[COLOR=#2]พอดีไปเจอเวบนี้โดยบังเอิญยังไงเพื่อนๆๆก็ลองอ่านดูนะคะเผื่อเป็นความรู้ใหม่ๆๆ [/SIZE][/COLOR]
[COLOR=#2]ถ้าเวปมาสเตอร์เห็นว่า บทความนี้ไม่สมควรก็ลบได้เลยค่ะ[/SIZE][/COLOR]
ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์
"เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบว่าพระแม่สัตรี
(พระแม่คายตรีปางก่อนที่จะมาจุติเป็นพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี)
ทรงเผาตัวตายเพื่อประท้วงท้าวทักษะผู้เป็นพ่อที่กล่าววาจาลบหลู่พระศิวะมหาเทพพระสวามี
ต่อหน้าเทพเทวีและฤษีในงานพิธี
พระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผม
ฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อน
ท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง)
ท่อนปลาย กลายเป็นพระแม่กาลีพระแม่ผู้มีรูปร่างน่าเกรงกลัวผิวดำ
(จากตำนานพรหมศาสตร์นี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
พระแม่กาลีมิใช่องค์เดียวกับพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี
ดังที่คนทั้งหลายเข้าใจกันมานานแสนนานเหตุที่เกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น
เพราะพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีทรงมีปางที่ดุร้ายมีพฤติกรรมเสมือนเจ้าแม่กาลี
สิ่งที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างปางดุร้ายของมหาเทวีทั้งเก้า
กับพระแม่กาลีคือ
พระแม่กาลีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ช่างวาดหรือช่างปั้นสร้างให้แลบลิ้น
ส่วนพระแม่อัมพิกา ช่างจะวาดหรือปั้นให้มีเลือดอสูรติดเต็มปาก
เพราะทรงให้พลังดึงดูดอสูรที่ฆ่าด้วยอาวุธไม่ตายกิน)
มหาเทพมหาเทวีทั้งสองถูกสร้างขึ้นจากความโกรธเกลียดและอาฆาตของพระศิวะมหาเทพ
ทรงมีบัญชาให้ทั้งสองไปทำลายล้างพิธีของท้าวทักษะ
และจัดการสังหารท้าวทักษะแก้แค้นให้พระแม่สัตรีฯลฯ
เป็นเรื่องน่าสมเพชที่พวกเจ้าตำหนักหรือสำนักทรงที่รู้ไม่จริงพอประทับทรงเจ้าแม่กาลี
เรียกร้องอยากจะกินเลือดแสดงท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด
แสดงเอกลักษณ์ด้วยการแลบลิ้นตลอดเวลา
**(รู้กฎนะคะว่าห้ามพูดเองทรงเจ้า เข้าทรง แต่ต้องขอยกมาทั้งบทความของเค้าค่ะ ถ้าไม่เหมาะสมก็ลบได้นะคะ ^^ ไม่ว่ากันค่ะ)
ตามความเป็นจริงแล้วพระแม่กาลีท่านมิได้ปรารถนาที่จะเสวยเลือด
ไม่ว่าจะเป็นเลือดอสูรเลือดคนหรือเลือดสัตว์
แต่ที่ท่านเสวยเลือด(เพียงแค่ครั้งเดียว)ก็เพราะความจำเป็นสถานการณ์บังคับ
ให้ต้องจำใจเสวย
เพื่อแก้สถานการณ์ที่เจ้าแม่จากสวรรค์ทั้งเก้าละเลยหน้าที่ๆได้รับมอบหมาย
อสูรได้รับพระจากพระพรหมว่า
โลหิตอสูรแต่ละหยดตกกระทบพื้นโลกเมื่อใดจะบังเกิดเป็นอสูรตนใหม่เพิ่มขึ้นหยดละหนึ่งตน
แต่ละตนจะมีฤทธิ์เหมือนจอมอสูร
เมื่อเจ้าแม่สวรรค์ทั้งเก้ามัวแต่หลงมัวเมาในโลกจนลืมและละเลยหน้าที่
พระแม่กาลีจึงต้องเสด็จลงมาแก้สถานการณ์ในโลกด้วยพระองค์เอง
ทรงแลบลิ้นออกมาพร้อมแสดงปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่
บันดาลให้ลิ้นที่พระองค์ทรงแลบออกมานั้นแผ่ขยายดุจพรมกำมะหยี่สีแดงสดปกคลุมพื้นโลกไว้
กันมิให้โลหิตจอมอสูรกระทบสัมผัสกับผิวโลกได้
ด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระแม่กาลีมีทีต่อสามโลก
ช่างวาดและช่างปั้นจึงมักแสดงเอกลักษณ์ส่วนพระองค์
ด้วยการสร้างตอนที่พระองค์ทรงแลบลิ้น
พระองค์ทรงเสวยโลหิตจอมอสูรเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพระองค์
ผมเคยพบเห็นประสบการณ์ที่ขำขันในเรื่องการประทับทรงพระแม่กาลี
ผมไปพักที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่ต่างจังหวัดกับหลวงปู่
หญิงสาวในหมู่บ้านที่ไปศึกษาในสถาบันมีชื่อในกรุงเทพ
กลับไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมพ่อแม่
เกิดอาการประหลาดประสาทหลอนอ้างว่าเจ้าแม่กาลีมาเข้าประทับทรง
แสดงท่าทางดุร้ายเรียกหาเลือดสดๆถ้าไม่ได้เลือดคนเอาเลือดสัตว์มาให้กินก็ได้
ชาวบ้านต่างเกรงกลัวคิดว่าถ้าหาเลือดให้กินไม่ได้ท่านอาจโกรธจะกินเลือดคนขึ้นมา
จับไก่(ตัวที่ถูกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกดวงกำลังซวย)มาเชือด
เอากะละมังอลูมีเนียมรองเลือดเอาไปให้พระแม่กาลีดื่มกิน
พระแม่กาลีจอมปลอมแสดงบทบาทสารพัดเพี้ยนจนผู้ใหญ่บ้านทนดูไม่ไหว
ลุกขึ้นปรี่เข้าหาร่างทรงพระแม่กาลี
คว้ากาละมังเลือดสาดใส่หน้าร่างทรง
ใช้มือจิกผมทั้งฟาดกระบานและตบหน้าร่างทรงด้วยกาละมังไปหลายฉาด
เล่นเอาร่างทรงหงายหลังตึงพระแม่กาลีเสด็จลี้ภัยกาละมังออกจากร่างไปทันที
ผู้ใหญ่บ้านชี้หน้าด่าลั่นหมู่บ้าน
...มึงมันพระแม่กาลีที่ไหน....มึงมันอีผีปอบ..
ผีห่า...มาหลอกกินลาบเลือดบ้านกูต่างหาก...
ตั้งแต่โดนตบโดนโขกฟาดด้วยกาละมัง
ร่างทรงพระแม่กาลีไม่ยอมพูดยอมจากับใครเลย
รุ่งเช้าร่างทรงหอบข้าวของเก็บใส่กระเป๋าแอบหนีกลับกรุงเทพแต่เช้ามืด
นี่คงเป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครประทับทรงพระแม่กาลีจริงหรือไม่ ?
แต่ถ้าคุณใช้กาละมังพิสูจน์แล้วพระแม่กาลีไม่กลัวไม่หนี
คุณก็ต้องเป็นฝ่ายเผ่นหนีเสียเอง
ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ๕๐-๕๐(วิ่งไปสันนิษฐานไปนะครับ)
ตามตำนานพรหมศาสตร์ ไม่ปรากฏว่าพระแม่กาลีแบ่งภาคไปจุติที่ใดอีก
พระแม่กาลีมีผู้กล่าวขานถึงพระนามของพระองค์แตกต่างกันไป
ตามดินแดนและพฤติกรรมของพระองค์
(มหาเทพและมหาเทวีแต่ละพระองค์ทรงมีฉายามากมายไม่มีที่สิ้นสุด)
ลักษณะโดยทั่วไป
พระแม่กาลีมีผิวกายดำสนิท ท่านสามารถเนรมิตกายได้ในรูปแบบต่างๆ
บางครั้งมียี่สิบมือยี่สิบเท้า บางครั้งหกมือหกเท้า ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆคือ ท่านมิได้แลบลิ้นตลอดเวลา
ขอบคุณข้อมูลจากเวบhttp://www.saksitsart.com ด้วยนะคะ
นี่ก็เป็นอีกมุมมองนึงหรือความคิดเห็นนึง แล้วเพื่อนๆๆล่ะคะ คิดว่ายังไง