ผมด่าร่างทรง

BAS_0870695943 :
นายยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ

PuRuSha_RiShi :
เรื่องไร บ้างว่ามาครับ

BAS_0870695943 :
ไม่รู้จักเพราะไม่ใช้ฮินดู

PuRuSha_RiShi :
ॐ श्री गणेशाय नमः

अजं निर्विकल्पं निराहारमेकं निरानन्दमानंदमद्वैतपूर्णम् ।
परं निर्गुणं निर्विशेषं निरीहं परब्रह्मरूपं गणेशं भजेम् ॥१॥

PuRuSha_RiShi :
ให้ร่างที่คุณว่า ช่วยอ่านหน่อย

PuRuSha_RiShi :
พวกทรงพระแม่ หรือ เทพแขกอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
อ่านได้จะยอมเชื่อครึ่งนึง

PuRuSha_RiShi :
แต่ถ้าอ่านไม่ได้ จะอ่านให้ฟัง

PuRuSha_RiShi :
แล้วอย่าว่านะ

PuRuSha_RiShi :
เพราะนี่คือ เทวนาครี หรือ ภาษาเทพของจริง

BAS_0870695943 :
เราไม่ใช้ร่างทรง

PuRuSha_RiShi :
อ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ผมก็ไม่ได้ว่าคุณนี่

PuRuSha_RiShi :
ผมว่าพวกร่างทรง

BAS_0870695943 :
นายไม่ใช้เทพนี่

PuRuSha_RiShi :
ใช่ ไม่มีใครเป็นเทพหรอก

PuRuSha_RiShi :
เพราะ ถ้าเป็นเทพคงไม่อยู่ยนโลกแระ

PuRuSha_RiShi :
หัวใจ ของศาสนาอยู่ตรงไหน

PuRuSha_RiShi :
โดยเฉพาะ ศาสนาในตะวันออกเราอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ฮินดุ อยู่ที่ ปรมาตมัน

PuRuSha_RiShi :
พุทธอยู่ที่ สูญตา หรือ นิพพาน

PuRuSha_RiShi :
แล้วพวกร่างทรงสอนเป็นไม๊

BAS_0870695943 :
เเต่เมื่อถึงเวลาเทพมาโปรดเราก็น้อมรับอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
จำไว้นะครับ

PuRuSha_RiShi :
จะเอาเทพไหน

BAS_0870695943 :
ไม่จำเปง

PuRuSha_RiShi :
เทพพุทธ พุทธองค์ก็ตรัสว่า ถ้าผู้ใดบูชาพระองค์เพราะหวังในโลกียะ อย่าบูชา


BAS_0870695943 :
ผมสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา

PuRuSha_RiShi :
เพราะเท่ากับไม่เห็นพุทธองค์

PuRuSha_RiShi :
ถ้าเป็นฮินดู

PuRuSha_RiShi :
เขาก็บอกว่า

PuRuSha_RiShi :
ถ้าผู้ใดไม่สอนให้ถึงจุดสูงสุดแห่งพระเวท

PuRuSha_RiShi :
ผู้ที่สอนนั้นสอนไม่ถูก และจะเป็นบาป

PuRuSha_RiShi :
พระเวทคือความรู้ ที่ขจัดตมัส รชัส

PuRuSha_RiShi :
ไม่ได้สอนให้เน้นพิธีกรรม

PuRuSha_RiShi :
ก่อนจะเชื่ออะไร ไปอ่าน กาลามสูตร 10 ก่อนนะครับ

PuRuSha_RiShi :
แน่ใจแล้วหรอ ที่เห็น ที่เชื่ออ่ะ ของจริง

PuRuSha_RiShi :
ถามใจดูดีๆ

PuRuSha_RiShi :
อย่าเชื่อเพราะรัก

PuRuSha_RiShi :
อย่าเชื่อเพราะเขาเป็นครู

PuRuSha_RiShi :
อย่าเชื่อเพราะตรึกเอา


BAS_0870695943 :
ไม่เชื่ออะไรหรอกถ้าไม่สัมผัสรู้ด้วยตัวเอง

PuRuSha_RiShi :
คนไหนอะที่คุณเชื่อ ผมพร้อมเจอเขาตลอด

BAS_0870695943 :
นายเเถวไหนอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ชอบนะได้สนทนาธรรม

PuRuSha_RiShi :
ปากทางลาดพร้าว

BAS_0870695943 :
ตรงไหนอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ปากทางลาดพร้าวจะตรงไหนอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
มีที่เดียวอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ซอย 1

BAS_0870695943 :
เเต่คนที่เรานับถืออยู่นคสวรรค์


PuRuSha_RiShi :
ครับ

PuRuSha_RiShi :
เขาทรงไรอ่ะ

BAS_0870695943 :
บอกไปก็เท่านั้น

PuRuSha_RiShi :
เท่าไหนอ่ะ

BAS_0870695943 :
ในเมื่อเราคุยกันคนละภาษา

PuRuSha_RiShi :
ครับ แล้วแต่

PuRuSha_RiShi :
คณโตอีกนิด อาจคิดได้

BAS_0870695943 :
ผมคิดว่าผมคิดได้เเล้วนะ


BAS_0870695943 :
เพราะเท่าที่โตมาก็เลี้ยงดูตัวเองตลอด


BAS_0870695943 :
ถ้าคุนนับถ์อพระเเม่จิง

PuRuSha_RiShi :
การนับถือพระแม่จริง ก็ไม่ควรนำพระแม่มาหลอกลวง

PuRuSha_RiShi :
และ ลบหลู่

PuRuSha_RiShi :
ไปถามคนอินเดีย เจ้าของศาสนาเขาก่อน

BAS_0870695943 :
คุนก็ไม่น่านำภาพเเม่มาไว้ไนนี้

PuRuSha_RiShi :
ที่ไหนมีสายลม ที่ไหนมีแสง

BAS_0870695943 :
ไม่สมควร

PuRuSha_RiShi :
ที่นั่นมีพระเจ้าสถิตหมดอะคุณ


BAS_0870695943 :
เราไม่เคยเปรียบตัวเราเสมอพระเเม่

PuRuSha_RiShi :
แล้วพวกร่างอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
เวลาทรง บอกกูเป็นพระแม่

PuRuSha_RiShi :
เปรียบไม๊

BAS_0870695943 :
เเต่เมื่อถึงเวลาของท่านเราก็ต้องปล่อยตามกาลเวลา

PuRuSha_RiShi :
ถ้าเป็นร่างพระแม่จริง

PuRuSha_RiShi :
กล้าที่จะนั่งในไฟสัก 1 ชั่วโมงไม๊

PuRuSha_RiShi :
กลับไปศึกษาพระเวทก่อนนะ

PuRuSha_RiShi :
เขาห้ามนักห้ามหนาเรื่องนี้

PuRuSha_RiShi :
พระเวทเป็นคัมภีร์สูงสุดนะ

PuRuSha_RiShi :
องค์พรหมปุรุษะเป็นผู้กำหนดมา

BAS_0870695943 :
พระเเม่ไม่เคยคิดให้ร่างปฏิบัติของท่านเจ็บหรอกคุน


PuRuSha_RiShi :
จริงหรอ

PuRuSha_RiShi :
เห็น แต่ละคน

PuRuSha_RiShi :
แล้วที่เอาเหล็กเสียบอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
เจ็บไม๊

BAS_0870695943 :
พระเเม่ท่านจะรับความรู้สึกนั้นเมื่อประทับ

PuRuSha_RiShi :
คงไม่เจ็บเพราะพระแม่ไม่ให้เจ็บ แบบที่คุณว่ามา ถูกป่ะ

PuRuSha_RiShi :
งั้น ถ้าไปนั่งในไฟ พระแม่ย่อมไม่ให้ไหม้แน่นอน

PuRuSha_RiShi :
ทำไม ไม่นั่งอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
มันก็ตรรกะเดียวกัน

PuRuSha_RiShi :
จะตอบว่าไง

BAS_0870695943 :
ถ้านั่งร่างก็ไหม้เเม่เปงเทพไม่สร้างบาปหรอกคุน

PuRuSha_RiShi :
อ้าว แล้วทีเสียบอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ร่างก็ต้องพรุนดิ

PuRuSha_RiShi :
ตกลงร่างพรุน หรือ แม่พรุน

BAS_0870695943 :
นั้นเล็กน้อย

PuRuSha_RiShi :
ตกลง ร่างเจ็บ หรือ แม่เจ็บ

PuRuSha_RiShi :
มันก็ตรรกะเดียวกันอ่ะ

BAS_0870695943 :
ไฟ กับ เหล็ก เเยกไม่ออกเหรอคุน


BAS_0870695943 :
เเม่รับความเจ็บจิงเเตเทพจะไม่ปล่อยให้ร่างเปงอะไร

PuRuSha_RiShi :
ถูกไง

PuRuSha_RiShi :
ฉะนั้น ในไฟก็เช่นกัน พระแม่ย่อมไม่ปล่อยให้สาวกเป็นไร

BAS_0870695943 :
เพราะร่างทุกร่างมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ต่อ

BAS_0870695943 :
ยังไม่หมดวาระ

BAS_0870695943 :
ความร้อนเเม่รับ1

BAS_0870695943 :
เเต่ถ้าสังขารของร่างไหม้

BAS_0870695943 :
ก็เสียชีวิต

PuRuSha_RiShi :
แล้ว ถามคำมันได้ประโยชน์ตรงไหน

PuRuSha_RiShi :
แสดงแบบนั้นไปเพื่ออะไร

BAS_0870695943 :
เเม่เปงเทพไม่สร้างบาปให้ตนเองหรอก

PuRuSha_RiShi :
มากระโดด โลดเต้น

PuRuSha_RiShi :
ทำให้จิตสะอาดขึ้นไม๊

BAS_0870695943 :
ฟัง

BAS_0870695943 :
เเม่ก็เหมือนคนเรานี้ล่ะ

BAS_0870695943 :
มี รัก โลภ โกรธ หลง

PuRuSha_RiShi :
คุณทราบได้ไงอ่ะ

BAS_0870695943 :
บางเวลาก็กระโดดโลดเต้นสนุกสนาน

BAS_0870695943 :
เเม่มีสวามีคือพ่อศิวะ

BAS_0870695943 :
จิงไหม

PuRuSha_RiShi :
ในเมื่อเขามีรัก โลภ โกรธ หลง ก็ย่อมเท่ากับเขาไม่เหนือเราสิ

PuRuSha_RiShi :
เพราะ กิเลส ตัณหา เหมือนกัน

PuRuSha_RiShi :
แปลกดี

BAS_0870695943 :
เอ้า

BAS_0870695943 :
ไมเปรียบเเม่อย่างนั้น

PuRuSha_RiShi :
ก็คุณบอกเองนะ

PuRuSha_RiShi :
ท่าน มีโลภ โกรธ หลง

PuRuSha_RiShi :
เพราะนั่นเท่ากับมนุษย์

BAS_0870695943 :
เเม่มีสวามีคือพ่อศิวะ

BAS_0870695943 :
จิงไหม

PuRuSha_RiShi :
ในเมื่อเขามีรัก โลภ โกรธ หลง ก็ย่อมเท่ากับเขาไม่เหนือเราสิ

PuRuSha_RiShi :
เพราะ กิเลส ตัณหา เหมือนกัน

PuRuSha_RiShi :
แปลกดี

BAS_0870695943 :
เอ้า

BAS_0870695943 :
ไมเปรียบเเม่อย่างนั้น

PuRuSha_RiShi :
ก็คุณบอกเองนะ

PuRuSha_RiShi :
ท่าน มีโลภ โกรธ หลง

PuRuSha_RiShi :
เพราะนั่นเท่ากับการเป็นมนุษย์

BAS_0870695943 :
งั้นก็ถามเเม่ดูเหอะ

BAS_0870695943 :
เมื่อยเเล้วอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ว่างๆ ไปคุยกะพราหมณ์ไม๊

BAS_0870695943 :
ที่ไหน

PuRuSha_RiShi :
แน่ๆ คือ ท่านปฏิบัติตนดีกว่าร่างเยอะ

PuRuSha_RiShi :
วัดเทพมณเฑียรก็ได้

BAS_0870695943 :
เหรอ

BAS_0870695943 :
ฟัง

PuRuSha_RiShi :
ผมพาไปได้

PuRuSha_RiShi :
แล้วจะรู้ จักฮินดู

BAS_0870695943 :
เเต่เคยไปงานนวราตรีวัดเเขก


PuRuSha_RiShi :
แล้วเคยคุยกะพราหมณ์ไม๊

PuRuSha_RiShi :
เรื่องการทรงอ่ะ

BAS_0870695943 :
ร่างเเม่บางคนจะลงพรามณ์ยังว่าเลย

BAS_0870695943 :
พวกพรามณ์มีสิทธิ์ไรอ่ะถ้าเเม่จะมา

BAS_0870695943 :
ร่างทรงไม่ใช้ว่านึกจะลงก็ลง

BAS_0870695943 :
เเต่เมื่อเวลาเเม่จะมาใครก็ห้ามไมได้


PuRuSha_RiShi :
ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น เชิญ ไปคุยกะพวกพราหมณ์ท่านไม๊

PuRuSha_RiShi :
ผม จะพาไปให้

BAS_0870695943 :
ผมไปคนเดียว

BAS_0870695943 :
คุนหลายคนจะเถียงยังไงอ่ะ

PuRuSha_RiShi :
ไม่

PuRuSha_RiShi :
ผมให้คุณคุยกับทีละท่าน

PuRuSha_RiShi :
ไม่มีการรุม

PuRuSha_RiShi :
ไปเทพมณเฑียรก่อน

PuRuSha_RiShi :
ไปคุยกะท่าน


BAS_0870695943 :
เพราะผมมีการศึกษาพอ

BAS_0870695943 :
ถึงน้อยก็ตาม

PuRuSha_RiShi :
ผมไม่อยากให้ใครมองพระผู้เป็นเจ้าผิดๆ

PuRuSha_RiShi :
ปราชญ์ทั้งหลาย ท่านก็ไม่เห้นด้วยกับเรื่องแบบที่ผมบอก

PuRuSha_RiShi :
ในเมื่อคุณมองว่าผมมีความรู้ไม่พอ

PuRuSha_RiShi :
ผมจะพาคุณไปพบผู้ปฏิบัติและมีความรู้ทางพระเวท

PuRuSha_RiShi :
แล้วสุดท้าย จะพาไปคุยกับท่านธรรมปิฏกด้วย


PuRuSha_RiShi :
"การรับขันธ์และการเข้าทรง คือวิชาของมาร!!"

กล่าวโดย
: พราหมณ์ขจร นาคะเวทิน (พระครูญาณสยมภูว์-เทวสถานโบสถ์พราหมณ์-


BAS_0870695943 :
ฟังเเต่การรับขันธ์ไม่ใช้วิชามาร


PuRuSha_RiShi :
แล้วทำไมต้องรับ

BAS_0870695943 :
การรับขันธคือการรับศีล5

PuRuSha_RiShi :
ต้องมีขันติดใบตองมาป่ะ

BAS_0870695943 :
มาปฏิบัติเเล้วภวนาอย่างเคร่งครัด

BAS_0870695943 :
คุนอาจจะเข้าใจร่างทรงผิดไปบ้างบางอย่าง

PuRuSha_RiShi :
ผมถึงถามไง

PuRuSha_RiShi :
ว่ารับขันธ์ของพวกคุณทำไรบ้าง

BAS_0870695943 :
ร่างทรงบางคนรับขันธ์จิงเเต่ปฏิบัติไม่ได้ก็วิบัติ

PuRuSha_RiShi :
ขันธ์ 5 มีไรบ้าง

BAS_0870695943 :
เเต่ร่างทรงปฏิบัติก็มี

BAS_0870695943 :
เเต่คุนอาจไม่เคยเห็น

BAS_0870695943 :
1ปาณาห้ามฆ่าสัตว์

PuRuSha_RiShi :
คุณรู้ไม๊ขันธ์ 5 คือไร

BAS_0870695943 :
2ลักขโมย


PuRuSha_RiShi :
คุณครับผิดแระ

BAS_0870695943 :
ฟังผมก่อน

PuRuSha_RiShi :
นั่นเรียกศีล 5

BAS_0870695943 :
ถูกนี้คือศีล5

BAS_0870695943 :
ก็ผมหมายถึงการรับขันคือการรับศีล5มาปฏิบัติไง


PuRuSha_RiShi :
ขันธ์ แปลว่า หมู่, กอง, ส่วน

BAS_0870695943 :
ขันะ

PuRuSha_RiShi :
ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

PuRuSha_RiShi :
ตรงนั้นเป็นธรรมชั้นสูง

BAS_0870695943 :
ใจอ่ะสงลบ้างสิ


PuRuSha_RiShi :
แต่คุณเริ่มอธิบายขันธ์ ก็ผิดแระผมเลยต้องแย้ง


PuRuSha_RiShi :
ศีลคือศีล

BAS_0870695943 :
ถูกผมไม่เถียงข้อนี้


BAS_0870695943 :
ผมกลับก่อนนะ

BAS_0870695943 :
เวลาหมด

PuRuSha_RiShi :
อ้าวจะรีบไปไหน

PuRuSha_RiShi :
จะไปเมื่อไรอ่ะ

BAS_0870695943 :
ผมไม่โกรธคุนหรอก

PuRuSha_RiShi :
จะพาคุณไปคุย

PuRuSha_RiShi :
ผมก็ไม่ได้โกรธนี่

PuRuSha_RiShi :
หนุกดี

PuRuSha_RiShi :
เจอพุทธเจ้าที่ไหน ฝากฆ่าด้วยนะ


BAS_0870695943 :
จ้า


BAS_0870695943 :
บาย
[/FON
#95
เด็กเกิดวันคราส ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ คราสมีทั้งดีทั้งร้าย ดวงชะตาใน 1 วันก็เช่นกัน ไม่งั้นเด็กเกิดต่างกันเพียง 2 - 3 นาทีแบบคู่แฝดคงไม่ผิดกันราวกับฟ้ากับเหวหรอกครับ ไม่ต้องกลัวคราส

คนที่เกิดวันคราสส่วนมากจะมีอะไรพิเศษๆ เสมอ เช่นมีสัมผัสที่ 6 ที่ดี แต่จะเป็นคนหลุดโลก หรือ art มากสักหน่อย ลองสังเกตดูนะครับ อีกอย่างถ้าสีนัยน์ตาเขาสีแปลก คือ อาจจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ย่อมแสดงว่าคนนั้นมีพลังพิเศษมากครับ

หมอนัดคลอดกี่โมงอะครับ
#96
เนื่องจากคุรุนั้นต้องการถ่ายทอดสัจธรรมแห่งความรู้ที่ถูกต้องในพระเวทโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเราควรต้องรูกันก่อนว่าผู้ใดเป็นคุรุ และ ผู้ใดเป็นคุรุที่ลวงโลก ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเป็นอย่างมากในปัจจุบันที่ปรากฏคุรุปลอมกันเกิดขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งมักจะกระทำดังนี้

- เก็บเงินค่าบทมนต์
- ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับจรรยาบรรณแห่งความเป็นคุรุ
- อนุญาตให้สาวกไม่ต้องปฏิบัติสมถะและความเพียรที่พระเวทได้กำหนดไว้ เช่น หลีกเลี่ยงการพนัน, เสพยาเสพติด, การมีเพสสัมพันธ์แบบผิดๆ และ ฯลฯ
- สอนโยคะให้บริหารร่างกายแบบยิมนาสติกเท่านั้น โดยไม่มีการสอนในแบบราชโยค คือ การเชื่อมจิตของผู้ฝึกให้สัมพันธ์กับพระผู้เป้นเจ้า
- สอนว่าจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติตนในทุกสิ่ง เพื่อให้มีความเป็นดีอยู่ดีในโลกวัตถุ
- ปฏิเสธคัมภีร์พระเวท โดยชอบประกาศว่า ข้าคือพระผู้เป็นเจ้า, ข้าเป็นดั่งองค์อวตาร, ท่านคือพระผู้เป็นเจ้า,  ท่านเป็นดั่งองค์อวตาร, ข้าคือร่างทรงแห่งพระผู้เป็นเจ้า, ข้าคือเทพเจ้า เป็นต้น

จึงจำเป็น เป็นอย่างมากที่ต้องทำความเข้าใจกับลักษณะอาการของคุรุที่เชื่อถือได้ก่อน ว่าท่านคือพระอาจารย์ทิพย์ ผู้ที่ได้รับความรู้อันบริสุทธิ์ สามารถถ่ายทอดให้เราได้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทางโลกวัตถุ

ดังนั้นคุรุที่แท้จริงจะมีบุคลิกภาพดังนี้

- เป็นผู้กล่าวแต่คำสัตย์
- ไม่ยึดติดอยู่ในความหลง แห่งโลกวัตถุ
- ไม่มีแนวโน้มหลอกลวง หรือ ต้มตุ๋นผู้อื่น ให้ศรัทธาตน
- ต้องปฏิบัติตัว ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่ศิษย์
- ต้องควบคุมประสาทสัมผัสของตนได้
- เป็นเพื่อนกับทุกชีวิต ไม่รังเกลียดผู้ใด แม้ศิษย์ผู้นั้นจะเป็นบุตรของศัตรูก็ตาม
- สนใจที่จะช่วยเหลือมวลชน โดยไม่หวังผลตอบแทน
- ไม่ควรสอนให้ตน หรือ ศิษย์นั้นตีตนเสมอด้วยพระผู้เป็นเจ้า
- ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โดยไม่บังควรแก่เหตุ
- ไม่เสพสิ่งของมึนเมา และยาเสพติด
- ไม่มีความเห็นแก่ตนเป็นที่ตั้ง
- คำสอนของคุรุ ต้องสอดคล้องกับคำสอนในพระเวท และของสาธุ (สาดุ : พระอาจารย์ในสายปรัมปรา)
- ต้องมุ่งสอนให้สาวกเล็งเห็นถึงเป้าหมายของพระเวท คือ การเข้าสู่ปรมาตมันร่วมอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่ตั้ง มิใช่เน้นแต่เรื่องพิธีกรรม และไสยศาสตร์มนตรา

อ้างอิงจากเรื่องของ "ความเป็นคุรุ" จากท่าน เอ.ซี. บัคธิเวดันธะ สวะมิ พระบุพาดะ และของท่านกฤษณะ มูรติ
#97
เทวศิลป์ คือ เทวศิลป์

จิตมนุษย์นั่นแหละปรุงแต่งให้เป็นไปมากมายหลายรสชาติ

เหมือนดั่งลมที่พัดธง ตกลงลมเคลื่อนไหว หรือ ธงเคลื่อนไหว

สุดท้ายจิตเรานั่นแหละที่เคลื่อนไหว จริงหรือไม่ครับ
#98
ผมเคยเห็นที่ร้านเดวี พาหุรัดนะครับ วันนั้นคุณนายเธอเอามาโชว์ให้ดู รู้สึกว่าจะราคา 35,000 นะครับ สูงประมาณ 20 นิ้วได้

ลองไปดูก่อนได้นะครับ เพราะสวยจริง ผมเองก็ชอบงานที่ร้านเธอเอามาเช่นกัน ไม่ค่อยซ้ำใครดี มีเทวศิลป์ที่สวยไปอีกแบบ
#99
ยังไงเดี๋ยวผม จะขึ้นกระทู้ให้ใหม่เลยนะครับ เพราะจะได้แยกไว้ในเรื่องของมนต์ หรือ เพลงบูชาเลย เพื่อจะได้ถูกต้องตามที่เจ้าของบอร์ดเขากำหนดไว้ ว่าเกี่ยวกับมนตร์นั้นควรอยู่ในกระทู้เพลงบูชานะครับ

ผิดพลาดประการใด ในการแปลก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#100
ดาวนักษัตรนั้น ตามตำราโบราณมีด้วยกันทั้งสิ้น 28 กลุ่มนักษัตรครับ โดยไล่ตั้งแต่ 01 องศาของราศีเมษเรื่อยไป จนถึง 30 องศาของราศีมีน จะมีชื่อของกลุ่มดาวนักษัตรดังต่อไปนี้

01. อัศวินี (अश्विनि)
02. ภรณี (भरणी)
03. กฤตติกา (क्रृत्तिका)
04. โรหิณี (रोहिणी)
05. มฤคศีรษะ (म्रृगशीर्षा)
06. อารทรา (आर्द्रा)
07. ปุนรวสุ (पुनर्वसु)
08. ปุษยะ (पुष्य)
09. อาศเลษา (आश्लेषा)
10. มฆา (मघा)
11. ปูรวะ ผาลคุนี (पूर्व फाल्गुनी)
12. อุตตระ ผาลคุณี (उत्तर फाल्गुनी)
13. หัสตะ (हस्त)
14. จิตรา (चित्रा)
15. สวาติ (स्वाति)
16. วิศาขา (विशाखा)
17. อนุราธา (अनुराधा)
18. เชยัษฐา หรือ เชษฐา (ज्येष्ठा)
19. มูละ (मूल)
20. ปูรวาษาฒา (पूर्वाषाढ़ा)
21. อุตตราษาฒา (उत्तराषाढ़ा)
22. อภิชิตะ (अभिजित)
23. ศรวณะ (श्रवण)
24. ศรวิษฐา (श्रविष्ठा) หรือ ธนิษฐา (धनिष्ठा)
25. ศตภิษา (शतभिषा)
26. ปูรวภัทรปทา (पूर्वभाद्रपदा)
27. อุตตรภัทรปทา (उत्तरभाद्रपदा)
28. เรวตี (रेवती)

แล้วต่อมาเนื่องจากต่อมาได้มีการตัดฤกษ์ออกไป 1 ฤกษ์คือ "อภิชิตะ" เนื่องจากเป็นฤกษ์ที่เล็ก และแคบมาก (อยู่ในราศีมกร) เพื่อให้เกิดความลงตัวในการหารและแบ่งจักรราศี (9 x 3 = 27) จึงทดอภิชิตฤกษ์ไว้ในที่เข้าใจ ของนักโหราศาสตร์ชั้นสูง และคงเหลือที่กล่าวเพียง 27 นักษัตรฤกษ์ ดังนั้นในตำราไทยที่ได้รับสืบทอดมาบางตำราจึงไม่ได้กล่าวถึง หรืออธิบายในฤกษ์นี้ไว้

ส่วนทางจีนซึ่งรับเอาวิชาโหราศาสตร์ไปจากอินเดีย ยังคงไม่ทดอภิชิตฤกษ์ โดยให้คงไว้ 28 นักษัตรฤกษ์ไว้ดังเดิม

ส่วนการแปลชื่อฤกษ์นั้น ผมยึดตามตัวอักษรเทวนาครีนะครับ เพราะจะถูกต้องมากกว่า ส่วนในไทยนั้นต่างตำราก็ต่างเขียนกันไปคนละแบบ อันอาจทำให้สับสนชื่อฤกษ์ได้

ปล. ชักชอบคุณ "ตรีศังกุ" ซะแล้วสิ แสดงว่ามีความรู้ทั้งทางด้านเทววิทยา และ ทางโหราศาสตร์ด้วย อีกอย่างเป้นคนที่ช่างซัก ช่างถามดี อันบ่งบอกถึงการเป็นคนที่รู้จักแสวงหา ดังแก้วน้ำที่ไม่ยอมเต็ม ดีครับการเรียนเทววิทยาของฮินดูที่ถูกต้องนั้น ต้องเรียนโหราศาสตร์ประกอบกันด้วย เพราะทั้ง 2 ตำรานั้นมีที่มาจากที่เดียวกัน เพียงแต่แยกสาขาแตกแขนงออกไปเท่านั้น โดยจะกล่าวเชื่อมโยงถึงกันตลอด
#101
เรื่องคราสนั้นต้องขอทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าในคัมภีร์พระเวทและปุราณะ ซึ่งเป็นที่รวบรวมภูมิปัญญาทางด้านเทววิทยา ดาราศาสตร์ โชยติษาสตร์ (โหราศาสตร์) และเรรื่องราวตำนานต่างๆ ได้แบ่งตำราคราสไว้เป็น 2 แบบคือ มหาปุราณะ กับ อุปปุราณะ มีประเภทละ 18 คัมภีร์ รวมทั้งสิ้น 36 คัมภีร์ โดยกล่าถึงศัพท์แห่งคราสไว้ดังนี้

1. ตรัส (คระสุ) หมายถึง การถือเอา, การจับกุม, การกลืนกิน
2. ครหะ หมายถึง ดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาล ซึ่งก็รวมพระอาทิตย์ไว้ด้วย
3. ครหณะ หมายถึง การพันธนาการ, การกักขัง, การจับกุม, ความยินยอมจากการใช้กำลัง
4. คราสะ หมายถึง การเข้าครอบครองสิทธิ์โดยเขาไม่ยินยอม, การทำให้มืดมัว, การบดบังแสง, การเป็นฝ่ายตรงข้า
5. ครัสตะ หมายถึง การกลืนกิน, การครอบงำโดยปิศาจ (ในที่นี้หมายถึง อสุรินทร์ราหู)
6. ปราคะ หมายถึง ฝุ่นละออง, ทาสแห่งอารมณ์, การถูกบดบัง
7. อุปราคา หมายถึง ความทนทุกข์ทรมาน, ความเศร้าหมอง, มารยาทอันไม่พึงประสงค์, การทำให้มืดมัว, การเสื่อมเกียติ

ลางร้ายแห่งคราส (อามะนายะอุตปาตะ) โดยจะนำเรื่องมาดังนี้
อนาวฤษฏี จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล อันนำมาซึ่งความแห้งแล้ง
อติวฤษฏี จะทำให้ฝนฟ้าตกมากจนเกินไป อันนำมาซึ่งอุทกภัยและดินถล่ม
ทุรภิกษะ จะทำให้เกิดกลียุค ข้าวยากหมากแพง และภัยที่มาจากผู้บริหาร
กีฏะภยะ จะนำมาซึ่งภัยจากพวกหนอน แมลง เข้าทำลายพืชผล
สหมรณา จะนำมาซึ่งการตายหมู่ของผู้คน เช่น เกิดสงคราม, โรคระบาด, แผ่นดินไหวรุนแรง และ ฯลฯ

ครัสตพินทุ (จุดศูนย์กลางคราส)
คราสนั้นมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ สุริยคราส กับ จันทรคราส ฉะนั้นในวันที่เกิดคราสเราจำต้องรู้เสียก่อนว่าพระอาทิตย์ หรือ พระจันทร์นั้นสถิตอยุ่ในราศีใด กี่องศา กี่ลิปดา โดยจุดที่เกิดคราสอย่างเต็มที่ตรงนั้นเรียกว่า “ครัสตพินทุ”
ถ้าจุดครัสตพินทุนั้นไปต้องกับดาวใดในดวงชะตากำเนิดโดยห่างจากดาวดวงนั้นๆ ไม่เกิน 1 องศา ย่อมแสดงว่าคราสที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อดวงชะตาอย่างเต็มที่
ถ้าจุดครัสตพินทุนั้นอยู่ห่างจากดาวในดวงชะตากำเนิดนั้นๆ มากกว่า 1 องศา แต่น้อยกว่า 3 องศา 20 ลิปดา คราสที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อดวงชะตาเพียงครึ่งเดียว
ถ้าจุดครัสตพินทุนั้นอยู่ห่างจากดาวในดวงชะตากำเนิดนั้นๆ มากกว่า 3 องศา 20 ลิปดา แต่น้อยกว่า 5 องศา คราสที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อดวงชะตาเพียงหนึ่งในสี่ส่วน
ถ้าจุดครัสตพินทุนั้นอยู่ห่างจากดาวในดวงชะตากำเนิดนั้นๆ มากกว่า 5 องศาขึ้นไป คราสที่เกิดขึ้นนั้นย่อมไม่มีอิทธิพลต่อดวงชะตาเลย ยกเว้นจะมีกรณีอื่นๆ มาเพิ่มความรุนแรง


ปริคัณฑานตะ (คราสที่เกิดในฤกษ์สนธิ หรือ นวางค์ขาด)
ใน 1 จักรราศีเราแบ่งออกเป็น 108 นวางค์ โดยทั้ง 108 นวางนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงละ 36 นวางค์ ซึ่งฤกษ์สนธิ หรือ นวางค์ขาดนั้นก็คือ นวางค์ลูกสุดท้ายของราศีกรกฏ, ราศีพิจิก และ ราศีมีน โดยถ้าเกิดคราสในจุดนี้ในคัมภีร์โบราณจะเรียกว่า “ปริคัณฑานตะนวางศ์” <o:p></o:p>
ปริคัณฑานตะนั้น แปลว่า ข้อพับ, บานพับ, ข้องอศอก ดังนั้นถาเกิดคราสในนวางค์สุดท้ายของ 3 ราศีที่กล่าวมา คราสนั้นย่อมให้ผลที่รุนแรงและอันตราย


ซึ่งทั้งหมดนี้คือความหมาย และ ผลของคราสโดยย่อ (ซึ่งถ้าผมนำมาแสดงหมด คงจะหลายหน้ามาก)  และขอเข้าเรื่องเลยดีกว่า สำหรับคราสที่จะเกิดในช่วงเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะมีด้วยกัน 2 คราสดังนี้
1. จันทรคราส ในช่วงรอยต่อของวันที่ 31 ธ.ค. 52 กับ วันที่ 1 ม.ค. 2553 (สากลถือว่าเป็นวันที่ 1 มกราคมแล้ว) โดยจะเกิดจันทรคราสบางส่วน สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย ตั้งแต่เวลาประมาณ 01.51 น. ถึงเวลา 02.54 น. จุดศูนย์กลางของคราสจะอยู่ในช่วงเวลา 02.23 น.


การเกิดคราสในวันปีใหม่นี้ จุดศูนย์กลางของคราสและพระจันทร์จะสถิตในราศีเมถุน 16 องศา 21 ลิปดา เสวยอารทราเทวีฤกษ์ อันเป็นฤกษ์ของราหู ซึ่งตามตำราโหราศาสตร์อินเดียถือว่าเป็นฤกษ์แห่งมงคลทางโลกียวิสัย

จันทรคราสในวันนี้ พระจันทร์จะถูกดาวเกตุ (ซึ่งอยู่ตรงข้ามราหูเสมอ) จับไม่ใช่ราหูจับ จุดเกิดคราศจะอยู่ในส่วนที่ 5 ของท้องฟ้ายามราตรี (แบ่งท้องฟ้าในเวลากลางคืนออกเป็น 7 ส่วน) คำทำนายคือ พ่อค้านักธุรกิจ พวกที่เสพสุขอยู่บนกองเงินกองทอง พวกอนุภรรยา พวกที่ประกอบอาชีพบำรุงบำเรอกาม ของมึนเมาจะมีภัย เหล่าขุนนางผู้ใหญ่จะต้องประสบปัญหามากมายให้แก้ไข ตลอดจนสัตว์จตุบาทจะนำโรคภัยมาให้มนุษย์

จันทร์คราสนี้เกิดในราศีเมถุน ท่านทำนายว่า พวกสตรีชั้นสูง ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต พวกศิลปิน จะประสบเรื่องไม่ดี

ส่วนเรื่องที่ว่า ในวันเกิดคราสนั้นตามตำราพระเวทและโชยติษะ นั้นกำหนดให้ทำอะไรบ้าง ก็จะมีดังนี้ ในค่ำคืนของรอยต่อปีเก่ากับปีใหม่นี้ เนื่องจากพระจันทร์ถูกเกตุจับ จึงถือว่าเหมาสำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือ ไสยศาสตร์ที่เกี่ยวกับเมตตามหานิยม เช่น ทำพิธีสวดมนต์ไหว้พระ การเสริมดวง การเสริมเสน่ห์ การทำพิธีขอเงินพระจันทร์ การแกะกะลาตาเดียวเป็นรูปพระเกตุ เป็นต้น ท่านว่าขลังนัก ถ้าทำในขณะคราสเริ่มกลืนกิน หรือ ในขณะที่คราสเข้าสู่จุดศูนย์กลาง

2. สุริยคราส ในช่วงบ่ายของวันที่ 15 มกราคม 2553 มองเห็นได้ที่กรุงเทพฯ ในเวลา 14.06 น. โดยเป็นการคราสเพียงบางส่วนของพระอาทิตย์ และเป็นคราสที่จับโดยราหู พระอาทิตย์จะไม่เสียกำลังมาก เนื่องจากจุดศูย์กลางของคราสจะสถิตในราศีมกร 1 องศา 1 ลิปดา พระอาทิตย์เสวยอุตตราษาฒโจโรฤกษ์ อันเป็นฤกษ์ของพระอาทิตย์เอง ทำให้พระอาทิตย์นั้นเข้มแข็งขึ้น เมื่อเกิดใหม่ย่อมเป็นพระอาทิตย์วัยเด็กที่สดใสและมีฤทธิ์มาก

การเกิดสุริยคราสในวันนี้ จะเกิดในส่วนที่ 6 ของท้องฟ้ายามกลางวัน ท่านให้ทำนายว่า สตรีและสัตว์เพศเมียจะได้รับความเดือดร้อน พวกชนชั้นต่ำ พวกอริศัตรูทำลายชาติ จะมีภัย ประสบกับความวิบัติ

สุริยคราสครั้งนี้จะเกิดขึ้นในราศีมกร ท่านทำนายว่า สัตว์น้ำจะหายาก พวกชนชั้นต่ำจะได้รับความเดือดร้อน พวกที่นิยมใช้เวทมนตร์คาถาในทางที่ผิด พวกร่างทรง จะได้รับผลแห่งภัย พวกที่ชอบใช้กำลังและอาวุธในการต่อสู้จะประสบความวิบัติ

ส่วนเรื่องที่ว่าในวันเกิดสุริยคราสในวันที่ 15 มกราคม 2553 นี้จะเหมาะทำอะไรนั้น ก็ต้องขอบอกว่า ควรสวดมนต์บูชาสุริยเทพ ในบทสุริยนมัสการเพื่อต้อนรับพระอาทิตย์ที่กำลังเกิดใหม่โดยจะมีฤทธิ์มากหลังเกิดใหม่จากการจับกินของราหู อีกทั้งเหมาะสำหรับการทำพิธีปลุกเสกของขลังที่เกี่ยวกับคงกระพันชาตรี และพวกอิทธิฤทธิ์ ในแบบไสยขาวนะครับ เพราะถ้าเป็นไสยดำจะใช้ไม่ได้ในการเกิดคราสครั้งนี้ เพราะ คำทำนายกล่าวว่าพวกใช้ไสยดำจะถูกทำลาย ในวันนี้ควรสวดมนต์ไหว้พระเสริมดวงชะตาในด้านพละกำลังและสุขภาพ เหมาะสำหรับการแกะสลักกะลาตาเดียวเป็นรูปพระราหู อีกทั้งการสักยันต์คงกระพันชาตรีมาก

ส่วนเรื่องว่าคราสนั้นจะให้กำลังมากแค่ไหน อันนี้ต้องรอดูวันเกิดคราสนะครับ เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือการทำนายได้ คือ ให้ดูว่าคราสนั้นสามารถมองเห็นได้หรือไม่ มีเมฆมาบดบังหรือไม่ ถ้าเป็นคราสร้ายแล้วมีเมฆมาบดบัง ท้องฟ้าไม่แจ่มใส คราสนั้นก็จะถูกลดฤทธิ์ร้ายลงในสถานที่ที่เราดูด้วย เพราะถูกกรองความเข้มข้นลงจากเมฆให้อ่อนโดยลง

ส่วนเรื่องเทวสถานต่างๆ จะปิดม่านซุ้มพระผู้เป็นเจ้า และ ไม่ประกอบพิธีกรรม นั้นเนื่องจากท่านไม่แน่ใจในผลของคราสว่าจะออกมาดีหรือร้าย เนื่องจากตำรากำหนดคำทำนายไว้ก็จริง แต่ก็มีอีกข้อที่ถูกกำหนดไว้คือ ให้ดูในขณะเกิดคราสด้วย ว่ามีลางร้าย ลางดีใดมาปรากฏเพิ่มอีกหรือไม่ ฉะนั้นพราหมณ์ท่านจึงไม่นิยมเสี่ยงให้พลังร้ายของครหะเข้าสู่หรือสัมผัสองค์เทพเจ้าได้ เหมือนอย่างเช่นพระเสาร์ทรงทำให้พระศิวะต้องไปทุกข์ทนในป่าช้าอยู่หลายปีนั่นเอง
#102
ชาวฮินดูถือว่า ด้านบนของยันต์ และ วัสดุศาสตร์นั้น คือ ทิศตะวันออกครับ ดังจะเห็นได้จากตำราวัสดุศาสตร์ หรือ วาอัสตู ที่เราเรียกกันนั้น จะหันประตูเข้าไปทางทิศตะวันออกนะครับ

ส่วนที่กล่าวว่า พระอีศานคือพระศิวะนั้นก็ถือว่าถูก แต่ในคัมภีร์พระเวทเก่าถือว่าเป็นคนละองค์กัน มาภายหลังจึงยกพระนามนี้ให้เป็นพระนามของพระศิวะ แล้วเกิดการอนุโลมกันไป เหมือนดั่งนิฤติก็เช่นกัน ภายหลังกลายเป็นชื่อของพระเทวีไป ซึ่งก็คือพระอุมานั่นเองและก็อนุโลมเช่นกัน

แล้ว คำว่า "คุรุ" นั้นแปลง่ายๆ ว่า "ครู" นั่นเอง เป็นคำที่ใช้ยกย่องพระพฤหัสปติ ซึ่งเป็นครูของเหล่าเทวดา แล้วจึงอนุโลมให้ใช้เป็นหนึ่งในพระนามของพระองค์ในภายหลัง อีกทั้งพระพฤหัสปตินั้นยังมีพระนามอีกมากมาย แต่เนื่องจากยาวมาก จึงเลือกที่จะใช้คำว่า "คุรุ" ใส่ลงไปในยันต์แทน

คำว่า "มังคละ" นั้นหมายถึงพระอังคาร ซึ่งผมไม่อยากใส่คำว่า "อังคาร" ลงไป เพราะจะหมายถึงแดงดั่งถ่านไฟ อันดูแล้วน่ากลัวเกิน จึงใช้พระนามอีกพระนามหนึ่งของพระองค์ที่มีพระนามว่า "มังคละ" อันหมายถึง ผุ้นำมาซึ่งมงคล แทนจะดีกว่า

พระนามของนพเคราะห์ทั้งหมดนี้ผมนำมาจาก คัมภีร์โหราศาสตร์อินเดียที่ได้ศึกษามา แล้ววางตามแผนผังของภาควิชาวัสดุศาสตร์ + โชยติษาสตร์ เพื่อให้เกิดพลังและความถูกต้องตามตำราครับ
#103
ยันต์ที่คุณถุงแป้งนำมาให้ดู นั่นชื่อว่า "ศรี มหากาลี ยันตระ" อันประกอบด้วย มณฑล 8 ทิศ อันแสดงถึงผังจักรวาลทั้งมวล และสวัสติกะที่เวียนซ้ายกับเวียนขวามาซ้อนกัน, จักระ (กลีบบัว) 8 กลีบ อันแสดงถึงผังสุริยจักรวาล และทิศของโลก

วงกลมในกลีบบัวนั้นแสดงถึงโลก ส่วนสามเหลี่ยมกลับหัวนั้นตามคัมภีร์ยันต์ศาสตร์ถือว่าเป็นสามเหลี่ยมแห่งศักติ หรือ เพศหญิง ซึ่งในยันต์ที่คุณนำมาแสดงนี้มีสามเหลี่ยมซ้อนกันถึง 5 ตรีโกณ อันสื่อถึงพลังเพศแม่ของ พระปารวตี, พระทุรคา, พระกาลี, พระลักษมี และ พระสรัสวตี หรือ พระปารวตี, พระลักษมี, พระสรัสวตี, พระคงคา และพระปฤถวี (พระธรณี)

รูปภาพที่นำมาใส่ใน ในคัมภีร์ยันต์ศาสตร์ฮินดู จะเรียกว่า "ประติมา" อันเป็นรูปแบบที่นำมาเสริมที่หลัง และมีการใส่มนต์ลงไปด้วย ซึ่งเรียกว่า "อักขระ หรือ อักษร" โดยมนต์กำกับยันต์นี้อ่านว่า "โอมฺ ครีมฺ มะฮา-คาลไย นะมะฮ" นั่นเองครับ

ส่วนอีกรูป จะเป็นสามเหลี่ยมที่ตั้งหัว อันหมายถึง พลังแห่ง ศิวะ หรือ เพศชาย นั่นเอง

อยากทราบเรื่องของยันต์ฮินดูมากกว่านี้ ให้รอหน่อยเพราะผมได้เขียนเป็นหนังสือเสร็จเรียบร้อย และส่งต้นฉบับไปแล้ว คาดว่าจะออกวางตลาดในช่วงเดือนมกราคม 2553 ที่จะถึงนี้ พร้อมกับแถมยัน "ศรี ศักติ วิทูระ ยันตร์" อันเป็นยันต์ที่รวบรวมเทพเจ้าไว้ในยันถึง 28 พระองค์ เท่ากับจำนวนนักษัตรบนทั้งฟ้าทั้ง 28 นักษัตรตามคัมภีร์พระเวท

จะเป็นยันต์ที่คุ้มครองครอบจักรวาลเลยทีเดียว ในหนังสือเล่มนี้ก็จะรวบรวมและอธิบายวิธีสร้างยันต์ของชาวฮินดูไว้ทั้งหมด ว่าเขาใช้อะไรบ้าง แต่ละอย่างมีความหมายเช่นไร มีที่มาจากอะไรในคัมภีร์พระเวท เพื่อให้นำไปใช้วิเคราะห์ยันต์ในรูปแบบต่างๆ ของชาวฮินดูได้ หรือ คุณอาจจะสามารถนำไปสร้างยันต์เฉพาะตัวของคุณเองก็ได้ถ้าคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับยันต์ศาสตร์ฮินดูนี้ กำลังใกล้จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมออกวางจำหน่ายแล้ว ขาดแต่เพียงรอยันต์ศรีศักติวิทูร ที่กำลังนำไปสกรีนลงบนผืนผ้า เพื่อจะแถมเป็นที่ระลึก และการนำยันต์นั้นไปปลุกเสกเท่านั้นเอง เสร็จสมบูรณ์เมื่อไรก็จะออกวางตลาดในทันทีครับ

ปล. รูปยันต์ที่ออกมาจะใช้อักษรเทวนาครีลงบนยันต์นะครับ นี่เป็นเพียงรูปตัวอย่างแบบอักษรไทยเท่านั้น
#104

กามเทพ (कामदेव - คามะเดวะ)


ภาพกามเทพนั้นจะค่อนข้างหายากสักน่อยนะครับ เพราะ พระองค์ถูกพระศิวะเผาไปนานแล้ว ตอนนี้เลยไม่มีร่าง ภาพก็เลยไม่ค่อยมีตามไปด้วย ... อิอิ
#105
จะทะเลาะกันทำไมกับวัตถุครับ จะของใช้ของใครก็ช่าง ตกลงบัณฌฑาะว์ มันสั่นหรือมือเราสั่นครับ เลยทะเลาะกัน

สรุปมันไม่ได้สั่นทั้งคู่อ่ะ จิตพวกคุณนั่นแหละสั่นกันไปเอง เลยเป็นเรื่อง

อีกอย่างต้องทำความเข้าใจในศาสนาฮินดูกันก่อน เพราะ เขามีการแยกชั้นวรรณะ เป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร

ส่วนหนึ่งก็ไปยึดติดกับภูมิกำเนิด ว่าตนเป็นวรรณะนั้นวรรณะนี้ เพราะเดิมเขาวางไว้เพื่อความสงบในสังคม

แต่ลองมองย้อนกลับ ถ้าพราหมณ์ทำเลวจะเป็นพรามหณ์หรือจัณฑาล ส่วนถ้าจัณฑาลเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมจะเป็นวรณะไหน ลองคิดดู

พระองค์เจ้าเชธันญะ ก็ถือกำเนิดดในวรรณะจัณฑาล แต่พระองค์ก็ได้รับความเคารพยกย่องจากชาวฮินดูทั่วไปให้เป็นยิ่งกว่าวรรณะพราหมณ์ จนเปรียบได้ว่าพระองค์นั้นเป็นดั่งองค์อวตารของพระวิษณุ ที่เสด็จลงมาสอนเรื่องวรรณะและการประพฤติตนในธรรมเลยทีเดียว พระองค์ก็สวดมนต์ เล่นดนตรีที่พราหมณ์ใช้เฉกเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระองค์ยังไม่ได้รับการยอมรับ ที่เดินเล่นดนตรี เที่ยวสวดมนต์สอนธรรม ไปทั่วแดนต่างๆ จนตอนหลังได้รับการยอมรับ

แล้วอย่างนี้เขาวัดกันที่อะไร ถ้าไม่ใช่เจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์หรือครับ ขอให้ทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยในเจตนา ถ้าเราดูจากเจตนาแล้วอหังการ มมังการก็จะไม่เกิด จะเข้าใจธรรมอันแท้จริงได้

แต่พวกที่นำมาใช้แสดงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช หรือ พวกเอามาหากินด้วยความหลอกลวง อย่างนั้นก็ประณามกันไป จึงจะถูก ขอให้ดุที่เจตนารมณ์ของเขาก่อนจะควรกว่า

จะพราหมณ์ใช้ หรือ คนใช้กัน ก็อย่านำมาถกเถียงให้เปลืองสมองดีกว่า เพราะมันเป็นแค่โลกวัตถุ เอาเวลามาสนใจโลกทิพย์ที่ทำให้จิตสงบดีกว่าไม๊ครับ

อีกอย่างถ้าคุณได้ศึกษาศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูลงไปลึกๆ แล้วคุณจะเห็นว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทั้งมวลก็เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั่นเอง โดยเริ่มสร้างกันตั้งแต่ ทโยษะกับปฤถวี (ฟ้าและดิน) แล้วก็มาเป็น วรุณ (ฝน), อินทร์ (สายฟ้า), รุทระ (ลมป่า หรือ พายุ), อัคนี (ไฟ) นั่นเอง แล้วก็เข้าสู่ยุคฤษีและมหากาพย์ จนมาถึงยุคฮินดูในปัจจุบัน จึงได้พัฒนามาเป็นพระตรีมูรติและพระตรีศักติเหมือนดั่งทุกวันนี้

แล้วตกลงพระเจ้าสร้างคน หรือ คนเราสร้างพระเจ้า เล่าเอาไปคิดดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าที่แท้แล้วสถิตอยู่ที่ไหนกัน

ผมเข้าใจในเหตุผลทั้ง 2 ฝ่ายนะ ว่ามองต่างมุมกัน แต่มนุษย์เราแม้จะมองต่างมุมกัน อันเป็นสีสรรค์ของโลกแล้ว ก็ควรใช้การมองต่างมุมนี้ให้เกิดประโยชน์จะควรกว่า การมองต่างมุมเพื่อการทำลายล้าง เพื่อโชว์ความสามารถของตน

ท่านศรียวาหระลาล เนห์รู อดีตนายก และ ปราชญ์แห่งอินเดีย ได้กล่าไว้ว่า "หากเรามองวรรณกรรมพระเวทอย่างงมงาย ไม่ใช่ปัญญามองแล้ว สีสรรค์แห่งพระเวทและของประเทศอินเดียก็จะหมดค่าลงไปทันที"
#106
มหิษาสูร ตามเรื่องไม่ได้กล่าวว่าจะมาจากสายพันธุ์ใด แต่ถ้าวิเคราะห์จากเรื่องราวแล้วน่าจะเป็นพวกรากษส เพราะ

1. รากษส จะมีลักษณะของมารที่บางครั้งมีเศียรเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือ สัตว์ประหลาดด้วย ถ้ามีฤทธิ์มากก็จะมีรูปร่างเหมือนเทพหรือมนุษย์ แต่แน่ๆ พวกนี้มักจะชอบอยู่ตามป่าเขา หรือ ดินแดนใกล้น้ำ

2. ไม่น่าใช้ตระกูลยักษ์ เพราะ ถ้าเป็นตระกูลยักษ์ มักไม่ดุร้ายขนาดนั้น เพราะ จะมีท้าวกุเวรคอยควบคุม อีกทั้งมันเป็นถึงหัวหน้าอสูรซึ่งในสายยักษ์ ไม่ค่อยมีราชาแห่งยักษ์มากสายพันธุ์นัก ส่วนมากจะทำหน้าที่รักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นตระกูลรากษสมากกว่า

3. ไม่น่าจะเป็นตระกูลไทตยะ หรือ ทานพ เพราะ ตระกูลนี้ถือว่าเป็นอสูรชั้นสูง จะมีรูปร่างและรัศมีเฉกเช่นเดียวกับเหล่าเทพเจ้า และจะมีรูปเหมือนเทพเจ้า

ดังนั้น มหิงษาสูรน่าจะเป็นเผ่าพงศ์ของตระกูลรากษสมากกว่านะครับ ผิดถูกอย่างไรต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
#107
กำเนิดภูต และ ปิศาจ
          ถ้าท่านผู้อ่านเคยดูภาพยนต์เรื่อง เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริงส์ หรือ ปีเตอร์แพน หรือ ภาพยนต์ที่เกี่ยวกับเทพและภูตของฝรั่งกันแล้ว คงจะนึกถึงภาพของภูตประเภทหนึ่งปรากฏให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ เป็นพวกที่มีหูแหลมๆ บ้างก็มีปีก บ้างก็ตัวเล็กๆ ซึ่งนั่นเองก็คือภูตตามจินตนาการของผู้คนในโลกตะวันตก
          คราวนี้เรามาดูภูตตามความเชื่อของผู้คนทางซีกโลกตะวันออกกันบ้างดีกว่า โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแม่แบบของจินตนาการนี้ก็ต้องยกให้ประเทศอินเดียเขา เพราะถ้าจะกล่าวถึงเรื่องภูตแล้วอินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีการกล่าวขานถึงภูตกันเยอะมาก และหลายๆ ประเทศก็รับเอาความเชื่อในเรื่องภูตนี้มาจากอินเดียด้วย รวมทั้งประเทศไทยเราก็รับเอาจินตนาการในเรื่องภูตมาใช้กันในวรรณคดีไทยอยู่หลายเรื่อง
          ภูตนั้นถ้าถามคนไทยทั่วไปแล้วว่าหมายถึงอะไร  ก็คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าหมายถึง ผีสาง นั่นเองอันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มักจะมีสองด้านเสมอ คือ ทั้งด้านดีและด้านร้าย ดังนั้นคำว่า “ภูต (भूत)
” จึงมีความหมายตามรากศัพท์แล้วจะหมายถึง การปรากฏ, ความจริง, การเกิด
          ดังนั้นในจินตนาการของชาวอินเดียภูตจะถือว่า เป็นอมนุษย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีทั้งที่เป็นเทวดา, สัตว์, กึ่งคนกึ่งสัตว์, ผี, สาง เมื่อทราบดังนี้แล้วเราก็มาดูกันต่อดีกว่าว่าภูตตามความเชื่อของชาวอินเดียนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร
          ภูต ตามเรื่องเล่าในวรรณกรรมของชาวอินเดีย กล่าวว่า ถือกำเนิดมาจากพระกัศยปะประชาบดี (ผู้เป็นบิดาแห่ง อสูร เทวดา นาค ครุฑ) กับนางโกรธา โดยชื่อก็บอกตรงตัวแปลว่า นางผู้ที่มีอารมณ์ขุ่นเคือง หรือ โมโหนั่นเอง
          ภูตนั้นถือกำเนิดมาจากมารดาที่ขี้โมโห จึงทำให้ภูตนั้นมีนิสัยขี้หงุดหงิดดุร้าย ฉุนเฉียวง่าย เดาอารมณ์ไม่ถูก ตามตำนานกล่าวว่าพวกภูตนั้นชอบกินเนื้อสดๆ มีทั้งดีทั้งเลวเหมือนคนเรานั่นแหละ ลักษณะของภูตนั้นก็จะมีหลายรูปแบบทั้งที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ แบบกึ่งคนกึ่งสัตว์ แบบรากษส แบบภูตผี เป็นต้น
          พวกภูตที่ดีส่วนมากก็จะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะนั้นได้รับฉายาว่าภูเตศวร ซึ่งหมายถึงผู้เป็นใหญ่ในหมู่ภูต ส่วนพวกที่ไม่ดีก็จะอาศัยอยู่ตามป่า ตามเขา ตามป่าช้า พวกนี้จะคอยทำร้ายและจับกินผู้คนเป็นอาหาร ดังนั้นเราจึงเรียกภูตที่ไม่ดีนี้ว่าเป็นพวกผีสาง
          อีกข้อหนึ่งที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังกัน เพราะอมนุษย์ 2 ตระกูลนี้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นก็คือพวกคนธรรพ์ ที่เป็นนักดนตรีสวรรค์ กับพวกกินนรกินรี นั้นก็ถือว่าเป็นตระกูลพวกภูตด้วยเหมือนกัน แต่เป็นภูตฝ่ายดีหน่อยคอยรับใช้พระอินทร์ โดยให้ความบันเทิงแด่เหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ คราวนี้คงจินตนาการกันออกแล้วนะครับว่าภูตหน้าตาเป็นอย่างไร ภูตของโลกตะวันตกเขาเท่ห์เขาสวยอย่างไร ภูตของโลกตะวันออกเราก็เท่ห์ก็สวยไม่เป็นรองเลยสักนิด
          มาถึงอมนุษย์ที่ถือว่าเป็นพวกอสูรตระกูลสุดท้ายกันเลยดีกว่า นั่นก็คือพวกปิศาจ (पिशाच) ซึ่งต้องถือว่าเป็นอมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาไล่เลี่ยกับอสูรและเทวดาเลยก็ว่าได้ พวกปิศาจนี้เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับอสูรและเทวดานั่นก็คือ มีบิดาเป็นพระกัศยป มีมารดาชื่อนางโกรธาวสา หรือ นางปิศาจา ซึ่งเป็นพี่สาวของนางโกรธามารดาของภูตนั่นเอง ชื่อของนางนั้นก็แปลว่า กำลังแห่งความโกรธ หรือ อำนาจแห่งการทำลายล้างด้วยอารมณ์อันขุ่นเคืองนั่นเอง ขนาดชื่อมารดายังน่ากลัวขนาดนี้แล้วลูกที่ออกมาจะน่ากลัวขนาดไหน
          ปิศาจนั้นถือว่าเป็นอมนุษย์ชั้นต่ำประเภทผีสางเลยก็ว่าได้ เพราะพวกนี้ดุร้ายมาก เรียกได้ว่าดุร้ายเสียยิ่งกว่าพวกตระกูลภูตเสียอีก พวกนี้มีรูปลักษณ์มากมาย อาทิเป็นรูปวิญญาณ, เวตาล, ครึ่งคนครึ่งสัตว์หน้าตาน่ากลัวน่าขยะแขยง, ผีป่า ฯลฯ
          พวกปิศาจจะชอบกินเนื้อสดๆ และซากเน่าเหม็นเป็นอาหาร มักอาศัยอยู่ในป่ารกทึบไม่ค่อยมีแสง ตามป่าช้า พวกนี้ชอบเข้าสิงในร่างของคนและสัตว์เพื่อกัดกินร่างนั้น ชอบก่อกวนหลอกหลอนคนอยู่เป็นประจำ
          แต่ก็มีพวกปิศาจที่ดีอยู่เช่นกัน โดยพวกที่ดีมักจะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะได้รับฉายาว่า ปิศาจบดี พวกนี้จะมีศีลธรรมชอบบำเพ็ญตบะ แต่ด้วยสันดานเดิมก็ยังมีความโกรธที่รุนแรงติดอยู่ไม่คลาย ยามใดที่พระศิวะกริ้วหรืออกทำศึก พวกปิศาจกลุ่มนี้จะเข้าร่วมกองทัพของพระศิวะเสมอ โดยจะเป็นทัพหน้าบุกทะลวงให้แด่พระศิวะเสมอ
#108
ตั้งหิ้งตามไหนก็ตั้งไปเถอะครับ อย่าทะเลาะกัน นับถืออะไรมากกว่าก็เอาองค์นั้นไว้สุงสุด

คุณเป็นพุทธ ก็เอาพระพุทธไว้สูงสุด แล้วที่เหลือก็ตามแต่ทรรศนะส่วนตัว ส่วนจะตั้งรวมกับเทพก็ได้นะครับ ถ้าคุณมองว่าทุกองค์คือ ความดี

ส่วนถ้าคุณเป็นฮินดู ก็ต้องเอาเทพฮินดูขึ้นสูงสุด แล้วตามด้วยพระพุทธ เพราะเขาว่าพระพุทธเราคืออวตารหนึ่งของพระวิษณุ

ส่วนเรื่องเทพกับโพธิสัตว์นั้น ถ้าศึกษาลงไปลึกๆ จะเห็นว่าเริ่มจากการข่มกันของศาสนาพุทธมหายานกับทางศาสนาฮินดู เพื่อให้ศาสนาอยู่รอด

สรุปคนทั้งนั้นแหละครับที่กำหนดพระเจ้า พระเจ้าท่านไม่เคยมายุ่งเรื่องพวกนี้หรอก


บัวมี 4 เหล่านะครับต้องเข้าใจ ภูมิคนไม่เท่ากัน มองต่างมุมกันไปบ้างก็เป็นสีสรรของโลกเราดี แต่ต้องมองต่างมุมแบบไม่ทะเลาะกันนะครับ

อย่างแบบเซนกล่าวว่า "เจอพระพุทธเจ้าที่ไหน ให้ฆ่าทิ้ง" คนธรรมดาฟังแล้ว เอมันพูดได้ไงหว่า บาปกรรม

แต่คนมีปัญญาฟังแล้วจะรู้ว่า ถ้าเรายังยึดรูปลักษณ์อยู่ ย่อมเท่ากับเราไม่เคยยึดพระธรรมเลย ที่กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นสูญตา

หรือ จะพูดอย่างฮินดู ก็ต้องยืมเรื่องใน นรสิงหาวตารมากล่าว ที่ประหลาทตอบบิดา (หิรัณยากศิปุ) ที่ถามว่า ที่ตรงนั้นตรงนี้มีพระเจ้าไหม ประหลาทก็ตอบว่า มีหมดทุกที่ ในสัตว์ก็มี ในหิรัณยากศิปุก็มี แล้วพระเจ้าอยู่ตรงไหนลห่ะครับ ที่ใดที่แสดงแดดส่งอถึง ที่ใดสายลมเคลื่อนไหว ที่นั่นมีพระเจ้าหมด แล้วอย่างนี้จะทะเลาะเรื่องแค่วางหิ้งกันทำไม

จำไว้นะครับ "สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่หนทางเข้าสู่มีหลากหลาย" ดังนั้นเราจึงเห้นต่างกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
#109
จิ้งจอกพันหน้า นี่ลูกเจ้าถ้วยหรือเปล่าครับนี่คุ้นๆ นะ
#110
อย่าคิดมากครับ นมัสการ นั้นเป็นภาษาอินเดีย ที่หมายถึง สวัสดี นั่นเอง

คล้ายๆ กัยที่เราชอบพูดว่า นมัสเต นั่นแหละ
#111
เขาไม่ได้บอกว่า ฆ่าด้วยมือเปล่า หรือ ฆ่าด้วยอาวุธ

เขาเพียงกล่าวว่า คริชณะได้สังหารคัมสะ เท่านั้นเอง

ที่เหลือ เราก็มาจิตนาการเอาทั้งนั้น
#112
มันอยู่ที่เรานับถืออะไรมากกว่ากัน มากกว่าครับ

แล้วทำไมต้องสวดเทพองค์นั้นก่อนองค์นี้หล่ะ นั่นก็เพราะคุณนับถือเทพอีกองค์สูงกว่าไง

คนอินเดียที่นับถือพระวิษณุ ก็จะสวดมนต์บูชาพระมหาวิษณุก่อน แล้วไล่สวดอวตารต่างๆ

พระพุทธก็เป็นหนึ่งในอวตารของพระวิษณุ ก็จะถูกสวดหลังพระนามของพระมหาวิษณุเป็นต้น

แล้วสุดท้าย จุดประสงค์ในการสวดเราต้องการอะไร ถามตัวเองก่อนดีไม๊ครับ
#113
ก่อนอื่นต้องขอนมัสการเจ้าของบ้าน คุณสฺวสฺติ คุณกาลิทัส และ คุณอักษรชนนี ก่อนนะครับ

และขอนมัสการ สมาชิกในบอรืดทุกท่านด้วยครับ

มีอะไรให้ช่วยทำก็บอกได้นะครับ
#114
ตอบคุณ giftzy_69 ว่า

ใช่ครับ พอดีเข้ามาเจอเวปบอร์ดนี้พอดี เลยลองสมัครเป็นสมาชิก

แล้วเข้ามาอ่านดู เลยเห็นว่าคนในบอร์ดนี้น่ารัก และทำเพื่อสาธารณะประโยชน์กันหลายคน

เลยเข้ามาร่วมแจม และ นำความรู้ที่ศึกษาวรรณกรรมพระเวท และภารตะนิยายมาร่วมโพสไว้ด้วยครับ

คุณเป็นแฟนประจำนิตยสารโหรามหาเวทย์หรอครับ

ผมมีเรื่องจะบอกว่า ประมาณเดือนมกราคม 2553 จะมีหนังสือเล่มหนึ่งออกมา

ชื่อว่า "ยันต์คุ้มครองดวงชะตา 108 มหาเทพ - เทวี" อันเป็นงานเขียนของผมกำลังจะออกวางตลาด
พร้อมแถมยันต์ ศรีศักติวิทูร ให้เป็นที่ระลึก เก็บไว้คุ้มครองดวงชะตา เสริมมงคล

เดิมผมตั้งชื่อหนังสือว่า "คัมภีร์ยันต์ศาสตร์ (ฮินดู)" แต่ทางบริษัทเห็นว่า ควรเปลี่ยนชื่อหนังสือใหม่ เพราะเขามองสวนทางกับผมตรงที่ บริษัทจะมองว่า ขายยันต์แถมหนังสือ ส่วนผมมองว่าขายหนังสือแถมยันต์ แต่สุดท้ายความหมายก็อันเดียวกัน จึงตกลงตั้งชื่อหนังนี้ตามความต้องการของบริษัท

รออ่านกันนะครับ เพราะ จะสอนให้รู้จักการวางรูปแบบของยันต์ฮินดู ว่าเขาสร้างโดยใช้ศาสตร์และศิลป์จากอะไร และมีที่มาจากตำราพระเวท หมวด โชยติษว่าอย่างไร

สวัสดีครับ
#115
กำเนิด และ ที่มาของ เหล่าอสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส

          ถ้าพูดถึงอสูรและรากษส คนไทยหลายคนคงไม่ค่อยรู้จักกันว่าไอ้ 2 ตัวนี้น่าตาเป็นยังไง แต่ถ้าพูดว่ายักษ์คนไทยจะรู้ทันที่ว่าเป็นพวกที่มีร่างกายใหญ่โตเขี้ยวโง้งยืนเฝ้าวัดวาอาราม แต่รากษส กับ อสูรนั้นก็ปรากฏให้เห็นกันในวรรณกรรมไทยอยู่บ่อยๆ แต่คนไทยก็รวมเรียกว่ายักษ์โดยไม่รู้ว่าความจริง บางครั้งก็นำมาเขียนปนกันมัวไปหมดโดยไม่แยกสายพันธุ์ ซึ่งความจริงแล้วอสูร ยักษ์ รากษสนั้นเป็นคนละสายพันธุ์กัน
          ขอเริ่มที่อสูร (असुर - ASURA) ก่อนก็แล้วกัน อสูรนั้นถือว่าเป็นผู้ครอบครองสวรรค์เป็นพวกแรก โดยอสูรนั้นถือกำเนิดมาจากพระกัศยปประชาบดี โดยแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ มีแม่คนละคนกัน
1. พวกไทตยะ หรือ แทตย์ (दैत्‍य - DAITYA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทิติ ไทตยะนั้นเป็นอสูรที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนกับพวกยักษ์ไตตันของชาวกรีกโบราณ หน้าตาก็เหมือนพวกเทวดานั่นแหละครับ แถมมีฤทธิ์มีเดชไม่แพ้พวกเทวดาด้วย
          ไทตยะที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ หิรัณยักษะ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นหมูป่า, หิรัณยกศิปุ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์, ท้าวพลี ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ยวามน, ไวโรจิ หรือ พาณะ โอรสของท้าวพลี เป็นอสูรมีพันแขนในรามายณะ และ ชลันธร ราชาอสูรเผ่าเทติยะ ผู้เคยแย่งชิงสวรรค์จากพระอินทร์กลับมาครอบครองได้
2. พวกทานวะ หรือ ทานพ (दानव
- DANAVA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทนุ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไทตยะอย่างแยกกันไม่ออก คือ มีลักษณะนิสัยคล้ายกันจนแยกไม่ออก กลุ่มนี้มักเข้าร่วมกับอสูรไทตยะทำสงครามกับพวกเทพมาโดยตลอด แบบว่าคนละแม่แต่พ่อเดียวกันคลอดคลานตามกันมาติดๆ

          ทานพที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ วฤตาสูร ซึ่งถูกพระอินทร์สังหารด้วยวัชระ, มัยทานพ ผู้เป็นสถาปนิกผู้ก่อสร้างกรุงอินทรปรัสถ์ ในมหาภารตยุทธ และราหูนั่นเอง
          ในสมัยพระเวทและในคัมภีร์ฤคเวทนั้นถือว่าอสูรนั้นเป็นเทพชั้นสูงจำพวกหนึ่ง โดยคำว่าอสูรนั้นมาจากรากศัพท์ว่า “อสุ” ซึ่งแปลว่า “ลมหายใจ” ได้มาเพราะอะไร ก็ได้มาเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องหายใจชนิดแรกอันปรากฏขึ้นในโลกนั่นเอง
          ในยุคพระเวทพระอินทร์ พระวรุณ พระอัคนี พระมารุต พระมิตรา และพวกพ้อง ก็ถูกจัดไว้ในพวกอสูรด้วยเช่นกัน แต่เกิดจากคนละแม่ คือ เกิดจากนางอทิติ ซึ่งถือว่าเกิดมาหลังพวกไทตยะกับพวกทานพ จึงไม่ค่อยลงรอยกับ 2 กลุ่มแรก แล้วต่อมาก็มาแยกมาแบ่งขั่วกันอย่างเด็ดขาดในยุคหลัง เป็นฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร กันอย่างเห็นได้ชัด
          โดยกลุ่มของพระอินทร์ที่มีฐานะเป็นน้อง และ พวกพ้อง อาทิ พระมารุต พระอัคนี พระโสม พระวิษณุ (สมันพระเวทเก่ายังเป็นเทพชั้นรอง ถือเป็น 1 ใน 12 สุริยเทพ) ได้จับพวกไทตยะกับพวกทานพที่มีฐานะเป็นพี่โยนลงจากสวรรค์แล้วเข้ายึดทำเนียบสวรรค์เป็นที่ทำการของ 5 แกนนำและเหล่าพันธมิตรแทน พวกเหล่าอสูรที่เป็นเจ้าของทำเนียบเก่าตราบเท่าทุกวันนี้
          ฝ่ายอสูรเมื่อถูกโยนลงจากสวรรค์ก็ใช่ว่าจะไม่มีกำลังอีก มีบางครั้งก็รวบรวมแกนนำจัดทัพเข้าบุกทวงทำเนียบสวรรค์ จนเกิดเทวาสุรสงครามให้พบเห็นได้บ่อยครั้งในวรรณกรรมของชาวภารตะ
          คราวนี้มาดูกลุ่มของยักษ์กับรากษสกันบ้าง ว่ามีกำเนิดเป็นมาอย่างไร มีหน้าตาเป็นเช่นไร กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จัดว่าส่วนใหญ่มักจะชอบเป็นศัตรูกับเทวดา โดยเข้าร่วมเป็นพวกต่อต้านเทวดากับฝ่ายของอสูรเสมอ นี่เองจึงเป็นเหตุให้เราแยกไม่ค่อยออกระหว่างอสูรและกลุ่มหลังนี้
          ยักษ์และรากษสนั้นถือกำเนิดมาจากสายของพรหมฤษีปุลสัตยะ โดยฤษีปุลสัตยะนั้นมีบุตรชายตนหนึ่งนามว่า “เทพฤษีวิศราวัส หรือ เปาลัสตยะ (ในรามเกียรติ์)” อันเกิดจากนางอิฑาวิฑาผู้เป็นธิดาของฤษีตฤณวินทุ
          เมื่อเทพฤษีวิศราวัสเติบโตเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานกับนางวรรณีผู้เป็นธิดาของพรหมฤษีภรัทวาช แล้วต่อมาก็ให้กำเนิดลูกตนหนึ่ง ตอนแรกคลอดออกมาก็ได้แต่ร้องว่า “หิว” จึงตั้งชื่อให้ว่า “ยักษะ (यक्ष - YAKSHA)”
          ซึ่งในรากศัพท์จะหมายถึงหิวโหยนั่นเอง ยักษ์ตนนี้จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ไวศรวัณ หรือ เวสสุวัณ หรือ กุเวร หรือ กุเปรัน นั่นเอง คราวนี้คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่ายักษ์ตนนี้คือใคร และยังมีน้องๆ ตามมาอีกมากมาย
          ต่อมาพวกยักษ์ก็ได้รับมอบหน้าที่จากพระพรหมให้ไปคอยคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ป่าเขาและทรัพย์ที่มีอยู่ในโลกโดยมีท้าวกุเวรของเราเป็นราชาผู้ปกครองสายพันธุ์นี้ ซึ่งก็มีแตกวงศ์วานออกไปอีกมากมายมีทั้งดีและร้าย พวกดีก็จะไปเข้ากับเหล่าเทวดา ส่วนพวกร้ายก็จะไปเข้ากับพวกอสูรเจ้าของทำเนียบเก่า
          คราวนี้มาถึงกลุ่มรากษส (राक्षस - RAKSHASA) กันบ้าง กลุ่มนี้ก็มีบิดาคนเดียวกับกลุ่มยักษ์ แต่มีแม่คนละคนกัน โดยกลุ่มนี้มีแม่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าอสูรนามว่า
“ไกกาสี” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “นางรัชฏา” ในรามเกียรติ์นั่นเอง ด้วยความที่เหล่าอสูรถูกเหล่าพันธมิตรเทวดาตามเช็ดตามล้างอยู่บ่อยทำให้เสียเครดิตไป เกือบสิ้นสายพันธุ์
          ท้าวสุมาลีจอมอสูรจึงอยากที่จะให้มีลูกหลานที่เป็นนอมินี มาสืบทายาทอสูรสายพันธุ์ใหม่เพื่อมาทวงอำนาจทวงบัลลังก์แทนตน จึงได้ส่งลูกสาวของตนไปเป็นเมียน้อยของเทพฤษีวิศราวัส

          โดยให้นางไกกาสีไปขอให้เทพฤษีวิศราวัสมีบุตรกับตนด้วยนางต้องทำตามที่บิดาสั่ง แต่เวลาที่นางไปขอร้องแล้วได้รับการยอมรับนั้นเป็นฤกษ์ยามที่อัปมงคล (ตามตำนานว่าเป็นฤกษ์ที่พระจันทร์เคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในเพชณฆาฏฤกษ์)
          เทพฤษีวิศราวัสกล่าวทำนายว่าลูกของนางที่จะเกิดมานั้นจะเกิมมาเป็นพวกมารชั่วร้าย นางตกใจจึงขอร้องเทพฤษีว่า ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ขอให้นางมีบุตรที่เป็นคนดีไว้สักคน เทพฤษีจึงให้พรแก่นาง
ลูกของนางที่คลอดออกมาคนแรกนั่นก็คือ ทศกัณฐ์ หรือ ราวณะ ที่แปลว่า
“ร้องโหยหวน” นั่นเอง แล้วราวณะมันร้องว่าอะไร มันก็ร้องว่ากระหายนั่นเอง แล้วเกิดน้องชายชื่อกุมภกรรณกับน้องสาวชื่อศุรปนขา และพิเภกตามมาอีก ซึ่งพิเภพนั้นก็คือลูกคนที่ได้รับพรของผู้เป็นบิดาว่าจะเติบโตมาเป็นคนมีศีลมีธรรมนั่นเอง
          ต่อมาพระหรหมจึงทรงจัดหาที่บนโลกให้อยู่เหมือนดั่งพวกยักษ์ โดยพิจารณาว่าเมื่อแรกเกิดนั้นพวกนี้ร้องว่า
“กระหาย” เลยให้ไปคอยคุ้มครองปกป้องแหล่งน้ำต่างบนโลก ทั้งบนเกาะ ป่าชายน้ำ ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ และป่าชื้นนั่นเอง ทศกัณฐ์เลยไปใช้ชีวิตใกล้น้ำอยู่บนเกาะลงกานั่นเอง
          โดยพวกนี้ชอบกินเนื้อสดๆ ซากศพ และมีนิสัยแปลกๆ อยู่อย่าง คือ ชอบรบกวนพวกพราหมณ์ที่กำลังประกอบพิธี เนื่องด้วยพวกนี้ไม่ชอบฟังเสียงสวด
          แล้วคำว่า “รากษส” นั้นมาจากไหน ก็ได้มาจากการที่พระพรหมทรงมอบหน้าที่ให้คอยรักษาปกป้องแหล่งน้ำและป่าชื้นนั่นเอง
          เพราะคำว่า “รากษส (ราก - สด)” นั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า “รักษะ” ซึ่งก็คือการรักษาปกป้องนั่นเอง บางตัวที่อาศัยอยู่ในน้ำเราก็จะเรียกกันว่า พวกผีเสื้อน้ำก็มี
          สรุปโดยรวมพวกอสูร ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาที่ต่างกัน มีนิสัยทั้งดีและเลว คละเคล้ากันจนบางครั้งแทบแยกกันไม่ออกว่าพวกไหนเป็นเผ่าไหนกันแน่ แถมยังแปลงเป็นนู้นเป็นนี่ได้อีกมากมาย คนไทยเราเลยเรียกรวมพวกนี้ว่า
“ยักษ์” คำเดียวจบ
          ที่ผมเอามาเล่านี่ไม่ได้นำมาเล่าเพราะอยากให้ท่านผู้อ่านแยกว่าตัวไหนมาจากสายพันธุ์ไหนเป็นนอมินีใคร เพราะแยกยากมากโดยเฉพาะพวกรุ่นหลังๆ ผสมข้ามพันธุ์กันเยอะเป็นพันธุ์ทางหาพันธุ์แท้ไม่เจอกันแล้ว ที่นำมาเล่าก็เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านรู้ที่มาที่ไปแห่งสายพันธุ์ที่แท้ว่าพวก ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาอย่างไร

ที่มาจาก : นิตยสารโหรามหาเวทย์ ฉบับเดือน พ.ย. 2551 คอลัมน์ เทพปกรณัม โดยงานเขียนของผม “กาลปุตรา”


#116
ตำนานการกำเนิดของทศกัณฐ์นั้น กล่าวกันว่า เดิมทศกัณฐ์ (ราวณะ) นั้นเป็น ทวารบาลนามว่า "ชัย" กับ "วิชัย" ของพระมหาวิษณุ

แล้ววันหนึ่งขณะที่พระวิษณุกลับมาจากการอวตารเป็นเต่าทองคำเพื่อทำพิธีกวนเกษียรสมทร เมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็ทรงรู้สึกเพลียจึงเข้าบรรทมในไวกูณฑ์




ในเวลาที่พระวิษณุบรรทมอยู่ได้มี จตุรกุมาร หรือ สี่พรหมบุตร (สนะกะ, สนันทนะ, สนาตนะ และ สนัตกุมาร) ได้เดินทางมาเยี่ยม และ ขอเข้าเฝ้าพระวิษณุ แต่นายทวารบาลชัยกับวิชัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าไวกูณฑ์ โดยกล่าวว่า พระวิษณุขณะนี้กำลังบรรทมอยู่จึงไม่ให้ใครเข้ารบกวน

ฝ่ายพรหมบุตรทั้งสี่ก็อ้างว่าตนนั้นได้เดินทางไกลจากพรหมโลก มาเพื่อขอเข้าเฝ้าพระวิษณุที่วิษณุโลก อีกอย่างพระวิษณุก็ได้เคยประทานพรไว้แล้วว่าพวกตนทั้งสี่ สามารถเข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อทุกเวลาที่ต้องการ

ชัยกะวิชัยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะ แล้วกล่าวว่า นี่เจ้าพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทั้งสี่ พวกเจ้าเอาอะไรมาอ้าง เราเฝ้าที่ทวารบาลนี้มาช้านานหลายร้อยปีแล้ว ก็ไม่เคยเห็นพวกเจ้าสักครั้ง อีกทั้งพวกเจ้าทั้งสี่อายุยังน้อยทำไมเราจึงไม่เคยเห็นพวกเจ้าเลย แต่พวกเจ้ากับมากล่าวว่าเคยมาเข้าเฝ้าและได้รับเทวานุญาตให้เข้าเฝ้าได้ตลอด

พรหมบุตรทั้งสี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธที่ชัยกับวิชัยมาดูถูกพวกตน ก็ไม่สนใจเดินตรงฝ่าจะเข้าประตูไป ชัยกับวิชัยเห็นดังนั้นก็ตรงเข้าขัดขวางทำร้ายพรหมบุตรทั้งสี่ในทันใด แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายพรหมบุตรทั้งสี่ได้



เมื่อพรหมบุตรเห็นดังนั้นจึงได้สาปชัยกับวิชัยว่า "ดีแหละเจ้าทวารบาลทั้งสอง เจ้าดูถูกว่าเราเป็นเด็ก ที่ร่างของเราเป็นเด้กอยู่นั้นใช่ว่าอายุของเราจะน้อยตามร่าง แต่ความจริงเรามีอายุมากกว่าเจ้าหลายล้านปี เรานั้นเป็นโอรสของพระพรหมเจ้า เป็นผู้จาริกบุญออกสอนธรรมะไปทั้งสามโลก การที่พวกเจ้ากล่าวดูถูกเราซึ่งเป็นวรรณะพราหมณ์เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความผิด และด้วยพวกเจ้าใช้อาวุธทำร้ายพราหมณ์นั้นก็ถือว่าเป็นความผิดยิ่งกว่า การทำร้ายพราหมณ์ผู้ทรงศีลนั้นในธรรมศาสตร์กล่าวว่าเป็นบาปอย่างมหันต์"

"เราขอสาปให้เจ้าทั้งสองลงไปรับกรรมในโลกมนุษย์ โดยถือกำเนิดเป็นมาร 3 ชาตินับแต่นี้ไป" สาปเสร็จเหล่าพรหมบุตรทั้ง 4 ก็จากไป

ชัยกับวิชัยเมื่อโดนสาปเช่นนี้ก็ตกใจกลัว รีบเข้าไปทูลเรื่องให้พระวิษณุทรงทราบ พระวิษณุเมื่อได้ทรงทราบแล้วก็ทรงตรัสว่า

"ชัย วิชัย เธอทั้งสองได้ก่อบาปมหันต์ไว้ ด้วยการทำร้ายพราหมณ์ผู้ทรงศีลจนโดนสาป อีกทั้งพรหมบุตรทั้งสี่นี้ถือว่าเป็นสาวกผู้ภักดีในเราการจะทำให้คำสาปนั้นไม่เป็นผลเราไม่สามารถกระทำได้ เธอทั้งสองต้องลงไปกำเนิดในโลกมนุษย์เพื่อชดใช้กรรมตามที่พรหมบุตรทั้งสี่ได้กล่าวสาปไว้ให้คำสาปของพรหมบุตรนั้นเป็นจริง เมื่อนั้นเราจะลงไปสังหารพวกเธอทั้ง 3 ครั้ง 3 คราวที่พวกเธอไปถือกำเนิดเป็นมารเอง เพื่อให้พวกเธอได้กลับมายังวิษณุโลกเหมือนเดิมอีกครั้ง"


เมื่อพระวิษณุให้คำมั่นสัญญากับชัยและวิชัยเช่นนี้แล้ว ทั้งสองจึงค่อยโล่งใจ แล้วสำนึกในบาปที่ได้กระทำไว้ โดยยอมลงมาเกิดในโลกมนุษย์ 3 ชาติ โดยแต่ละชาติจะกำเนิดเป็นมารดังนี้

ชาติที่ 1 ถือกำเนิดในตระกูลไทตยะ หรือ แทตย์ (บรรพบุรุษแห่งอสูร)

ชัย ได้ถือกำเนิดเป็น หิรัณยากษะ ผู้ลักพาพระแม่ภูมเทวีไปซ่อน พระวิษณุจึงอวตารลงมาเป็น หมูป่า (วะราฮาวะทาระ) มาปราบ และ เพื่อยุติการประลองกำลังอำนาจระหว่างพระศิวะกับพระพรหม

วิชัย ได้ถือกำเนิดมาเป็น หิรัณยกศิยปุ (ไทยเรียก หิรัณยักศิปุ) ผู้เป็นน้องชายของหิรัณยากษะ และ ผู้ทำการข่มเหงสรรพสัตว์ เทวดา พระวิษณุจึงอวตารลงมาเป็น นรสิงห์ (นะระสิมฮาวะทาระ)

ชาติที่ 2 ถือกำเนิดในตระกูลรากษส (ตระกูลของไทตยะ สายพันธุ์ใหม่)

ชัย ได้ถือกำเนิดเป็น ราวณะ หรือ ทศกัณฐ์

วิชัย ได้ถือกำเนิดเป็น กุมภกรรณ
แล้วพระวิษณุกับเศษนาคได้อวตารลงมาปราบ ในการอวตารลงมาเป็นพระรามกับพระลักษมณ์ (รามาวตาร)

ชาติที่ 3 ถือกำเนิดในตระกูลลูกครึ่งระหว่าอสูรกับมนุษย์ ตระกูลนี้เรียกว่า มาร

ชัย ถือกำเนิดเป็นพญากงส์ หรือ คัมสะ

วิชัย ถือกำเนิดเป็น ศิศุปาล หรือ ชิชุพาละ
แล้วพระวิษณุได้อวตารลงมาปราบ โดยอวตารเป็นพระกฤษณะ (กฤษณาวตาร)

ส่วนเรื่องชาติพันธุ์อสูรนั้น เดี๋ยวผมจะโพส ตั้งกระทู้ให้ใหม่แยกไว้เพื่อสะดวกในการค้นหานะครับ จะได้แยกกันถูกว่าสายพันธุ์ไหนเรียกว่าอ่ะไรกันบ้าง ลองอ่านดูเอาก็แล้วกัน
#117
ปัญจามฤตบูชา

(PANCHAMRITA PUJA – पञ्चामृत पूजा)

          ปัญจามฤต หรือ ที่ในภาษาสันสกฤตออกเสียงว่า “พัยฺชาริทะ” เป็นการผสมกันของคำ 2 คำ คือ คำว่า “ปัญจ (पञ्च)” ที่หมายถึง ห้า กับคำว่า “อมฤต (अमृत)” ที่หมายถึง น้ำอมฤต, น้ำหวานที่ได้จากธรรมชาติ, น้ำทิพย์, อาหารของเทวดา

ดังนั้น “ปัญจามฤต” จึงหมายถึง น้ำทิพย์อมฤต 5 ชนิดที่ใช้ถวายองค์เทพเจ้าเพื่อให้เกิดพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีชีวิตใหม่ และเพื่อถวายเป็นอาหารของเทพเจ้า อันได้แก่
1. ทูธะ (ดูดฺะ - दूध) หมายถึง น้ำนมสด
2. ทหี (ดะฮี - दही) หมายถึง โยเกิร์ต หรือ นมข้น

3. ฆฤตะ (กฺริทะ - घृत) หรือ ฆี (กี - घी) หมายถึง เนยใส
4. มธุ (มะดุ - मधु) หมายถึง น้ำผึ้ง, น้ำหวานจากต้นไม้, น้ำโสม
5. ศรรกรา (ชระคะรา - शर्करा) หมายถึง น้ำตาลกรวด (โอทึ้ง)

ปัญโจปจารบูชา (PANCHOPACHARA PUJA – पञ्चोपचार पूजा)

ปัญโจปจาร หรือ ที่ในภาษาสันสกฤตออกเสียงว่า “พัยฺโชพะชาระ” เป็นการผสมกันของคำ 2 คำ คือ คำว่า
“ปัญจ (
पञ्च)” ที่หมายถึง ห้า กับคำว่า “อุปจาร (उपचार)” ที่หมายถึง การดูแล, การรับรอง, การให้ความเคารพนับถือ
[/FONT]
ดังนั้น “ปัญโจปจาร” จึงหมายถึง เครื่องบูชารับรอง หรือ อัญเชิญพระผู้เป็นเจ้าด้วยสิ่งของห้าอย่าง อันได้แก่
1. คันธะ (กันดฺะ – गन्ध) หมายถึง สิ่งที่มีกลิ่นหอม อันได้แก่ ผงเจิม, ผงจันทน์, ผงขมิ้น, แป้งหอม, น้ำหอมต่างๆ
2. ปุษปะ (พุชพะ – पुष्प) หมายถึง ดอกไม้, พวงมาลัย จนถึงใบไม้มงคลของชาวฮินดู เช่น ใบพลิว (มะตูม), ใบตุลสี (กะเพรา), ใบนีม (สะเดา), กลัศ (บายศรีแขก) เป็นต้น
3. ธูปะ (ดูพะ – धूप) หมายถึง การเผาหรือสุมให้เกิดควัน อันได้แก่ กำยานและธูปหอม
4. ทีปะ (ดีปะ – दीप) หมายถึง การส่องแสง อันได้แก่ เทียน, ตะเกียง หรือ ไฟจากการบูร
5. ไนเวทยะ (ไนเวดยะ – नैवेद्य) หมายถึง เครื่องบวงสรวงสังเวยเทพเจ้า อันได้แก่ อาหาร (ห้ามใช้อาหารคาว) เช่น ผลไม้, หัวเผือก, หัวมัน, ข้าว, เมล็ดธัญพืช, ขนมหวาน

#118
संतोषी माता (SANTOSHI)
อินเดียออกเสียงว่า "สันโทชี มาทา"
เขียนเป็นไทยว่า "สันโดษี มาตา"
ถ้าอยากได้รูปเพิ่มก็ลองเอาคำที่เป็นอักษรเทวนาครี หรือ ภาษาอังกฤษ ไปลองหาดูใน google ก็ได้นะครับ
#119
เป็นทั้งเครือญาติ และ ลูกน้องครับ

ยกตัวอย่างใน รามายณะ อสูรที่มารบกับพระรามส่วนใหญ่ ก็ล้วนแต่เป็นวงศาคณาญาติของ ราวณะ หรือ ทศกัณฐ์ทั้งนั้น

แต่ด้วยทศกัณฐ์นั้นเป็นหัวหน้า หรือ ราชาแห่งอสูรในขณะนั้น พวกวงศ์ญาติที่มาช่วยรบตามคำสั่งของทศกัณฐ์

จึงมีด้วยกัน 2 ฐานะในคราวเดียว คือ เป็นทั้งญาติ และ บริวาร

และอีกเรื่อง เหล่าอสูรนั้นก็มีโคตรเหง้ามาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นพระเวทเป็นอสูรไทตยะ

ต่อมาเริ่มมีการผสมข้ามพันธุ์กันเกิดขึ้น จนเกิดเป็น ยักษ์ กับ รากษส ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ทศกัณฐ์ไทยเรามักเรียกว่าพวกยักษ์

ซึ่งแท้จริงแล้ว ทศกัณฐ์ เป็นรากษสมากกว่า เพราะเกิดมาจากตระกูลที่ที่ร้องว่ากระหาย และ พระพรหมให้ไปทำหน้าที่รักษาป่าเขาและลำน้ำ

รากษส มีรากศัพท์มาจากคำว่า "รักษา" เพราะต้นตระกูลของเขาได้รับหน้าที่เป็นผู้รักษาครับ

แต่สุดท้ายทั้งยักษ์และรากษสก็ถูกนำมาเรียกรวมกันว่า "พวกอสูร" ที่หมายถึงศัตรูของเทวดานั่นเอง

พวกนี้มีการเกี่ยวข้องเป็นวงศ์วานกันจนเรียกได้ว่า แยกกันยากครับ คนอินเดียเจ้าของตำนานเองยังแยกแทบไม่ถูกเลย ว่าเผ่าไหนเป็นเผ่าไหน

และ ตนไหนเป็นพี่ ตนไหนเป็นน้อง ตนไหนเป็นญาติ ตนไหนเป็นบริวาร
#120

ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 จะเป็นวันแรก หรือ ปีใหม่ของชาวจีน ซึ่งในทุกๆ ปีจะมีเทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วยเอี๊ย พลัดเปลี่ยนกันลงมาทำหน้าที่คุ้มครองดวงชะตาสลับสับเปลี่ยนกันในแต่ละปีธาตุ รวม 60 องค์ (5 ธาตุ x 12 นักษัตร)

โดยในปีนี้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยที่จะลงมาทำหน้าที่คุ้มครองดวงชะตาในปี "แกอิ๊ง ()" (อิ๊ง หมายถึง ปีนักษัตรขาล และ แก หมายถึง ธาตุทอง) ก็คือ องค์ไท้ส่วยที่มีพระนามว่า
"鄔桓大將軍" อูฮ้วยไต่เจียงกุง (ภาษาแต้จิ๋ว) หรือ อูหวนต้าเจียงจวิน (ภาษาจีนกลาง)
ท่านมีนามย่อว่า "อูอี้" เป็นชาวเมืองซินช่าง เกิดในสมัยราชวงศ์หยวน ด้วยในชีวิตทำคุณงามความดีไว้มาก เมื่อเสียชีวิตลงจึงได้รับพระราชทานยศจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ให้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ประจำในปีขาลทอง (พ.ศ. 2493, 2553, 2613)

ในแต่ละปีจะเห็นได้ว่าคนไทยเรานั้นมักจะให้ความสนใจกับการชงปีไท้ส่วยกันมาก แต่หลายท่านก็ยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วปีเกิดของแต่ละท่านไม่ได้ชงกับปีไท้ส่วยเสมอไป แต่กลับถูกเหมารวมเรียกว่าชงไปหมด ซึ่งตามความจริงจะแยกออกเป็น 5 ลักษณะ และ ในปีขาลทองดวงชะตาของแต่ละท่านจะได้รับผลดังนี้

1. ท่านที่เกิดในปีขาล จะตกเกณฑ์ "คัก" โดยเฉพาะที่ที่เกิดในปีขาล พ.ศ. 2529
อันจะทำให้ในปีนี้จะเกิดแต่เรื่องปวดหัว มีทุกข์ลาภ มีความสุขความทุกคละเค้ากันไป ชีวิตจะมีแต่เรื่องการต่อสู้แย่งชิงไม่ว่างเว้น

2. ท่านที่เกิดปีมะเส็ง จะตกเกณฑ์ "เฮ้ง" โดยเฉพาะท่านที่เกิดในปีมะเส็ง พ.ศ. 2520
อันจะทำให้เกิดเรื่องเกี่ยวกับคดีความ มีอุปสรรคขวากหนามมากมาย ถูกทำร้าย เห็นผิดเป็นชอบ เกิดการเข้าใจผิดอยู่เสมอ

3. ท่านที่เกิดปีวอก จะตกเกณฑ์ "ชง" โดยเฉพาะท่านที่เกิดในปีวอก พ.ศ. 2487, 2511 และ 2547
ถือว่าเป็นปี "ฆาต" จะเกิดมรสุมเข้ามาในชีวิต ทั้งในหน้าที่การงาน การเงิน สุขภาพ ความรัก ความสงบสุขในชีวิต ความสูญเสียและภัยพิบัติต่างๆ นานา

4. ท่านที่เกิดปีกุน จะตกเกณฑ์ "ผั่ว" โดยเฉพาะท่านที่เกิดในปีกุน พ.ศ. 2502 กับ 2538
อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตบ่อย ในปีนี้จะรู้สึกเหงาเดียวดายเป็นพิเศษ ชีวิตคู่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้

5. ท่านที่เกิดปีมะเส็ง จะตกเกณฑ์ "ไห่" โดยเฉพาะท่านที่เกิดในปีมะเส็ง พ.ศ. 2520
อันจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เป็นประจำ อีกทั้งจะเกิดการทะเลาะวิวาทในหมู่ญาติพี่น้อง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผลของแต่ละแบบไม่เหมือนกัน แต่คนไทยเรามักไม่เข้าใจเลยเหมารวมเรียกทั้งหมดว่า "ชง" ที่แปลว่า "ปะทะ" เพียงคำเดียวไปเสียหมด

วิธีสะเดาะเคราะห์กับไท้ส่วยประจำปีนั้น สามารถกระทำได้ตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 2553 เป็นต้นไป ห้ามกระทำก่อนถึงวันตรุษจีนนะครับ เพราะถ้าไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ก่อนวันตรุษจีนย่อมเท่ากับไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์กับไท้ส่วยองค์เก่า เนื่องจากไท้ส่วยอูฮ้วยไต่เจียงกุง จะเสด็จลงมารับหน้าที่คุ้มครองดวงชะตา หรือ เข้ารับตำแหน่งของท่านในวันชิวอิก หรือ ตรุษจีนเป็นต้นไปเท่านั้น

ซึ่งเห็นมีหลายท่านไม่ทราบกัน รีบไปแก้กันก่อนตรุษจีนด้วยกลัวว่าถ้าไปทำในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้วคนจะเยอะแน่นมาก เลยรีบไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันก่อนอันถือว่าผิด แต่ที่ถูกควรเริ่มไปทำตั้งแต่วันตรุษจีนแล้วเป็นต้นไปจะถูกต้องกว่า หรือ ถ้ากลัวคนเยอะก็ให้ไปทำหลังวันตรุษจีนก็ย่อมได้ของเพียงให้อยู่ในปีขาลทองก็ใช้ได้

ของที่ใช้สะเคาะเคราะห์ไท้ส่วยประจำปีก็ไม่มีอะไรมาก อย่าไปใช้ให้สิ้นเปลืองนักตามที่หนังสือบางเล่มลงไว้เพื่อขายของ เพราะ ตามตำราโบราณนั้นกำหนดไว้ไม่กี่อย่างเอง โดยสามารถทำได้ทั้งเดินทางไปทำตามวัดที่มีองค์ไท้ส่วยสถิตอยู่ หรือ จะตั้งโต๊ะกลางแจ้งหน้าบ้านของท่านก็กระทำได้ ของที่ใช้จะมีดังนี้

1. เทียนเหลือง 1 คู่ (เพราะถือว่าไท้ส่วยนั้นความจริงก็คือดาวพฤหัส ซึ่งมีสีเหลืองเป็นสีประจำพระองค์) หรือ เทียนแดงก็ได้ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าสีแดงเป็นสีมงคล


2. ธูป 3 ดอก


3. เทียบเชิญ หรือ กระดาษแดง 1 ใบ เขียนอัญเชิญองค์ไท้ส่วย "อูฮ้วยไต่เจียงกุง" ลงไปเหมือนกับการที่เราเขียนการ์ดเชิญทั่วไป จากนั้นก็เขียนชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด เวลาเกิดของเจ้าชะตาลงไป แล้วเขียนสิ่งที่ต้องการให้องค์ไท้ส่วยช่วยเหลือ และ สิ่งที่ต้องการขอพรลงไปในนั้น


4. หงิงเตี๋ย 12 แผ่น (แต่ถ้าปีใดมีเดือน 5 จีนสองหน ก็เพิ่มเข้าไปอีก 1 แผ่น)

ลักฮะจี๊แบบรวม
ลักฮะจี๊แบบแยก

5. ลักฮะจี้ (วลีอวยพร 6 ประการ) 1 ผับ จะเป็นแบบรวมหรือแบบแยกก็ได้ มีขายที่ตลาดเยาวราช แต่ขอแนะนำให้เอาอย่างรวมทั้ง 6 วลีไว้ในแผ่นเดียวเพื่อความประหยัด


ที่เหลือท่านจะนำอะไรมาเป็นเครื่องบรรณาการเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต้ห้ามให้ตกเลข 7 หรือ 7 ชนิด เพราะ ชาวจีนถือว่าเลข 7 ไม่เป็นมงคลนะครับ ของที่นำมาบรรณาการเพิ่มก็อาจจะได้แก่ ผลไม้, ขนม, เจฉ่าย, ค้อซี, เทียงเถ่จี๊, กิมหงอ่งเต้า, ตั่วกิม, กิมฮก และ ฯลฯ แล้วแต่กำลังเงิน

เมื่อทำพิธีไหว้ทำพิธีไหว้องค์ไท้ส่วยประจำปีเพื่อสะเดาะเคราะห์เสร็จ ก็ให้ลาเอา หงิ่งเตี๋ยทั้ง 12 แผ่นกับลักฮะจี๊ มาปัดไล่รังควานตั้งแต่หัวจรดเท้า 12 ครั้งตามจำนวนเดือนในปีนั้น ถ้าปีใดมีเดือน 5 จีน 2 หน ก็ให้เพิ่มการปัดไล่เสนียดจัญไรนั้นเพิ่มไปอีก 1 ครั้ง ส่วนลักฮะจี๊จะเป็นการปัดเพื่อให้มงคลทั้ง 6 ประการเข้าอยู่ในตัวเรา ทำเช่นนี้ก็จะเป็นอันเสร็จพิธีสะเดาะเคราะห์ไท้ส่วยประจำปีอย่างสมบูรณ์

ปล. ตามหนังสือที่ขายกันตามท้องตลาด มักจะให้จัดข้าวของใช้ไหว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่มีความจำเป็นเท่าใดนัก เพราะนั้นเขาทำเพื่อการค้าขายได้มากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น ฉะนั้นขอให้ใช้เท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว