Loader

พระสวามีอัยยัพปา

Started by กาลิทัส, January 28, 2009, 09:26:30

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

ความเป็นของพระสวามีอัยยัพปาครับ
พระราชาราชศรีกาลา ทรงเป็นพระราชาที่เปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพ และความกล้าหาญ ทำให้พสกนิการอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขและถือเป็นยุคทองแห่งราชอาณาจักร แต่อย่างไรก็ตามตัวของพระราชาก็ยังทรงกลุ้มพระทัยเนื่องจากไม่มีทายาทสืบราชบัลลังค์ ในทุกวันพระองค์จึงทรงไปขอพรจากพระศิวะเทพเพื่อให้ประทานบุตรให้



อีกด้านหนึ่งอสูรมหิงสาสุรัน บุตรแห่งรัมบัน เข้าทำพิธีทรมานตนเองอย่างหนัก จนกระทั่งร้อนไปถึงองค์พรหมเทพ จนกระทั่งมาปรากฏพระองค์เบื้องหน้าอสูร และให้พรแก่อสูรนั้น โดยพรข้อนั้นคือ ขอไม่ให้มนุษย์ใดในโลกสามารถทำร้ายและฆ่าตนได้ เมื่อได้รับพรแล้ว มหิงสาสุรัน ก็เริ่มนำกำลังทัพเข้ารุกราน และฆ่าคนบนโลกอย่างสยดสยอง ทำให้คนทั้งหลายทั้งโกรธทั้งกลัวต่างพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง



เหล่าเทวดาเห็นถึงความร้ายกาจของมหิงสาสุรัน จึงได้ทูลขอให้พระแม่จันธิกาช่วยปราม พระแม่ได้พยายามพูดให้มหิสาสุรันลดความอำมหิตลงโดยทรงบอกให้นำพรที่ได้จากพระพรหมไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร แต่มหิงสาสุรันไม่ฟัง ยังคงฆ่าคนต่อไป จนในท้ายที่สุดพระแม่จันธิกาจบชีวิตมหิงสาสุรันลง



มหิงสี บุตรตรีแห่งคารัม ซึ่งเป็นพี่ชายของรัมบัน เห็นลูกพี่ลูกน้องตนถูกเหล่าเทวดาฆ่าตาย ด้วยความพยาบาทนางอสูรจึงประกอบพิธีทรมานตนเพื่อขอพรแก่พระพรหม จนท้ายที่สุดก็ได้รับพรจากพระพรหม องค์พรหมเทพเกรงว่าจะเหมือนครั้งก่อนจึงให้เงื่อนไขว่า เจ้าจะขอพรอันใดก็ได้ ยกเว้นเสียแต่ขอพรให้มีชีวิตอมตะ มหิงสีจึงขอพระพรหมว่า ขอให้ทั้งสามโลกไม่มีผู้ใดฆ่านางได้ยกเว้นเสียแต่บุตรอันเกิดจากองค์วิษณุ และองค์ศิวะเทพเท่านั้น เมื่อได้พรนางมหิงสีนำกำลังเข้าบุกเทวโลกและโลกมนุษย์ทันที



ด้วยการที่เหล่าเทวาทั้งหลายได้หลบหนีไปคนละทิศทางนั้น ได้บุกรุกไปยังอาศรมของฤาษีท่านหนึง ฤาษีนั้นโกรธที่ถูกบุกรุกเลยสาปแช่ง เหล่าเทวดากลัวต่อคำสาปแช่งนั้น จึงได้ไปขอร้องให้องค์วิษณุเทพช่วย มหาวิษณุกล่าวว่าการที่จะทำให้คำสาปนั้นสูญสลายไปก็มีอยู่แต่ของสิ่งนั้นต้องไปนำมาจากเทวโลก แต่ตอนนี้มหิงสีได้ครอบครองอยู่ ด้วยความต้องการช่วยเหลือเหล่าเทวา พระองค์จึงนิมิตรกายเป็นสตรีเพศ นามว่า โมหิณี เข้าไปยังเมืองของมหิงสี แต่ตอนกลับองค์ศิวะเทพทรงทอดพระเนตรเห็นองค์วิษณุเทพที่อยู่ในรูปของนางโมหิณีเข้า จึงเกิดพอพระทัย และให้กำเนิดบุตรขึ้นมา นามว่า ธรรมะศรัทธา เมื่อธรรมะศรัทธาเจริญวัยขึ้น องค์ศิวะเทพพอพระทัยในการขอพรต่อพระองค์ของพระราชาราชศรีกาลา จึงสั่งให้ ธรรมะศรัทธาลงมาจุติยังมนุษย์โลก และการจุตินี้เองคือ องค์สวามีอัยยัพปา



วันหนึ่งพระราชาราชศรีกาลา เสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์แถบลุ่มแม่น้ำ Pampa เมื่อพระองค์ทรงเสร็จจากการล่าสัตว์จึงได้สั่งให้เหล่าเสนาสร้างเพิงที่พักในป่านั้น ขณะนั้นเองพระองค์ทรงได้ยินเสียงเด็กร้อง จึงเสด็จไปดูรอบๆลุ่มน้ำ และได้เห็นเด็กชายผู้งดงามและดูมีพลังกำลังส่งเสียงร้องพร้อมไปกับการเตะเท้า พระองค์ทรงครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดีกับเด็กทารกผู้นี้ ขณะที่พระองค์กำลังทรงคิดอยู่นั้น ก็มีมุนีท่านหนึ่งปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพระองค์ และกล่าวว่า "พระองค์ไม่ต้องกลัวไปหรอก ขอให้พระองค์นำเด็กผู้นี้กลับไปยังพระนครเถิด เลี้ยงดูให้ดี เด็กน้อยผู้นี้จะนำความเจริญ ความรุ่งเรื่องมาสู่พระนครของพระองค์ และให้พระนามแก่ทารกน้อยนี้ว่า มานิกันดัน เมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงดูเด็กน้อยนี้จนอายุครบสิบสองปี พระองค์จะทราบถึงความเป็นมาทั้งหมดของเด็กทารกผู้นี้เอง" กล่าวเสร็จมุนีก็หายตัวไป



พระราชาราชศรีกาลาดีพระทัยมาก พระองค์นำทารกน้อยกลับเข้าวังพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พระมเหสีฟัง เมื่อได้ฟังทรงดีพระทัยเป็นอย่างมากที่พรที่ตนขอแก่พระศิวะได้ผล เหล่าพสกนิกรล้วนดีใจที่บ้านเมืองจะมีกษัตริย์สืบต่อราชบัลลังค์ แต่อย่างไรก็ตาม ไดวัลย์ ผู้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองผู้หมายจะสืบราชบัลลังค์และจะทำพิธีราชาพิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระราชศรีกาลากังวลถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก



เมื่อราชาราชศรีกาลารับมานิกันดันกลับเข้าสู่นคร ทุกสิ่งทุกอย่างในพระนครจากที่ดีอยู่แล้วกลับดีขึ้นเรื่อยๆ เมืองเจริญขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้าน มานิกันดัน ได้รับการสอนเกี่ยวกับยุทธวิธีทำสงคราม และศาสตราต่างๆ จากคุรุทั้งหลาย จนความฉลาดหลักแหลมจนผิดมนุษย์ธรรมดา สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าคุรุเป็นอย่างยิ่ง จนสุดท้ายก็หมดสิ้นความรู้ของคุรุ มานิกันดัน จึงถามเหล่าคุรุทั้งหลายให้แนะนำคุรุที่จะสอนอีก เพื่อจะฝากตัวเป็นศิษย์ เหล่าคุรุจึงบอกให้มานิกันดัน ไปหาคุรุ Dakshina เมื่อได้ฟังดังนั้น มานิกันดันจึงไปหาท่านคุรุเพื่อขอพรและฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อได้เรียนรู้ศิลปะศาสตร์ด้านต่างๆ จากคุรุผู้นี้ เหมือนเช่นผู้ใฝ่รู้ทั่วไป แต่เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนคือ คุรุท่านนี้มีบุตรชายคนนึงซึ่งเป็นใบพูดไม่ได้ ดังนั้นมานิกันดันเรียกบุตรแห่งคุรุออกมาเอามือวางบนศีรษะ จากนั้นบุตรแห่งคุรุกลับหายจากอาการเป็นใบ้ สามารถพูดได้เป็นปกติทันที แต่มานิกันดันกำชับกับคุรุว่า อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ขอให้เป็นความลับ


ขณะเดียวกันกับ มเหสีของราชาราชศรีกาลาทรงให้กำเนิดทารกเพศชาย และให้พระนามว่า ราชาราชันย์ แต่พระราชาทรงต้องการให้มานิกันดันขึ้นครองราชสมบัติโดยอ้างถึงความเหมาะสมว่าเป็นผู้พี่ รวมไปถึงพระอัจฉริยะภาพของมานิกันดันก็มีมากกว่า จึงสั่งให้ ไดวัลย์ จัดเตรียมทำพิธีราชาภิเษกให้กับมานิกันดันขึ้น ไดวัลย์ยิ่งจงเกลียดจงชังมานิกันดันมากขึ้น เมื่อเห็นบัลลังย์ที่ตนเองฟูมฟักขึ้นมาจะตกเป็นของคนอื่น จึงหาวิธีทำลายมานิกันดันทุกวิถีทาง เช่น การผสมยาพิษลงไปในอาหาร แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้ทำให้มานิกันดันเป็นอะไรได้จึงวางแผนโดยการไปหลอกมเหสีว่า ทำไมเลยต้องให้ไอ้เด็กที่มาจากป่าไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาสืนสันตติวงศ์ จริงๆแล้วบัลลังค์นี้น่าจะเป็นของบุตรที่เกิดจากพระนางเองมากกว่าถึงจะถูก พระนางเห็นด้วยจึงร่วมมือกับ ไดวัลย์ คิดอุบายว่าจะทำทีเป็นปวดหัวและปวดท้องต้องหาของวิเศษมารักษาถึงจะหายเมื่อทั้งสองคิดอุบายเสร็จ ก็เริ่มทำตามแผนที่คิดขึ้น



มเหสีสั่งให้ไดวัลย์ ร้องตะโกนดังๆ ให้คนช่วยว่าพระนางปวดหัวและปวดท้องอย่างมาก พระราชาเมื่อทราบข่าวจึงสั่งให้ไดวัลย์ไปหาหมอที่ดีที่สุดมารักษา แต่หมอได้รับสินบนจากไดวัลย์และมเหสี จึงมาตรวจพระอาการและบอกไปว่า พระนางเป็นโรคร้าย สิ่งที่จะมารักษาอาการของพระนางได้มีอย่างเดียวคือ น้ำนมจากแม่เสือ พระราชาส่งคนเข้าป่าเพื่อนำน้ำนมเสือหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีผู้ใดนำมาได้ ราชาราชศรีกาลา เข้าใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะนำน้ำนมนั้นมาได้ แม้จะตั้งรางวัลไว้สูงเท่าใดก็ตาม



ขณะที่พระราชาทรงครุ่นคิดอยู่นั้น มานิกันดันจึงอาสาเข้าป่า และให้คำสัตย์สัญญาว่าจะนำน้ำนมเสือกลับมาให้ได้ แต่พระราชศรีกาลากล่าวว่าใกล้ถึงวันราชาภิเษกแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ยอม แต่มานิกันดันก็ยืนกรานจะเข้าป่าเพื่อหายารักษาพระมารดา((ทั้งที่รู้อยู่ตลอดว่าไม่ได้เป็นอันใด)) จนพระราชาทรงยอม



พระราชาราชศรีกาลาได้ส่งกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งไปคอยช่วยอารักขามานิกันดัน แต่ในทางกลับกัน เมื่อแม่เสือเห็นทหารกลุ่มใหญ่ก็ตกใจกลัว พวกมันจึงพากันวิ่งหนีไปหมด ส่วนทางด้านพระราชาก็คอยส่งเสบียงมาไม่ได้ขาดสาย และในระหว่างทางนั่นเองที่มานิกันดันได้พบกับมหิงสี และได้ทำการต่อสู้กัน มานิกันดันได้โอกาสจึงจับมหิงสีโยนลงพื้นและตกอยู่บริเวณลุ่มน้ำ Azhutha จากนั้นก็ได้เข้าปะทะกันอีกครั้ง จนท้ายที่สุดมหิงสีก็สิ้นชีพลง พร้อมกับคำสาปที่นางโดนสาปไว้ ได้ปลดปล่อยนางไปพร้อมกับความตาย นางคืนรูปเป็นหญิงสาว เพราะรู้แล้วว่าคนที่สามารถฆ่ามหิงสีได้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือบุตรแห่งศิวะเทพและวิษณุเทพ นางจึงขอพระแก่มานิกันดันว่าขอให้ได้รับโมกษะในท้ายที่สุด



หลังจากทำการฆ่ามหิงสีแล้ว มานิกันดันก็เดินทางเข้าสู่ป่าเพื่อหาน้ำนมเสือต่อไป เมื่อพระศิวะเห็นดังนั้น จึงดำริว่ามานิกันดันเป็นคนกตัญญูกำลังจะทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นมารดา พระศิวะจึงบอกมานิกันดันให้กลับคืนพระราชวังไปหาพระราชาราชศรีกาลาพร้อมกับคณะเทวดา ที่นำด้วย ท่านเดวันดรัน ซึ่งจะอยู่ในรูปของเสือ ให้ขี่หลังกลับวัง ส่วนเทวดาหญิงชายอื่นก็ให้แปลงเป็นเสือคอยอารักขามานิกันดันเข้าสู่วัง



เมื่อมานิกันดันกับฝูงเสือเข้าสู่ในตัวเมือง ผู้คนต่างก็วิ่งแตกตื่นไปคนละทิศละทางด้วยความหวาดกลัว ไม่เว้นแม้กระทั่งสิงสาราสัตว์ต่างวิ่งกรูกันเข้าคอกอย่างไม่คิดชีวิต เวลาเดียวกันนั้นเองมุนีที่พระราชาทรงพบเมื่อครั้งเจอทารกมานิกันดันที่ในป่าก็ปรากฏตัวขึ้น และบอกถึงความเป็นมาเป็นไปของมานิกันดันให้พระราชาฟังเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทรงประหลาดใจมาก ซักพักก็ได้ยินเสียงเหล่าข้าราชบริพารต่างวิ่งหวีดร้องด้วยควมหวาดกลัว แล้วพระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นมานิกันดันประทับอยู่บนหลังเสือ มานิกันดันกล่าวกับพระราชาว่าให้คนมานำน้ำนมเสือนี้ที่มาด้วยนี้ไปให้แก่พระราชินีเถิด พระราชาเมื่อทราบชาติกำเนิดของมานิกันดันจึงทูลเชิญให้อยู่ในวังเพื่อประกอบพิธีราชาภิเษกแต่มานิกันดันกลับเข้าป่าไปกับเดวันดรันต่อไป ..

เห็นกระทู้เก่า ๆ ว่ามีประโยชน์ เลยมาดันคราบ จะได้อ่านกันคราบ
[HIGHLIGHT=#ffffff]บ้านคนจะเเต่งหิ้งพระสวยยังไงก้อยังเป็นบ้านคน จะให้บ้านคนเป็นวัดคงเป็นไปไม่ได้[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff]จงอยู่ในความพอดี ไม่เยอะไป ไม่น้อยไป กลาง ๆ พอดี ๆ อะ เเล้วจะมีความสุขกะสิ่งที่ทำ[/HIGHLIGHT]


ขอบคุณพี่ยีนส์ค่ะ สำหรับความรู้และภาพสวยๆ และขอบคุณพี่เกียร์ค่ะที่ได้ดันกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อให้ได้ศึกษาค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ