ชุมชนคนรัก...ฮินดู (HINDUMEETING)

Hindu สนทนา => ชุมชนคนรัก...ฮินดู => Topic started by: ถุงแป้ง on November 15, 2009, 10:18:03

Title: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: ถุงแป้ง on November 15, 2009, 10:18:03
[COLOR=#2]พอดีไปเจอเวบนี้โดยบังเอิญยังไงเพื่อนๆๆก็ลองอ่านดูนะคะเผื่อเป็นความรู้ใหม่ๆๆ [/SIZE][/COLOR]
[COLOR=#2]ถ้าเวปมาสเตอร์เห็นว่า บทความนี้ไม่สมควรก็ลบได้เลยค่ะ[/SIZE][/COLOR]
ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์
"เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบว่าพระแม่สัตรี
(พระแม่คายตรีปางก่อนที่จะมาจุติเป็นพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี)
ทรงเผาตัวตายเพื่อประท้วงท้าวทักษะผู้เป็นพ่อที่กล่าววาจาลบหลู่พระศิวะมหาเทพพระสวามี
ต่อหน้าเทพเทวีและฤษีในงานพิธี
พระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผม
ฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อน
ท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง)
ท่อนปลาย  กลายเป็นพระแม่กาลีพระแม่ผู้มีรูปร่างน่าเกรงกลัวผิวดำ
(จากตำนานพรหมศาสตร์นี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
พระแม่กาลีมิใช่องค์เดียวกับพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี
ดังที่คนทั้งหลายเข้าใจกันมานานแสนนานเหตุที่เกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น
เพราะพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีทรงมีปางที่ดุร้ายมีพฤติกรรมเสมือนเจ้าแม่กาลี
สิ่งที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างปางดุร้ายของมหาเทวีทั้งเก้า
กับพระแม่กาลีคือ
พระแม่กาลีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ช่างวาดหรือช่างปั้นสร้างให้แลบลิ้น
ส่วนพระแม่อัมพิกา ช่างจะวาดหรือปั้นให้มีเลือดอสูรติดเต็มปาก
เพราะทรงให้พลังดึงดูดอสูรที่ฆ่าด้วยอาวุธไม่ตายกิน)
มหาเทพมหาเทวีทั้งสองถูกสร้างขึ้นจากความโกรธเกลียดและอาฆาตของพระศิวะมหาเทพ
ทรงมีบัญชาให้ทั้งสองไปทำลายล้างพิธีของท้าวทักษะ
และจัดการสังหารท้าวทักษะแก้แค้นให้พระแม่สัตรีฯลฯ
เป็นเรื่องน่าสมเพชที่พวกเจ้าตำหนักหรือสำนักทรงที่รู้ไม่จริงพอประทับทรงเจ้าแม่กาลี
เรียกร้องอยากจะกินเลือดแสดงท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด
แสดงเอกลักษณ์ด้วยการแลบลิ้นตลอดเวลา
**(รู้กฎนะคะว่าห้ามพูดเองทรงเจ้า เข้าทรง แต่ต้องขอยกมาทั้งบทความของเค้าค่ะ ถ้าไม่เหมาะสมก็ลบได้นะคะ ^^ ไม่ว่ากันค่ะ)
ตามความเป็นจริงแล้วพระแม่กาลีท่านมิได้ปรารถนาที่จะเสวยเลือด
ไม่ว่าจะเป็นเลือดอสูรเลือดคนหรือเลือดสัตว์
แต่ที่ท่านเสวยเลือด(เพียงแค่ครั้งเดียว)ก็เพราะความจำเป็นสถานการณ์บังคับ
ให้ต้องจำใจเสวย
เพื่อแก้สถานการณ์ที่เจ้าแม่จากสวรรค์ทั้งเก้าละเลยหน้าที่ๆได้รับมอบหมาย
อสูรได้รับพระจากพระพรหมว่า
โลหิตอสูรแต่ละหยดตกกระทบพื้นโลกเมื่อใดจะบังเกิดเป็นอสูรตนใหม่เพิ่มขึ้นหยดละหนึ่งตน
แต่ละตนจะมีฤทธิ์เหมือนจอมอสูร
เมื่อเจ้าแม่สวรรค์ทั้งเก้ามัวแต่หลงมัวเมาในโลกจนลืมและละเลยหน้าที่
พระแม่กาลีจึงต้องเสด็จลงมาแก้สถานการณ์ในโลกด้วยพระองค์เอง
ทรงแลบลิ้นออกมาพร้อมแสดงปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่
บันดาลให้ลิ้นที่พระองค์ทรงแลบออกมานั้นแผ่ขยายดุจพรมกำมะหยี่สีแดงสดปกคลุมพื้นโลกไว้
กันมิให้โลหิตจอมอสูรกระทบสัมผัสกับผิวโลกได้
ด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระแม่กาลีมีทีต่อสามโลก
ช่างวาดและช่างปั้นจึงมักแสดงเอกลักษณ์ส่วนพระองค์
ด้วยการสร้างตอนที่พระองค์ทรงแลบลิ้น
พระองค์ทรงเสวยโลหิตจอมอสูรเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพระองค์
ผมเคยพบเห็นประสบการณ์ที่ขำขันในเรื่องการประทับทรงพระแม่กาลี
ผมไปพักที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่ต่างจังหวัดกับหลวงปู่
หญิงสาวในหมู่บ้านที่ไปศึกษาในสถาบันมีชื่อในกรุงเทพ
กลับไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมพ่อแม่
เกิดอาการประหลาดประสาทหลอนอ้างว่าเจ้าแม่กาลีมาเข้าประทับทรง
แสดงท่าทางดุร้ายเรียกหาเลือดสดๆถ้าไม่ได้เลือดคนเอาเลือดสัตว์มาให้กินก็ได้
ชาวบ้านต่างเกรงกลัวคิดว่าถ้าหาเลือดให้กินไม่ได้ท่านอาจโกรธจะกินเลือดคนขึ้นมา
จับไก่(ตัวที่ถูกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกดวงกำลังซวย)มาเชือด
เอากะละมังอลูมีเนียมรองเลือดเอาไปให้พระแม่กาลีดื่มกิน
พระแม่กาลีจอมปลอมแสดงบทบาทสารพัดเพี้ยนจนผู้ใหญ่บ้านทนดูไม่ไหว
ลุกขึ้นปรี่เข้าหาร่างทรงพระแม่กาลี
คว้ากาละมังเลือดสาดใส่หน้าร่างทรง
ใช้มือจิกผมทั้งฟาดกระบานและตบหน้าร่างทรงด้วยกาละมังไปหลายฉาด
เล่นเอาร่างทรงหงายหลังตึงพระแม่กาลีเสด็จลี้ภัยกาละมังออกจากร่างไปทันที
ผู้ใหญ่บ้านชี้หน้าด่าลั่นหมู่บ้าน
“...มึงมันพระแม่กาลีที่ไหน....มึงมันอีผีปอบ..
ผีห่า...มาหลอกกินลาบเลือดบ้านกูต่างหาก...”
ตั้งแต่โดนตบโดนโขกฟาดด้วยกาละมัง
ร่างทรงพระแม่กาลีไม่ยอมพูดยอมจากับใครเลย
รุ่งเช้าร่างทรงหอบข้าวของเก็บใส่กระเป๋าแอบหนีกลับกรุงเทพแต่เช้ามืด
นี่คงเป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครประทับทรงพระแม่กาลีจริงหรือไม่ ?
แต่ถ้าคุณใช้กาละมังพิสูจน์แล้วพระแม่กาลีไม่กลัวไม่หนี
คุณก็ต้องเป็นฝ่ายเผ่นหนีเสียเอง
ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ๕๐-๕๐(วิ่งไปสันนิษฐานไปนะครับ)
ตามตำนานพรหมศาสตร์ ไม่ปรากฏว่าพระแม่กาลีแบ่งภาคไปจุติที่ใดอีก
พระแม่กาลีมีผู้กล่าวขานถึงพระนามของพระองค์แตกต่างกันไป
ตามดินแดนและพฤติกรรมของพระองค์
(มหาเทพและมหาเทวีแต่ละพระองค์ทรงมีฉายามากมายไม่มีที่สิ้นสุด)
ลักษณะโดยทั่วไป
พระแม่กาลีมีผิวกายดำสนิท ท่านสามารถเนรมิตกายได้ในรูปแบบต่างๆ
บางครั้งมียี่สิบมือยี่สิบเท้า บางครั้งหกมือหกเท้า ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆคือ ท่านมิได้แลบลิ้นตลอดเวลา
ขอบคุณข้อมูลจากเวบhttp://www.saksitsart.com (http://www.saksitsart.com) ด้วยนะคะ
นี่ก็เป็นอีกมุมมองนึงหรือความคิดเห็นนึง แล้วเพื่อนๆๆล่ะคะ คิดว่ายังไง
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: Kimnei on November 15, 2009, 10:35:44
ขอบคุณนะคะ ถุงแป้ง

ว่าแต่ถ้าเป็นตำนานพระแม่กาลีในมุมมองพรหมศาสตร์มหัศจรรย์

แล้วอยากจะทราบต่อว่าถ้าไม่ใช่อีกปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวี แล้วทำไมพระศิวะถึงไปนอนให้เหยียบได้คะ

ไม่นะ คือคิดว่าถ้าประวัติศาสตร์เปลี่ยน ก็น่าจะมีเหตุผลที่แตกต่างว่าพระแม่กาลีพอเห็นหน้าพระศิวะแล้ว เมื่อไม่ใช่พระสวามีของพระองค์

แล้วพระองค์ทรงหยุดกระทืบโลกได้ยังไง  หรือเพราะเกรงกลัวต่อบารมีของพระศิวะคะ

แต่ข้อมูลน่าจะมีเท่านี้จริงๆ ไม่งั้นถุงแป้งคงมาให้อ่านหมด

เราแค่อยากรู้หมดจดอ่ะค่ะ  สงสัยไปเรื่อยอ่ะ ^^


Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: ถุงแป้ง on November 15, 2009, 11:28:06
นั้นน่ะซิคะ แป้งก็ว่าตำนานนี้น่าจะมีแค่นี้นะคะ
เพราะไม่ได้กล่าวถึงเทวะรูปที่ยืนบนพระอุระของพระศิวะเลยT^T
ที่เอามาลงให้สมาชิคอ่านเพราะ จะได้รู้ว่าตำนานอื่นๆๆก็ได้กล่าวถึงพระแม่กาลี ในรูปแบบต่างๆๆ
แต่เราก็ทราบกันดีไม่ใช่รึค่ะว่า ประวัติและความเป็นมาของพระแม่ เป็นเช่นไร

โอม เจ มา ตากาลี
(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.upchill.com%2Fdirect%2F637d0fdebf540ae631ee923b3124b9bb.jpg&hash=3a0518c44fd6234e58be0c9bb6c600a37844f732) (http://www.upchill.com/image.php?id=637d0fdebf540ae631ee923b3124b9bb)
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 12:10:38
ขออนุญาตคุณถุงแป้งนะครับ

ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์
"เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบว่าพระแม่สัตรี...สะกดว่า สตี บางทีเรียกว่า สตีศวร
(พระแม่คายตรีปางก่อนที่จะมาจุติเป็นพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี).....พระแม่คายตรีไหนครับ???
ทรงเผาตัวตายเพื่อประท้วงท้าวทักษะผู้เป็นพ่อที่กล่าววาจาลบหลู่พระศิวะมหาเทพพระสวามี
ต่อหน้าเทพเทวีและฤษีในงานพิธี
พระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผม
ฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อน
ท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง).....องค์ที่ตัดเศียรพระพรหม คือ พระไภรพ มะใช่ปางวีรภัทร
เพราะพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีทรงมีปางที่ดุร้ายมีพฤติกรรมเสมือนเจ้าแม่กาลี
[/quote]
มหาเทวีทั้ง9นี่ หมายถึง"นวทุรคา"รึเปล่าครับ???
ผมสงสัยข้อความที่ว่า
สิ่งที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างปางดุร้ายของมหาเทวีทั้งเก้า
กับพระแม่กาลีคือ
พระแม่กาลีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ช่างวาดหรือช่างปั้นสร้างให้แลบลิ้น
ปางดุร้ายของมหาเทวีทั้ง9 หมายความว่าไงเอ่ย???
ในบรรดา9ปาง มีปางเดียงที่ดุร้ายคือปาง"กาลราตรี"
9ปาง ได้แก่ ไศลบุตรี มหาเการี กาลราตรี พรหมจาริณี จันทรฆัณฏา กุษมาณฑา สกันทมาตา กาตยายนี สิทธิธาตรี
ชื่อ กาตยายนี ภาษาบาลีอ่านว่า กัจจายนี มาจาก กัจจายนะ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 12:29:37
ตำรา พรหมศาสตร์มหัศจรรย์ คือตำราเล่มไหนครับ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: อักษรชนนี on November 15, 2009, 12:34:49
Quoteพระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผมฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อนท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง)

เท่าที่ทราบมา พระศิวะในภาคไภรวะ หรือไภรพ เป็นภาคที่ตัดเศียรที่ห้าของพระพรหม ส่วนพระศิวะในภาควีรภัทรนั้น เป็นภาคที่ตัดเศียรของพระทักษะครับ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 12:42:59
ผมตลกคำว่า"กระชากมวยผม"อะครับ^^

พระศิวะแค่ดึงปอยผมตนเองจำนวนหนึ่ง แล้วโยนไปข้างหน้า จนเกิดอสูรชื่อ"วีรภัทร"
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 12:49:17
ร่างทรงเจ้าแม่กาลี???
http://atheist-times.blogspot.com/2009/07/nasty-hindu-superstition-of-drinking.html (http://atheist-times.blogspot.com/2009/07/nasty-hindu-superstition-of-drinking.html)
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: Kimnei on November 15, 2009, 14:01:56
ขอวิจารณ์นะคะ ลิ้งค์ที่คุณปลาวาฬนำมาให้ดู  ไม่ชอบเลยค่ะ

นี่จากวัดแขกมาเลียเซียหรอนี่  แล้วนั่นตัวอะไรอ่ะคะ??  สงสารอ่ะ  เราเป็นคนรักสัตว์

ถ้าร่างทรงเป็นแบบนี้ก็ไม่น่านับถือนะคะ  ไม่ใช่ว่าไม่นับถือพระแม่นะคะ

แต่ไม่อยากให้มีพิธีกรรมแบบนี้เลย  เราก็ทราบกันมาว่าพระแม่เองไม่ได้โปรดที่จะเสวยเลือดไม่ใช่หรอคะ

แต่ทำไม?????
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 14:32:37
มีคนเล่าว่า ในแคว้นทมิฬนาฑูก็มีพิธีบูชาเจ้าแม่กาลีแบบนี้เหมือนกัน......เขาเล่ามานะครับ

แล้วร่างทรงในศาสนาฮินดู เป็น"ความเชื่อท้องถิ่น"อินเดียใต้เท่านั้น อินเดียเหนือไม่มีร่างทรงแบบนี้ครับ

การบูชายัญคนกับเทพก็มี ไม่ได้มีแค่เจ้าแม่กาลีองค์เดียว แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)

ที่เนปาลและอินเดียเหนือก็มี ฆ่าแพะบูชายัญเทพเจ้าอะ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 15, 2009, 14:34:35
Quote from: Kimnei on November 15, 2009, 14:01:56
ขอวิจารณ์นะคะ ลิ้งค์ที่คุณปลาวาฬนำมาให้ดู  ไม่ชอบเลยค่ะ

นี่จากวัดแขกมาเลียเซียหรอนี่  แล้วนั่นตัวอะไรอ่ะคะ??  สงสารอ่ะ  เราเป็นคนรักสัตว์

ถ้าร่างทรงเป็นแบบนี้ก็ไม่น่านับถือนะคะ  ไม่ใช่ว่าไม่นับถือพระแม่นะคะ

แต่ไม่อยากให้มีพิธีกรรมแบบนี้เลย  เราก็ทราบกันมาว่าพระแม่เองไม่ได้โปรดที่จะเสวยเลือดไม่ใช่หรอคะ

แต่ทำไม?????

นั่นคือ"แพะ"ครับ

แล้วชาวอินเดียในมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นชาวอินเดียเชื้อสายทมิฬครับ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: Kimnei on November 15, 2009, 15:00:55
เฮ้อ ... จะไปห้ามเค้าก็ทำไม่ได้เน๊าะ

แต่ถ้าปรับเปลี่ยนได้นะ  จะดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

มันหดหู่ใจของคนรักสัตว์

"แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)"  อันนี้ไม่ใช่ปัจจุบันใช่มั้ยคะ  เมื่อก่อนใช่มั้ยคะ
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: Neosiris on November 16, 2009, 16:58:15
ผมไม่รู้หรอกว่าสัตว์มันต้องการหรือเต็มใจหรือป่าว  แต่นี้ผลของกรรมครับ

การฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต)     
การฆ่าสัตว์ คือ การฆ่าสิ่งที่มีชีวิตให้ตายไปก่อนที่จะหมดอายุ จะเป็นการฆ่าด้วยตนเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าโดยใช้อาวุธใช้เครื่องประหาร ใช้คาถา อาคมไสยศาสตร์ หรือใช้ฤทธิ์
องค์ประกอบของอกุศลกรรมบถ ในการฆ่าสัตว์มี ๕ ประการ คือ
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามฆ่า
๕. สัตว์นั้นตายลงเพราะความพยายามนั้น
      การทำบาปที่เข้าลักษณะ ๕ ประการ ชื่อว่า เป็นการทำบาปที่ครบองค์แห่งปาณาติบาต จะเป็นสัตว์ที่เป็นอาหาร หรือ สัตว์ที่ไม่เป็นอาหาร เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็ตาม ล้วนเป็นบาปทั้งสิ้น เมื่อใกล้จะตายถ้าคิดถึงบาปที่เคยฆ่าสัตว์ไว้ บาปนั้นก็สามารถนำให้ไปเกิดใน อบายภูมิ ได้
      บาปมาก – บาปน้อย การฆ่าสัตว์ จะบาปมาก หรือ บาปน้อย นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ความพยายามในการฆ่า ถ้าใช้ความพยายามมากก็บาปมาก ใช้ความพยายามน้อยก็บาปน้อย ฆ่า สัตว์มีคุณมาก ก็บาปมาก เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ถ้าฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็บาปน้อย ฆ่าสัตว์ตัวใหญ่บาปมาก ฆ่าสัตว์ตัวเล็กก็บาปน้อย ถ้าฆ่าคนที่มีคุณธรรมมาก บาปมาก ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้อย ก็บาปน้อยตามลำดับ
      
(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.buddhism-online.org%2FImages%2FSect07A%2FP03.jpg&hash=8060fe164c26799cf71445e564371a392ab53606)
      
แสดงผลของปาณาติบาต
บาปมาก
๑.ฆ่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น
ช้าง ม้า วัว ควาย
๒.ฆ่าผู้มีคุณธรรมมาก เช่น พระสงฆ์ บิดามารดา
๓.ใช้ความพยายามในการฆ่ามาก
บาปมาก
๑.ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ลิ้น ไร
๒.ฆ่าผู้ไม่มีคุณธรรม เช่น โจร ผู้ร้าย
๓.ใช้ความพยายาม ในการฆ่าน้อย
      
ความพยายามในการฆ่า ทำได้ ๖ ประการ คือ
๑. ฆ่าด้วยตนเอง
๒. ใช้คนอื่นฆ่า
๓. ปล่อยอาวุธ ขว้าง ปา
๔. ใช้อาวุธปืน มีด ขุดหลุมพราง
๕. ใช้อาคมคุณไสยศาสตร์
๖. ใช้ฤทธิ์
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ แล้วนั้น จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผล ของการทำบาป คือการฆ่าสัตว์ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่า การให้ผลในปฏิสนธิกาล จะได้รับความทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อชดใช้กรรม
การทำบาปที่ไม่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ บาปนั้น
จะตามให้ผลใน ปวัตติกาล คือขณะมีชีวิตอยู่ จะทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม ได้ประสบพบเห็นหรือได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อายุสั้น ถูกฆ่า หรือ ฆ่าตัวตาย รูปไม่งาม ไม่มีบริวาร เป็นต้น
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: Kimnei on November 17, 2009, 02:06:51
ขอบคุณมากค่ะ คุณ Neosiris

Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: พิษประจิม on November 17, 2009, 06:50:11
Quote from: Kimnei on November 15, 2009, 15:00:55
เฮ้อ ... จะไปห้ามเค้าก็ทำไม่ได้เน๊าะ

แต่ถ้าปรับเปลี่ยนได้นะ  จะดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

มันหดหู่ใจของคนรักสัตว์

"แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)"  อันนี้ไม่ใช่ปัจจุบันใช่มั้ยคะ  เมื่อก่อนใช่มั้ยคะ
ปัจจุบันยกเลิกพิธีบุรุษเมธแล้ว

ผมไม่แน่ใจว่าการทำพิธีบุรุษเมธให้เทพองค์ใดก็แล้วแต่ มีมายาวนานถึงสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมอังกฤษรึเปล่า

แต่ที่แน่ๆ อะไรที่มัน"ป่าเถื่อน"อังกฤษสั่งห้ามทำพิธี พิธีสตีก็ด้วยครับ

----

ที่ผมอยากทราบตอนนี้คือ "พรหมศาสตร์"คือตำราอะไร ใครเขียน
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: kkn on May 09, 2010, 23:55:36
ตำราพรหมศาสตร์นี้เป็นตำราที่เขียนขึ้นโดยอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์  อัจฉริยะศาสตร์อยู่ในเว็บ www.saksitsart.com (http://www.saksitsart.com) เนื้อหาที่เขียนมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตำนานเทพเจ้า ที่เว็บนี้สามารถกระทู้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆที่สนใจได้ 
Title: ตอบ: พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ
Post by: คุณ บาส on May 10, 2010, 09:48:03
ลองคิดในอีแง่มุนนะครับ


ว่าทำไมพิธีนั้นถึงมีมาตั้งแต่โบราณ  และสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จนอังกฤษซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างจากคนอินเดียสั่งยกเลิกไป  จะว่าคนอินเดียโบราณ  โง่  ก็ไม่ใช่ เพราะมีอารยธรรมหลายอย่างที่น่าชื่นชม แต่ทำไมถึงมีประเพณีแบบนั้นมาตั้งแต่โบราณ  และก็ที่สงสัย อีกก็คือ ประเพณีลักษณะนี้ใช้กับการบูชาเทพกี่พระองค์  ผมว่า ไม่ทุกพระองค์แน่นอน

มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ดี