Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - magic

#1
นาคกัลยานี ครับผม
#2
ขอบคุณพี่ หริลาสครับ พี่มาตอบข้อสงสัยของผม ตอนนี้ เข้าใจแล้วครับผม พอดีผมเข้าใจอะไรยากนิดนึงครับ อิอิ อย่าว่ากันนะครับ ขขอบคุณครับกับความรู้ดีๆ และวิถีศรัทธาที่ถูกต้อง นำมาเผยแพร่ให้กับผู้ศรัทธา ยุคใหม่ที่มีความรู้ทางด้านศรัทธาน้อย ให้ปฏิบัติถูกต้อง ขอบคุณจริงๆครับ
#3
ต้องขอชมในความสามารถ จินตนาการ และความสวยงาม ในพลังแห่งศรัทธา จริงๆครับ ขอขอบคุณที่นำความศรัทธาที่สวยงามแบบนี้มาให้ชม ถือว่าเป็นบุญแก่สายตาของคนที่ได้พบเห็น ขอบคุณครับ สวยงามจริงๆ
#4
อันนี้ เป็นความสงสัยส่วนตัวนะครับ อย่างตัวผมเนี่ย ถ้าจะนำบายศรี 1 สำรับ เพื่อถวายแด่ องค์เทพเจ้า ฮินดู ที่ผมนับถือบูชา อย่างที่พี่ๆกล่าวมาแล้วนั้น แต่ด้วยข้อกำหนดที่ว่า ห้ามนำ ของคาว หรือเนื้อสัตว์ขึ้นถวาย แด่องค์เทพเจ้าฮินดู ฉะนั้น การขึ้นบายศรีก็ไม่สามารถที่จะนำขึ้นถวายแด่องค์เทพเจ้าฮินดูได้ ใช่ไหมครับ เพราะต้องมี ทั้งไข่ ทั้งแมงดา แล้วถ้าจะเอาขึ้นโดยไม่ใส่ มันด็ไม่ใช่ บายศรี ที่ถูกต้องตามโบราณใช่ไหมครับ แล้วถ้าเราอยากจะขึ้นอะครับต้องทำอย่างไร เพราะเราเป็นคนไทย ตามวัฒนธรรม การนำบายศรีถวายแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีมาช้านานแล้ว เพราะถือเป็นเครื่องสูง ชนิดหนึ่ง ช่วยตอบในข้อสงสัย ผมหน่อยนะครับ ผมอยากถวายเครื่องสักการะ "บายศรี" แด่องค์เทพเจ้าฮินดู ของคนไทย ให้ถูกต้องตามวัฒนธรรมไทย และ ความเชื่อศรัทธาของชาวฮินดู ครับ ขอบคุณครับ
#5
ผม นับถือทางสาย ศักติเทวี ทางฝั่ง พระมารดามหาอุมาเทวี เป็นพิเศษ ครับ  รวมไปถึง พระมารดามารีอัมมัน ด้วยครับ เทพฝ่ายบรุษที่เคารพ ก็จะมี พระบิดาศิวะเจ้าและพระบิดาศรีมหาคเณศ ครับ
#7
อยากทราบเหมือนกันครับ เพราะเป็นคนเข้าใจ แต่อธิบายไม่ถูก พี่ๆที่เป็นกูรูเรื่องเทวะตำนวน ช่วยชี้แนะ ด้วยครับ ขอออกเสียงอีกหนึ่งคน ขอบพระคุณครับ
#8
เห็นด้วยกับพี่กาลิทัสครับผม อิอิ
#9
ขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า แต่เคยได้อ่านผ่านตาแล้วจดจำมาบ้าง ว่าพระมารดาศรีมหาอุมาเทวีก็เคย บำเพ็ญ ทุกกิริยา พรหมจรรย์ เพื่อบูชา องค์พระบิดาศิวะเจ้า ให้มาแต่งงาน เป็น เวลา 3000 ปี เทพ นั่นคือ 1000 ปี แรก เสวยแต่ ใบไม้ 1000 ปีที่ 2 เสวย แต่ ผลไม้ 1000ปี สุดท้าย เสวยน้ำกับนม เท่านั้น ที่เอามาเล่า ก็เพื่อ ให้คุณลองทำ เพราะเห็นว่าในฝันบอก 3 วัน 3 คืน แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำตามที่ผมเล่านะครับ แต่ให้ลอง นำไปปรับใช้โดย วันแรก ถวาย ใบไม้ วันที่ 2 ถวายผลไม้ (เหนื่อยหน่อยเพราะต้องใช้เยอะ)  วันที่ 3 ถวาย น้ำกับนม โดยถวายผ่าน ศิวลึงค์ ตลอด 3 วัน เอาเลิกสะดวก เดือนละครั้ง ตามศาสตร์การบูชาพระบิดาศิวะเจ้า นั่นคือ วันจันทร์ ข้างขึ้นของทุกเดือน หรือ วันแรม 15 ค่ำ ของทุกเดือนครับ

ขอโทษนะครับ ถ้ามีอะไร ผิดพลาด กับเรื่องนี้ นะครับ มันเป็นความคิดเห็น ส่วนตัวของผม ขอบคุณครับ
#10
ขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันในเรื่องความเกี่ยวเนื่องที่ว่า พระมารดามหากาลีเทวี กับ พระโพธิสัตว์กวนอิมคือองค์ เดียว จะเล่าให้ฟังความเป็นมาของเรื่อง เริ่มต้นที่ว่า พระมารดามหากาลีเทวี ยุคแรก แต่ไม่รู้ว่ายุคไหน แต่เมื่อ 3000 ปีที่แล้ว มีสายญาณมาจากธิเบต เหมือนกับ พระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ได้รับการบูชากันคนละที่ เลยมีชื่อไม่เหมือนกัน (เขาเล่ามาอีกทีนะ) อาจจะด้วย รูปลักษณ์ ของทั้ง 2 พระองค์ มั้งครับ ที่ เหมือนกัน นั้นคือ มีหลายพระกร แล้วแต่ละพระกร ก็ถืออาวุธครบถ้วน ไว้ปราบหมู่มาร เลยทำให้นำเอามาเกี่ยวโยงกัน ทางเทวกำเนิด ให้เป็นองค์เดียวกัน แต่เทวตำนานของการกำเนิด ต่างกันมากมายครับ ผมจึงยังไม่ปักใจเชื่อในเรื่องนี้ แต่ก็เก็บไว้เป็นความรู้ ว่ามีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าผมถูก แล้ว คุณผิดนะครับ แต่เราไม่อาจทราบได้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นยังงัย เพราะตำนาน หรือเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นมา ก็มาจาก มนุษย์ทั้งสิ้น ที่เป็นคนถ่ายทอด ให้เราได้รับรู้ครับ

ขอฝากไว้นะครับ พระมารดามหากาลี เกิดขึ้น จากการบำเพ็ญ บารมี แห่งพระมารดาศรีมหาอุมาเทวี แต่ พระโพธิสัตว์กวนอิมนั้น เกิดจาก โอรสของกษัตริย์ ที่เดินทางแสวงบุญออกบวช นั่นก็คือ พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นผู้ชายนะครับ ไม่ใช่ผู้หญิง (ตามตำนานเทวกำเนิดที่ผมได้อ่านจดจำมาบ้างเล็กน้อยนะครับ)

สุดท้าย รู้ว่าท่านเป็นใคร มีรูปลักษณ์แบบไหน มีความเป็นมาอย่างไร บูชาอย่างไร ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ ความรู้อื่นๆ ที่ได้มาก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับมันเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจดจำแต่อย่าใส่ใจ เพราะถ้าเราอยากรู้ เราก็ยิ่งเครียดเพื่อที่จะค้นหาคำตอบ มันจะทำให้สุขภาพไม่ดี เดี๋ยวจะไม่สวย ไม่หล่อกันเอาครับ (ล้อเล่นนะครับ) แต่ถ้าไม่เครียดก้ไม่เป็นไรครับ อิอิ....
#11
จัดได้สวยงามครับ แล้วชอบพระคเณศ น่ารักมากๆ ครับ
#12
พระแม่บูวเนสวรี เป็น อีก ปาง 1 ใน 10 ปาง สำคัญ ของพระแม่กาลี ครับผม
#13
โอม วรุณาย นะมัห หรือ โอม อปา ปะตะเย วรุณาย นะมัห
#14
เห็นกระทู้นี้ผ่านทาง เว็ป Google ถึงจะนานแล้ว ก็ยังคงความรู้ แล้วความเข้าใจ ในพระแม่ทั้ง 2 ที่ผมศรัทธา ในมูรติ องค์เดียวกัน นั่นคือ มารีอัมมัน และ พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ดดยไม่รู้แต่เดิม ที่ได้เข้ามาบูชา เทวรูปองค์แรก คือ พระศรีคเณศ องค์ที่ 2 คือ พระแม่กาลี แต่มูรติเป็น มารีอัมมัน จนเพื่อนบอกว่านี่ไม่ใช่ พระแม่กาลี แต่เป็นมารีอัมันต่างหาก ผมจึง แสวงหาที่มา ความรู้ ประวัติ มันตรา ของพระนาง องค์นี้ เสมอมา และเกิดความชื่นชอบและศรัทธามานาน หลังจากเที่ยวหาความรู้จนแน่ใจแล้วว่า ท่านคือศักติ ในสายพระอุมา ท่านก็คือพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ปางหนึ่ง จะสวดมันตรา พระอุมา ผ่าน มารีอัมมันก็ไม่ผิด หรือจะสวดมันตรา มารีอัมมัน ก็เป็นการดี ที่เลือกมีนตราถูกกับพระนามของท่าน ด้วยความเห็นส่วนตัวนะครับ แต่พระนางก็คือ เทพธิดา ที่ได้รับการยกย่องและศรัทธา ในอินเดียใต้ ให้เป็นเทพแห่งฝน ความอุดมสมบูรณ์ และ โรคฝีดาษ ที่เกิดจากความพิโรธ ของพระนาง อย่างที่เอ่ยมา ว่ามีคนสงสัยว่า มารีอัมมัน ใช่ หรือ ไม่ใช่ ทำไม เพราะอะไร ฯ เกี่ยวข้องหรือไม่กับ พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี โดยเฉพาะ คุณเจ้าของกระทู้ นะครับ อยากเพิ่มความมั่นใจ ให้ส่วนตัวนะครับ จากมันตราบทนี้


Mariamman Thalattuในท่อนที่ว่า


Mayi, Maga mayi, mani manthara sekhariye,
Ayi umai aanavale, Aadhi shivan deviyare,
Mari thai vallaviye, maha rasi karumamma,
Mayan sodahariye Mari muthe varumamma,
Aayan sodariye, Aasthana mari muthe,
Thaye durandariyeSankariye Varummma.

Mother, great mother, Who grows like a jewel with chants,
Who became the goddess Uma, Who is the consort of Lord Shiva,
Oh Mari who is very able, Oh great lady protect me.
Oh sister of Lord Krishna, Oh Jewel please do come,
Oh sister of the cow herd, the presiding Mari jewel of the king's court,
Oh mother, Oh destroyer of ills, Oh consort of Sankara, please do come.




กระทู้นี้มีความรู้เยอะมากเกี่ยวกับความเกี่ยวข้อง ระหว่าง มารีอัมมัน และ พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ทั้งประวัติความเป็นมา ดดยส่วนตัวแล้ว ชอบอ่านมากๆ นั่งอ่านเป็น 10 รอบแล้วครับ แต่ที่เสนอให้ได้อ่านนั้น เป็นความ คิดส่วนตัว ของผมนะครับ ไม่ว่ากันนะครับ อิอิ...
#15
อาจจะเป็นความรู้ที่รู้อยู่แล้ว หรือถ้าใครยังไม่รู้ก็นำเอาไปทำได้นะครับ โดย ส่วนตัวผมอ่านแล้วชอบ เลยอยากนำมาเสนอ ให้ได้อ่านครับ

ถาม - การบูชาแบบครบถ้วนตามธาตุทั้ง 4 คืออะไร      ?
                        
การบูชาเทพให้เหมาะสมตามความสะดวก       ไม่ฟุ่มเฟือยนั้น เราจะจัดของอะไรมาถวายก็ได้ ณ สถานการณ์ขณะนั้นจะเอื้ออำนวย
       บางคนอาจถวายเพียงน้ำแก้วเล็กๆ บางคนถวายนมกล่อง บางคนจัดพวงมาลัยหรือผลไม้มาถวายด้วย
       ขนม นม เนย พืชพรรณ ธัญพืช เมล็ดข้าว ถั่วต่างๆ ใบไม้ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่จัดมาถวายเทพได้
      
แต่การจะจัดถวายเครื่องสังเวยให้มีความสมบูรณ์นั้น ควรกระทำบ้างเป็นครั้งคราว       ซึ่งโบราณว่าควรจะจัดเครื่องถวายให้ครบธาตุธรรมชาติทั้ง 4 ธาตุ       คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังต่อไปนี้
      
       ดิน : ผลผลิตที่งอกขึ้นมาจากผืนดินทั้งหมด       เช่น ดอกไม้ พืช ผัก ใบไม้ ต้นไม้ ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ขนมหวานต่างๆ
       น้ำ : น้ำ นม ของเหลวทุกอย่างที่ดื่มได้ หรือ       "ปัญจอัมฤต" ได้แก่ น้ำ 5 อย่าง (น้ำ,นม,เนย,นมเปรี้ยว,น้ำผึ้ง)       น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร
       ลม : ควันธูป ควันกำยาน ควันที่มีกลิ่นหอมจากแก่นไม้ทุกชนิด       รวมถึงบทสวดมนต์ที่เอ่ยออกจากปากของผู้บูชาก็ถือเป็นธาตุลม
       ไฟ : ดวงไฟต่างๆ ที่จุดถวาย เช่น เทียน ประทีป       ไฟจากการจุดการบูร ไฟจากตะเกียงน้ำมัน หรือ ไฟอารตี ฯลฯ
      
หากมีโอกาสควรจัดหาเครื่องสังเวยให้ครบถ้วนตามธาตุต่างๆ ดังที่กล่าวมา       เพื่อผู้บูชาจะได้รับศุภมงคลอันประเสริฐ
      
เนตรจันทร์ / กองบรรณาธิการสยามคเณศ
       ***สงวนลิขสิทธิ์บทความ***
       การนำเนื้อหานี้ไปใช้ที่อื่นกรุณาอ้างอิงหรือขอบคุณเว็บไซต์สยามคเณศและทำลิงก์กลับมาที่      
       http://www.siamganesh.com
#16
ขอบคุณครับ
#17
ผมอยากเสนอข้อคิดนะคับถ้าเรายังนับถือพุทธอยู่

คนส่วนใหญ่ที่นับถือองค์เทพฮินดูด้วยนะคับ

ก็ถือว่าเป็นพุทธอิงเทพ คงเข้าใจนะคับ

ในเมื่อเราเป็นพุทธอิงเทพการจัดหิ้งบูชาก็ต้องเป็นพระพุทธรูปต้องอยู่สูงที่สุด

อย่างบ้านผมเนี่ย พระพุทธรูปผมจะจัดอยู่บนหิ้งติดฝาผนัง คงเข้าใจนะคับ

ส่วนองค์เทพและพระโพธิสัตว์ผมจะจัดไว้ที่หิ้งตั้งพื้นลดหลั่นกันไปตามแต่บารมีของท่าน

ผมมีแนวความคิดจัดแบบชั้นสวรรค์อะคับ

พระพุทธเจ้าอยู่ชั้นสูงสุดคือนิพพานก็จะอยู่สูงที่สุด

และก็เป็นองค์มหาเทพ

และเทวาทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนเจ้าแม่กวนอิมผมแยกบูชาคับ

เพราะพระแม่กวนอิมเป็นโพธิสัตว์ทางสายจีน

ผมเลยไม่เอามาอยู่หิ้งเดียวกับ สายฮินดู

เพราะว่าการกราบไหว้บูชาอาจไม่เหมือนกัน


#18
พระแม่กาลี, กาลี, กาลราตรี ล้วนแต่เป็นปางหนึ่งของพระแม่ศรีมหาอุมเทวีทั้งสิ้น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า มหากาลี แม้จะเป็นอีกปางหนึ่งในบรรดาคนแรง ๆ นิยมบูชากัน แต่ความจริงแล้ว การถือปฏิบัติบูชากันนั้นถูกต้องเพียงใดอะไรคือปริศนาธรรม ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ของพระแม่ปางนี้ และอีกประการหนึ่ง ชาวอินเดียใต้นั้น ไม่มีปางมหากาลี แต่นิยมสร้างเทวประติมาในรูปของ "มารีอามัน" เท่านั้น เพราะมารีอามันนั้น แท้จริงก็คือการรวมเอาทุกปางของพระแม่อุมาเทวีเข้าไว้ด้วยกัน ในความสวยย่อมมีความดุร้ายในความดี ย่อมมีความชั่ว และในความชั่วย่อมมีความดีคละปนกันไป ไม่มีใครที่จะเพียบพร้อมสมบูรณ์ดั่งเนรมิต แม้ในหมู่คนชั่ว พระนางยังมีจิตแห่งความการุณที่จะเข้าไปโปรดสัตว์ในหลุมอบาย
#19
เทศกาลนวราตรี (ดุเซร่าห์) นี้มีความเป็นมาสืบทอดกันมาหลายตำนาน เป็นที่นิยมทั้งในหมู่กษัตริย์ฮินดูแต่โบราณและชาวบ้านทั่วไป ตลอด 9 วันนั้นจะมีการบูชามหาเทวีปางอวตารต่าง ๆ ของพระแม่เจ้าศรีมหาอุมาเทวีถึง 9 ปางคือ

วันแรก บูชาปาง "มหากาลี"
วันที่สอง บูชาปาง "ทุรคา" เพื่อระลึกถึงการฆ่ามหิษทาสูร
วันที่สาม บูชาปาง "จามุนได" เพื่อระลึกถึงการฆ่ายักษ์สองพี่น้อง จันทร และ มุนดา
วันที่สี่ "บูชาปาง "กาลี" เพื่อระลึกถึงการฆ่าและดูดเลือดอสูรมาธู
วันที่ห้า บูชาปาง "นันทา" เพื่อระลึกถึงการอวตารเป็นลูกสาวคนเลี้ยงสัตว์
วันที่หก บูชาปาง "รักธาฮันตี" เพื่อระลึกถึงกาฆ่าอสูรด้วยการใช้ฟันกัดจนตาย
วันที่เจ็ด บูชาปาง "สักกัมพารี"
วันที่แปด บูชาปาง "ทุรคา" เพื่อสรรเสริญเจ้าแม่ที่ฆ่ายักษ์ทุรคา
วันที่เก้า บูชาปาง "ลัคภรมารี" เพื่อระลึกถึงการสังหารยักษ์อรุณา
#20
***จากหนังสือตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ เรียบเรียงโดย มนตรี จันทร์สิริ
#21
***จากหนังสือตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ เรียบเรียงโดย มนตรีจัทร์ศิริ
#22
มนต์ นั้น เปรียบได้กับพลังแห่งมหาเทพ และมหาเทวี ที่ทรงประทานอานุภาพของพระองค์ในรูปของอักขระและเสียงที่มีอำนาจ ดังนั้นการเปล่งเสียงสูงต่ำนั้นถือเป็นกระแสแห่งพลังของการสวดมนต์ภาวนา การสวดมนต์นั้นจะช่วยในการกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับ กิเลส ตัณหา ราคะ และความอยากต่าง ๆ จนสามารถก่อให้เกิดอำนาจและกระแสพลังอันมหาศาล พลังเหล่านี้นอกจากทำให้จิตสงบ มีสามธิแล้ว ยังสามารถแปรรูปมาใช้กับหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้อีก ฉะนั้นการสวดมนต์ด้วยใจที่สงบเท่านั้น ย่อมนำมาซึ่งอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ และเพื่อที่จะเป็นกถศโลบายให้จิตแน่วนิ่งนั้น การกำหนดจิตผ่านลูกประคำถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย

1. ลูกประคำที่ร้อยเป็นพวงขายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะร้อยเรียงด้วยลูกไม้ต่างชนิดกันไป แต่นับรววมได้ 108 เม็ด ในสายของฮินดูแล้ว นิยมใช้ประคำที่ร้อยจากเมล็ด "รุทรากษะ" ซึ่งคนไทยแปลว่า เเมล็ดน้ำตาพระศิวะ" เมล็ดดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเมล็ดสีแดง มีหลายขนาดให้เลือก เมล็ดเล็กแพงกว่าเมล็ดใหญ่ นอกจากนี้ความแพงยังดูกันที่แฉกและเหลี่ยมที่ได้มาตรฐานอีกด้วย เพราะเมล็ดที่สมบูรณ์นั้น จะมี 8 แฉก พวงประคำ ที่สมบูรณ์เช่นนี้หายากมาก มีราคาแพง ซึ่งราคาตกประมาณเส้นละหมื่นบาทขึ้นไป นอกจากเมล็ดดังกล่าวแล้ว ในสายของพระวิษณุเทพใช้เมล็ดที่ได้จากต้นตุลสี (กระเพรา)

"รุทรากษธ" มีความสำคัญอย่างไร ว่ากันว่า เมล็ดผลไม้ชนิดนี้นั้นนำมาซึ่งความศักสิทธิ์ และสามารถขับไล่บาปทั้งหลายให้หมดไป เพียงแค่สวดด้วยการนับประคำนี้ พระศิวะเทพเคยเล่าให้พระนางปราวตี ถึงที่มาของเมล็ดรุทรากษะ ว่า
"โอ่...พระนางมเหศวรี (อีกพระนามหนึ่งของ พระนางอุมา) จงรับฟังถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมล็ดรุทรากษะ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติที่ได้กราบไหว้บูชาเรา

คราวหนึ่งเราได้ประกอบสมาธิกรรมฐานเป็นเวลาเนิ่นนานอยู่หลายพันปีแห่งสวรรค์ ถึงแม้จะควบคุมสำรวมในการประกอบสมาธิ แต่กระนั้นจิตใจของข้าไม่อยู่คงที่ คงล่องลอยไปยังที่ไกลโพ้น จนข้าสด้งตื่นตกใจจากการสำรวม และลืมตาขึ้นจากความที่ต้องการช่วยเหลือจักรวาล หยดน้ำตาของข้าก็ล่วงหล่นสู่พื้นดิน ทั้งที่ขณะนั้นดวงตาของข้าได้ลืมเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จากหยดน้ำตาของข้านี้ได้ก่อให้เกหิดต้นรุทรากษะขึ้น ต้นไม้นี้ได้ออกลูกมาเป็นจำนวนมาก เหล่าพันธุ์ไม้นี้ได้เจริญขึ้นในดินแดน เคาฑะ, มธุรา, ลังกา, อโยธยา, มลัย, สหยะ และ แคว้นกาสี อันแคว้นใดที่มีพันธ์ไม้นี้เจริญงอกงามย่อมสามารถทำลายบาปให้หมดสิ้นไป

อันสีสันต่าง ๆ ของเมล็ดรุทรากษะนั้น มีอยู่ 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และ ดำ ซึ่งจำแนกตามวรรณะตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้ สีขาว-สำหรับวรรณะพราหมณ์ สีแดง-สำหรับวรรณะกษัตริย์ สีเหลือง-สำหรับวรรณะไวศยะ และสีดำ-สำหรับวรรณะศูทร เมล็ดรุทรากษะขนาดที่วิเศษที่สุด ย่อมเทียบเคียงกับลูกสมอ หรือแม้จะมีขนาดเท่าเมล็ดพุทราก็ได้รับประโยชน์และความผาสุกยิ่งใหญ่ พวงมาลัยอื่นอันจะนำความเป็นมงคลและได้รับความสำเร็จสมดั่งที่ปราถนาเทียบเท่าสร้อยที่ทำด้วยเมล็ดรุทรากษะเป็นไม่มี

ผู้สวมใส่แม้เพียงเมล็ดรุทรากษะเพียงเมล็ดเดียว ไว้บนศรีษะหรือตามร่างกายของเขาแล้ว จะไม่ตกสู่นรกแห่งยมราชเลยเพราะผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นบริวารแห่งคณะศิวะเทพ คนนั้นจะมีวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพทั้ง 5 พระองค์ อันประกอบด้วย พระสุริยะเทพ, พระคเนศ, พระแม่ทุรคา, พระรุทรเทพ และ พระวิษณุเทพ และเป็นที่รักใคร่จองเทพเจ้าทั้งหมด นี่เป็นที่มาและความศักสิทธิ์ของเมล็ดรุทรากษะที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท

2. วิธีการนับประคำนั้น จะใช้นิ้วหัวแม่มือแน้วกลางข้างขวาเท่านั้น ห้ามใช้นิ้วชี้เป็นอันขาด การนับนั้นจะนับจนครบ 108 ลูก แล้วนับย้อนกลับในเม็ดที่ 108 ด้วยถือว่าเป็นลูกที่ 1 ใหม่ ทั้งนี้จะไม่นิยมในการนับข้าม เมรุ (เม็ดยอดสามชั้นที่มีสายร้อยประคำสอดออกมา) การนับนั้น นิยมนับทีร่บริเวณใกล้กับหัวใจหรือใกล้จมูก เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของการกำหนดสมาธิและห้ามอย่างเด็ดขาดในการถือลูกประคำต่ำกว่าสะดือของตนเอง

3. ลูกประคำควรเก็บรักษาไว้ให้ดี  หมั่นทำความสะอาด และห่อผ้าเก็บไว้ในที่อันควร

4. ข้อปฏิบัติในการนั่งสวดมนต์นั้น จะต้องอาบน้ำ ล้างมือ ล้างเท้า ล้างปากให้สะอาดก่อนทุกครั้ง หากไม่สะดวกในการอาบน้ำ อาจจะแค่ล้างมือและบ้วนปากให้สะอาดก็ได้ การสวดมนต์ภาวนานั้น ต้องกำหนดจิตพุ่งตรงไปที่คาถา หรือมนต์ในบทนั้น ๆ การเปล่งเสียงสวดก็ไม่ควรช้า หรือ เร็วเกินไป

5. การสวดมนต์นิยมสวดที่หน้าแท่นบูชาเเทวะรูป หรือถ้าจำเป็นต้องสวดในสถานที่ซึ่งไม่มีเทวะรูป ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกแทนก็ได้

6. หลังผ่านการสวดมนต์อย่างแน่วแน่แล้ว จึงค่อยตั้งจิตอธิฐานขอพร ด้วยจิตที่เชื่อมั่นในเทวานุภาพ

7. สำหรับผู้ที่มีครูบาอาจารย์ (ครูเทพ หรือ ครูมนุษย์) ซึ่งอาจมีมนต์พิเศษสำหรับตน จงอย่าเปิดเผยมนต์นี้ให้คนอื่นทราบเด็ดขาด เพราะนั่นคือรหัสพิเศษซึ่งมีความศักสิทธิ์เฉพาะตนเท่านั้น การบอกความลับนี้จะทำให้มนต์นี้เสื่อมความขลังในทันที

การอารตีไฟ หรือ พิธีบูชาไฟ นั้น ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชา ชาวฮินดูถือว่า พิธีกรรมทั้งหลายจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟหลังผ่านพิธีดังกล่าว จะวางตะเกียงอารตีไว้หน้าแท่นบูชา แล้วผู้ร่วมพิธีใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง คว่ำลงบนเปลวไฟในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วนำฝ่ามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ดวงตา และใบหู เพื่อเปิดทวารในการรับรู้ซึ่งสัมผัสพิเศษขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้หมดไป

หลังพิธีเสร็จสิ้น ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิฐานเพื่อแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ในโลกว่า "โอม สานติ ศานติ ศานติ " เป็นอันว่าพิธีนั้นผ่านไปโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว
#23
การกราบไหว้บูชา (ตามวันทางจันทรคติ)

การกราบไหว้บูชาอุทิศทานที่มีต่อพระแม่อุมา การบูชาขึ้นอยู่กับผู้ที่จะเลือกบูชาให้ตรงกับวันทางศาสนา หรือ วันในสัปดาห์ หรือ ไปตามวันแห่งข้างขึ้นข้างแรม ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

วันขึ้น-แรม 1 ค่ำ (ปรติปัต ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้ต่อพระแม่ ด้วยการถวายอาหารอันมีข้าวสูก, ผลไม้, ขนมหวาน ที่ทำด้วยนมเนย และอาหารเหล่านี้ที่ได้ถวายต่อพระแม่แล้ว จะต้องนำอาหารเหล่านี้เลี้ยงดูพราหมณ์ แล้วผลบุญที่ได้รับคือ จะมีความผาสุขปราศจากโรคร้ายทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 2 ค่ำ (ทวีตยา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้ต่อพระแม่ ด้วยการถวายอาหารที่ทำมาจากน้ำตาล หรือ ขนมหวาน และอุทิศเป็นทานต่อพราหมณ์ แล้วผลบุญที่ได้รับคือ เขาจะเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาว มีแต่ความผาสุก

วันขึ้น-แรม  3 ค่ำ (ตรี ติธิ) ผู้บูชาจะต้อง กราบไหว้ต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารที่ทำมาจากนมสด และอุทิศเป็นทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นอิสระจากความหวาดกลัวและเรื่องทุกร้อนที่เป็นกังวลทั้งหมด

วันขึ้น-แรม 4 ค่ำ (จาร ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวสาลีและอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะหลุดพ้นจากอุปสรรคและโรคร้ายทั้งปวงโดยเร็ว

วันขึ้น-แรม 5 ค่ำ (บัญจ) ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ ด้วยการถวายกล้วยและต้นกล้วย และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นผู้ที่มีความรู้ฉลาดเหนือคนทั้งหลาย มีความเข้าใจในวิทยาได้โดยง่ายดาย

วันขึ้น-แรม 6 ค่ำ (ไชย ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายน้ำผึ่งและมอบอุทิศทานนี้ให้เป็นทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นผู้มีความสง่างาม และ รูปร่าง สมบูรณ์ตลอดชั่วชีวิต

วันขึ้น-แรม 7 ค่ำ (สัต ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าว ขนมหวานและอุทิศทานอาหารนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะหลุดพ้นจากเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 8 ค่ำ (อัถ ติธ ) ผู้บูชาจะต้อง กราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายมะพร้าว และมอบอาหารนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นอิสระต่อการปองร้ายหรือจากศัตรู จะมีแต่มิตรที่ดีคอยให้การ ช่วยเหลือเขาตลอดกาล

วันขึ้น-แรม 9 ค่ำ (นว ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยข้าวสุกคลุกน้ำมันเนย และอุทิศทานนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะมีความผาสุกทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

วันขึ้น-แรม 10 ค่ำ (ทศ ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารที่ทำจากงาดำ และอุทิศทานต่อพราหมณ์ผลบุญที่จะได้รับคือ ความผาสุกหลุดพ้นจากเรื่องร้าย และไม่หวั่นกลัวต่อภัยแห่งความตายทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 11 ค่ำ (ยาลา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ ด้วยการถวายนมเปรี้ยว และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นที่โปรดปรานแห่งพระแม่อุมาตลอดกาล

วันขึ้น-แรม 12 ค่ำ (บารา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าวจิปิก (ข้าวตากแห้งและทำเป็นแผ่น) และอุทิศทานต่อพราหมณ์ ผลบุญที่เขาได้รับคือ เป็นที่รัก และยกย่องต่อเทพทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 13 ค่ำ (เตระ ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าวสาร และอุทิศทานต่อพราหมณ์และผู้เดือดร้อน ผลบุญที่เขาจะได้รับ คือ จะได้บุตรธิดาที่ดีไว้สืบสกุล และมีชีวิตอันยืดยาวต่อไป

วันขึ้น-แรม 14 ค่ำ (จตุร ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายแป้งข้าวสาลี และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นที่โปรดปราน แห่งพระแม่ศักติศิวาตลอดกาล

ใน วันเพ็ญ ผู้บูชาต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารต่าง ๆ  และจะต้องเลี้ยงดูพราหมณ์และให้สิ่งของต่าง ๆ แก่ความจำเป็นแห่งพราหมณ์ เขาจะมีความผาสุก ตลอดกาล
#24
กำเนิดพระแม่อุมา-ปราวตี ศักติชายาแห่งมหาเทพศิวะ

ในบรรดาเทวดาเห็นว่า มหาเทพศิวะเทพ อยู่ในอาการสงบ มิข้องแวะกับเรื่องใดเป็นเวลายาวนาน จึงให้รู้สึกเป็นห่วงถึงความอยู่รอดของจักรวาล จึงได้รวมพลกันเข้าเฝ้าพระวิษณุเทพ เพื่อขอให้ช่วยดำเนินการแก้ไขในเรื่องดังกล่าว พระวิษณุเทพบอกว่าไม่มีหนทางใด นอกจากการสำรวมสามธิถึงพระแม่ศักติ-ศิวา ขอให้พระแม่อวตารแบ่งภาคมาเกิดในโลกอีกครั้งเพราะไม่มีหญิงใดในโลกที่ทำให้พระศิวะยอมรับได้

ครั้งหนึ่ง สมัยพระแม่สตียังมีชีวิตอยู่ เคยเดินทางไปที่แคว้นหิมาลัยและได้มีโอกาสพบกับ ท้าวหิมวัตและนางเมนกา ทั้งสองพระองค์ทรงรักพระธิดาของพระทักษะ ดุจธิดาของตนเอง ด้วยเหตุนี้ พระนางสตี เคยให้คำมั่นสัญญาว่า หากถือกำเนิดในชาติต่อไป จะขอเกิดเป็นลูกของเจ้าเขาหิมาลัย ด้วยเหตุนี้บรรดาทวยเทพทั้งหลายจึงทำพิธีอ้อนวอน ขอให้ พระแม่ศักติ-ศิวา แบ่งภาคมาเกิดอีกครั้ง ในภาคของพระนาง อุมา-ปราวตี

พระแม่อุมาปราวตี ถือกำเนิดเมื่อเวลาเที่ยงคืน ระหว่างนั้นหมู่ดาวมฤคศรี อยู่ในแนวเดียวกับพระจันทร์ ในคืนที่ 9 เดือนมธุ (ระหว่างเดือน มีนาคม - เมษายน) ด้วยเหตุที่นางเป็นที่รักยิ่งของทุกคนในครอบครัว จึงได้พระนามว่า พระนางปราวตี ภายหลังพระนางมีความตั้งใจจะออกบำเพ็ญพรต พระนางเมนกาผู้เป็นแม่ได้ทักท้วงและอุทานด้วยวลีว่า โอ่ ม่า ซึ่งต่อมาได้แผลงเป็น อุมา ดังนั้น พระนางอุมาจึงเป็นอีกพระนามหนึ่งของปราวตี บางทีนิยมเรียกควบกันเลยว่า พระนางอุมา-ปราวตี นางได้ศึกษาวิชาจากพระอาจารย์จนเก่งกาจ มีความแตกฉานจนสามารถระลึกถึงชาติปางก่อนได้ พระฤาษีนารัท ได้เคยทำนายดวงชะตาของนางปราวตีไว้ว่า นางมีลักษณะมงคลยิ่งใหญ่ และจะนำความผาสุขมาให้กับครอบครัว สวามีของนางจะเป็นโยคีนุ่งห่มด้วยหนังช้างและหนังเสือ

ฝ่ายท้าวหิมวัต เจ้าแห่งขุนเขาหิมาลัยและนางเมนกาเป็นทุกข์ที่สุด เพราะคำทำนายของพระฤาษีนารัท (นารอด) ไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะยกนางปราวตีให้กับพระศิวะเทพได้อย่างไร เพราะพระศิวะเทพอยู่ในสภาวะความรู้สึกแห่งอารมณ์ เพราะประกอบกรรมฐาน ในช่วงเวลาหนึ่ง พระศิวะเทพได้เสด็จมายังดินแดนอุษชิปรัสกะเพื่อทำสมาธิ ท้าวหิมวัตเห็นช่องทางนี้ จึงเสด็จไปเข้าเฝ้า กล่าวคำสรรเสริญและขอเป็นทาสรับใช้ตลอดกาล พระศิวะเทพทรงพอพระทัย ทรงลืมพระเนตรจากกรรมฐาน รับสั่งด้วยความพอพระทัย และขอร้องให้ท้าวหิมวัตช่วยจัดการเคลียร์พื้นที่ อย่าให้ใครเข้ามารบกวนอาณาบริเวณดังกล่าว เพราะต้องการประกอบกรรมฐาน ณ คงคาวัตวัณ แคว้นหิมาลัย พระหิมวัตจึงมีคำสั่งเด็ดขาดห้ามปู้ใดฝ่าฝืน รุ่งขึ้น ท้าวหิมวัตพร้อมด้วยพระนางปราวตีนำผลไม้มาถวายพระศิวะเทพ ท้าวหิมวัตทรงแนะนำนางปราวตีให้พระศิวะเทพรับธิดาพระองค์นี้ไปเป็นผู้รับใช้ เมื่อทรงเห็นความงามของพระแม่ปราวตี ก็บังเกิดคตวามรักและพอพระทัยแต่ในที่สุดก็สลัดความเคลิบเคลิ้มนั้นเสีย และเข้าสู่สมาธิโดยทันที ท้าวหิมวัตเห็นเช่นนั้น ก็สวดสรรเสริญเพื่อขอให้ลืมพระเนตรอีกครั้ง ท้าวหิมวัตบอกว่า ทุกวันท้าวหิมวัตและปราวตี จะเป็นผู้มาเคารพบูชาพระองค์ พระศิวะเทพบอกว่าท้าวหิมวัติมาได้ ยกเว้นแต่นางปราวตี มหาเทวะให้เหตุผลว่า ผู้หญิงเป็นฉากแห่งความหลอกลวง ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวว่า หญิงสาวสวยนั้นเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญพรตของชาย การยุ่งเกี่ยวกับหญิงเป็นการฝักใฝ่ต่อการมีความสุขสำราญทางเพศ ผู้บำเพ็ญพรตที่ดีอาจจะถูกทำลายตบะลงได้ เพราะผู้หญิงคือรากฐานแห่งความรักและติดพันแห่งโลกนางจะเป็นผู้ทำลายความสามารถของผู้ชายลงสิ้น

ด้วยความฉลาดของพระแม่อุมา-ปราวตี จึงได้แสดงความเคารพต่อองค์พระศิวะเทพ และทูลโต้เยงอย่างสุภาพว่า พระศิวะเป็นเทพเจ้าแห่งกรรมฐาน เป็นวิญญาณอันยิ่งใหญ้แห่งจักรวาล ไม่มีโอนเอนและคลาดเคลื่อนด้วยพลังที่อยู่เหนือธรรมชาต (รักฤติ) แล้วทำไมศิวะเทพจึงเกรงกลัวต่อผู้หญิงตัวเล็กอย่างนางด้วยเล่า

ในที่สุด ศิวะเทพก็จำนนด้วยปัญญาแห่งนางปราวตี พระนางและสหาย 2 นาง จึงเข้าออกบริเวณนี้ได้ พระนางปฏิบัติรับใช้ด้วยการล้างพระมหาเทพ และดื่มน้ำล้างพระบาทศักดิ์สิทธิ์เป็ฯประจำ พร้อมกับเช็ดถูเป็นประจำ นางถวายการรับใช้อย่างไม่ย่อท้อ พร้อมขับร้องเพลงแสดงความรักต่อศิวะเทพ พระศิวะเทพไม่มีอารมณ์ทางเพศ ด้วยญาณยิ่งใหญ่แห่งโยคะทรงตั้งปฏิญาณไว้ว่า นางผู้จะมาเป็นภริยาจะต้องเป็ฯโยคินีด้วย เพราะความมุ่งมั่นในสิ่งเดียวกันนั้น จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ พระพรหมทรงมีบัญชาสั่งให้กามเทพไปแผลงศร ปรากฎว่าลูกศรไม่อาจเคลื่อนคลอนในตัวพระศิวะเทพได้ ซ้ำกามเทพยังถูกพระเนตรที่สามของพระศิวะเทพ ทำลายจนเป็นเถ้าถ่าน

ฤาษีนารัทแนะนำให้ปราวตี นุ่งครองผ้าฝ้ายธรรมดา สีเปลือกไม้แห้งไปบำเพ็ญพรตที่คงคาวัตวัณ เป็นเวลายาวนานถึง 3 พันปีเทพ

ฤดูร้อน ทรงก่อกองไฟรายล้อมพระองค์มั่นคง ในการสวดมนตร์ โอม นมัช ศิวาย
ฤดูฝน พระนางปราวตีนั่งบนพื้นดิน ปล่อยให้ร่างกายชุ่มโชคด้วยน้ำฝน สำรวมจิตใจไม่สะทกสะท้าน
ฤดูหนาว ประทับอยู่ในน้ำ ระหว่างหิมะตกในยามราตรี ทรงทำสมาธิด้วยความอดทน ไม่ย่อท้อ เอาแต่สำรวมแน่วแน่ต่อศิวะเทพพระองค์เดียวเท่านั้น

ในปีแรก ทรงทานผลไม้เพียงอย่างเดียว ปีที่สอง ทานผักและใบไม้ ปีที่สามอดอาหารนั่งกรรมฐาน ด้วยแรงสมาธิอันแรงกล้าเช่นนี้ ทำให้โลกลุกไหม้ด้วยไฟเพลิงแห่งพลังโยคะของนาง ทั้งสามโลกร้อนรนจนไม่อาจจะทนทานได้ นอกจากนี้พระนางยังทรงยืนขาเดียวอีกด้วย พระศิวะเทพพอใจนางในฐานะของโยคินี แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการพิสูจน์ความมั่นคงในจิตใจนางด้วย ดังนั้น จึงได้ส่งฤาษีเข้าไปทำลายความตั้งใจของนางเสีย แต่นางก็ยังยืนยันความมั่นคงในองค์พระศิวะเทพพระนางได้กล่าวว่า

มาตรแม้นศิวะเทพจะไม่รับนางเป็นชายา นางจะถือเพศพรหมจาริณีจนวันตาย แม้อาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เขาพระสุเมรุเคลื่อนที่ พระเพลิงเยือกเย็น ดอกบัวบานบนก้อนหิน ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของนางได้

ในที่สุด พระศิวะต้องแปลงเป็นพราหมณ์เฒ่า มาโยกคลอนจิตใจของนางอีก เพราะเป็นขณะเดียวกันที่นางคิดทำลายตัวเองด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ ปรากฎว่าไฟที่พระนางกระโดดลงไปนั้น กลายเป็นไฟเย็นและมอดลงโดยฉับพลัน มิอาจทำอันตรายนางได้เลย พราหมณ์เฒ่าพยายามกล่าวติเตียนศิวะเทพ และชักจูงให้นางเปลี่ยนใจ แต่ไม่เป็นผล พราหมณ์เฒ่าจึงคืนร่าเดิม ปรากฎร่างเป็นศิวะเทพอยู่เบื้องหน้าของนางอุมา-ปราวตี และให้คำมั่นจะรับนางเป็นชายา ภายหลังแต่งงานแล้วปรากฎว่าศิวะเทพและนางปราวตี ได้ประทับอยู่ในห้องส่วนพระองค์เป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี ไม่มีเทพเทวดาพระองค์ใดได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเลย จนกระทั่ง เกิดอสูรเข้ารุกรานฝ่านเทพ และแทพทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำอยู่หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เองพระนางอุมา-ปราวตี จึงต้องมีการอวตารไปสู้รบกับอสูรเพื่อความสงบของจักรวาล


***จากหนังสือ ตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ เรียบเรียงโดย มนตรี จันทร์ศิริ
#25
จากหนังสือ ตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ เรียบเรียงโดย มนตรี จันทร์ศิริ
#26
กำเนิดพระแม่สตี นางซึ่งมีสิริโฉมงดงาม (ผู้บวงสรวงบูชาพระศิวะเทพตั้งแต่เล็ก)

เมื่อถึงวาระอันสำคัญ วิษณุเทพได้ตรัสกับพระพรหม ขอให้มีบัญชาให้พระทักษะประชาบดีโอรสแห่งพระพรหม ทำพิธีบวงสรวงต่อพระแม่ทางทิศเหนือของมหาสมุทรน้ำนม เพื่อให้พระแม่เสด็จลงมากำเนิดเป็นธิดาของพระทักษะ เพื่อจะได้เป็นชายาของพระศิวะเทพต่อไป
พระแม่ศักติ-ศิวา ได้ตรัสกับพระพรหมว่า
"โอ่...พระพรหม ไม่มีหญิงใดในจักรวาล ที่จะทำให้พระศิวะเทพบังเกิดความรักขึ้นได้ และเป็นความจิงที่ว่า ถ้าศิวะเทพไม่ทรงมีชายาแล้ว ภารกิจแห่งการสร้างก็จะดำเนินการไปได้ไม่นาน ข้าจะให้ตามที่ต้องการ คือ การแบ่งภาคเป็นพระแม่สตี เพื่อเป็นชายาของพระศิวะเทพ เพื่อให้จักรวาลนี้ดำเนินต่อไป ข้างฝ่ายพระทักษะประชาบดี ได้ประกอบพิธีกรรมสามธิอยู่อย่างมั่นคงเป็นเวลา 3 พันปีเทพ ในบางปีพระองค์เพียงแต่หายใจอย่างเดียว ไม่เสวยพระกายาหารใด ๆ เลย บางปีดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียว บางปีเสวยใบไม้เพียงอย่างเดียว เพื่อทำสมาธิถึงพระแม่ศักติ-ศิวา เมื่อพระแม่พอใจในพิธีบวงสรวง จึงเสด็จต่อหน้าพระทักษะ รับปากการมาถือกำเนิดเป็นพระนางสตี แต่ทว่า...โอ่พระทักษะ  ท่านจะต้องให้คำมั่นสัญญาต่อข้าข้อหนึ่ง ขอให้รับรู้และเข้าใจให้ดีด้วย ถ้าในอนาคตเมื่อใดก็ตาม ท่านขาดการเคารพนับถือต่อข้า หรือพระสวามีแห่งข้าแล้ว ข้าจะทำลายร่างนั้นเสียทันที ข้าจะทำลายวิญญาณ หือ เปลี่ยนไปในรูปร่างอื่น นี่เป๋นคำมั่นสัญญา

พระนางสตี จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากพระทักษะประชาบดีกับนางวิริณีได้ด้วยประการฉะนี้...
พระธิดาทรงมีพระสิริโฉมงดงาม มีรัศมีเป็นประกาย พระทักษะจัดงานบวงสรวงแจกทาน มีงานรื่นเริงตลอดคืน ทวยเทพทั้งหลายต่างมาแสดงความยินดี เทพอัปสรเสด็จมาโปรยปรายดอกไม้อวยชัย ตั้งแต่เล็กทรงหัดเขียนภาพพระศิวะเทพและขับร้องเพลงสรรเสริญบูชาพระศิวะ ทรงเป็นที่รักยิ่งแห่งมนุษย์และเทวดา จนเมื่อก้าวเข้าสู่วัยสาว พระแม่สตีทรงขออนุญาติพระทักษะและพระนางวิริณี ไปประกอบพิธีกรรมแห่งสมาธิอันยิ่งใหญ่ เพื่อจะให้พระศิวะเทพรับนางไว้เป็นชายา
พระวิษณุเทพและพระพรหม ซึ่งได้เห็ฯความพากเพียรของพระแม่สตี จึงได้เข้าเฝ้าพระศิวะเทพที่เขาไกรลาส พร้อมกับเตือนให้คิดถึงจุดมุ่งหมายในการรับพระนางเป็นพระชายา เพื่อสืบต่อจักรวาล
โอ่...วิษณุเทพ พระพรหม ท่านทั้งสองเป็นคนสนิทที่รักของข้า เมื่อท่านทั้งสองมาเยือน ข้าก็ยินดีมาก สิ่งที่ได้กล่าวมาเป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นการสมควรสำหรับข้าที่จะแต่งงาน ด้วยว่า ข้านั้นห่างไกลจากโลก สู่โลกโยคะกรรมฐาน มันไร้ค่าที่จะให้ค่าเกิดความรักในโลกใบนี้ ด้วยค่านั้น หมดสิ้นตัณหา ราคะในจิตวิญญาณ เป็นนักพรตไร้ความรู้สึกยินดียินร้าย นอกจากนี้แล้ว ข้ามีรูปร่างเป็นฤาษีไม่สะอาด ไม่เป็นมงคลต่อผู้พบเห็น แล้วข้าจะมีภริยาได้อย่างไรกัน ข้าได้ปฎิบัติกรรมฐานโยคะจนไร้ความอยากในตัณหา ดังนั้นข้าจึงไม่สนในเรื่องนี้เลย แต่ว่าข้าจะปฏิบัติตามคำขอของพวกท่าน เพื่อผลประโยชน์แห่งจักรวาล ข้าจะแต่งงาน แต่ท่านต้องเข้าใจถึงหญิงที่จะมาเป็นภริยาของข้า จะต้องเป็นหญิงปฏิบัติโยคะกรรมฐานจึงจะเป็นหญิงที่ยอมรับไว้เป็นภริยาของข้าต่อไป นางต้องเป็นโยคินีด้วย
ลำดับนั้น พระวิษณุเทพ ทูลว่า
ข้าแต่ศิวะเทพ พระผู้เป็นใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้าจะแนะนำผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติดั่งที่พระองค์ทรงปรารถนาไว้นางนั้นคือพระแม่อุมา ในครั้งก่อนนั้นพระแม่ทรงแบ่งภาคมาเป็นพระแม่สรัสวตี และพระแม่ลักษมี เพื่อให้ได้สมดั่งภารกิจที่ทรงตั้งพระทัยไว้...มาบัดนี้ พระแม่ทรงแบ่งภาคที่สามมาสู่จักรวาลแล้ว ทรงเป็นพระธิดาของพระทักษะประชาบดี มีพระนามว่า พระแม่สตี พระนางจะเป็นภริยา ในอุดมคติของพระองค์ทุกประการ
ข้าแต่เทพเจ้าแห่งเทพทั้งหลาย บัดนี้พระนางยังคงประกอบกรรมฐาน เพื่อรอคอยพระองค์ทรงเมตตาอยู่ พระนางปรารถนาที่จะได้พระองค์เป็นพระสวามีของนาง พระนางเป็นโยคินีที่ยิ่งใหญ่ ขอโปรดมีเมตตาช่วยนางด้วย ขอทรงประทานพรให้แก่นางและรับนางไว้เป็นพระชายาด้วยความรักด้วย ข้าแต่เทวะ
ในที่สุด พระศิวะพอใจในการประกอบสมาธิกรรมฐานของพระแม่สตี และรับนางไว้เป็นชายาโดยมีคำร้องขอของพระนางต่อท้ายว่า
ข้าแต่เทวะยิ่งใหญ่แห่งเทวะทั้งหลาย เทพเจ้าแห่งจักรวาล ขอทรงโปรดจัดพิธีกรรมแต่งงานให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีชาวโลกต่อหน้าบิดา-มารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด
ในวันอาทิตย์ขึ้น 13 ค่ำ เดือนไชตร (ระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน) เมื่อดวงดาวอยู่ในจุตุตราผาลคุณี พระศิวะเทพเคลื่อนขบวนเจ้าบ่าว โดยมีพระวิษณุเทพและพระพรหมนำหน้าขบวน พระศิวะหน้าตาอิ่มเอิบยินดี นุ่งห่มด้วยหนังช้าง คลุมหนังเสือ มีงูเป็นเครื่องประดับ ทรงมงกุฎด้วยจันทร์เสี้ยวของวิเศษเมื่อครวากวนเกษียรสมุทร ประทับหลังวัวนนทิสัตว์พาหนะ
ในระหว่างพิธีสมรสนั้น ระหว่างพระศิวะและพระแม่สตีกำลังเดินรอบกองไฟอยู่นั้น พระบาทของพระแม่เจ้าโผล่ออกจากผ้าคลุมที่ปิดอยู๋ พระพรหมเลือบสายตาไปเห็นเข้า จึงเคลิ้ม จิตนึกถึงขาอันขาวอวบ เพิ่มความหลงใหลในพระแม่สตีกระหายอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระแม่สตีด้วยตัณหาอันแรงกล้า พระพรหมจึงคิดแผน ด้วยการใส่ฝืนและน้ำมันเนยลงไปในกองไฟพิธี เพื่อให้เกิดควันครอบคลุมบริเวณพิธี ในระหว่างที่เทพเทวดากำลังวุ่นวายอยู่กับหมอกควัน พระพรหมถือโอกาสนั้นเลิกผ้าคลุมหน้าพระแม่สตีหลายครั้ง จนไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัณหาได้ จึงหลั่งน้ำเชื้อ 4 หยดลงที่พื้นดิน พระพรหมพยายามกลบน้ำเชื้อโดยเร็ว แต่เหตุการนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของพระศิวะเทพได้ พระศิวะเทพโกรธมาก หมายจะใช้ตรีศูลสังหารพระพรหมเสีย จนบรรดาทวยเทพต้องสวดสรรเสริญเพื่อให้พระศิวะคลายความพิโรธ เรื่องจึงสงบลงได้ แต่น้ำเชื้อทั้ง 4 หยดนั้น ได้บังเกิดเป็นเมฆร้ายแห่งการทำลายร้ายบนท้องฟ้า ที่ชื่อว่า เมฆสัมวรตัก,เมฆอาวรตะ,เมฆปุษกรและเมฆทรุณ
จากนั้น ทั้งศิวะเทพและพระแม่สตี ประทับหลังวัวนนทิท่องเที่ยวไปทั่วโลก แต่ตัวของพระทักษะซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อตานั้น ไม่ค่อยชอบขี้หน้าของลูกเขยนัก เพราะเห็นว่าพระศิวะเทพเป็นเจ้าแห่งภูติผี
ในครั้งหนึ่ง พระทักษะประชาบดีได้จัดพิธีกรรมบวงสรวงยิ่งใหญ่ขึ้นที่กันขล ริมฝั่งแม่น้ำคงคา โดยเชิญทวยเทพทุกพระองค์รวมถึงคนธรรพ์ วิทยาธร สินธิ อาทิตยะ นาค ส่วนในสายตาของพระทักษะ มองพระศิกวะเทพเป็นเพียง กะปาลัน(พระผู้มีกระโหลกมนุษย์เป็นเครื่องประดับ) จึงมิได้เชื้อเชิญ
ความดังกล่าวล่วงรู้ถึงพระสตี ลูกรักของพระทักษะ จึงตัดสินใจทูลขอพระศิวะเทพ เพื่อไปไตร่ถามให้รู้เรื่องราว พระแม่สตี เสด็จด้วยหลังวัวพาหนะ แต่งกายงดงามพร้อมบริวาร 6 หมื่นคน พระแม่สตีได้กราบทูลต่อพระบิดาว่า
งานพิธีกรรมทางศาสนาทุกงาน ถ้าไม่มีพระศิวะเทพร่วมอยู่ด้วยแล้ว ถือว่าไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ามีหรือเพียงแค่ระลึกถึงพระศิวะเทพ ก็จะบริสุทธิ์และได้ผลบุญอันยิ่งใหญ่ ของถวายบูชามนต์ต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ฯเอกลักษณ์ด้วยพระศิวะเทพเสมอ และเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่ว่างานพิธีที่ประกอบขึ้น โดยไม่มีพระศิวะร่วมอยู่ด้วย พระบิดาคงไม่ทราบถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระศิวะเทพ ซึ่งแม้แต่พระวิษณุเทพและพระพรหมก็ยังต้องให้การเคารพบูชาต่อพระองค์ แล้วทำไมเล่าเทพเจ้าทั้งหลายจึงกล้าบวงสรวงโดยไม่เชื้อเชิญพระศิวะมหาเทพร่วมด้วย
เมื่อตรัสแล้ว พระแม่สตีทรงนิ่งเงียบ ทำสมาธิถึงพระศิวะเทพด้วยความเคารพสูลสุด พระแม่ทรงประทับนั่งบนพื้นดินทางทิศเหนือของบริเวณงานพิธี ทรงดื่มน้ำและเทราดทั่วร่างกายจนเปียกชุ่ม หลับเนตรทำสมาธิเข้าสู่กรรมฐาน ทรงรักษาพระปราณ และอปราณ ด้วยปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำลายร่างด้วยอำนาจแห่งโยคินีของพระองค์ด้วยความโกรธพระทักษะ
พระนารทฤาษี (หรือนารท/นารอด) ได้กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้กับพระศิวะเทพทราบ พระศิวะเทพโกรธมาก ทรงให้กำเนิด พระมหาวีรภัทร,พระมหากาล รายล้อมด้วยภูติผีนับล้านตนเข้าโรมรันต่อสู้กับเทวดาที่อยู่ในพิธี
ในที่สุด พระทักษะประชาบดีเพลี่ยงพล่ำ ถูกมหาวีรภัทรใช้มือดึงหัวของพระทักษะหลุดออกจากคอและโยนหัวเข้ากองไฟ บรรดาทวยเทพทั้งหลายกล่าวสรรเสริญให้พระศิวะเทพคลายความพิโรธ พร้อมกับขอให้พระศิวะเทพทรงประทานอภัยแก่พระทักษะ พระศิวะจึงให้หาเศียรแพะมาต่อให้กับพระทักษะแทน
คาวมเศร้าโศกที่สูญเสียพระแม่สตี ทำให้พระศิวะเทพ แบกร่างพระแม่สตีร่ำไห้วิ่งไปทั่วจักรวาล บรรดาทวยเทพเทวดาทั้งหลายเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จักรวาลอาจถึงกาลล่มสลาย พระวิษณุเจ้าจึงใช้จักรตัดร่างพระแม่สตีออกเป็น 51 ชิ้น ร่วงหล่นไปทั่วแผ่นดินอินเดียที่ใด ในกาลต่อมาได้เกิดเป็นเทวาลัย เพื่อบูชาต่อพระแม่ หลังจากที่ไม่เหลือสิ่งใดแล้วพระศิวะเทพได้เข้าสู่การบำเพ็ญสมาธิในครั้งที่ยาวนานที่สุด แต่กระนั้นก็ยังมิอาจลืมพระแม่สตี อันเป็นมหาชายาแห่งพระองค์ได้เลย
#27
สวัสดีคับ ผมอยากรู้ประวัติพระแม่ 2 องค์นี้อะคับ และ อยากรู้วิธีบูชา พร้อม มันตรา บูชาอะคับ ใครพอจะรู้บ้างอะคับ

พระแม่ ปรัตยันกีรา ผมพอจะ ทราบบ้างแล้วคับ แต่พระแม่ ชอตกานิตารา ผมยังไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าท่านเป็นใคร

แต่ผมอยากรู้มากคับ เกี่ยวกับประวัติท่าน กรุณาช่วยหน่อยนะคับ พรใดอันประเสริฐจงบังเกิดแก่ผู้เชื่อมั่นและศรัทธาในองค์เทพ คับ
#28
สวัสดีคับ ทุกท่านผมได้รับ การแจ้งเตือนเรื่องการกระทำที่ผิดกฎแล้วนะคับ

ถ้าการตอบของผมเหมือนกับการพูดในเรื่องของร่างทรงก็ต้องขอโทษไว้นะที่นี้ด้วยนะคับ

เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันคับเห็นคุณมนตราถามมา ผมก็ตอบไป คับตามความรู้สึก เหมือนเพื่อนคุยกัน

แต่ไม่รู้ว่ามันไปเกี่ยวพันกับเรื่อง การเข้าทรง ต้องขอโทษด้วยทางเว็ปด้วยนะคับ
#29
ตอบเรื่องใบมะม่วงนะคับ ส่วนมากผมจะเห็นจัดอยู่ในบายศรีแขกนะคับ แต่ใบมะม่วงก็เป็นใบไม้ใน 21 ชนิดที่ใช้บูชาศรีคเนศ นะคับ

แต่ยังงัยนะคับ ผมจะหามาให้นะคับว่าเทพองค์ใดที่มีของถวายเป็นใบมะม่วงบ้างคับ
#30
magic สวัสดีคับ ผมบูชาศักติคับ เหมือนกับคน และก็บูชาพระแม่กาลิกา เหมือนกันคับ จะบอกว่า อารมณ์ต่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจิงคับ เพราะผมก็เป็น ถ้าเกิดว่าไม่พอใจก็จะโวยวายเลยทันที ควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนกัน และลักษณะของพระแม่ก็เป็นเช่นนั้นคับ เพราะพระแม่กาลีที่เรารู้จักกันดี คือตัวแทน ของความโกรธ และโมโห และการทำลายล้าง ที่เห็นได้เด่นชัดคับ ท่านจะแสดงอารมณ์ออกมาจนเห็นได้ชัด และท่านจะมาด้วยอิทธิฤทธิ์ซะส่วนมากคับ และการควบคุมทางนี้ผมขอแนะนำว่า ควรนั่ง สามธิเยอะมากๆๆๆๆ คับ และกำหนดจิตอยู่กับตัวเอง ว่าเราเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่ และต้องใช้สติไตร่ตรองด้วยเหตุผลนะคับ ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร
#31
ผมก็ตามหาอยู่เหมือนกันคับแต่ไม่มี แต่ที่ผมรู้คร่าวๆๆนะคับ แต่ไม่รู้จะถูกหรือป่าว ท่านเป็นงูเทพเจ้า จะบูชากันในอินเดียใต้นะคับ เป็นงูที่ได้รับพลังจาก

องค์มหาเทพ ศิวะ โภเรนาศ อะคับ แต่ที่ผมเคยเห็นองค์ท่านในรูป แล้วก็มีหนังอินเดียเรื่องนี้ด้วยนะคับ ผมเคยดู ชื่อเรื่องว่า นาคาลักษมี เหมือนกันคับ

แต่ผมยังไม่เคยเห็นองค์บูชาในประเทศไทยนะคับ ถ้าเป็นผมผมจะสร้างขึ้นมาใหม่ตามจินตนาการของผมว่าพระแม่นาคาลักษมีต้องเป็นแบบไหน

มากกว่าที่จะตามหา อนึ่งคับ ขึ้นชื่อว่าพระแม่ก็คือพระแม่ นั่นเป็นเพียงมายาของท่านนะคับ ถ้าคุณยึดคำว่าศักติเป็นหลักคุณจะบูชาพระแม่องค์ไหนก็

เหมือนกับคุณบูชาพระแม่ทุกพระองค์อะคับ ผมว่านะคับ แต่ถ้ามีเรื่องราวผมจะนำมาบอกคุณและกันนะคับ
#32
สวัสดีคับ

ผมก็เคยได้ยินนะคับชื่อนี้

แต่ได้ยินมาว่าท่านชื่อ

พระแม่นาคาลักษมีอะคับ

มนตราผมก็สวดบูชานาคาธรรมดา

อะคับแล้วส่งจิตไปถึงท่านอะคับ

มนตร์บูชาพญานาคา

นาคเทวะ ปรี ตา ภวันติหะ คานติมาปโนติ เวน วิภี/
สัมศานติ โลก มา สาทยะ โมทเต ศาศติช สมาช//

มนตร์นี้เป็นภาษาที่พราหมณ์อินเดียใช้ในการบูชาครับ
และวันที่จะบูชาจะตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำเดือนศราวัน(เดือนกรกฏาคม-สิงหาคม)ของทุกปีครับ ซึ่งจะเรียกว่า"วัน นาค ปัญจมี "

คาถาบูชา ตั้ง นะโมฯ 3 จบ นะติตัง พญามะ นาคายะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต ยะมะ ยะมะ


ถ้ามีอีกผมจะเอามาให้ใหม่คับ
#33
สวัสดีคับ

ผมขอออกความคิดเห็นนะคับ

แค่ความคิดนะคับ

ถ้าในเมื่อพระแม่อวตารลงมาปราบนรสิงห์วึ่งคือพระนารายณ์อวตาร

พระแม่ก็น่าจะเป็นพระแม่ลักษมีอวตารลงมาคับ

เพราะเป็นพันธสัญญาว่าถ้าพระนารายณ์อวตารลงมาเมื่อใดพระแม่ลักษมีก็จะอวตารมาเคียงคู่เสมอ

ยกเว้น 1 ครั้ง ผมจำไม่ได้และคับ ว่าครั้งไหน
#34
ผมอยากรู้จักเพื่อน ๆ ที่บูชาองค์เทพ องค์เดียวกับผมคับ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และทำความรู้จักกันคับ เป็นเพื่อนกันคับ

คุยมาทาง msn
dj_birthday@hotmail.com หรือ โทรมาทำความรู้จักกันก็ได้คับ ที่เบอร์ 0802939677 ผมชื่อเบิร์ดคับ
#35
ผมอยากมีเพื่อนคุยเรื่ององค์เทพคับ เพื่อแรกเปลี่ยนความรู้ ทาง msn ที่ dj_birthday@hotmail.com
#36
สวัสดีคับผมเป็นคนนึง ที่บูชาเทพของฮินดู อยากมีเพื่อนที่บูชาทางนี้บ้างคับ

จะได้มีความรู้เพิ่มให้กับตัวเองในเรื่องพวกนี้