Loader

พอดีไปเจอบทความ"ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์"ลองอ่านดูนะคะ

Started by ถุงแป้ง, November 15, 2009, 10:18:03

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

[COLOR=#2]พอดีไปเจอเวบนี้โดยบังเอิญยังไงเพื่อนๆๆก็ลองอ่านดูนะคะเผื่อเป็นความรู้ใหม่ๆๆ [/SIZE][/COLOR]
[COLOR=#2]ถ้าเวปมาสเตอร์เห็นว่า บทความนี้ไม่สมควรก็ลบได้เลยค่ะ[/SIZE][/COLOR]
ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์
"เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบว่าพระแม่สัตรี
(พระแม่คายตรีปางก่อนที่จะมาจุติเป็นพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี)
ทรงเผาตัวตายเพื่อประท้วงท้าวทักษะผู้เป็นพ่อที่กล่าววาจาลบหลู่พระศิวะมหาเทพพระสวามี
ต่อหน้าเทพเทวีและฤษีในงานพิธี
พระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผม
ฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อน
ท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง)
ท่อนปลาย  กลายเป็นพระแม่กาลีพระแม่ผู้มีรูปร่างน่าเกรงกลัวผิวดำ
(จากตำนานพรหมศาสตร์นี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
พระแม่กาลีมิใช่องค์เดียวกับพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี
ดังที่คนทั้งหลายเข้าใจกันมานานแสนนานเหตุที่เกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น
เพราะพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีทรงมีปางที่ดุร้ายมีพฤติกรรมเสมือนเจ้าแม่กาลี
สิ่งที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างปางดุร้ายของมหาเทวีทั้งเก้า
กับพระแม่กาลีคือ
พระแม่กาลีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ช่างวาดหรือช่างปั้นสร้างให้แลบลิ้น
ส่วนพระแม่อัมพิกา ช่างจะวาดหรือปั้นให้มีเลือดอสูรติดเต็มปาก
เพราะทรงให้พลังดึงดูดอสูรที่ฆ่าด้วยอาวุธไม่ตายกิน)
มหาเทพมหาเทวีทั้งสองถูกสร้างขึ้นจากความโกรธเกลียดและอาฆาตของพระศิวะมหาเทพ
ทรงมีบัญชาให้ทั้งสองไปทำลายล้างพิธีของท้าวทักษะ
และจัดการสังหารท้าวทักษะแก้แค้นให้พระแม่สัตรีฯลฯ
เป็นเรื่องน่าสมเพชที่พวกเจ้าตำหนักหรือสำนักทรงที่รู้ไม่จริงพอประทับทรงเจ้าแม่กาลี
เรียกร้องอยากจะกินเลือดแสดงท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด
แสดงเอกลักษณ์ด้วยการแลบลิ้นตลอดเวลา
**(รู้กฎนะคะว่าห้ามพูดเองทรงเจ้า เข้าทรง แต่ต้องขอยกมาทั้งบทความของเค้าค่ะ ถ้าไม่เหมาะสมก็ลบได้นะคะ ^^ ไม่ว่ากันค่ะ)
ตามความเป็นจริงแล้วพระแม่กาลีท่านมิได้ปรารถนาที่จะเสวยเลือด
ไม่ว่าจะเป็นเลือดอสูรเลือดคนหรือเลือดสัตว์
แต่ที่ท่านเสวยเลือด(เพียงแค่ครั้งเดียว)ก็เพราะความจำเป็นสถานการณ์บังคับ
ให้ต้องจำใจเสวย
เพื่อแก้สถานการณ์ที่เจ้าแม่จากสวรรค์ทั้งเก้าละเลยหน้าที่ๆได้รับมอบหมาย
อสูรได้รับพระจากพระพรหมว่า
โลหิตอสูรแต่ละหยดตกกระทบพื้นโลกเมื่อใดจะบังเกิดเป็นอสูรตนใหม่เพิ่มขึ้นหยดละหนึ่งตน
แต่ละตนจะมีฤทธิ์เหมือนจอมอสูร
เมื่อเจ้าแม่สวรรค์ทั้งเก้ามัวแต่หลงมัวเมาในโลกจนลืมและละเลยหน้าที่
พระแม่กาลีจึงต้องเสด็จลงมาแก้สถานการณ์ในโลกด้วยพระองค์เอง
ทรงแลบลิ้นออกมาพร้อมแสดงปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่
บันดาลให้ลิ้นที่พระองค์ทรงแลบออกมานั้นแผ่ขยายดุจพรมกำมะหยี่สีแดงสดปกคลุมพื้นโลกไว้
กันมิให้โลหิตจอมอสูรกระทบสัมผัสกับผิวโลกได้
ด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระแม่กาลีมีทีต่อสามโลก
ช่างวาดและช่างปั้นจึงมักแสดงเอกลักษณ์ส่วนพระองค์
ด้วยการสร้างตอนที่พระองค์ทรงแลบลิ้น
พระองค์ทรงเสวยโลหิตจอมอสูรเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพระองค์
ผมเคยพบเห็นประสบการณ์ที่ขำขันในเรื่องการประทับทรงพระแม่กาลี
ผมไปพักที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่ต่างจังหวัดกับหลวงปู่
หญิงสาวในหมู่บ้านที่ไปศึกษาในสถาบันมีชื่อในกรุงเทพ
กลับไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมพ่อแม่
เกิดอาการประหลาดประสาทหลอนอ้างว่าเจ้าแม่กาลีมาเข้าประทับทรง
แสดงท่าทางดุร้ายเรียกหาเลือดสดๆถ้าไม่ได้เลือดคนเอาเลือดสัตว์มาให้กินก็ได้
ชาวบ้านต่างเกรงกลัวคิดว่าถ้าหาเลือดให้กินไม่ได้ท่านอาจโกรธจะกินเลือดคนขึ้นมา
จับไก่(ตัวที่ถูกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกดวงกำลังซวย)มาเชือด
เอากะละมังอลูมีเนียมรองเลือดเอาไปให้พระแม่กาลีดื่มกิน
พระแม่กาลีจอมปลอมแสดงบทบาทสารพัดเพี้ยนจนผู้ใหญ่บ้านทนดูไม่ไหว
ลุกขึ้นปรี่เข้าหาร่างทรงพระแม่กาลี
คว้ากาละมังเลือดสาดใส่หน้าร่างทรง
ใช้มือจิกผมทั้งฟาดกระบานและตบหน้าร่างทรงด้วยกาละมังไปหลายฉาด
เล่นเอาร่างทรงหงายหลังตึงพระแม่กาลีเสด็จลี้ภัยกาละมังออกจากร่างไปทันที
ผู้ใหญ่บ้านชี้หน้าด่าลั่นหมู่บ้าน
“...มึงมันพระแม่กาลีที่ไหน....มึงมันอีผีปอบ..
ผีห่า...มาหลอกกินลาบเลือดบ้านกูต่างหาก...”
ตั้งแต่โดนตบโดนโขกฟาดด้วยกาละมัง
ร่างทรงพระแม่กาลีไม่ยอมพูดยอมจากับใครเลย
รุ่งเช้าร่างทรงหอบข้าวของเก็บใส่กระเป๋าแอบหนีกลับกรุงเทพแต่เช้ามืด
นี่คงเป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครประทับทรงพระแม่กาลีจริงหรือไม่ ?
แต่ถ้าคุณใช้กาละมังพิสูจน์แล้วพระแม่กาลีไม่กลัวไม่หนี
คุณก็ต้องเป็นฝ่ายเผ่นหนีเสียเอง
ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ๕๐-๕๐(วิ่งไปสันนิษฐานไปนะครับ)
ตามตำนานพรหมศาสตร์ ไม่ปรากฏว่าพระแม่กาลีแบ่งภาคไปจุติที่ใดอีก
พระแม่กาลีมีผู้กล่าวขานถึงพระนามของพระองค์แตกต่างกันไป
ตามดินแดนและพฤติกรรมของพระองค์
(มหาเทพและมหาเทวีแต่ละพระองค์ทรงมีฉายามากมายไม่มีที่สิ้นสุด)
ลักษณะโดยทั่วไป
พระแม่กาลีมีผิวกายดำสนิท ท่านสามารถเนรมิตกายได้ในรูปแบบต่างๆ
บางครั้งมียี่สิบมือยี่สิบเท้า บางครั้งหกมือหกเท้า ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆคือ ท่านมิได้แลบลิ้นตลอดเวลา
ขอบคุณข้อมูลจากเวบhttp://www.saksitsart.com ด้วยนะคะ
นี่ก็เป็นอีกมุมมองนึงหรือความคิดเห็นนึง แล้วเพื่อนๆๆล่ะคะ คิดว่ายังไง
[HIGHLIGHT=#c00000][HIGHLIGHT=#ffffff]โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา [/HIGHLIGHT]
[/HIGHLIGHT]

ขอบคุณนะคะ ถุงแป้ง

ว่าแต่ถ้าเป็นตำนานพระแม่กาลีในมุมมองพรหมศาสตร์มหัศจรรย์

แล้วอยากจะทราบต่อว่าถ้าไม่ใช่อีกปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวี แล้วทำไมพระศิวะถึงไปนอนให้เหยียบได้คะ

ไม่นะ คือคิดว่าถ้าประวัติศาสตร์เปลี่ยน ก็น่าจะมีเหตุผลที่แตกต่างว่าพระแม่กาลีพอเห็นหน้าพระศิวะแล้ว เมื่อไม่ใช่พระสวามีของพระองค์

แล้วพระองค์ทรงหยุดกระทืบโลกได้ยังไง  หรือเพราะเกรงกลัวต่อบารมีของพระศิวะคะ

แต่ข้อมูลน่าจะมีเท่านี้จริงๆ ไม่งั้นถุงแป้งคงมาให้อ่านหมด

เราแค่อยากรู้หมดจดอ่ะค่ะ  สงสัยไปเรื่อยอ่ะ ^^


[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

นั้นน่ะซิคะ แป้งก็ว่าตำนานนี้น่าจะมีแค่นี้นะคะ
เพราะไม่ได้กล่าวถึงเทวะรูปที่ยืนบนพระอุระของพระศิวะเลยT^T
ที่เอามาลงให้สมาชิคอ่านเพราะ จะได้รู้ว่าตำนานอื่นๆๆก็ได้กล่าวถึงพระแม่กาลี ในรูปแบบต่างๆๆ
แต่เราก็ทราบกันดีไม่ใช่รึค่ะว่า ประวัติและความเป็นมาของพระแม่ เป็นเช่นไร

โอม เจ มา ตากาลี
[HIGHLIGHT=#c00000][HIGHLIGHT=#ffffff]โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา [/HIGHLIGHT]
[/HIGHLIGHT]

ขออนุญาตคุณถุงแป้งนะครับ

ตำนานพระแม่กาลีในมุมมองของพรหมศาสตร์มหัศจรรย์
"เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบว่าพระแม่สัตรี...สะกดว่า สตี บางทีเรียกว่า สตีศวร
(พระแม่คายตรีปางก่อนที่จะมาจุติเป็นพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี).....พระแม่คายตรีไหนครับ???
ทรงเผาตัวตายเพื่อประท้วงท้าวทักษะผู้เป็นพ่อที่กล่าววาจาลบหลู่พระศิวะมหาเทพพระสวามี
ต่อหน้าเทพเทวีและฤษีในงานพิธี
พระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผม
ฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อน
ท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง).....องค์ที่ตัดเศียรพระพรหม คือ พระไภรพ มะใช่ปางวีรภัทร
เพราะพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีทรงมีปางที่ดุร้ายมีพฤติกรรมเสมือนเจ้าแม่กาลี
[/quote]
มหาเทวีทั้ง9นี่ หมายถึง"นวทุรคา"รึเปล่าครับ???
ผมสงสัยข้อความที่ว่า
สิ่งที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างระหว่างปางดุร้ายของมหาเทวีทั้งเก้า
กับพระแม่กาลีคือ
พระแม่กาลีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ช่างวาดหรือช่างปั้นสร้างให้แลบลิ้น
ปางดุร้ายของมหาเทวีทั้ง9 หมายความว่าไงเอ่ย???
ในบรรดา9ปาง มีปางเดียงที่ดุร้ายคือปาง"กาลราตรี"
9ปาง ได้แก่ ไศลบุตรี มหาเการี กาลราตรี พรหมจาริณี จันทรฆัณฏา กุษมาณฑา สกันทมาตา กาตยายนี สิทธิธาตรี
ชื่อ กาตยายนี ภาษาบาลีอ่านว่า กัจจายนี มาจาก กัจจายนะ


Quoteพระศิวะมหาเทพทรงพระพิโรธสุดขีดกระชากมวยผมฟาดลงกับพื้นเขาพระสุเมรุมวยผมขาดออกเป็นสองท่อนท่อนโคนกลายเป็นจอมอสูรมหาวีระภัทร์(ผู้ตัดและถือเศียรท้าวมหาพรหมธาดาด้วยมือตนเอง)

เท่าที่ทราบมา พระศิวะในภาคไภรวะ หรือไภรพ เป็นภาคที่ตัดเศียรที่ห้าของพระพรหม ส่วนพระศิวะในภาควีรภัทรนั้น เป็นภาคที่ตัดเศียรของพระทักษะครับ
WELCOME TO HINDUMEETING

เรียน สมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ของเว็บ HinduMeeting
ขอความกรุณาทุกท่านศึกษากฎ กติกา มารยาทของเว็บด้วยนะครับ

http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1423.0

ผมตลกคำว่า"กระชากมวยผม"อะครับ^^

พระศิวะแค่ดึงปอยผมตนเองจำนวนหนึ่ง แล้วโยนไปข้างหน้า จนเกิดอสูรชื่อ"วีรภัทร"


ขอวิจารณ์นะคะ ลิ้งค์ที่คุณปลาวาฬนำมาให้ดู  ไม่ชอบเลยค่ะ

นี่จากวัดแขกมาเลียเซียหรอนี่  แล้วนั่นตัวอะไรอ่ะคะ??  สงสารอ่ะ  เราเป็นคนรักสัตว์

ถ้าร่างทรงเป็นแบบนี้ก็ไม่น่านับถือนะคะ  ไม่ใช่ว่าไม่นับถือพระแม่นะคะ

แต่ไม่อยากให้มีพิธีกรรมแบบนี้เลย  เราก็ทราบกันมาว่าพระแม่เองไม่ได้โปรดที่จะเสวยเลือดไม่ใช่หรอคะ

แต่ทำไม?????
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

มีคนเล่าว่า ในแคว้นทมิฬนาฑูก็มีพิธีบูชาเจ้าแม่กาลีแบบนี้เหมือนกัน......เขาเล่ามานะครับ

แล้วร่างทรงในศาสนาฮินดู เป็น"ความเชื่อท้องถิ่น"อินเดียใต้เท่านั้น อินเดียเหนือไม่มีร่างทรงแบบนี้ครับ

การบูชายัญคนกับเทพก็มี ไม่ได้มีแค่เจ้าแม่กาลีองค์เดียว แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)

ที่เนปาลและอินเดียเหนือก็มี ฆ่าแพะบูชายัญเทพเจ้าอะ

Quote from: Kimnei on November 15, 2009, 14:01:56
ขอวิจารณ์นะคะ ลิ้งค์ที่คุณปลาวาฬนำมาให้ดู  ไม่ชอบเลยค่ะ

นี่จากวัดแขกมาเลียเซียหรอนี่  แล้วนั่นตัวอะไรอ่ะคะ??  สงสารอ่ะ  เราเป็นคนรักสัตว์

ถ้าร่างทรงเป็นแบบนี้ก็ไม่น่านับถือนะคะ  ไม่ใช่ว่าไม่นับถือพระแม่นะคะ

แต่ไม่อยากให้มีพิธีกรรมแบบนี้เลย  เราก็ทราบกันมาว่าพระแม่เองไม่ได้โปรดที่จะเสวยเลือดไม่ใช่หรอคะ

แต่ทำไม?????

นั่นคือ"แพะ"ครับ

แล้วชาวอินเดียในมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นชาวอินเดียเชื้อสายทมิฬครับ

เฮ้อ ... จะไปห้ามเค้าก็ทำไม่ได้เน๊าะ

แต่ถ้าปรับเปลี่ยนได้นะ  จะดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

มันหดหู่ใจของคนรักสัตว์

"แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)"  อันนี้ไม่ใช่ปัจจุบันใช่มั้ยคะ  เมื่อก่อนใช่มั้ยคะ
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

ผมไม่รู้หรอกว่าสัตว์มันต้องการหรือเต็มใจหรือป่าว  แต่นี้ผลของกรรมครับ

การฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต)     
การฆ่าสัตว์ คือ การฆ่าสิ่งที่มีชีวิตให้ตายไปก่อนที่จะหมดอายุ จะเป็นการฆ่าด้วยตนเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าโดยใช้อาวุธใช้เครื่องประหาร ใช้คาถา อาคมไสยศาสตร์ หรือใช้ฤทธิ์
องค์ประกอบของอกุศลกรรมบถ ในการฆ่าสัตว์มี ๕ ประการ คือ
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามฆ่า
๕. สัตว์นั้นตายลงเพราะความพยายามนั้น
      การทำบาปที่เข้าลักษณะ ๕ ประการ ชื่อว่า เป็นการทำบาปที่ครบองค์แห่งปาณาติบาต จะเป็นสัตว์ที่เป็นอาหาร หรือ สัตว์ที่ไม่เป็นอาหาร เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็ตาม ล้วนเป็นบาปทั้งสิ้น เมื่อใกล้จะตายถ้าคิดถึงบาปที่เคยฆ่าสัตว์ไว้ บาปนั้นก็สามารถนำให้ไปเกิดใน อบายภูมิ ได้
      บาปมาก – บาปน้อย การฆ่าสัตว์ จะบาปมาก หรือ บาปน้อย นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ความพยายามในการฆ่า ถ้าใช้ความพยายามมากก็บาปมาก ใช้ความพยายามน้อยก็บาปน้อย ฆ่า สัตว์มีคุณมาก ก็บาปมาก เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ถ้าฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง ก็บาปน้อย ฆ่าสัตว์ตัวใหญ่บาปมาก ฆ่าสัตว์ตัวเล็กก็บาปน้อย ถ้าฆ่าคนที่มีคุณธรรมมาก บาปมาก ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้อย ก็บาปน้อยตามลำดับ
      
      
แสดงผลของปาณาติบาต
บาปมาก
๑.ฆ่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น
ช้าง ม้า วัว ควาย
๒.ฆ่าผู้มีคุณธรรมมาก เช่น พระสงฆ์ บิดามารดา
๓.ใช้ความพยายามในการฆ่ามาก
บาปมาก
๑.ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ลิ้น ไร
๒.ฆ่าผู้ไม่มีคุณธรรม เช่น โจร ผู้ร้าย
๓.ใช้ความพยายาม ในการฆ่าน้อย
      
ความพยายามในการฆ่า ทำได้ ๖ ประการ คือ
๑. ฆ่าด้วยตนเอง
๒. ใช้คนอื่นฆ่า
๓. ปล่อยอาวุธ ขว้าง ปา
๔. ใช้อาวุธปืน มีด ขุดหลุมพราง
๕. ใช้อาคมคุณไสยศาสตร์
๖. ใช้ฤทธิ์
ผลของบาป
การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ แล้วนั้น จัดว่าเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าผล ของการทำบาป คือการฆ่าสัตว์ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่า การให้ผลในปฏิสนธิกาล จะได้รับความทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส เพื่อชดใช้กรรม
การทำบาปที่ไม่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ บาปนั้น
จะตามให้ผลใน ปวัตติกาล คือขณะมีชีวิตอยู่ จะทำให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ ที่ไม่ดีไม่งาม ได้ประสบพบเห็นหรือได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อายุสั้น ถูกฆ่า หรือ ฆ่าตัวตาย รูปไม่งาม ไม่มีบริวาร เป็นต้น

ขอบคุณมากค่ะ คุณ Neosiris

[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

Quote from: Kimnei on November 15, 2009, 15:00:55
เฮ้อ ... จะไปห้ามเค้าก็ทำไม่ได้เน๊าะ

แต่ถ้าปรับเปลี่ยนได้นะ  จะดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

มันหดหู่ใจของคนรักสัตว์

"แม้แต่พระไภรพก็มีการบูชายัญคนเหมือนกัน(นิทานเวตาล25เรื่อง ก็กล่าวถึง)"  อันนี้ไม่ใช่ปัจจุบันใช่มั้ยคะ  เมื่อก่อนใช่มั้ยคะ
ปัจจุบันยกเลิกพิธีบุรุษเมธแล้ว

ผมไม่แน่ใจว่าการทำพิธีบุรุษเมธให้เทพองค์ใดก็แล้วแต่ มีมายาวนานถึงสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมอังกฤษรึเปล่า

แต่ที่แน่ๆ อะไรที่มัน"ป่าเถื่อน"อังกฤษสั่งห้ามทำพิธี พิธีสตีก็ด้วยครับ

----

ที่ผมอยากทราบตอนนี้คือ "พรหมศาสตร์"คือตำราอะไร ใครเขียน

ตำราพรหมศาสตร์นี้เป็นตำราที่เขียนขึ้นโดยอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์  อัจฉริยะศาสตร์อยู่ในเว็บ www.saksitsart.com เนื้อหาที่เขียนมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตำนานเทพเจ้า ที่เว็บนี้สามารถกระทู้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆที่สนใจได้ 

ลองคิดในอีแง่มุนนะครับ


ว่าทำไมพิธีนั้นถึงมีมาตั้งแต่โบราณ  และสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จนอังกฤษซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างจากคนอินเดียสั่งยกเลิกไป  จะว่าคนอินเดียโบราณ  โง่  ก็ไม่ใช่ เพราะมีอารยธรรมหลายอย่างที่น่าชื่นชม แต่ทำไมถึงมีประเพณีแบบนั้นมาตั้งแต่โบราณ  และก็ที่สงสัย อีกก็คือ ประเพณีลักษณะนี้ใช้กับการบูชาเทพกี่พระองค์  ผมว่า ไม่ทุกพระองค์แน่นอน

มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ดี