Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - พิษประจิม

#481
เรื่องผักฉุน5ชนิด มันมาจากคติฮินดู และปรากฎในศีลพระโพธิสัตว์

และคนปกติก็ไม่ได้เคร่งอะไรเรื่องผักฉุน เพียงแต่เรื่องผักฉุน กินแล้วทำให้เกิดกิเลส ทำให้อาหารอร่อย.......ผิดหลักการปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรม กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่เพื่ออร่อยครับ

และของเดิมคือ กระเทียม ต้นหอม หัวหอม กุยช่าย และมหาหิงคุ์

...

มันเป็นข้อปฏิบัติในศีลพระโพธิสัตว์ครับ

บางทีคนที่ถือศีล ไม่ต้องบ้าจี้ทำอะไรให้เคร่งๆครับ

บางทีต้องดูเหตุผลอื่นประกอบ

#482
คุณพี่เทวาฯครับ

ต้องคิดเสมอว่า กินเพื่ออยู่ เพื่อดับทุกข์ และมีชีวิตเพื่อปฏิบัติธรรม
#483
เอ....บัณเฑาะว์ ปกตินักบวชถือนิครับ

ง่ายๆคือ อะไรที่นักบวชถือ เป็นสมบัติและสัญลักษณ์ความเป็นนักบวช ฆราวาสไม่มีนิครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Damaru
#484
เจียหลัมผ่อสัก คือ สังฆารามปาลโพธิสัตว์
มันเป็นพวกนิทานพื้นบ้าน ที่เอาเรื่องในประวัติศาสตร์มาผสม จะเอาอะไรมากกับตัวละคร ที่มันมีเรื่องแต่งสมัยหมิง แต่งไว้เล่นงิ้วเท่านั้น

แต่รับอิทธิพลจากเรื่องทวารบาลเฝ้าวัด และยุคหลังเปลี่ยนมาเป็นกวนอูครับ
#485
และแปลกใจว่าพระพรหมถือ"จักร"เป็นอาวุธด้วยหรอ????

ที่ทราบ และเคยเห็น พระพรหมจะถือ ช้อนใส่เนย หม้อน้ำ พระเวท ประคำ สังข์ ไม้เท้า และมือในท่าอภัยและประทานพร

......

พระพรหมถืออาวุธ เอามาจากสมุดภาพเทพเก่าๆของไทยสมัยโบราณครับ
#486
พระพรหมคติฮินดูที่อื่นก็มีครับ

ที่โบสถ์พราหมณ์ ที่พล.ม.2(เกียกกาย) เมืองโบราณ
#487
พระกฤษณะมีรักแท้ด้วยหรอครับ???

ที่ทราบ พระกฤษณะมีชายาหมื่นกว่านาง ชายาเด่นๆก็นางรุกมิณี นางชามพวดี และนางสัตยภามา
#488
ทำไงผมไม่ทราบ ผมทราบแต่ว่าพระแม่ไม่โปรดสาธุชนที่ฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายมากมายโดยไม่ดูฐานะตนเอง

และพระลักษมี คือโชคลาภ และพระลักษมีเขาบูชาในบ้านนะครับ เหอๆ
#489
ขอบคุณมากครับ

เรื่องพระกฤษณะปราบกังสะผมสงสัยว่า ทุกปุราณะบอกว่าฆ่าด้วยมือเปล่าทั้งหมดรึเปล่า
ในศิลปะเขมร พระกฤษณะถือพระขรรค์แทบทุกรูป จิกผมพญากังสะ แล้วเงื้อมมือจะตัดหัว???
#490
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ฤๅษีปุลัสตยะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวจตุรพักตร์
วิศรวะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวลัสเตียน มาจาก เปาลัสตยัน
ท้าวสุมาลี ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวสหมลิวัน น้องคือท้าวมาลี พี่คือท้าวมาลีวันหรือมัลยวัน รามเกียรติ์เรียกว่า ท้าวมาลีวราช
พิเภก-วิภีษณะ
สำมะนักขา-ศูรปนขา

......

ส่วนท้าวกุเวร

หลักฐานทางโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา พบรูปท้าวกุเวรแทบทุกที่ ทวารวดีก็พบ ให้ความร่ำรวยแก่ผู้บูชาสถูปเจดีย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และแปลกที่ว่าส่วนมากพบรูปท้าวกุเวร ปางมหาราชลีลา ในพุทธสถาน เช่น บุโรพุทโธ พระประโทนเจดีย์สมัยทวารวดี

แม้แต่ท่านั่งของจตุคามฯเอง คาดว่าเอารูปมาจากท้าวกุเวรเช่นกัน
#491
บอกตรงๆว่าผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีเทพฮินดูองค์ไหนที่ทรงเสือเป็นพาหนะ???

พระอินทร์ มีพาหนะ3ตัว ม้า1ตัว ช้าง2เชือก
พระวรุณ มีพาหนะเป็นหงส์และมังกร
ท้าวกุเวร มีพาหนะเป็นสิงห์ และม้า
พระพาย มีพาหนะเป็นละมั่ง
พระอัคนี มีพาหนะเป็นเลียงผา และแรด
พระอาทิตย์ พระจันทร์ มีพาหนะเป็นม้า

และมันน่าแปลกอย่างนึง พระแม่ปารวดีปางทุรคาเท่านั้น เทพอื่นๆที่เห็นก็มีพระราหู ที่มีเสือและสิงห์เป็นพาหนะ

และน่าสังเกตว่าสัตว์ที่เป็นพาหนะเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพดั้งเดิม เป็นสัตว์ไม่มีพิษภัยอะไรกับคน สัตว์มีประโยชน์กับคนมากๆ หรือไม่ก็เป็นสัตว์ในเทพนิยาย

โดยเฉพาะ"สิงโต"แบบไลออนคิง นี่ก็เป็นสัตว์นำเข้าจากเมืองนอก ชมพูทวีปไม่มี มีแต่"สิงห์"ที่เป็นสัตว์ในนิยาย

.......

ผมคิดว่าพระแม่ทุรคาแบบดั้งเดิม อาจไม่ได้ทรงอะไรเป็นพาหนะ ท่านอาจจะเหาะไปปราบอสูร....อาวุธท่านเต็มมือ ยังต้องมีพาหนะอีกหรอครับ????
#495
บางคัมภีร์ว่าเป็นพี่น้อง บางคัมภีร์ว่าเป็นสมุน
#496
ถ้าสังเกตดีๆ

เทพที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ในพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก เป็นที่คนฮินดูยุคหลังๆให้ความสำคัญน้อย บางทีอาจไม่นับถือ

อย่างพระพรหม พระอินทร์ ท้าวกุเวร ปรากฎในพุทธประวัติบ่อยมากกกกกกกกกก

ดังนั้น เทพที่คนพุทธส่วนใหญ่นับถือ เป็นเทพดึกดำบรรพ์ คือเทพที่คนฮินดูยุคหลังๆไม่ค่อยนับถือแล้ว
#498
แถวนั้น มันโจมตีกันเรื่องฮวงจุ้ย โดยอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องมือ

คือการโจมตีเรื่องความเชื่อกันดีๆนี่แหละครับ

เพราะตรงนั้นเขาเรียกว่าสี่แยกเทพเจ้า มีพระตรีมูรติ พระพรหม พระพิฆเนศ พระลักษมี พระอินทร์ พระวิษณุ(มี2องค์ ทรงครุฑ กับทรงนาค องค์ที่ทรงครุฑ เป็นศิลปะแบบเขมร)
#499
ถ้าเทียบกับพระอินทร์ และท้าวเวสสุวัณหรือท้าวกุเวร

หลักฐานเก่าสุดคือพระอินทร์ เป็นเทพแห่งฟ้าฝน เป็นเทพยุคดึกดำบรรพ์ของชาวอารยัน
มีทุกเรื่อง ทุกตำนาน ทุกปุราณะ เวลาอสูรมันอาละวาดบนสวรรค์ พระอินทร์ก็พาทหารสวรรค์ไปปราบ

และเทพที่ชาวอารยันนับถือ ก็มีพระอินทร์ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอัศวิน(ฝาแฝดหน้าม้า) พระยม

...

ส่วนท้าวกุเวร ประวัติท่านเริ่มตั้งแต่กำเนิดทศกัณฐ์
ประวัติท่านอยู่ในรามเกียรติ์ และรามายณะกล่าวตรงกัน
ท้าวกุเวร หรือ กุเปรัน เป็นลูกท้าวลัสเตียน เป็นพี่ชายทศกัณฐ์ เป็นพี่คนโต แต่ลูกคนละแม่กัน

แล้วท้าวกุเวรก็ดี ทศกัณฐ์ก็ดี บางปุราณะว่านับถือพุทธ พระพุทธเจ้าสนธนาธรรมกับทศกัณฐ์
เพราะมองว่าพวกที่นับถือพุทธ เป็นพวกอสูร เป็นศาสนาพวกอสูร และเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้เป็นฮินดู ไม่ได้นับถือเทพอารยัน......และพวกนี้จะนับถือพระศิวะด้วยครับ

เทพทมิฬส่วนใหญ่ เชื่อว่าอยู่บนโลกมากกว่าสวรรค์ และนับถือเทพสตรี.......และอาจเป็นที่มาของทศกัณฐ์ลักนางสีดา(เรื่องการเกษตร)

และแนวคิดเรื่องเทพรักษาทิศ ก็เป็นยุคหลังๆ หลังมากๆ และคิดว่ารับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา
#501
เทพ ในความเชื่อมหายาน คือพระโพธิสัตว์แบ่งภาคมา หรือไม่ก็เป็นบริวารของเทพครับ

ในการัณฑวยูหสูตร กล่าวว่ามีสารพัดเทพ พระศิวะ พระนารายณ์ พระแม่ลักษมี พระแม่สุรัสวดี เยอะแยะ ออกมาจากกายพระอวโลกิเตศวร พระอวโลกิเตศวรบางปาง เช่น ปางพันมือ ในอินเดียไม่มี มีในทิเบต และเขมร

แล้วพระโพธิสัตว์ในคติมหายาน ถืออาวุธของเทพได้ เพราะเชื่อว่าเทพคือบริวารของพระโพธิสัตว์

และฮินดูยุคหลังๆ เอาแนวคิดพุทธไปผสม เช่น ลดความตึงเครียดเรื่องระบบวรรณะ แม้แต่เรื่องการบูชายัญด้วยสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็คน ก็เปลี่ยนมาสอนว่าเป็นบาป

และพุทธยุคหลังๆ ก็เอาแนวคิดฮินดูไปใช้ เพื่อให้พุทธอยู่เหนือฮินดู เช่นการทรงพาหนะต่างๆ เอาพระนามมหาเทพมาเป็นพระนามพระพุทธเจ้า หรือบางปางก็เหยียบเทพฮินดู
#502
พระศิวะทรงเครื่อง เป็นศิลปะครับ

หัวโขนพระศิวะก็สวมมงกุฏ

แต่ทรงเครื่องนักบวช โยคี และรูปเคารพพระศิวะสมัยเก่าๆ สวมชฏามงกุฏ ถ้าเป็นเทพชั้นสูง ก็สวมกิรีฏมงกุฏ ถ้าเทพชั้นรองจะสวมกรัณฑมงกุฏ เป็นมงกุฏรูปชามคว่ำ

ชฏามงกุฏ คือมวยผมที่ขดๆกัน อาจสวมศิราภรณ์นิดๆหน่อย
#504
คืออวตารปางที่2 ชื่อ วราหาวตาร วราหะ แปลว่า หมูป่า






http://en.wikipedia.org/wiki/Varaha
#505
ไม่รู้วิธีนุ่ง

แต่ดูรูปแล้วกัน อิอิ


ส่าหรีแบบอินเดียใต้
#506
เป็นท้องถิ่นมากๆครับ

และวัดแบบอินเดียใต้ก็ไม่มีทุกวัด
#507
รามายณะ.....แต่งไว้สวด เทศนา สั่งสอน สวดให้ชาวบ้านฟัง

รามเกียรติ์......แต่งไว้เล่นโขน ละครใน ละครรำ เล่นกันในรั้วในวัง เนื้อหาที่เล่นเพื่อความบันเทิง อวดอิทธิฤทธิ์หลายตอน
#508
Quote from: กษิติ on December 19, 2009, 23:21:33
คือผมสนใจองค์ที่อยู่ประจำทางทิศตะวันออกอ่ะครับ
ที่ชื่อ ท้าวธตรัฏฐะ อ่ะครับคืออยากทราบว่ามีการบูชา
เป็นพิเศษหรือมีคาถาบูชาประจำองค์ท่านรึเปล่ายังไง
ก็รบกวนสมาชิก HM ที่พอจะทราบด้วยนะครับ
                     ขอบคุณครับ

ไม่มีครับ
เพราะท้าวธตรฐ ไม่สำคัญ ไม่มีใครบูชา เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์

และของเดิมคือพระอินทร์ เป็นโลกบาลทิศตะวันออกครับ
#509
อยากทราบค่ะ ว่าทำไมพระแม่เวลาประทับข้างพระศิวะ ต้องมีกายสีเขียว

ขอบคุณมากๆค่ะ
#510
^
^
พระเจ้าช่วย

ฮารูปประกอบมากๆ
#511
สมัยก่อนมีกรมสุรัสวดี ทำงานเกี่ยวกับหนังสือ เรียกกำลังพล แต่ส่วนใหญ่ทำเกี่ยวกับทหารครับ

แล้วกรมสุรัสวดี เพี้ยนมาเป็น สัสดี และสัสดี ขึ้นตรงกับทหารบก เหล่าทหารสารบรรณ ทหารสารบรรณ มีโลโก้เป็นรูปหนังสือ ขนนก และกระบี่ไขว้กันครับ
#513
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8574474/Y8574474.html

....

พระศิวะทรงเครื่องไม่แปลกหรอก

แต่การทรงเครื่อง เพื่ออะไรหรอครับ? ทำไมต้องสร้างทรงเครื่อง?

ศิวนาฏราชหรอ??? ถึงต้องทรงเครื่องอะครับ
#514
หรอครับ???
ขอบคุณคับ เพิ่งทราบว่าพระเจ้าตากท่านแต่งรามเกียรติ์

ที่ทราบ มีร.1และร.2 ที่นิพนธ์
#515
ตำรับปุราณ โบราณของจริง

คำว่าโบราณ เป็นคำวิเศษณ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายว่า มีมาแล้วช้านาน เก่าก่อน ใช้ประกอบกับคำอื่นๆอีกมากมายหลายคำ เช่น โบราณคดี โบราณวัตถุ โบราณสถาน

ส่วนคำว่า ปุราณ เป็นคำเดียวกับ โบราณ ประพัฒน์ ตรีณรงค์ และสงวน อั้นคง อธิบายว่า เป็นนาม ใช้เรียกหนังสือหนึ่งในสามพวก ที่พราหมณ์รวบรวมแต่งไว้ แบ่งเป็นสามยุค ตามลักษณะแห่งหนังสือ

1. ยุคไตรเพท เป็นยุคที่แต่งตำรับที่ออกนามว่า พระเวท พร้อมตำรับอื่นอันเป็นบริวาร มีข้อความกล่าวด้วยการบูชายัญ สรรเสริญพระเป็นเจ้าด้วยวิธีอย่างเก่าที่สุด ไม่ใคร่จะมีเรื่องราวเล่าอย่างเป็นนิยายหรือประวัติพิสดาร

เพราะในสมัยนั้น ยังมิได้มีเวลาคิดประดิด ประดอยเรื่องราว

2. ยุคอิติหาส เป็นยุคที่เกิดมีวีรบุรุษขึ้นแล้ว จึงมีผู้คิดรวบรวมเรื่องราวอันเป็นตำนานเนื่องด้วยวีรบุรุษ รจนาเป็นกาพย์เพื่อให้จำง่าย สอนให้ศิษย์สาธยายในกาลอันควร  แล้วก็จำกันต่อๆมา  มีเรื่องรามายณะ (รามเกียรติ์) และมหาภารตะ เป็นอาทิ แต่ยังไม่มีผู้จดลงเป็นลายลักษณ์อักษร

ภายหลังอีกหลายร้อยปี จนมีผู้จดเป็นหนังสือ เพราะฉะนั้น หนังสืออิติหาสจึงมักมีข้อผนวกหรือแก้ไขเกินไปกว่าเรื่องเดิม

3. ยุคปุราณ เมื่อยกยอวีรบุรุษต่างๆมากขึ้นๆ ในที่สุดวีรบุรุษก็กลายเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา เกิดตำรับชุดปุราณขึ้นเป็นพยานหลักฐานว่า พระเป็นเจ้า หรือเทวดาองค์นั้นๆ ได้ทรงอภินิหารอย่างนี้ ยิ่งแต่งยิ่งเพลินขึ้นทุกที

ข้างฝ่ายไสยศาสตร์ก็เกิดตำรับปุราณ อ้างว่ารวบรวมจากเรื่องเก่าขึ้นมาบ้าง

หนังสือตำรับเหล่านี้ เมื่อเป็นที่ถูกใจนักศึกษาก็มีผู้จำได้มาก จนในที่สุด ทั้งพราหมณ์ และชนสามัญที่ถือไสยศาสตร์ก็เริ่มไม่รู้จักไตรเพทที่แท้จริง ยึดตำรับหนังสือชุดปุราณ เป็นตำรับสำคัญของลัทธิไสยศาสตร์ไปเลยทีเดียว

หนังสืออมรโกษ หนังสืออภิธานภาษา สันสกฤตที่เก่าที่สุด แต่งโดยพราหมณ์อมรสิงห์ รัตนกวีผู้หนึ่ง ในราชสำนักพระเจ้าวิกรมาทิตย์ กรุงอุชยินี(อุชเชนี) อธิบายคุณลักษณะ หนังสือปุราณไว้ว่า ควรมีลักษณะพร้อมด้วยองค์ 5 กล่าวคือ

1. กล่าวด้วยการสร้างโลก
2. กล่าวด้วยการล้างโลกและกลับสถาปนาขึ้น
3. กล่าวด้วยกำเนิดแห่งพระเจ้า และพระบิดาทั้งหลาย
4. กล่าวด้วยกัลป์แห่งพระมนูทั้งหลาย ผู้บันดาลให้กาลแบ่งเป็นมันวันตระ
5.กล่าวด้วยพงศาวดารกษัตริย์ สุริยวงศ์ และจันทรวงศ์

พราหมณ์อมรสิงห์ระบุว่า หนังสือใดบริบูรณ์ด้วยเนื้อหาเช่นนี้ จึงเรียกว่า บริบูรณ์ ด้วยเบญจลักษณ์แห่งปุราณคัมภีร์ หรือคัมภีร์ปุราณที่แท้จริง

หนังสือปุราณทุกฉบับแต่งเป็นกาพย์ มีฉันท์กับโศลกคละกัน รูปแบบหนังสือมักเป็นปุจฉาวิสัชนา และมีคนอื่นๆพูดบ้างบางแห่ง

อายุหนังสือปุราณไม่ใช่สมัยเดียว กันหมด แม้ในเล่มเดียวกัน ข้อความบางตอนชี้ให้เห็นว่า มีผู้แต้มเติมเข้าใหม่ ภายหลัง เชื่อมหัวต่อไม่สนิท

หนังสือปุราณทุกคัมภีร์ มักอ้างว่าเป็นของมุนีตนใดตนหนึ่ง รับมาจากพระเป็นเจ้า มาสอนให้ศิษย์นามว่าอย่างนั้นๆ

เช่น วิษณุปุราณ พระปุลุสตยมนีรับมาจากพระพรหมา แล้วมาบอกเล่าให้ศิษย์ ชขื่อปราศร และปราศรบอกให้แก่ศิษย์ชื่อไมไตรยอีกชั้นหนึ่ง

ตำรับปุราณ มี 18 คัมภีร์ แบ่งเป็น 3 นิกาย ตามลักษณะแห่งเรื่อง ดังต่อไปนี้

ก. สาตตวิกนิกาย  มีลักษณะเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม  หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่าไวษณพนิกาย  กล่าวด้วยพระพิษณุเจ้า  มี  6  คัมภีร์ 
1.วิษณุปุราณ 
2.นารท หรือนารทียปุราณ
3. ภาควัตปุราณ
4. ครุฑปุราณ
5. ปัทมปุราณ
6. วราหปุราณ

ข.ตามัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยที่โลกยังขุ่นเป็นน้ำตม อีกนัยหนึ่ง ไศวนิกาย กล่าวด้วยพระศิวะเป็นเจ้า มี 6 คัมภีร์
1. มัตสยปุราณ
2. กูรมปุราณ
3. ลิงคปุราณ
4. ศิวปุราณ
5 สกันทปุราณ
6. อัคนิปุราณ หรือวายุปุราณ(หลังๆแยกออกเป็น2ปุราณะ)

ค. ราชัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยเมื่อโลกเต็มไปด้วยความมืด และกล่าวด้วยพระพรหม สมมติว่าพระพรหมมาเป็นผู้แสดงบ้างในบางเรื่อง มี 6 คัมภีร์ 1. พรหมปุราณ
2. พรหมาณฑปุราณ
3. พรหมไววรรตปุราณ
4. มารกัณเฑยปุราณ
5. ภวิษยปุราณ
6. วามนปุราณ

ข้อมูลหนังสือปุราณเหล่านี้ ผู้ เรียบเรียงบอกว่าได้มาจากอภิธานศกุนตลา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6. (อ่านรายละเอียดใน บ่อเกิดรามเกียรติ์ และ ศกุนตลา)

Oบาราย O

http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/52476
#516
ร.1ท่านรวบรวมที่เหลือมาตั้งแต่สมัยอยุธยา

พระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านไม่ได้นิพนธ์รามเกียรติ์ครับ
#517
องค์ที่หน้าดุๆ คือมหากาล หน้าไม่ดุคือนนทิ

....

ส่วนเรื่องเหยียบอสูร ทวารบาลที่ประตูวัดไทยก็เหยียบ เทวดาก็เหยียบอสูรเหมือนกันครับ

บางทีก็ไม่เกี่ยวกับตำนานอะไร แต่ทำรูปเหยียบอสูร ให้ดูเก๋ แบบว่าขู่ๆอสูร หุหุ


ทวารบาลที่ปราสาทโลเลย เมืองหริหราลัย เปนเทวาลัยพระศิวะ องค์นี้คือมหากาล


องค์นี้อยู่ที่ปราสาทพระโค หน้าไม่ดุ คือ นนทิ
#518
รามเกียรติ์ เป็นของแต่งใหม่ เอาเค้าโครงจากรามายณะ

แล้วรามายณะ เขารจนาไว้เพื่อสวดและเทศนาในงานต่างๆ แม่แต่พิธีศพก็มีการเอ่ยนามพระรามไปตลาดทางไปแม่น้ำคงคา และมันเป็นเหมือน"คัมภีร์พระเวท"เล่มๆหนึ่ง ชาวบ้านไม่ได้อ่านพระเวทหรอก ก็เทศนาเรื่องรามายณะให้ชาวบ้านฟัง เพราะเชื่อว่าฟังแล้วร่ำรวย ยิ่งใหญ่ ได้บุญ

แต่รามเกียรติ์ คือเอารามายณะเวอร์ชั่นต่างๆ เวอร์ชั่นสันสกฤต ฮินดี เบงกอล และเวอร์ชั่นอินเดียใต้ มายำรวมกัน แล้วเอามาเรียบเรียงใหม่ และแต่งตอนอื่นๆเพิ่มเติมลงไป

อย่างชื่อสหัสเดชะในรามเกียรติ์ ของเราเป็นชื่อยักษ์ แต่อ.เสถียรโกเศศให้ความเห็นว่าเป็นชื่อกองทัพของทศกัณฐ์

ลูกทศกัณฐ์ชื่อ ทศคีรีวัน แต่ดูจากศัพท์มันเป็นชื่อทศกัณฐ์มากกว่าชื่อลูก เพราะ ทศคีรีวัน คือ ทศครีวะ หรือไม่ก็ ทศครีวัน

และรามเกียรติ์ แต่งไว้เล่นละครเล่นโขนครับ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ จะออกแนวออกอภินิหาร ในขณะที่รามายณะ ตัวละครมันน่าศรัทธาในพฤติกรรม เช่น หนุมาน มีความจงรักภักดีต่อพระรามอย่างสุดใจ
#519
Quote from: Kimnei on September 28, 2009, 11:36:33
งั้นเพิ่มเติมข้อมูลตรงนี้ดีกว่าค่ะจะได้ไม่ซ้ำเค้ามาก
ประวัติของพระนาม

คำศัพท์ กฤษณะ (เทวนาครี: कृष्ण)นั้นเป็นภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า ดำ คล้ำ มืด หรือนํ้าเงินเข้ม ซึ่งใช้พรรณนาบุคคลที่มีสีผิวคลํ้า พระกฤษณะทรงได้รับคำพรรณนาบ่อยๆ ว่าผิวดำ แต่ในรูปภาพนั้นพระองค์ได้รับการวาดด้วยสีผิวสีนํ้าเงินเข้ม

พระประวัติ
พระกฤษณะเป็นหลานตาของกษัตริย์ ณ มถุรานคร พระกษัตริยมรมพระนามว่าอุคระเสน พระกษัตริย์มีบุตร ๒ คน พญากงส์และนางเทวกี นางเทวกีได้สมรสกับพระวสุเทพ ต่อมาพญากงส์กบฎต่อพระบิดา ได้จับพระบิดาอุคระเสนและพี่สาวพี่เขยขังไว้ โหรทำนายว่าบุตรคนที่แปดของนางเทวกีจะฆ่าพญากงส์ พญากงส์จึงฆ่าลูกทุกคนของนางเทวกี หลังจากฆ่าหกคนแรกแล้ว คนที่เจ็ดแท้ง พระกฤษณะเป็นคนที่แปด พระวสุเทพสามารถลักลอบเอาพระกฤษณะไปฝากให้โคบาลชื่อนันทะและนางยโศธาเลี้ยงได้



มหาภารตะ

กฤษณะเป็นญาติฝ่ายมารดาของฝ่ายปาณฑพ พระกฤษณะได้ช่วยเหลือพี่น้องปาณฑพหลายครั้งหลายหน เช่น ช่วยเป็นประธานในพิธีกรรมราชสูรยะของยุธิษฐิระ ช่วยภีมะฆ่าท้าวชราสัน ช่วยเหลือพระนางเทราปตีจากการถูกทุหศาสันเปลื้องผ้าส่าหรี และเป็นผู้ถ่ายทอดภควัทคีตาแก่อรชุน เป็นสารถีและเป็นผู้ชี้นำของอรชุนในการปราบแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝ่ายเการพ เช่น ภีษมะ โทรณาจารย์ และ กรรณะ




การตายของกฤษณะ

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง พระกฤษณะครองกรุงทวารกาไปอีก 36 ปี พระองค์เสด็จไปไช้ชีวิตในป่าหลังจากสละราชบัลลังค์ไห้กับเหล่ากษัตริย์ยาฑพซึ่งกำลังแย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างที่พระกฤษณะกำลังนั่งสมาธิ นายพรานจาราได้ยิงธนูไส่ข้อเท้าของพระองค์ถึงแก่ความตาย ตำนานกล่าวไว้ว่าแท้จริงแล้วพรานจาราในชาติที่แล้วคือพญาพาลีกษัตริย์แห่งขีดขิน สนองเวรแก่พระวิษณุซึ่งเคยอวตารเป็นพระรามและฆ่าตนตายอย่างไม่ยุติธรรม หลังจากการตายของพระกฤษณะ กรุงทวารกาและเหล่ายาฑพทั้งหมดได้จมลงสู่มหาสมุทร กาลียุคได้เข้ามาแทนที่ทวาปรยุค




พระนามของพระกฤษณะ

  • มเธวะ (Madhava)แปลว่า ผู้นำมาซึ่งฤดูใบไม้ผลิ
  • เกศวะ (Keshava)แปลว่า ผู้มีผมงาม
  • หริ (Hari)แปลว่า ผู้กำจัด
  • โควินธ์ (Govinda)แปลว่า คนเลี้ยงวัว
  • ทวารกานาถ (Dwarakanath)แปลว่า ผู้ปกครองแห่งกรุงทวารกา
  • กรรณหา (Kanha)เป็นชื่อเรียกของพระกฤษณะในวัยเด็ก
  • วาสุเทพ (Vasudeva)เป็นชื่อเรียกตามชื่อท้าววาสุเทพผู้เป็นบิดา

เพิ่มเติมนะครับ

กฤษณะ ชื่อผู้หญิงคือ กฤษณา คือชื่อของนางเทราปที
และฤๅษีวยาส ชื่อจริงของท่านคือ กฤษณะ ฉายาว่า ไทวปายน(แม่ท่านเป็น ญ ชาวบ้าน)

ในภาษาบาเรียกว่า กัณหะ ผู้หญิงเรียก กัณหา สันสกฤตเรียก กฤษณา

และใครที่ผิวคล้ำๆ ตั้งชื่อว่า"กฤษณะ" อย่างนางเทราปที นางผิวคล้ำ เลยชื่อ กฤษณา
#520
คุณกาลิทัสสงสัยเหมือนผมไหม

ผมสังเกตว่าคำสอนสายภักติ โดยเฉพาะคำสอนที่เกี่ยวกับพระกฤษณะ มีพฤติกรรมผิดแปลกกว่าคนอื่น ลักลอบเข้าห้องนางราธาที่มีสามีอยู่แล้ว ซึ่งในความคิดคนฮินดูมองเป็นเรื่องไม่งาม และเป็นบาป โดยเฉพาะ ญ ที่ไม่ซื่อตรงต่อสามี แต่การที่ผู้แต่งเขียนให้ดู กลายเป็นว่านางราธา เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ความรักบริสุทธิ์ต่อพระกฤษณะ......ผมคิดว่าคนที่เขียนได้แบบนี้ เขาคิดอะไรอยู่ และจะสื่ออะไร ทั้งๆที่นางมีสามีแล้ว ควรซื่อสัตย์ต่อสามีถึงจะได้บุญ และเป็นความรักบริสุทธิ์

และคนที่นับถือส่วนมาก ไม่เคยรู้ว่านางราธามีสามีอยู่แล้วคือนายอายัณโฆษ และไม่ได้คิดว่าผิดสามีภรรยาเป็นบาปหนัก แต่ลัทธิอื่นก็ถือว่าเป็นบาป

และชีวิตวัยเด็กของท่าน ดูไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นคุณธรรมเท่าไร แต่เป็นเรื่องของอภินิหาร และทำอะไรเกินเลย มีพฤติกรรมแผลงๆไม่เหมือนคนอื่น เช่น เอาผ้านุ่งพวกหล่อนที่อาบน้ำ ไปแขวนบนต้นไม้ ถ้าอยากให้ให้พวกหล่อนขึ้นจากน้ำมาขอ.....ผมก็ไม่รู้ว่าคนแต่งเขาจะสื่ออะไร

ถ้าเอารามายณะ กับมหาภารตะ มาเทียบ และดูว่าชาวบ้านชอบเรื่องไหน และคุณธรรมเรื่องไหนที่สามารถใช้ได้ในชีวิตจริง และเป็นประโยชน์
ผมคิดว่ารามายณะ มันแพร่หลาย และซึมซับเข้าในความคิดของคนมากกว่า