ชุมชนคนรัก...ฮินดู (HINDUMEETING)

Hindu สนทนา => ชุมชนคนรัก...ฮินดู => Topic started by: กาลปุตรา on December 22, 2009, 01:40:22

Title: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: กาลปุตรา on December 22, 2009, 01:40:22
กำเนิด และ ที่มาของ เหล่าอสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส

          ถ้าพูดถึงอสูรและรากษส คนไทยหลายคนคงไม่ค่อยรู้จักกันว่าไอ้ 2 ตัวนี้น่าตาเป็นยังไง แต่ถ้าพูดว่ายักษ์คนไทยจะรู้ทันที่ว่าเป็นพวกที่มีร่างกายใหญ่โตเขี้ยวโง้งยืนเฝ้าวัดวาอาราม แต่รากษส กับ อสูรนั้นก็ปรากฏให้เห็นกันในวรรณกรรมไทยอยู่บ่อยๆ แต่คนไทยก็รวมเรียกว่ายักษ์โดยไม่รู้ว่าความจริง บางครั้งก็นำมาเขียนปนกันมัวไปหมดโดยไม่แยกสายพันธุ์ ซึ่งความจริงแล้วอสูร ยักษ์ รากษสนั้นเป็นคนละสายพันธุ์กัน
          ขอเริ่มที่อสูร (असुर - ASURA) ก่อนก็แล้วกัน อสูรนั้นถือว่าเป็นผู้ครอบครองสวรรค์เป็นพวกแรก โดยอสูรนั้นถือกำเนิดมาจากพระกัศยปประชาบดี โดยแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ มีแม่คนละคนกัน
1. พวกไทตยะ หรือ แทตย์ (दैत्‍य - DAITYA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทิติ ไทตยะนั้นเป็นอสูรที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนกับพวกยักษ์ไตตันของชาวกรีกโบราณ หน้าตาก็เหมือนพวกเทวดานั่นแหละครับ แถมมีฤทธิ์มีเดชไม่แพ้พวกเทวดาด้วย
          ไทตยะที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ หิรัณยักษะ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นหมูป่า, หิรัณยกศิปุ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์, ท้าวพลี ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ยวามน, ไวโรจิ หรือ พาณะ โอรสของท้าวพลี เป็นอสูรมีพันแขนในรามายณะ และ ชลันธร ราชาอสูรเผ่าเทติยะ ผู้เคยแย่งชิงสวรรค์จากพระอินทร์กลับมาครอบครองได้
2. พวกทานวะ หรือ ทานพ (दानव
- DANAVA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทนุ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไทตยะอย่างแยกกันไม่ออก คือ มีลักษณะนิสัยคล้ายกันจนแยกไม่ออก กลุ่มนี้มักเข้าร่วมกับอสูรไทตยะทำสงครามกับพวกเทพมาโดยตลอด แบบว่าคนละแม่แต่พ่อเดียวกันคลอดคลานตามกันมาติดๆ

          ทานพที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ วฤตาสูร ซึ่งถูกพระอินทร์สังหารด้วยวัชระ, มัยทานพ ผู้เป็นสถาปนิกผู้ก่อสร้างกรุงอินทรปรัสถ์ ในมหาภารตยุทธ และราหูนั่นเอง
          ในสมัยพระเวทและในคัมภีร์ฤคเวทนั้นถือว่าอสูรนั้นเป็นเทพชั้นสูงจำพวกหนึ่ง โดยคำว่าอสูรนั้นมาจากรากศัพท์ว่า “อสุ” ซึ่งแปลว่า “ลมหายใจ” ได้มาเพราะอะไร ก็ได้มาเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องหายใจชนิดแรกอันปรากฏขึ้นในโลกนั่นเอง
          ในยุคพระเวทพระอินทร์ พระวรุณ พระอัคนี พระมารุต พระมิตรา และพวกพ้อง ก็ถูกจัดไว้ในพวกอสูรด้วยเช่นกัน แต่เกิดจากคนละแม่ คือ เกิดจากนางอทิติ ซึ่งถือว่าเกิดมาหลังพวกไทตยะกับพวกทานพ จึงไม่ค่อยลงรอยกับ 2 กลุ่มแรก แล้วต่อมาก็มาแยกมาแบ่งขั่วกันอย่างเด็ดขาดในยุคหลัง เป็นฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร กันอย่างเห็นได้ชัด
          โดยกลุ่มของพระอินทร์ที่มีฐานะเป็นน้อง และ พวกพ้อง อาทิ พระมารุต พระอัคนี พระโสม พระวิษณุ (สมันพระเวทเก่ายังเป็นเทพชั้นรอง ถือเป็น 1 ใน 12 สุริยเทพ) ได้จับพวกไทตยะกับพวกทานพที่มีฐานะเป็นพี่โยนลงจากสวรรค์แล้วเข้ายึดทำเนียบสวรรค์เป็นที่ทำการของ 5 แกนนำและเหล่าพันธมิตรแทน พวกเหล่าอสูรที่เป็นเจ้าของทำเนียบเก่าตราบเท่าทุกวันนี้
          ฝ่ายอสูรเมื่อถูกโยนลงจากสวรรค์ก็ใช่ว่าจะไม่มีกำลังอีก มีบางครั้งก็รวบรวมแกนนำจัดทัพเข้าบุกทวงทำเนียบสวรรค์ จนเกิดเทวาสุรสงครามให้พบเห็นได้บ่อยครั้งในวรรณกรรมของชาวภารตะ
          คราวนี้มาดูกลุ่มของยักษ์กับรากษสกันบ้าง ว่ามีกำเนิดเป็นมาอย่างไร มีหน้าตาเป็นเช่นไร กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จัดว่าส่วนใหญ่มักจะชอบเป็นศัตรูกับเทวดา โดยเข้าร่วมเป็นพวกต่อต้านเทวดากับฝ่ายของอสูรเสมอ นี่เองจึงเป็นเหตุให้เราแยกไม่ค่อยออกระหว่างอสูรและกลุ่มหลังนี้
          ยักษ์และรากษสนั้นถือกำเนิดมาจากสายของพรหมฤษีปุลสัตยะ โดยฤษีปุลสัตยะนั้นมีบุตรชายตนหนึ่งนามว่า “เทพฤษีวิศราวัส หรือ เปาลัสตยะ (ในรามเกียรติ์)” อันเกิดจากนางอิฑาวิฑาผู้เป็นธิดาของฤษีตฤณวินทุ
          เมื่อเทพฤษีวิศราวัสเติบโตเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานกับนางวรรณีผู้เป็นธิดาของพรหมฤษีภรัทวาช แล้วต่อมาก็ให้กำเนิดลูกตนหนึ่ง ตอนแรกคลอดออกมาก็ได้แต่ร้องว่า “หิว” จึงตั้งชื่อให้ว่า “ยักษะ (यक्ष - YAKSHA)”
          ซึ่งในรากศัพท์จะหมายถึงหิวโหยนั่นเอง ยักษ์ตนนี้จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ไวศรวัณ หรือ เวสสุวัณ หรือ กุเวร หรือ กุเปรัน นั่นเอง คราวนี้คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่ายักษ์ตนนี้คือใคร และยังมีน้องๆ ตามมาอีกมากมาย
          ต่อมาพวกยักษ์ก็ได้รับมอบหน้าที่จากพระพรหมให้ไปคอยคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ป่าเขาและทรัพย์ที่มีอยู่ในโลกโดยมีท้าวกุเวรของเราเป็นราชาผู้ปกครองสายพันธุ์นี้ ซึ่งก็มีแตกวงศ์วานออกไปอีกมากมายมีทั้งดีและร้าย พวกดีก็จะไปเข้ากับเหล่าเทวดา ส่วนพวกร้ายก็จะไปเข้ากับพวกอสูรเจ้าของทำเนียบเก่า
          คราวนี้มาถึงกลุ่มรากษส (राक्षस - RAKSHASA) กันบ้าง กลุ่มนี้ก็มีบิดาคนเดียวกับกลุ่มยักษ์ แต่มีแม่คนละคนกัน โดยกลุ่มนี้มีแม่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าอสูรนามว่า
“ไกกาสี” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “นางรัชฏา” ในรามเกียรติ์นั่นเอง ด้วยความที่เหล่าอสูรถูกเหล่าพันธมิตรเทวดาตามเช็ดตามล้างอยู่บ่อยทำให้เสียเครดิตไป เกือบสิ้นสายพันธุ์
          ท้าวสุมาลีจอมอสูรจึงอยากที่จะให้มีลูกหลานที่เป็นนอมินี มาสืบทายาทอสูรสายพันธุ์ใหม่เพื่อมาทวงอำนาจทวงบัลลังก์แทนตน จึงได้ส่งลูกสาวของตนไปเป็นเมียน้อยของเทพฤษีวิศราวัส

          โดยให้นางไกกาสีไปขอให้เทพฤษีวิศราวัสมีบุตรกับตนด้วยนางต้องทำตามที่บิดาสั่ง แต่เวลาที่นางไปขอร้องแล้วได้รับการยอมรับนั้นเป็นฤกษ์ยามที่อัปมงคล (ตามตำนานว่าเป็นฤกษ์ที่พระจันทร์เคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในเพชณฆาฏฤกษ์)
          เทพฤษีวิศราวัสกล่าวทำนายว่าลูกของนางที่จะเกิดมานั้นจะเกิมมาเป็นพวกมารชั่วร้าย นางตกใจจึงขอร้องเทพฤษีว่า ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ขอให้นางมีบุตรที่เป็นคนดีไว้สักคน เทพฤษีจึงให้พรแก่นาง
ลูกของนางที่คลอดออกมาคนแรกนั่นก็คือ ทศกัณฐ์ หรือ ราวณะ ที่แปลว่า
“ร้องโหยหวน” นั่นเอง แล้วราวณะมันร้องว่าอะไร มันก็ร้องว่ากระหายนั่นเอง แล้วเกิดน้องชายชื่อกุมภกรรณกับน้องสาวชื่อศุรปนขา และพิเภกตามมาอีก ซึ่งพิเภพนั้นก็คือลูกคนที่ได้รับพรของผู้เป็นบิดาว่าจะเติบโตมาเป็นคนมีศีลมีธรรมนั่นเอง
          ต่อมาพระหรหมจึงทรงจัดหาที่บนโลกให้อยู่เหมือนดั่งพวกยักษ์ โดยพิจารณาว่าเมื่อแรกเกิดนั้นพวกนี้ร้องว่า
“กระหาย” เลยให้ไปคอยคุ้มครองปกป้องแหล่งน้ำต่างบนโลก ทั้งบนเกาะ ป่าชายน้ำ ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ และป่าชื้นนั่นเอง ทศกัณฐ์เลยไปใช้ชีวิตใกล้น้ำอยู่บนเกาะลงกานั่นเอง
          โดยพวกนี้ชอบกินเนื้อสดๆ ซากศพ และมีนิสัยแปลกๆ อยู่อย่าง คือ ชอบรบกวนพวกพราหมณ์ที่กำลังประกอบพิธี เนื่องด้วยพวกนี้ไม่ชอบฟังเสียงสวด
          แล้วคำว่า “รากษส” นั้นมาจากไหน ก็ได้มาจากการที่พระพรหมทรงมอบหน้าที่ให้คอยรักษาปกป้องแหล่งน้ำและป่าชื้นนั่นเอง
          เพราะคำว่า “รากษส (ราก - สด)” นั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า “รักษะ” ซึ่งก็คือการรักษาปกป้องนั่นเอง บางตัวที่อาศัยอยู่ในน้ำเราก็จะเรียกกันว่า พวกผีเสื้อน้ำก็มี
          สรุปโดยรวมพวกอสูร ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาที่ต่างกัน มีนิสัยทั้งดีและเลว คละเคล้ากันจนบางครั้งแทบแยกกันไม่ออกว่าพวกไหนเป็นเผ่าไหนกันแน่ แถมยังแปลงเป็นนู้นเป็นนี่ได้อีกมากมาย คนไทยเราเลยเรียกรวมพวกนี้ว่า
“ยักษ์” คำเดียวจบ
          ที่ผมเอามาเล่านี่ไม่ได้นำมาเล่าเพราะอยากให้ท่านผู้อ่านแยกว่าตัวไหนมาจากสายพันธุ์ไหนเป็นนอมินีใคร เพราะแยกยากมากโดยเฉพาะพวกรุ่นหลังๆ ผสมข้ามพันธุ์กันเยอะเป็นพันธุ์ทางหาพันธุ์แท้ไม่เจอกันแล้ว ที่นำมาเล่าก็เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านรู้ที่มาที่ไปแห่งสายพันธุ์ที่แท้ว่าพวก ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาอย่างไร

ที่มาจาก : นิตยสารโหรามหาเวทย์ ฉบับเดือน พ.ย. 2551 คอลัมน์ เทพปกรณัม โดยงานเขียนของผม “กาลปุตรา”


Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: พิษประจิม on December 22, 2009, 06:33:29
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ฤๅษีปุลัสตยะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวจตุรพักตร์
วิศรวะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวลัสเตียน มาจาก เปาลัสตยัน
ท้าวสุมาลี ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวสหมลิวัน น้องคือท้าวมาลี พี่คือท้าวมาลีวันหรือมัลยวัน รามเกียรติ์เรียกว่า ท้าวมาลีวราช
พิเภก-วิภีษณะ
สำมะนักขา-ศูรปนขา

......

ส่วนท้าวกุเวร

หลักฐานทางโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา พบรูปท้าวกุเวรแทบทุกที่ ทวารวดีก็พบ ให้ความร่ำรวยแก่ผู้บูชาสถูปเจดีย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และแปลกที่ว่าส่วนมากพบรูปท้าวกุเวร ปางมหาราชลีลา ในพุทธสถาน เช่น บุโรพุทโธ พระประโทนเจดีย์สมัยทวารวดี

แม้แต่ท่านั่งของจตุคามฯเอง คาดว่าเอารูปมาจากท้าวกุเวรเช่นกัน
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: เทวาเหนือเกล้า on December 22, 2009, 14:04:43
ขอบพระคุณท่านกาลปุตราค่ะ ความรู้ท่านแน่นจริง ๆ ค่ะ สงสัยต้องฝากตัวเป็นศิษย์แล้วค่ะ

แต่ก็ยังอยากจะอ่านเพิ่มเติมในส่วนของเนื้อเรื่องของภารตยุทธ์ และ รามายณะค่ะท่าน

กำลังคิดว่าถ้าหาเป็นลิงค์ไม่ได้ ก็คิดว่าจะซื้อเป็นหนังสือ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีขายหรือเปล่า

ว่าแต่ สำหรับมหิษาสูร เนี่ยท่านกาลปุตรา  นี่เป็นประเภทไหนคะท่าน

Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: กาลปุตรา on December 22, 2009, 15:27:18
กำเนิดภูต และ ปิศาจ
          ถ้าท่านผู้อ่านเคยดูภาพยนต์เรื่อง เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริงส์ หรือ ปีเตอร์แพน หรือ ภาพยนต์ที่เกี่ยวกับเทพและภูตของฝรั่งกันแล้ว คงจะนึกถึงภาพของภูตประเภทหนึ่งปรากฏให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ เป็นพวกที่มีหูแหลมๆ บ้างก็มีปีก บ้างก็ตัวเล็กๆ ซึ่งนั่นเองก็คือภูตตามจินตนาการของผู้คนในโลกตะวันตก
          คราวนี้เรามาดูภูตตามความเชื่อของผู้คนทางซีกโลกตะวันออกกันบ้างดีกว่า โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแม่แบบของจินตนาการนี้ก็ต้องยกให้ประเทศอินเดียเขา เพราะถ้าจะกล่าวถึงเรื่องภูตแล้วอินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีการกล่าวขานถึงภูตกันเยอะมาก และหลายๆ ประเทศก็รับเอาความเชื่อในเรื่องภูตนี้มาจากอินเดียด้วย รวมทั้งประเทศไทยเราก็รับเอาจินตนาการในเรื่องภูตมาใช้กันในวรรณคดีไทยอยู่หลายเรื่อง
          ภูตนั้นถ้าถามคนไทยทั่วไปแล้วว่าหมายถึงอะไร  ก็คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าหมายถึง ผีสาง นั่นเองอันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มักจะมีสองด้านเสมอ คือ ทั้งด้านดีและด้านร้าย ดังนั้นคำว่า “ภูต (भूत)
” จึงมีความหมายตามรากศัพท์แล้วจะหมายถึง การปรากฏ, ความจริง, การเกิด
          ดังนั้นในจินตนาการของชาวอินเดียภูตจะถือว่า เป็นอมนุษย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีทั้งที่เป็นเทวดา, สัตว์, กึ่งคนกึ่งสัตว์, ผี, สาง เมื่อทราบดังนี้แล้วเราก็มาดูกันต่อดีกว่าว่าภูตตามความเชื่อของชาวอินเดียนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร
          ภูต ตามเรื่องเล่าในวรรณกรรมของชาวอินเดีย กล่าวว่า ถือกำเนิดมาจากพระกัศยปะประชาบดี (ผู้เป็นบิดาแห่ง อสูร เทวดา นาค ครุฑ) กับนางโกรธา โดยชื่อก็บอกตรงตัวแปลว่า นางผู้ที่มีอารมณ์ขุ่นเคือง หรือ โมโหนั่นเอง
          ภูตนั้นถือกำเนิดมาจากมารดาที่ขี้โมโห จึงทำให้ภูตนั้นมีนิสัยขี้หงุดหงิดดุร้าย ฉุนเฉียวง่าย เดาอารมณ์ไม่ถูก ตามตำนานกล่าวว่าพวกภูตนั้นชอบกินเนื้อสดๆ มีทั้งดีทั้งเลวเหมือนคนเรานั่นแหละ ลักษณะของภูตนั้นก็จะมีหลายรูปแบบทั้งที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ แบบกึ่งคนกึ่งสัตว์ แบบรากษส แบบภูตผี เป็นต้น
          พวกภูตที่ดีส่วนมากก็จะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะนั้นได้รับฉายาว่าภูเตศวร ซึ่งหมายถึงผู้เป็นใหญ่ในหมู่ภูต ส่วนพวกที่ไม่ดีก็จะอาศัยอยู่ตามป่า ตามเขา ตามป่าช้า พวกนี้จะคอยทำร้ายและจับกินผู้คนเป็นอาหาร ดังนั้นเราจึงเรียกภูตที่ไม่ดีนี้ว่าเป็นพวกผีสาง
          อีกข้อหนึ่งที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังกัน เพราะอมนุษย์ 2 ตระกูลนี้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นก็คือพวกคนธรรพ์ ที่เป็นนักดนตรีสวรรค์ กับพวกกินนรกินรี นั้นก็ถือว่าเป็นตระกูลพวกภูตด้วยเหมือนกัน แต่เป็นภูตฝ่ายดีหน่อยคอยรับใช้พระอินทร์ โดยให้ความบันเทิงแด่เหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ คราวนี้คงจินตนาการกันออกแล้วนะครับว่าภูตหน้าตาเป็นอย่างไร ภูตของโลกตะวันตกเขาเท่ห์เขาสวยอย่างไร ภูตของโลกตะวันออกเราก็เท่ห์ก็สวยไม่เป็นรองเลยสักนิด
          มาถึงอมนุษย์ที่ถือว่าเป็นพวกอสูรตระกูลสุดท้ายกันเลยดีกว่า นั่นก็คือพวกปิศาจ (पिशाच) ซึ่งต้องถือว่าเป็นอมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาไล่เลี่ยกับอสูรและเทวดาเลยก็ว่าได้ พวกปิศาจนี้เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับอสูรและเทวดานั่นก็คือ มีบิดาเป็นพระกัศยป มีมารดาชื่อนางโกรธาวสา หรือ นางปิศาจา ซึ่งเป็นพี่สาวของนางโกรธามารดาของภูตนั่นเอง ชื่อของนางนั้นก็แปลว่า กำลังแห่งความโกรธ หรือ อำนาจแห่งการทำลายล้างด้วยอารมณ์อันขุ่นเคืองนั่นเอง ขนาดชื่อมารดายังน่ากลัวขนาดนี้แล้วลูกที่ออกมาจะน่ากลัวขนาดไหน
          ปิศาจนั้นถือว่าเป็นอมนุษย์ชั้นต่ำประเภทผีสางเลยก็ว่าได้ เพราะพวกนี้ดุร้ายมาก เรียกได้ว่าดุร้ายเสียยิ่งกว่าพวกตระกูลภูตเสียอีก พวกนี้มีรูปลักษณ์มากมาย อาทิเป็นรูปวิญญาณ, เวตาล, ครึ่งคนครึ่งสัตว์หน้าตาน่ากลัวน่าขยะแขยง, ผีป่า ฯลฯ
          พวกปิศาจจะชอบกินเนื้อสดๆ และซากเน่าเหม็นเป็นอาหาร มักอาศัยอยู่ในป่ารกทึบไม่ค่อยมีแสง ตามป่าช้า พวกนี้ชอบเข้าสิงในร่างของคนและสัตว์เพื่อกัดกินร่างนั้น ชอบก่อกวนหลอกหลอนคนอยู่เป็นประจำ
          แต่ก็มีพวกปิศาจที่ดีอยู่เช่นกัน โดยพวกที่ดีมักจะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะได้รับฉายาว่า ปิศาจบดี พวกนี้จะมีศีลธรรมชอบบำเพ็ญตบะ แต่ด้วยสันดานเดิมก็ยังมีความโกรธที่รุนแรงติดอยู่ไม่คลาย ยามใดที่พระศิวะกริ้วหรืออกทำศึก พวกปิศาจกลุ่มนี้จะเข้าร่วมกองทัพของพระศิวะเสมอ โดยจะเป็นทัพหน้าบุกทะลวงให้แด่พระศิวะเสมอ
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: กาลปุตรา on December 22, 2009, 15:39:42
มหิษาสูร ตามเรื่องไม่ได้กล่าวว่าจะมาจากสายพันธุ์ใด แต่ถ้าวิเคราะห์จากเรื่องราวแล้วน่าจะเป็นพวกรากษส เพราะ

1. รากษส จะมีลักษณะของมารที่บางครั้งมีเศียรเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือ สัตว์ประหลาดด้วย ถ้ามีฤทธิ์มากก็จะมีรูปร่างเหมือนเทพหรือมนุษย์ แต่แน่ๆ พวกนี้มักจะชอบอยู่ตามป่าเขา หรือ ดินแดนใกล้น้ำ

2. ไม่น่าใช้ตระกูลยักษ์ เพราะ ถ้าเป็นตระกูลยักษ์ มักไม่ดุร้ายขนาดนั้น เพราะ จะมีท้าวกุเวรคอยควบคุม อีกทั้งมันเป็นถึงหัวหน้าอสูรซึ่งในสายยักษ์ ไม่ค่อยมีราชาแห่งยักษ์มากสายพันธุ์นัก ส่วนมากจะทำหน้าที่รักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นตระกูลรากษสมากกว่า

3. ไม่น่าจะเป็นตระกูลไทตยะ หรือ ทานพ เพราะ ตระกูลนี้ถือว่าเป็นอสูรชั้นสูง จะมีรูปร่างและรัศมีเฉกเช่นเดียวกับเหล่าเทพเจ้า และจะมีรูปเหมือนเทพเจ้า

ดังนั้น มหิงษาสูรน่าจะเป็นเผ่าพงศ์ของตระกูลรากษสมากกว่านะครับ ผิดถูกอย่างไรต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: ศรีมหามารตี on December 22, 2009, 16:03:43
 


               ส่วนตัวแล้วดิชั้นปลื้มพี่ออส กาลปุตรามากคะ ทั้งเก่ง นิสัยดี แล้วรู้ลึกรู้จริง  นับถือจริงๆค่ะ  แอบปลื้มอยู่  เก่งจริงคะ ดิชั้นเอาหัวเป็นประกัน  55555   เพราะติดตามผลงานปกรณัมปรัมปราแกมานานแล้วด้วย อิอิ
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: เจ้าชายรองเท้าแตะ on December 22, 2009, 17:59:19
ขอบคุณ คุณพี่ออส กาลปุตรา มากมายครับ

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ

ความรู้ที่ไม่สิ้นสุด

ผมประทับใจและสะดุด มากกับ "ความอยาก"

ที่คุณพี่ออส เขียนเป็นลายเซ็นไว้

อยากบอกว่ามันโดน โครตๆ

ความอยาก กับ กิเลส เนี๊ยะ มันตัวเดียวกันใช่ไม๊ครับ

~หุหุ

[HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#ffff00][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: โหราน้อย on December 22, 2009, 18:34:02
ขอบคุณท่านกาลปุตรามากๆครับสำหรับเนื้อหาสาระดีๆ
Title: ตอบ: กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส
Post by: เทวาเหนือเกล้า on December 22, 2009, 23:46:03
ขอบคุณมากค่ะ ท่านกาลปุตรา สำหรับความรู้ที่ได้มาแบ่งปันค่ะ