Loader

รบกวนไขข้อสงสัยและสับสนว่าศาสนาฮินดูสอนอะไรกันแน่คะ

Started by chompunut, February 24, 2010, 14:54:20

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

ครั้งแรกที่มีคนมาบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ และยอมรับผลกรรมโดยไม่ตอบโต้ นั่นคือเหตุผลที่ดิฉันต้องก้มหน้าก้มตายอมให้คนรอบข้างเอาเปรียบ โดยคิดว่ามันคือกรรม เราต้องยอมรับ แล้วคนนั้นก็บอกดิฉันอีกว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาทำร้ายจิตใจ และเอารัดเอาเปรียบ เพราะโลกปัจจุบันหากเรายิ่งถือว่าเป็นกรรมและยอมเขาก็ยิ่งได้ใจ เขาจึงแนะให้ฉันรู้จักพระแม่ทุรคา พระแม่กาลี พระแม่คือผู้มีความยุติธรรม และจะต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง และสอนให้รู้จักการขอพรกับพระองค์เพื่อให้พระองค์เมตตาประทานความเข้มแข็งและพลังใจ แต่เมื่อดิฉันได้ตั้งกระทู้การบูชาพระแม่กาลี ทำไมหลาย ๆ คนบอกว่าไม่จำเป็นมันอยู่ที่ใจ และอย่าหวังผลอะไรในการเคารพบูชา แล้วที่จริงมันคืออะไรกันแน่ เพราะมิเช่นนั้น การขอพร ก็คือการหวังผลตอบแทน สิคะ รบกวนไขความกระจ่างด้วยค่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า หลักของฮินดูคืออะไรกันแน่
[HIGHLIGHT=#ffffff]chompunut[/HIGHLIGHT]

น่าคิด น่าคิด เหอ...เหอ....เหอ....


ส่วนตัวผม ตอนนี้ ผมก็ จะขอพรต่อพระแม่ ให้พระแม่ เป็นกำลังใจให้ เป็นคนดี ตลอดไป นะ



หากการต่อสุ้ของเราเป็นไปในความถูกต้องตามครรลองของธรรมพระเจ้าก็จะทรงสถิตอยุ่กับเรา
การขอผลต่อพระองค์ไม่จำเป้นเสมอไปหลอกคัฟว่าอยากได้นู่นอยากได้นี่แล้วก็ขอๆ
แท้จริงการบูชาพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากสังสาร
การบูชาต่อพระองค์โดยไม่หวังผลตอบแทนถือเป็นสิ่งประเสริฐ
ความท้อแท้สิ่งหวังและปัจจัยต่างๆที่ทำให้เราเศร้าหมองก็จะจำเป็นต้องพึ่งพระองค์
การขอพรพระองค์สำหรับผมก็คือการขอ อาตมพลหรือกำลังทางใจอันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ดำเนินชีวิตได้อยู่ในความถูกต้อง
หากเราเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม อุทิศตนเพื่อผู้อื่น ทำความดีโดยไม่หวังผล
พระอำนาจของพระเจ้าก็จะคุ้มครองเราโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
พี่ก็อย่าลืมอุทิศบุญที่ทำมาแต่ละวันโดยบางครั่งเราอาจจะทำบุญนั้นโดยไม่รุ้ตัวทั่งทาง กาย วาจา ใจ
อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ บรรพชน รวมถึงคนรอบข้างด้วยนะคัฟ
เรามีเมตตาจิตเราก็จะได้รับความคุ้มครองจากเทพเทวา

ความคิดผมจะถูกต้องฤไม่ให้ผู้รุ้มาชี้แนะ
ด้วยนะคัฟ
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

"พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ และยอมรับผลกรรมโดยไม่ตอบโต้"

พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้ยอมรับกรรมโดยไม่ตอบโต้ครับ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นทุกข์ สอนให้รู้ว่าทุกข์นี้เกิดขึ้นจากสมุทัย สอนให้รู้ว่าเส้นชัยที่จะพ้นจากทุกข์นี้คือนิโรธ และสอนให้รู้ว่าทางที่จะไปยังเส้นชัยนั้นคือมรรค
พระองค์ไม่ได้สอนให้คนยอมรับผลกรรมอย่างเดียว แต่ให้ปฏิบัติกรรมดี และมรรคเพื่อพ้นจากทุกข์ด้วย
นี่คือคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาครับ

"พระแม่ทุรคา พระแม่กาลี พระแม่คือผู้มีความยุติธรรม และจะต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง และสอนให้รู้จักการขอพรกับพระองค์เพื่อให้พระองค์เมตตาประทานความเข้มแข็งและพลังใจ แต่เมื่อดิฉันได้ตั้งกระทู้การบูชาพระแม่กาลี ทำไมหลาย ๆ คนบอกว่าไม่จำเป็นมันอยู่ที่ใจ และอย่าหวังผลอะไรในการเคารพบูชา"

หลักของการบูชาเทพเจ้าทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่ความเข้มแข็งและพลังใจเท่านั้นที่ผู้บูชาจะได้รับจากพระเป็นเจ้า ผู้บูชาจะได้รับการคุ้มครองปกป้อง และสิ่งดีงามทั้งหลายย่อมถูกชักนำเข้าหาผู้ที่บูชาเอง โดยไม่ต้องคาดหวัง แต่สิ่งที่สูงสุดที่ผู้บูชาปรารถนาคือการเข้าถึงพระเป็นเจ้า และยกระดับจิตใจและจิตวิญญาณของเราเพื่อเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่ใช่เพียงผลที่ควรจะคาดหวังอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่เป็นผลดีกับจิตวิญญาณของผู้บูชาเองในที่สุดด้วยครับ   

สาธุ...

คัฟ
 
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

ผมอยากจะนำบทความเก่ามานำเสนอ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์บ้าง ยังไงเจ้าของกระทู้ลองอ่านดูนะครับ




อสูร 9 วัน
ลองภูมิ

[ไม่ได้ลงทะเบียน]
โพสต์เมื่อ: 27/09/2006-22:14 GMT+7   
[/COLOR][/FONT][/SIZE]<!-- BBCode Start -->เมื่อคืนนี้ ผมได้บูชาองค์เทพเหมือนอย่างทุกวันที่เคยกระทำมา แต่ครั้นจะลุกออกจากที่หน้าหิ้ง แว่วเสียงอันนุ่มและอบอุ่นก็แว่วมา
"ลูกแม่ ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยว่า ลูกจะละเนื้อสัตว์ให้แม่กี่วัน "

ผมเลยลุกไม่ขึ้น ได้แต่พนมมือแล้วตอบกลับไปว่า

"ยังเลยขอรับพระองค์ ผมว่าจะ จะ จะ "

เสียงอันอบอุ่นนั้นก็แว่วมาอีกว่า

" จะกี่วันก็ต้องบอกแม่นะลูก "

ผมได้แต่ตอบว่า"ครับ "

และแล้วเสียงนั้นก็สิ้นสุดลง

แต่ตัวผมลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว

จึงได้แต่นั่งมองไปยังรูปปั้นขององค์พระแม่ ผู้ทรงศักดิ์ พระผู้ยิ่งใหญ่ ยากที่มนุษย์ผู้ไหนจะทัดเทียม

ในใจขณะนั้นก็ได้แต่นั่งจ้ององค์พระแม่ และแล้วในใจก็นึกไปว่า

โอ้ มนุษย์หนอ เรานี้หลงโง่ เสียนี้กระไร เราทำไมต้องให้พระองค์ต้องมาเตือนละ ?

และแล้วผมก็นั่งสมาธิลง ปากก็พร่ำบ่นท่องพระนามของพระองค์ จนกระทั้ง จิตได้ดำดิ่งลึกลงไป จนไม่รู้ว่า ตนเองนั้นอยู่ที่ใด

และแล้วในจิตก็มองเห็นภาพสายน้ำที่ไหล ริน พลันมีเสียงในจิตว่า

" มนุษย์ควรทำตนเหมือนอย่างสายน้ำ ให้ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง จงไหลรินผ่านโขดหินน้อยใหญ่ ไหลผ่านที่สูงและที่ต่ำ ตามธรรมชาติที่กำหนด อย่าหยุดที่จะไหล เพราะหยุดไหลแล้ว ใบไม้ที่หลุดจากขั้นแห่งธรรมชาติก็จะหล่นทับถม จนน้ำนั้นเน่าเสีย จะหาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย สายน้ำบางครั้งก็ไหลเอื่อย บางครั้งก็ไหลแรง อาจจะต้องตกจากที่สูงบ้างเป็นครั้ง แต่น้ำก็ต้องเป็นน้ำต้องทำตนให้เป็นประโยชน์ เมื่อไหลผ่านแหล่งชีวิตไหนแล้ว ก็ต้องให้ประโยชน์ และจงไหลต่อไป"

ครั้นแล้วภาพแห่งสายน้ำก็ดับไป เหลือไว้แต่ความมืดมิด แต่ในความมืดมิดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งเป็นประกายเข้ามาในจิตขณะนั้นได้แต่มองดู ว่า อะไร?
และแล้วก็มีเสียงดังขึ้นในจิตอีกว่า การดำเนินชีวิต ก็เหมือนดั่งมนุษย์ที่นั่งสนเข็มอยู่ในห้องมืด เจ้าจะสนอย่างไรและยังต้องเสี่ยงต่อการที่เข็มจะทิ่มแทงมือเจ้าเอง และเจ้าจะทำอย่างไรถึงจะทำสำเร็จ ถ้าเจ้าปราศจากแสงสว่างแล้ว มันยากที่จะดำเนินต่อได้ มีมนุษย์จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้จักแสงสว่างนี้เลย แสงแห่งองค์พระแม่ พระผู้มีเมตตา พระผู้มีความการุญ เจ้ารู้มั้ยว่า 9 วัน ที่พระแม่ได้ต่อสู้อสูรนั้น พระแม่ได้ต่อสู้กับความชั่วร้ายแทนลูก ความชั่วร้ายความไม่รู้ที่สะสมอยู่ในตัวลูกๆทุกๆคน ลูกหลายคนอาจจะไม่รู้ และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักพระแม่เลย พระแม่กลับไม่เคยโกรธ ที่เขาไม่รู้จักพระแม่
แต่แม่รู้จักลูกๆทุกคน
แม่ยังรอให้ลูกทุกคนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดพระแม่ แม่ให้อภัยทุกคน และแม่ก็รักลูกทุกคนเช่นเดียวกัน

แล้วตัวลูกละ วันนี้คิดจะทำอะไรให้พระแม่หรือยัง "

แว่วเสียงในจิตก็เงียบลง ผมก็ออกจากการนั่งสมาธิ แล้วก้มลงกราบแบบไม่เคยซาบซึ่งอย่างนี้มาก่อนเลย ลงกราบแทบจะไม่อยากจะเงยขึ้นมาด้วยซ้ำ น้ำตาก็เริ่มไหลริน ด้วยความรักและศรัทธาเป็นอย่างที่สุด ไม่เคยได้รู้เลยว่า พระแม่เองท่านได้ต่อสู้สิ่งชั่วร้ายแทนเราตลอดมา
ผมจึงเอ่ย พระนามท่านออกไปดังๆว่า พระแม่จงเจริญ พระแม่จงเจริญ พระแม่จงเจริญ โอมเจมาตากี โอมเจมาตากี โอมเจมากาลี โอม ....

ผมรักพระแม่ขอรับ ....
<!-- BBCode End -->


อสูร 9 วัน ภาค 2
ลองภูมิ



โพสต์: 420

โพสต์เมื่อ: 05/09/2007-13:35 GMT+7   




[/SIZE]เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาที่ผมไม่ได้เข้าเฝ้าองค์แม่เลย แต่ในใจก็คิดว่า องค์แม่ท่านคงดูเราอยู่ตลอดเวลา ท่านคงปล่อยให้ลูกได้ใช้เวลาในการดำเนินชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป

จะว่าไปมนุษย์นี้ช่างแปลก เวลาที่ทุกข์ก็มักจะวิ่งหาพึ่งพา ในสิ่งที่ คิดว่าจะทำให้พ้นทุกข์ แต่เมื่อเวลาสุขแล้ว เราก็มักจะลืมสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และในตอนที่เรามีความสุข เราก็มักจะลืมหน้าที่บางอย่างที่เราเคยรับปากกับท่านไว้ เพียงเพื่อต้องการให้เราแค่พ้นจากความทุกข์ ในขณะที่เราทุกข์ขณะนั้น วันไหนสุขก็คิดในใจว่า องค์ท่านช่วย วันไหนทุกข์ก็บอกว่า องค์ท่านทิ้ง เอ๊ะ ..... มนุษย์มักคิดอย่างนี้จริงหรือ แทบจะชอบไม่ใช้ปัญญาในการตรึกตรองเลย
ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ตอนหนึ่ง ท่านได้กล่าวถึงเรื่องปัญญาไว้น่าสนใจเป็นอย่างมาก มีการบันทึกไว้ว่า “ปัญญานั้นได้มาจากการรู้แจ้งจริงๆ เกี่ยวกับคำสอนโบราณ ไม่ใช่ได้มาการการอ่านคัมภีร์เท่านั้นหรอก พวกเธอควรแก้ไขปัญหาทั้งปวงโดยการทำสมาธิ พวกเธออย่าไปพึ่งความคิดหรือวิธีคิดอันไร้สาระ แต่จงพยายามแก้ปัญหาโดยการติดต่อทางจิตวิญญาณกับพระเป็นเจ้าผ่านสมาธิดีกว่า พวกเธอจงขจัดล้างคราบไคลแห่งความเคร่งครัดให้หมดพ้นจากใจเธอ แล้วจงหัดมาตักตวงน้ำทิพย์ที่เรียกว่า ญาณทัศนะ หรือสัมผัสที่หกแทน เพราะถ้าเธอสามารถปรับจิตของเธอให้สอดคล้องกับอาตมันที่เป็นผู้นำทางภายในตัวเธอได้แล้ว เธอจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องในทุกๆปัญหาชีวิตที่เธอเผชิญ...... มนุษย์นี้ช่างเป็นอัจฉริยะในการสร้างปัญหาที่เป็นทุกข์ให้แก่ตัวเองอย่างไม่รู้จักเบื่อเลย แต่พระผู้เป็นเจ้าท่านก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลืออย่างไร้ขอบเขตจำกัดโดยไม่รู้จักเบื่อเช่นกัน”
เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ขับรถไปแถววัดแขกสีลม แต่ไม่ได้แวะลงไปกราบไหว้บูชา เพียงยกมือไหว้ไปเฉยๆ ในใจก็บอกไปว่า นมัสการครับองค์แม่ เพียงแว็บเดียวก็มีเสียงที่เราคุ้นเคยแต่ห่างหายจากเราไปนานมาก เสียงดังขึ้นมาว่า “ลืมแม่ไปแล้วหรือ” อุ้ย เสียงองค์แม่นี้หว่า ในใจผมขณะนั้นได้เพียงแต่นึกในใจว่า เออ.... เรานี้ขาดการติดต่อองค์แม่มานานเหมือนกัน ตั้งแต่สุขสบายขึ้น เรานี้แย่จังเลย เห็นที่ต้องทำอะไรเพื่อองค์แม่คงจะดี (ในใจตอนนั้นรู้สึกผิดมาก) นี้เราลืมแม่พระของเราไปเลยหรือ มัวแต่ไปมัวเมาในวัตถุอื่นๆ ลืมจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา ความสงสาร ที่มีต่อลูกของพระองค์ เราแย่จริง ๆ ครั้นพอคิดได้เลย คิดว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับพระแม่มาให้เพื่อนและลูกขององค์แม่ได้รับรู้ถึงเกียรติและการเสียสละขององค์แม่ให้ลูกได้รับรู้กัน วันนี้ เลยยกเรื่องราวที่พระแม่อุมาทรงอวตารมาเป็น พระแม่ทรุคา(นางกาตยายนี) พระมาตาทุรคา เป็นอวตารหนึ่งที่ทรงต่อสู้กับความโง่เขลา หรืออสูรควายนั้นเอง ในพิธีกรรมต่างๆในประเทศอินเดีย มักจะบูชาพระแม่อุมาในปางทุรคา(ดูรกา)กันมากในทุกแคว้น และพระแม่ทุรคาก็ทรงมีมากถึง 9 ปางด้วยกันหรือเป็นที่มาของกระทู้ อสูร 9 วันนี้นั้นเอง

ปางที่ 1 พระนางทุรคาปางนิลกันตรี ทรงมี 4 กร ทรงถือตรีศูล โล่ห์ และภาชนะ พระหัตถ์ที่ 4 ทรงแสดงประทานพร ปางนี้เป็นปางที่ประทานความสุขและความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้สักการะบูชาต่อพระองค์

ปางที่ 2 พระนางทุรคาปางเกศมันคารี ทรงมี 4 กร ทรงถือดอกบัว ตรีศูล ภาชนะ และพระหัตถ์สุดท้ายทรงประทานพร เพื่อให้มีสุขภาพดีแรงแรง พร้อมไปด้วยปัญญา ให้แก่ผู้ที่บูชาต่อพระองค์

ปางที่ 3 พระนางทุรคาปางหรสิทธิ ทรงมี 4 กร ทรงถือกลอง (บันเดาะห์) คนโท ดาบ และภาชนะ ปางนี้เป็นปางที่ทรงประทานความสำเร็จและความปรารถนาสำหรับผู้สวดอ้อนวอนต่อพระองค์

ปางที่ 4 พระนางทรุคาปางรุทรัมศทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือตรีศูล ดาบ สังข์ และจักร และทรงสวมอาภรณ์อย่างกษัตริย์ มีรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์กระนาบข้าง เบื้องหน้าเป็นสิงห์โตที่เป็นพาหนะ หมอบอยู่ ปางนี้ เป็นปางที่ประทานชัยชนะอย่างสมบูรณ์ที่สุดสำหรับผู้ที่บูชาต่อพระองค์

ปางที่ 5 พระนางทุรคาปางวนทุรคา ทรงมี 8 กร ทรงถือจักร สังข์ ดาบ โลห์ ลูกศร คันศร ตรีศูล และพระหัตถ์สุดท้าย ชี้นิ้วไปข้างหน้า ปางนี้เป็นปางถึงการขจัดอุปสรรคทั้งปวงต่อผู้ที่บูชาพระองค์

ปางที่ 6 พระนางทุรคาปางอัคนีทุรคา ทรงมี 8 กร ทรงถือจักร ดาบ โลห์ ลูกศร บ่วงบาศก์ และชี้นิ้วขึ้นที่สูง มีรูปสิงห์โตหมอบอยู่เบื้องพระบาท และมีเทวีอีก 2 นาง ยืนซ้าย ขวา นางหนึ่งถือดาบ อีกนางหนึ่งถือโลห์ ปางนี้ เป็นปางที่ทรงประทานความยิ่งใหญ่ เกียรติยศและชื่อเสียงกว่าผู้ใด สำหรับผู้ที่บูชาพระองค์

ปางที่ 7 พระนางทุคาปางชัยทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือสังข์ จักร ดาบ ตรีศูล ทรงมี พระเนตรอีก 1 กลางหน้าผากของพระนาง และมีสิงโตยืนอยู่ข้างหน้าพระองค์ ปางนี้เป็นปางที่มีชัยชนะต่ออวิชาทั้งหลาย ผู้ที่บูชาจะสามารถหลุดพ้นได้ง่ายถ้าบูชาพระนาง
ปางที่ 8 พระนางทุรคาปางวิทยาวาศรีทุรคา ทรงมี 4 กร ทรงถือจักร สังข์ และอีก 2 กรแสดงประทานพร และประทานอภัย มีรูปทวยเทพองค์อื่นรายล้อมรอบพระองค์ โดยมีสิงโตหมอบอยู่ข้างหน้า

ปางที่ 9 พระนางทุรคาปางริปูมารีทุรคา ปางนี้ มีเพียง 2 กร ทรงถือตรีศูล และอีกกร ทรงชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า ปางนี้เป็นปางที่ทรงประทานพร ให้โชคดี มีความปลอดภัย ไม่มีศัตรูมาเบียดเบียน

ในด้านพิธีกรรมในการบูชาพระแม่มหิษาสุรมรรทินี จะมีพิธีบูชาอยู่ 9 วันเช่นเดียวกัน เรียกกันว่า พิธีเทศกาลดุซเซร่าห์ (เทศกาลทุรคาบูชา)

วันแรกของงานเทศกาล ทุรคาบูชาหรือ ดุซเซร่าห์ ชาวฮินดูจะบูชา “พระนางมหากาลี”

วันที่สอง จะบูชาพระแม่ทุรคา ผู้ที่ฆ่าจอมอสูรควาย จึงมีการขนานนามว่า “มหิษาสุรมรรทินี”

วันที่สาม จะบูชาพระแม่ “จามุนดา” ซึ่งมีกำเนิดความเป็นมาจากการฆ่ายักษ์สองพี่น้องที่ชื่อว่า “จันทรและ มุนดา”
วันที่สี่ จะบูชาพระแม่ที่เรียกกันว่า “กาลี”ซึ่งเป็นผู้ฆ่าอสูรโดยการดื่มเลือดทั้งหมดของอสูร
วันที่ห้า จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “นันทา”ซึ่งเป็นลูกสาวของคนเลี้ยงสัตว์
วันที่หก จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “รักธาฮันตี” ซึ่งปางนี้ทรงฆ่าอสูรโดยการใช้ฟันกัดจนตาย
วันที่เจ็ด จะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า “สักกัมทารี”
วันที่แปดจะบูชาพระแม่ที่ชื่อว่า “ทุรคา”ซึ่งจะซ้ำกับวันที่สอง เป็นการย้ำเตือนในการระลึกถึงการฆ่าอสูรควาย
วันที่เก้าจะบูชาพระแม่ที่มีชื่อว่า”ลัคภรมารี”ซึ่งปางนี้จะพระแม่ทรงฆ่าอสูรที่มีชื่อว่า”อรุณ” ในวันสุดท้ายนี้จะมีการเฉลิมฉลองโดยมีการแห่พระแม่ไปตามถนนต่างๆผู้คนจะแห่กันออกมาเฉลิมฉลองกัน โดยมีการร่วมรำทำเพลงมีขบวนแห่และบรรเลงดนตรีอย่างสนุกสนาน และสิ้นสุดโดยการแห่รูปปั้นพระแม่ทุรคาไปหรือสรงน้ำจุ่มในแม่น้ำที่ใกล้ที่สุดของเมืองนั้นๆ เพื่อเป็นการล้างบาปแก่ผู้ที่มาร่วมพิธีทั้งหมดด้วย

แถมท้ายด้วย วันในการบูชาพระแม่ทุรคามหาศักติ

วันอาทิตย์ ถวายด้วยปายส้ม/ปายัส (ข้าวสุก นม น้ำตาล)
วันจันทร์ ถวายด้วยนมสด
วันอังคาร ถวายด้วยผลไม้ต่างๆและกล้วย
วันพุธ ถวายด้วย เนยสด
วันพฤหัสบดี ถวายด้วยน้ำตาลและอ้อย
วันศุกร์ ถวายด้วยน้ำตาลและทรายขาว
วันเสาร์ ถวายด้วยน้ำมันเนยและน้ำเปรี้ยว

ส่วนมนตร์ในการบูชาพระแม่ทุรคา
โอม ชยันตี มงคลกาลี ภัทรันกาลี กปาลินี ทุรคา กัษมา ศิวา ธาตรี สวะธา นดม สตุเต
โอม อัมเพ อัมวิเก อัมพา ลิเกสมานัยติ ศัศจนัส สัตยัสวัก / สวะ ภัทธิกัม กาม บิลลวาสินี ทุรคาเย นมัช //

จบบริบูรณ์ ครับ กับอสูร 9 วัน ภาค 2


เสือนับถือท่าน  จากตำนาน  ที่เสือชอบ  เพราะเรื่องราวมีหลายเวอร์ชั่นเหลือเกิน  เเละสุดท้ายเมื่ออ่านก็จะคิดเเละสอนให้รู้ว่า
(พูดเหมือนนิทานตอนเด็กเลย)  เสือนับถือพระพิฆเนศ  เพราะเสือชอบตำนานที่  พระเเม่สั่งว่าให้เฝ้าให้ดีอย่าให้ใครเข้ามา
ท่านถือคำสั่งของเเม่เเละรับผิดชอบงานนั้น  เเม้รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้า  ท่านมิสามารถทัดทาน  ด้วยกำลังของท่านได้
ในที่สุดท่านก็ศรีษะขาด  สิ่งที่สอนในนั้นทำให้เสือรักท่าน  เเละคิดว่า  ท่านผู้เป็นที่รักของพระเเม่  คือผู้มีความกตัญญูสูงสุด
เเม้เเต่ชีวิตก็สละให้ได้เพื่อรักษาคำสั่งของเเม่

เสือนับถือ  พระลักษมี  เพราะ  ภาคนึงท่านอวตารเป็นเเม่โพสพ  เป็นข้าวเพื่อเป็นคาโบไฮเดรต  เพื่อให้เรามีกำลัง
เม็ดข้าวที่ดีต้องอ่อนน้อม  โน้มสู่ดิน  เเม้เเต่ดวงตะวันก็ไม่กล้าข้ามหัว  เรียกตะวันอ้อมข้าว  เเละท่านคือ  สตรีผู้พูดเเต่สิ่งดี
พูดยกใจ  ดังนั้นเสือรักท่านเพราะเสืออยากมีคุณธรรมของท่าน

เสือนับถือพระศิวะ  มิใช่เพราะท่านคือผู้ยิ่งใหญ่  เเต่เพราะท่านพอ  ท่านสมถะ  ท่านอดทน  เเละท่านให้เกียตริ์พระเเม่
เพราะท่านไม่ได้หยุดความรุนเเรงด้วยความรุนเเรง  ท่านเป็นเทวะที่โรเเมนติกมากสำหรับความคิดเสือ  เเละเสืออยากมีคุณธรรมของท่าน
จากการที่ท่านนำร่างกายของท่านเพื่อป้องกันมิให้พื้นโลกเเตก  เพราะพระเเม่ท่านร่ายรำโลดเต้นด้วยความดีใจ
เเม้  ณ ตอนนั้นพระเเม่จะอวตารได้ดูฮาดคอล์เพียงใดก็ตาม  เเต่ท่านมองด้วยจิตใจว่านั่นคือ  สุดที่รักของท่าน
ท่านจึงนำร่างกายรองรับไว้  หากมองด้วยเหตุเเล้ว  พระเเม่ท่านก็รักพระศิวะ  เป็นไปได้  เเม้เเต่เท้าเดียว  ท่านก็ไม่อยากเหยียบ
หรือทำให้เจ็บเเม้เเต่น้อย  เเต่อีกนัยนึงเสือคิดนะคะ  ว่าถึงจะเป็นมือเป็นเท้า  หน้าเท้า  หลังเท้า  ก็คือ  ส่วนนึงในร่างกายของ
พระเเม่ที่ท่านรับ  เเม้เป็นเท้าท่านก็รับด้วยความเต็มใจ  ในความคิดของเสือ  พระศิวะคือ  ผู้ชาย  คือยอดชายเลยละคะ

ความคิดที่เสือคิดได้จากเรื่องนี้   คือ   
1  ผู้ชายที่ดี  ควรให้เกียตริ์  เพศ  ญ  การให้เกียตริ์ภรรยามิได้หมายความว่ากลัวเมีย
2  การหยุดของท่านไม่ได้ใช้กำลังหักหาญ  เเต่ท่านใช้ความรัก  ยกตัวอย่างนิดนึง  หลายครั้งที่เเม่ด่าเสือ  ยายตีเสือ   
ไม่ว่าจะด้วยความซนของเสือ  หรือสิ่งใดก็ตาม  เสือไม่โกรธ  เเต่สิ่งที่เสือทำคือ  ด่าเหรอ  กอด  ด่าอีกซิ  จุ๊บปากเลย
ตีอีกซิกอด  ไม่มีมือตีเเล้วใช่ไหม  ยังด่าต่ออีก  หอม  ๆๆๆๆ  เอาเท้าถีบด้วย  อุ้มเลย  คราวนี้ไม่ดิ้นเเล้ว  ดิ้นก็หล่น
ท่านคงกลัวตายกลัวเจ็บเป็นเหมือนกัน  เริ่มขอเเล้ว  วางยายลงเร็ว  เราก็ต่อบอกก่อนว่าจะไม่ด่า  เเล้วก็บอกว่าขอโทษ
ไม่ทำอีกเเล้ว  บางครั้ง  การสัมผัสด้วยความรัก  ก็บอกอะไรได้หลายอย่าง  เเละอาจเป็นทุกอย่างที่เขาต้องการ   

เเละเสือเองก็คิดว่า  พระเเม่ท่านคือ  ตัวเเทนของสตรี  เเละพลังเหล่านี้อยู่ในสตรีเพศเเม่ทุกคน  เเม่ผู้เสียสละ  เเม่ผู้ปกป้อง
เเม่ที่ยุติธรรม  เเม่ผู้ทรงพลัง  หากเปรียบเปรยเเล้ว  เพศชายได้ขนาดของสมองที่โตกว่า  ร่างกายที่เเข็งเเรงกว่า
เเต่ก็ไม่ได้บอกว่าความเข้มเเข็งในจิตใจ  ผู้ ญ  อาจอดทนได้มากกว่าผู้ชาย  นี่ล่ะคะ  ที่เสือรักเพศเเม่  เเม้เสือจะเป็นเพศ  ญ
เเต่เสือก็คิดว่า  จริงอยู่การรักเพศเดียวกัน  ไม่ผิดในศาสตร์นี้  เเต่หากฝืนใจเปลี่ยนไม่ได้  หรือเเม้เเต่จะดื้อดึงไปเลือกคิดว่านั้นคือความสุข
คนที่เสียใจที่สุดคือเเม่ผู้ให้กำเนิดเสือมา  ต้องเสียน้ำตาเพราะเพียงเสือบอกว่าเสือชอบอย่างนี้  เสือเป็น lesbian  เสือจึงคิดว่า
ต่อให้เธอสวยหยาดฟ้ามาดิน  เธอผู้นั้นไม่มีสิทธิทำให้เเม่ฉันเสียใจ  ถ้าเสือรักผู้  หญิง  ผู้หญิงที่เสือควรรักที่สุด   
คือ  เเม่ของเสือ  เเละพระเเม่ของเสือ   

สุดท้ายนี้  เสือรู้เเค่  ศีล  5  ข้อของพุทธ  เเม้จะทำไม่ครบ  เเต่สิ่งที่เสือนับถือเทวะ  เสือบอกได้ว่า  เสือนับถือจากคุณธรรมอันเป็นเเบบอย่าง
เเละก็นำไปใช้โดยที่ผ่านการคิด
เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

เหตุผลของความศรัทธาของนู๋เสือ....อ่านแล้วเกิดความรู้สึก

นิ่ง...ลึก...และนุ่มนวล

เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ว่าออกมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจ  นั่นคือ.... ความอ่อนโยน

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับบุคลิกและลักษณะของนู๋เหลือเกิน

พี่ณิชาดีใจจังที่ได้รู้จักกับน้องสาวคนนี้.....
[HIGHLIGHT=#ffff00]ผู้ที่ได้ชื่อว่าบุตรแห่งเทวะ  ย่อมมีหัวใจของเทวะ    [/HIGHLIGHT]

[HIGHLIGHT=#ff0000]ขอบคุณมากคะพี่เสือ[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ff0000]ที่ได้กลั่นกรองบทความที่มีความหมาย[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ff0000]ขอบคุณคะที่ให้บูได้เห็นความรักที่ลึกซึ้ง[/HIGHLIGHT]



น้องเสือ นุ๋  เป็นหน้าเป็นตา ของเจ๊ เอ๊ย ของพี่ จริงๆ  เหอ....เหอ....เหอ.....

ครั้งหนึ่ง  และตลอดมาในแรกเกิด  เสือได้ลงสูจิบัตรเป็น  ไทย  พุทธ  แต่เสือถูกสอนว่า  นรกไม่มีจริง 
ถึงมีจริงเกิดใหม่ก็ลืมหมดว่าเราทำอะไรมาบ้าง  เสือ จึง กลายเป็นผู้ไม่เกรงกลัวบาปและกฎหมายใดๆ 
เพราะเสือถือว่า  พ่อเสือมีอิทธิพล  บารมีพ่อเสือคุ้มกลาหัวเสือได้  เสือจึงไม่ละอายและรู้สึกภูมิใจ 
คะนองในความเลวของตัวเอง  ครูที่โรงเรียนสอนเสือให้ได้ดี  ด่าเสือ  หรือแม้แต่ตีเสือ  เสือคิดในใจ 
ไม่รู้เสียแล้วพ่อฉันใหญ่แค่ไหน  ไม่นานครูก็โดนเด้ง  แม้แต่ใครที่ใช้สายตาด่าเสือ  เสือบอกคนงาน 
ไปข่มขวัญเขา  จนเขาต้องย้ายบ้านหนี  ในตอนนั้นปู่และย่าของเสือยังไม่เสียชีวิตที่บ้านเสือเปิดบ่อนการพนัน
เสือรู้จักการโกง แต่ตอนนี้ได้ปิดตัวลงไปแล้ว  เพราะไม่มีใครทำต่อ และความหายนะของผู้อื่น 
คือความสุขของเสือ  เพราะเสือถูกสอนมาและเชื่อเช่นนั้น
และแม้  ตอนนั้นเสือเข้ามหาลัยแล้ว  แต่ดีกรีความแรงยังคงอยู่  มีเครดิตเดียวที่เสือจะได้เป็นพิเศษคือ
เรื่องเลวๆ  เสือสามารถทำระเบิดได้จากน้ำยาบ้วนปาก  เสือสามารถกลึงปืนเองได้  เสือสามารถทำเลวได้
เสือสามารถ  เห็นเลือดแล้วมีความสุขหัวเราะ   เสือเห็นตัวเงินตัวทอง  เสือก็เอาพร้าไล่ฆ่ามัน
  ทุกตรุษจีนเสือ  จะเป็นผู้  เอามีดทิ่มคอหมู  เฉือดไก่  ปลา  เสือสามารถให้มันตายสนิทด้วยเวลาอันรวดเร็ว
โดยที่ไม่รู้สึกเกรงต่อบาป  หรือคำว่านรกจะกินหัวไม่ได้ทำให้เสือสะท้านเลย

  แต่มีวันนึงที่ทำให้เสือเปลี่ยน  วันนั้นเป็นวันสอบ  เสือได้กลิ่นหอมแปลกๆลอยมา  ซึ่งหาที่มาไม่ได้
เพราะเสืออยู่ใน  หมู่ของ  มุสลิม   แต่ใจของเสือเต้นรัวๆ  แล้วเสือก็เปรยว่า  วันนี้วันสอบ
อย่าให้เสือเป็นอะไรเลย  วันนั้นเป็นวันอังคาร  แล้ววันพุธเสือสอบเสร็จพอดี  ขับรถกลับที่พัก 
ออกทางประตูหลังมหาลัย  ในเวลาเดียวกันนั้นเสือเกิดอุบัติเหตุ  แต่สิ่งที่เสือเห็นคือ  มีผู้ ญ  วัยกลางคน
กอดเอวเสือไว้  แล้วไถลไปตามถนน  ซึ่งเสือไม่รู้จัก  ในเวลาเดียวกันมีผู้ชาย  รุ่นเดียวกัน  อุบัติเหตุหน้ามหาลัย 
มูลนิธิมารับไปพร้อมกันครู  เพื่อนนักเรียนได้ข่าวก็ตามไป  ตอนนั้นเสือตั้งปั๊มหายใจ

และใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ  แต่ในตอนนั้นเสือไม่เห็นเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล
เป็นเพียงคำบอกเล่าของ  หมอ  อาจารย์เพื่อนๆ  จิตของเสือตอนนั้น  เหมือนอยู่ในถ้ำ 
มีตัวเหี้ยที่เสือเอาพร้าฟันมัน  เพราะเสือจำตำแหน่งที่ฟันมันได้  ตัวเป็นคน  หัวหางเป็นเหี้ย  มีตัวเป็นคน
หัวเป็นกิ่งก่า  แต่หัวยับเยิน  เสือนึกถึงภาพของกิ่งก่าที่เสือ  จับมันได้  แล้วเอาปะทัด  ใส่ปากมันมัดด้วยด้าย
แล้วจุดธูป  ให้มันคาบไว้  เหมือนระเบิดเวลา  แขวนหางมันกับต้นไม้  พอธูปที่ติดไฟถึงประทัด 
หัวและตัวยับเยินกระจายเป็นชิ้นๆ  และมีไก่ที่เสือฆ่า  หมู  หมาที่เสือผิดใจกับเจ้าของหมา
แล้วเอาปืนปากกายิงมัน  และหมาที่เสือวางยาเบื่อ  มาน้ำลายฟูมปาก  ตัวสีเดียวกับที่เสือฆ่ามันเลย
แล้วก็มาจับเสือดึงแขนขาเสือ  เสือกลัวมาก  ตอนนั้น  อรหังสัมมา  ก็ท่องไม่จน  เพราะกลัวจนลืม 
มันไปหมดแล้ว  เสียงดังเหมือนเทปยืด  สักพักนึง  มีเงาดำผู้ชายถือ  ของ้าว  แล้วเหวี่ยงไปที่สัตว์แปลกๆ
ที่รุมเสือ  แล้วหิ้วแขนเสือ  ไปอีกที่ที่นึง  ณ  ที่แห่งนั้น  มี  ญ  ชุดขาว  ชรา  ปากแดง  บอกเสือว่า 
เลือกเอา  ถ้าจะไป  กระโดดลงไป  แต่แขนขาหักหมดแล้วจะไม่มีใครเห็น  ต้องเร่ร่อนอดอยาก 
อีกช่องนึงมีแต่หนามแหลม  มุดออกไปทางช่องนี้  แต่หนามจะทิ่มทั้งตัว  แล้วอีกอย่างนึง 
เธอถือมีดด้วย  นอนบนนี้  จะตัดแขนตัดขา  ถึงจะไปได้  สักครู่นึง  เงาดำนั่นมาอีกแล้ว 
บอกเสือว่ารอตรงนี้ก่อน  ถือนี่ไว้  ตอนนั้น  เสือจำได้  ลักษณะคล้าช้อนส้อม  ทองเหลือง 
สามแชกตรงปลาย  เสือถามกันอะไรได้บ้าง  เขาตอบทำนองว่าเล็กๆน่ะดีแล้ว  เสือยืนรออยู่ที่นั่น
แต่ยังตกใจอยู่  สักครู่นึง  มีผู้  ญ  ใส่สีแดงเกลี้ยง  จับมือเสือ  เสือขอว่าพอเสือไปจากที่นี่ที
เธอบอกว่าหลับตาก่อน  เสือเชื่อเธอ  เสือมาในที่ที่เป็นคล้ายลำน้ำสวยมาก 
บรรยากาศน่านั่งเรียนเขียนสีน้ำที่สุด  เธอนั่งอยู่บนโขดหิน  ผมหยิกยาว  ใส่ผ้าสีแดงพันเอว 
เปลือยหน้าอก  ไม่มีเครื่องประดับใดใดเลย  เท้าหย่อนไปในน้ำ  เสือนั่งบนโขดหินข้างๆ 
แต่ยังไม่หยุดร้องไห้  เธอชวนเสือคุย  เธอถามเสือทำนองว่า  เธอรู้ไหม  ว่าเวลาที่ใครอยากให้ฉันเห็น
ในสิ่งที่ฉันไม่อยากเห็น  ฉันทำยังไง  แล้วเธอก็เอาไม้  จุ่มอะไรสักอย่าง  ลูบไล้ผมทีล่ะช่อเล็กๆ 
ณ  เวลานั้น  ผมเธอสยายได้สวยมากเป็นเหมือนฉากม่านบางๆสีดำบังตา  เหมือนทำนองเส้นผมบังภูเขา 
เธออาจสอนให้เสือรู้จักเพิกเฉย  เสียบ้าง  ไม่ต้องรุนแรงทุกอย่างอย่างที่เคยเป็นมา 
แต่เสือยังร้องไห้อยู่เธอหันมามองเสือด้วยแววตาที่อ่อนโยนที่สุด  ก้มลงหวักน้ำในมือ 
เอาน้ำนั้นมาล้างหน้าให้เสือ  ลูบที่แก้มและตา  เสือไม่เคยรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน 
เพราะแม่เสือเราไม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน  ตั้งแต่เสือ 5 ขวบแล้วและสามปีจะกลับมาครั้งนึง
เสือจึงรู้สึกดีเป็นพิเศษ  ที่ผู้  ญ  วัยกลางคนทำให้เสืออบอุ่นใจที่สุดเลย  จากนั้นเธอบอกเสือว่า
  เหมือนหลอกล่อว่า  ฉันมีอะไรให้เธอ  ความตื่นเต้นในใจเสือเกิดขึ้นทันที  ด้วยความอยากรู้อะไรหว่า
ลืมความเศร้า  ตกใจไปในขณะนั้น  เธอบอกว่ายื่นมือมา  แล้วเธอก็วางมือทาบทับทั้งที่ในมือไม่มีอะไร 
เธอบอกว่า  มือข้างนี้  ให้เธอมีความดีงาม  มือข้างนี้  ให้เธอมีความรัก  แล้วก็จับมือเสือกำ  แล้วบอกว่าเก็บไว้ดีดีล่ะ
แล้วกลับมาเล่าให้เธอฟังด้วยน่ะ  เธอกำมือเสืออย่างแนบแน่น  เหมือนให้ความมั่นใจว่าเสือจะทำในสิ่งนั้นได้
ตลอดชีวิตไม่เคยมีใครให้เครดิตในเรื่องดีดีกับเสือ  มีแต่ท่านผู้นี้นี่ละ  แล้วเธอก็ลูกขึ้นบอกเสือว่า 
กลับไปได้แล้ว  เธอจะไปส่ง  เสือก็จับมือของเธอไป  ด้วยความกลัว  สัตว์ประหลาด 
เกาะแบบติดหนึบเป็นตังเม  เธอไม่มีทีท่ารังเกียจเสือเลย  แล้วเธอหันหน้ามา  จูบหน้าผากเสือ 
หนึ่งทีที่ไรผม  เธอยิ้มให้ได้พิมพ์ใจมาก  แล้วเธอก็ลูบหัว  เสือยังกะเสือเป็นเด็กเล็กๆ  แล้วเธอหันหลังไป
เสือบอกเธอว่าเดี๊ยว  ๆ  อย่าเพิ่งไป  แต่ทันใดนั้นเสือไม่รู้ว่าเสียงคำว่าเดี๊ยวๆ  อย่าเพิ่งไป 
หลุดออกมาจากกล่องเสียงของเสือ  หมอเข้ามา  ถามว่าเจ็บเหรอ  เสือบอกใช่  เสือเห็นอาจารย์ร้องไห้
เพื่อนเสือร้องไห้  รอบเตียง  เสือมองรอบตัวเอง  ไม่มีแผลมีแต่รอบช้ำ  หัวไม่แตก  แต่ปูด 
อีกไม่กี่ชั่วโมงน้าของเสือก็บินด่วนมาจากต่างประเทศ  เพราะคิดว่าเสือตายแล้วจะมาเอาศพ 
เพราะหัวใจของเสือหยุดเต้นไปช่วงนึงแล้ว  แล้วอยู่ๆก็ฟื้นขึ้นมา  ทุกวันนี้เสือไม่ค่อยกล้าเล่าให้ใครฟัง
เพราะเสืออายในตอนนั้นที่ตนเองเรียนวิทยาศาสตร์แต่กลับมาเชื่อศาสตร์นี้  แต่  ณ  วันนี้เสือกล้าเล่า 

เพราะเสือคิดว่าหากหลายๆคนบอกว่า  นับถือที่ใจ  เสือก็ใช้คำนี้ด้วยว่านับถือที่ใจ 
แต่ใจของเสือมันเป็นอย่างไรล่ะ  ทำไมถึงรักนับถือละ  หวังว่าคงจะอ๋อ  แต่เสือเล่าจากเรื่องจริงของเสือ 
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์น้อยอย่างเสือเอง  พิสูจน์  ท้าทายทดสอบ  ประมาณว่าอย่าได้มาหมอกับฉัน 
แต่เรื่องนี้ที่เสือยอมรับเพราะสิ่งนั้น  รับรู้ได้ด้วยตัวเอง  ในขณะที่หยุดหายใจแน่นอนว่าร่างกายขาดอากาศ 
หัวใจหยุดเต้นเลือดไม่สูบฉีดแน่นอน  ประจุไฟฟ้าในสมองย่อมไม่อ่านค่า  แล้วเรื่องราวความจำสิ่งนั้นล่ะ 
มาจากไหน  ก่อนหน้า  เสือไม่เคยรู้จักพระแม่เลย  เสือไม่เคยรู้จักเทวะ  รู้จักก็แต่พระอินทร์ในหนังไทย
รู้จักแต่ฤาษีจากสุดสาคร  และไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะมีจริง  จนได้เจอเหตุการณ์เหล่านี้ 
ที่ทำให้ไม่แม้จะสงสัย  ทุกวันนี้  เสือยังจดจำชื่อ  ของ  ผู้  ญ  ที่ช่วยเสือไว้

หากใครรู้จัก  วอนบอกเสือด้วย  สักกะกาลีการิกา  เสือสืบค้นว่า  สักกะ  แปลว่าผู้กล้าหาญ  กาลีหรือกาลิ 
เสือไม่แม่นเรื่องเสียง  ว่าจะลิ  หรือ  ลี  คือชื่อของพระแม่  การิกา  จะกาลิกา  กลิกาแต่ออกเสียงทำนองนี้ล่ะ
คือนามของพระแม่เหมือนกัน  ถ้าออกเสียงเป็นแบบ  KALIKA 
ทุกวันนี้  เสือไม่เคยแม้แต่จะฝันเห็น  ไม่เคยแม้จะเห็นเธอผู้นั้นอีกเลย  แต่เวลาที่เสือรู้สึกหมดกำลังใจ 
เสือมีเพียงแต่สัญลักษณ์คือ  ผ้าสาหรี่สีแดง  เกลี้ยงๆรองไว้บนหมอน  เพื่อรู้สึกว่า  เสือเคยนั่งเอาหน้าแนบตัก
เวลาที่เอาหน้าแนบเสือรู้สึกอบอุ่น  คิดถึงโหยหา  และรู้สึกว่าเสือจะไม่ลืมคำสัญญา 
ว่าจะกลับไปเล่าให้ฟังเรื่องสองสิ่งนี้ที่ให้มา  เสือคิดว่า  หากไม่มี  สตรีผู้นี้แล้วชีวิตเสือไม่รู้จักเลยว่า
ความอิ่มใจในความดีเป็นไง  คนดีลำบากแต่ก็อยากเป็น  ต้องใช้คำว่าอยากเป็น  บางทีลืมตัวทำชั่ว 
นึกขึ้นได้ว่า  ต้องเป็นคนดี  ก็อย่างน้อย  พลาดไปแต่ยังนึกขึ้นได้  เสือว่าของงี้ต้องฝึกอะคะ 
เสือก็กำลังฝึกๆอยู่  บางทีเลวแบบไม่ตั้งใจเหมือนกัน  ทุกวันนี้  เสือก็ได้แต่บูชาด้วยสี  บูชาด้วยเสียง 
วาดรูปพระแม่เวลาเหงา  เพราะอาจเป็นสิ่งนึงที่คิดว่าตอนนั้นคว้ามือท่านมาไม่ได้ที่บอกว่าเดี๊ยวก่อน 
ตอนนี้ได้แต่คว้าสี  มาวาดรูปท่าน  ถ่ายทอดจากความรู้สึก  แต่พยายามไม่ให้ผิดปกรณ์
 
เสือเคยคิดจะสักรูปท่านที่ตัวด้วยละคะเพื่อนึกถึงท่าน  เเละคิดจะสักมือท่านเหมือนกอดเสือเลย  เพราะนึกถึงตอนที่เสือไถลไปกับถนน
ว่าท่านรองรับตัวเสือไว้  เเต่ดีนะที่ตั้งกระทู้ถามเพื่อๆพี่พี่  ใน  HM  ก่อน  ปรากฎว่าไม่เห็นด้วย  ยังไงเสือก็เเคร์สื่อ  เลยวาดรูปเเทน
แต่ทุกวันนี้  ก็ยังไม่กล้าฟันธงว่า   จะเป็นท่านเดียวกันหรือเปล่า  แต่จะใช่หรือไม่ใช่  ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เพราะเสือถือว่าเสือได้นับถือบุคคลที่มีคุณธรรม  ได้เคารพท่าน  เหมือนเคารพผู้สูงส่ง
ทุกวันนี้  ใครด่าเสือยิ้ม  รู้จักให้อภัย  เกรงใจไม่กล้าทำบาป  เห็นมดตกชักโครก 
ก็เอาแปรงขัดส้วมไปเขี่ยให้มันขึ้นมา  รู้นะ  ว่ามดอายุมันสั้น  แต่เสือช่วยมันได้นี่  ก็ให้มันไปตายที่อื่น 
เห็นขอทานให้เงิน  เห็นตู้บริจาคก็ทำบุญ  และตอนนี้เสือจบ  ปริญญาตรีแล้วเสืออยากปั้นพระ 
เสือจบวิทยาศาสตร์  เสือขอพระแม่  ขอให้เสือได้เรียนในสิ่งนี้  เสืออยากเป็นคนดี  ถึงแม้ไม่มีใครไหว้เสือ
ไม่เป็นไร  ขอก็ให้ไหว้พระพุทธองค์  ไหว้สิ่งที่ดีที่เสือได้ทำ  และสิ่งที่ดีนั้น  เกิดขึ้นได้จากท่านผู้ให้เสือ 
ทุกวันนี้เสือปั้นพระแล้วนะคะ  ขอโม้นิสนึง  ปีหน้า  เสือจะเรียนลายรดน้ำ  ซึ่งรวมถึงลงรักปิดทอง 
เสือหวังว่า  ปั้นได้  ปิดทองด้วย  จะได้ใกล้ชิดพระพุทธองค์  และเผื่อปั้นบุคคลผู้สูงส่ง
ปั้นเทวะ  จะได้อยู่ใกล้ชิดกับคำว่าความดีงาม  ทุกวันนี้เคยมีพระถามเสือว่า  ตายแล้วอยากไปไหน

เสือบอกว่า  เสืออยากเป็นคน  เสืออยากเป็นช่าง  ได้บำรุงพระพุทธศาสนา  ได้สร้างสิ่งเคารพ
อันเป็นสัญลักษณ์แทน  ให้คนที่มาด้วยความสิ้นหวังให้เขา  มากราบไหว้แล้วให้เขามีความหวัง 
มีกำลังใจ  ถ้าเสือได้ไปนรก  นั้นมันเป็นการสมควรแล้ว  เพราะที่ผ่านมาเสือผิดจริงๆ 
แต่มันก็ยังคุ้มที่เสือเกิดมาจะได้รู้จัก  ได้โอกาสที่จะเข้าใจ  แล้วว่าความดีงามเป็นอย่างไร  แต่ก่อนไป 
ขอไปเม้าท์มอย  ให้สตรีผู้นั้นที่ช่วยเสือไว้ก่อน  ไม่แน่  อาจไปคว้าแขนเสือมาอีกรอบก็ได้  อิอิ 
เป็นเล่ห์เหลี่ยมกับ    ผู้ดูแลวิญญาณ  ก็ขอให้วันนั้น  นึกสัญญาข้อนี้ออกก็แล้วกัน  ตอนนี้น่ะ 
ปลง  คิดถึงความตายไว้เสมอ  อย่างน้อย  ถึงตายไปได้รู้จักความดีแล้ว  วิญญาณจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้   
ต้องบอกก่อนว่า  เป็นพุทธศาสนิกชน  แต่รัก  นับถือพระแม่  จึงไม่รู้ว่า  การเข้าถึง  หรือเขาสอนอะไร 
ในศาสตร์ของฮินดู  หรือว่าบูชาไรบ้าง  พิธีกรรมมีอะไร  แต่ตอนนี้ที่ชอบคือ  ชอบอ่านตำนาน 
หลายๆเวอร์ชั่น  แล้วเชื่อในสิ่งที่อ่านแล้วชอบ  มีคุณธรรมให้ยึดเป็นแบบอย่าง  ก็ทำตามอย่างนั้นๆ 
สวดบูชาอย่างไร  ถ้าผึ่งหนังสือสวดได้  แต่ไม่ค่อยซึ้ง  เพราะไม่รู้คำแปล  เลยเลือกวิธีของตัวเอง 
เช่นวาดรูป  ปั้นเพื่อสรรเสริญ  ร้องเพลง  เล่นดนตรี  แบบเมดเล่และตามใจฉัน  เพื่อหวังว่า  หากรูปนี้ 
ที่วาดด้วยความรักและการระลึกถึงท่าน  โดยที่ไม่ได้  ผ่านการเจิมใดๆ  มีแต่สีมาลา
สีแทนมาลา  บรรจงทุกเฉดสี  ด้วยใจแล้ว  ก็จะหวังว่า  เล่นดนตรีไป  มองท่านไป  เหมือนหากท่านได้ยิน 
ลูกผู้มีความประสงค์อยากให้ท่านฟัง  บรรจงทุกเมโลดี้  ทุกทำนองที่เปล่ง  เป็นเพลง 
เพราะสูงสุดของคนชอบดนตรีอย่างเสือคือ  เสืออยากเล่นให้คนที่รักฟัง  มีความสุขที่สุดในเมื่อเสืออยู่คนเดียว
ก็ขอเล่นให้ท่านฟังละกัน  เสือเล่นตั้งแต่เพลงบูชา  เดือนเพ็ญ  ไปยัง  หินเหล็กไฟ  ซิลลี่ฟู

หากจิตหลุดตอนนั้นอาจเกิดเป็นคนธรรเสือก็ดีใจอยู่น่ะ  อย่างน้อยจะได้ฝึกดนตรีกับคนธรรพ
แข่งกันไล่สเกลก็น่าจะหนุกดี  บางวัน  ก็มาอ่านหนังสือวรรณกรรมอ่านออกเสียงหน้ารูปท่าน

ที่อ่านออกเสียงเพราะจะได้ฝึกพูดให้พูดชัดสำเนียงเเบบกรุงเทพ  กรุงเตพ เเต่ไม่ได้ผลเท่าไร
เพราะลิ้นมันคงเเข็งเเล้ว  เเหลงใต้มาตั้งเเต่เด็ก  กำลังฝึกอยู่เพราะว่าอยู่  กทมเเล้ว  อินเเบ็งคอก
บางวัน  ก็เม้าทมอย  ว่าวันนี้เจออะไรมาบ้างเเก้ปัญหาอย่างไร  เสมือนท่านคือเเม่  เเละก่อนไปเรียน
ก็จะหันไม่มองรูปท่านเเม่  เเล้วบอกว่า  สวัสดีคะ  หนูไปเรียนเเล้วนะคะ  กลับมาจากเรียนถอดรองเท้า 
พระเเม่ขา  กลับจากเรียนเเล้ว  สวัสดีคะ  ปวดหัว  ปวดท้อง  พระเเม่ปวดท้อง  พระเเม่หนูหิวข้าว 
ทุกวัน  เสือมีพระเเม่อยู่ในใจตลอด  เสือมีพระเเม่เหมือนท่านอยู่รอบตัวรอบกายเสือ  เหมือนผู้ปกครองเลยก็ว่าได้
คำว่านับถือที่ใจของเสือ  คือ  เสือทำเช่นนี้เสือมีความสุขเสือให้ใจท่านไปเต็มๆเลย  เสืออาจเเนะนำคุณเจ้าของกระทู้เรื่องพิธีกรรมไม่ได้  เเต่ศรัทธาของเสือเเม้ไม่ได้มีมาเเต่เด็กเเต่เล็ก  เเต่ตอนนี้เสือก็มีเต็มร้อยที่เสือให้ท่าน

เเละมาลัยพวงเเรกที่เสือถวายท่านคือ  มาลัยดอกรักพวงละห้าบาท  เเละน้ำ  1  ขวด วางไว้หัวเตียงโรงพยาบาล
เเล้วยกมือบอกว่า  ลูกขอถวายท่านที่ช่วยลูกไว้  เพระตอนนั้นเสือ  มีติดกระเป๋าเเค่ 12 บาท  เเค่นั้น


[HIGHLIGHT=#fbd5b5]

[/HIGHLIGHT] 
เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

มันเป็นการยากที่จะ โพสต์ ข้อความ ใดใด ต่อไปจากนี้ และท่านผุ้ที่อ่านคนอื่นๆ ล่ะ คร้าฟ ว่าไง กับเรื่องนี้


น้องเสือกล้ามาก ที่เอาเรื่องนี้ มาโพสต์ ไม่กลัว คนอื่นหาว่า เพ้อเจ้อ เหรอ....  แต่ก็ เชื่อเสียเหลือเกินว่า


คนอื่นอีกหลายๆ คน ก็ น่าจะมีเหตุการณ์ประทับใจกับพระเป็นเจ้าแตกต่าง กันไป รู้ว่าหลายคนอยากเล่า


รู้ว่าหลายคนไม่กล้าเล่า ...  ผมเองยังไม่กล้าที่จะเล่า 555 พระเป็นเจ้าอยู่ใกล้ชิดกับเราเสมอคร้าฟ


ใจเราต่างหาก ที่ห่างไกล จากพระเป็นเจ้า  เหอ.....เหอ....เหอ.....




เอาใจช่วย น้องเสือ คุณกิ๊ฟ คุณอุ่นนะคร้าฟผ้ม 

ความมหัสจรรย์ของชีวิตเกิดได้กับทุกคน

พี่ณิชาขอเอาใจช่วยและขออนุโมทนาไปกับบุญที่นู๋เสือ

คิดได้และความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำบอกกล่าวที่นู๋เสือได้รับมาจาก

สตรีผู้มีนามว่า ....สักกะกาลีกาลิกา... ผู้นั่น

[HIGHLIGHT=#ffff00]มือข้างนี้  ให้เธอมีความดีงาม  มือข้างนี้  ให้เธอมีความรัก  [/HIGHLIGHT]

ความดีงามที่นู๋จะสร้างเพื่อที่จะนำกลับไปบอกเล่าให้เธอฟัง........ตามสัญญา!
[HIGHLIGHT=#ffff00]ผู้ที่ได้ชื่อว่าบุตรแห่งเทวะ  ย่อมมีหัวใจของเทวะ    [/HIGHLIGHT]

เข้าสอนให้ทรัธา นะ ไม่ใช้ ให้บูชากันทั้งวันทั้งคืน แล้วรอ การประทานพร
คือเราจะทำอะไรที่ถูกที่ควร และไม่ไกลเกินตัว แล้วให้ท่านช่วยให้สำเร็จโดย เร็ว และไม่มีอุปสรรค
อย่างที่เราทราบ ก่อนจะ จะเป็๋นฮินดู ก็เป็น ศาสนา พราหม์ มาก่อน แต่แก่นของฮืนดูแท้ ๆ ยังไม่ทราบจริงๆ

คุณ sompope เจ้าขา แก่นแท้ของศาสนาทุกศาสนา ล้วนแล้วแต่สอนให้คนเป็นคนดี ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอบายทั้งปวง ญ. ก็เป็นพุทธศาสนิกชน คนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งบอกทุกท่านได้อย่างไม่อายเลยว่า บูชาและศรัทธา ในเทพเจ้า เช่นกัน ถึงแม้ ญ. จะไม่ทราบถึงแก่นแท้ของศาสนาฮินดู แต่ ญ. ก็พอใจจะบูชาและศรัทธา ต่อไป อย่างน้อย ก็ทำให้เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้ใฝ่ไปในทางไม่ดี ส่วนเรื่องการขอพร หากเราปฎิบัติดี แล้วไซร้ ญ. เชื่อว่า หากแม้เราไม่ได้ขอสิ่งใด พระเป็นเจ้าจะทรงประทานให้แก่เราเอง หากคิดจะขอ ก็ต้องรู้จักให้ด้วยนะคะ ก่อนที่เราจะได้สิ่งใดมา เราต้องให้สิ่งนั้นก่อน ขอให้คุณ sompope ปฎิบัติดีต่อไปค่ะ ขอพระเป็นเจ้าคุ้มครอง สาธุ สาธุ สาธุ

คำเดียวนะ ทั้งพี่ตี๊ และ เจ้าต่าย  สาธุ๊ จ้ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


จริงๆ หัวข้อกะทู้เหมือนล่อเป้า แต่พี่ว่ามันไปด้วยกันได้ หากว่าการตอบคำถามมันไม่ได้พาดพิงศาสนาใด หรือแนวความเชื่อ หนทางปฏิบัติใคร หากมันนำมาซึ่งการโจมตี ผู้มาสมัครเว็ปบอร์ดนี้คงต้องหยุดพิจารณาตนเองตั้งแต่อ่านกฎกติกามารยาทแล้วหละ

ตอบคำถามมั่งดีกว่า

ถ้าในแง่หลักวิชาการปรัชญาอินเดียโบราณ  (Ancient Indian philosophy) ลักษณะสำคัญประการแรกที่ทุกสำนักมีร่วมกัน คือ การให้ความสำคัญต่อภาคปฏิบัติ(Practical necessary)  สาเหตุที่ภาคปฏิบัติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะปรัชญาอินเดียทุกสำนักพยายามที่จะค้นหาว่าชีวิตควรดำเนินไปอย่างไรไม่ใช่เพียงหาความรู้เพื่อความพึงพอใจ แต่เป็นการแสวงหาหนทางหรือระเบียบของชีวิตที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่สูงสุดของชีวิต

ปรัชญาอินเดียมักจะเห็นว่ากฎแห่งกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องของพรหมลิขิต ปรัชญาอินเดียเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีการคิด การกระทำเพื่อนำมนุษย์ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ(ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์)

ดังนั้น หลักการดำเนินชีวิตของศาสนาฮินดู จึงผูกพันและเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่มีต่อเทพเจ้าทางศาสนา   ตามหลักในการดำเนินชีวิต อุดมคติแบบพระเวท (The Vedic Ideals) อันได้แก่ หลักอาศรมสี่ โดยอาศัย "ช่วงระยะแห่งวัย" เป็นตัวกำหนดการศึกษาหลักแห่งอาศรม เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ (Puruṣārtha) นั่นก็คือโมกษะ 

โดยเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วยหลักสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
(1) ธรรมะ(Dharma ; Righteousness) หมายถึง หน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในพระธรรมศาสตร์ 
(2) อรรถะ (Artha ; Wealth) หมายถึง ความมั่งมีทั้งเงินทองและอำนาจโดยชอบธรรมที่ทำให้มีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ในสังคม 
(3) กามะ(Kāma ; Sense-Pleasure) หมายถึง  ความพอใจที่เติมเปี่ยมและความงาม(สุนทรีย์) ประกอบชีวิตแบบคฤหัสถ์ ก่อนจะออกเป็นวานปรัสถ์ และ
(4) โมกษะ(Mokṣa ; Final Liberation) หมายถึง ความเป็นอิสระจากทุกข์ถือเป็นเป้าหมายสูงสุด

K.R. Sundararajan  and  Freinds, Hinduism, (Patiala   :   Punjabi University, 1969), p. 45.

นักวิจัยอิสระ ข้อมูลมีแค่หางอึ่ง ถูกผิดท่านผู้รู้อาจค้นคว้าเพิ่มเติม

ปล. หากจะลงลึกลงไปในแต่ละเรื่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวาทะกรรมแน่นอน หากเราเพียงนำมาตอบคำถามกันเพื่อสร้างสรรค์ความรู้อย่างชัดแจ้งสอดคล้องกับหัวข้อกระทู้บ้าง บอร์ดแห่งนี้ก็จะมีตำแหน่ง แห่ง ที่ พอที่จะเอาไปถกเถียงหรืออ้างอิง หรืออธิบายได้ในระดับนึง

ในแง่ของความเชื่อส่วนบุคคล เราไม่จำเป็นต้องแคร์ ข้อโต้แย้งใดๆ เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาในบอร์ดนี้ "ประสบการณ์ส่วนบุคคล" นำพวกเรามาสู่ที่นี่ ใช่ ไม่ใช่ ? ไม่ต้องตอบ แล้วเราจะแคร์ทำไมหากมีการโต้แย้งสิ่งที่เราเชื่อ ยิ่งนำหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือหลักคิดอื่นๆ มาโต้เถียง นอกจากจะไม่ได้อะไร ยังนำไปสู่ความขัดแย้ง อัตถรส แห่งความศรัทธา ผัสสะ แห่งมวลธรรมต่างๆ ที่เราสัมผัสได้เมื่อเข้ามาในบอร์ดนี้ ก็จะหายไปสิ้นเชิง สิ่งนี้สำคัญกว่า คิดว่านะ คะ

ดังนั้น ควรมิควร แล้วแต่จะเลือกบริโภค

ด้วยความเคารพ
[HIGHLIGHT=#d7e3bc]ปีใหม่ไทย ...ยินดีที่[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d7e3bc] HM ทำให้ "รู้จักที่ บุคคล ที่ควรให้และรับอย่างสมดุล" @ให้เกียรติเพื่อนสมาชิกที่จิตผ่องใสบริสุทธิ์เสมอกัน @ให้เกียรติ webmasters ที่หลายท่านมองข้ามความเหน็ดเหนื่อย และการไม่ปริปากร้องขอสิ่งใดแม้เกียรติแห่งตนนอกจาก "ความสงบ" ตาม "หลักสากลของกติกาแห่งบอร์ด" และ@ HM พื้นที่เล็กๆ ให้ฝึก "สำรวมกาย วาจา ใจ ในวงแคบแต่ยิ่งใหญ่" การเกิดขึ้นของสิ่งใด นอกจาก "ความซาบซึ้งแต่ไร้ตรรกะ" และ "ขัดกับจุดยืนข้างต้น" คงไม่ได้ทำให้ "การหยุดแล้วมอง HM ที่ดูอบอุ่นแต่ไม่มั่นคง" เป็นหนทางปลีกวิเวก คุณูปการของ HM ด้านอื่น บ้าน/แหล่งระบาย/แสดงอำนาจ/ความรู้แท้ แล้วบังเกิดให้ "ซาบซึ้ง..แต่ไร้ตรรกะ" ที่น่าเคารพ "การปฏิเสธที่จะโต้แย้งใดๆ" คงเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาจุดยืน และ "ให้" เกียรติแก่ HM ที่ไม่สามารถประกาศตนได้ว่า กินอิ่ม นอนหลับ เราคือผู้มอบวิญญาณแก่องค์เทพ/องค์เทพอยู่กับ HM เยี่ยงการร้องขอ/เรียกร้องอย่างปุถุชนทั่วไป   ที่กล่าวมาอาจ "เข้าไม่ถึง"...คำว่า "ให้" จึงยังไม่มีในมโนสำนึก แต่จะแย่เข้าไปอีกหาก "ซาบซึ้ง/แปลความหมายผิด" ก็คงต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ เป็นเรื่องปัจเจกจริงๆ คนเราปรับเปลี่ยนยาก..... เห้อออ แค่คำว่า "ให้" ด้วยความเคารพ [/HIGHLIGHT]


พี่เสือสุดยอดเลยคับ*-*
 

พฤษภกาสรอีกกุญชรอันปลดปลง
   โททนต์เสน่คงสำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวายมลายสิ้นทั้งอินทรีย์   สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

ที่พระพุทธศาสนาอยู่รอดได้ถึงทุกวันนี้ เพราะมีการปรับเปลี่ยนคำสอนให้เหมาะสมตามกาลเวลา และสถานที่ครับ

...

Quote from: เสือร้องไห้ on February 25, 2010, 05:14:30
ครั้งหนึ่ง  และตลอดมาในแรกเกิด  เสือได้ลงสูจิบัตรเป็น 
เรียกว่า สูติบัตร ครับ



ขอบคุณคะ คุณ แต่มิได้นำพา

ดีจังบอร์ดเรามีคนตรวจปรู๊ฟด้วย


เสือเรียนน้อย ขออภัย 

เสือการศึกษาน้อยนะคะ  โง่ก็โง่  ขอบคุณที่บอกนะคะ 

จะได้นำพาไปใช้  สูติบัตร
เสียหายไม่ว่า  แต่เสียหน้าไม่ได้

...

Quote from: เสือร้องไห้ on February 25, 2010, 05:14:30
ครั้งหนึ่ง  และตลอดมาในแรกเกิด  เสือได้ลงสูจิบัตรเป็น 
เรียกว่า สูติบัตร ครับ
[/quote]

ดิฉันเป็นหนึ่งคนที่สับสนเหลือเกินกับการใช้คำสองคำนี้เพราะมันช่างคล้ายกันเหลือเกิน(การออกเสียง)
จึงทำให้สับสนเป็นประจำสองคำที่ว่า ก็คือ คำว่า สูจิบัตร กับคำว่า สูติบัตร

หากจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาแก่ผู้อ่านได้บ้าง ช่วยอธิบายให้พอเข้าใจได้ไหมคะ ว่าคำสองคำนี้ คำไหนใช้อย่างไร คำไหนมาก่อน มาหลัง แล้วทำไมเรายังสับสนกับการใช้คำสองคำนี้อยู่ ถ้าเป็นไปได้เราจะมีหลักในการจำอย่างไรคะ จะได้ไม่จำผิด เรียนน้อยเหมือนกันคะ อยากได้ความรู้มากๆ

ด้วยความเคารพ
[HIGHLIGHT=#d7e3bc]ปีใหม่ไทย ...ยินดีที่[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#d7e3bc] HM ทำให้ "รู้จักที่ บุคคล ที่ควรให้และรับอย่างสมดุล" @ให้เกียรติเพื่อนสมาชิกที่จิตผ่องใสบริสุทธิ์เสมอกัน @ให้เกียรติ webmasters ที่หลายท่านมองข้ามความเหน็ดเหนื่อย และการไม่ปริปากร้องขอสิ่งใดแม้เกียรติแห่งตนนอกจาก "ความสงบ" ตาม "หลักสากลของกติกาแห่งบอร์ด" และ@ HM พื้นที่เล็กๆ ให้ฝึก "สำรวมกาย วาจา ใจ ในวงแคบแต่ยิ่งใหญ่" การเกิดขึ้นของสิ่งใด นอกจาก "ความซาบซึ้งแต่ไร้ตรรกะ" และ "ขัดกับจุดยืนข้างต้น" คงไม่ได้ทำให้ "การหยุดแล้วมอง HM ที่ดูอบอุ่นแต่ไม่มั่นคง" เป็นหนทางปลีกวิเวก คุณูปการของ HM ด้านอื่น บ้าน/แหล่งระบาย/แสดงอำนาจ/ความรู้แท้ แล้วบังเกิดให้ "ซาบซึ้ง..แต่ไร้ตรรกะ" ที่น่าเคารพ "การปฏิเสธที่จะโต้แย้งใดๆ" คงเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาจุดยืน และ "ให้" เกียรติแก่ HM ที่ไม่สามารถประกาศตนได้ว่า กินอิ่ม นอนหลับ เราคือผู้มอบวิญญาณแก่องค์เทพ/องค์เทพอยู่กับ HM เยี่ยงการร้องขอ/เรียกร้องอย่างปุถุชนทั่วไป   ที่กล่าวมาอาจ "เข้าไม่ถึง"...คำว่า "ให้" จึงยังไม่มีในมโนสำนึก แต่จะแย่เข้าไปอีกหาก "ซาบซึ้ง/แปลความหมายผิด" ก็คงต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ เป็นเรื่องปัจเจกจริงๆ คนเราปรับเปลี่ยนยาก..... เห้อออ แค่คำว่า "ให้" ด้วยความเคารพ [/HIGHLIGHT]

สูจิน. เข็ม; เครื่องชี้; รายการ; สารบัญ. (ป., ส.).

สูติ, สูติ–[สู–ติ–] น. การเกิด, กําเนิด, การคลอดบุตร. (ส.).

สูจิบัตรน. ใบแจ้งกำหนดการต่าง ๆ ในการประชุม การแสดงมหรสพ
เป็นต้น เช่น สูจิบัตรการแสดงวิพิธทัศนา.
สูติบัตรน. เอกสารที่แสดงถึงสัญชาติ วัน เดือน ปี เวลา สถานที่
เกิด และชื่อบิดามารดาของบุคคลโดยนาย ทะเบียนเป็น
ผู้ออกให้.
จำว่า สูติ แปลว่าเกิด ก็ได้ครับ เหมือนประสูติ

ประสูติ, ประสูติ-[ปฺระสูด, ปฺระสูติ-] (ราชา) น. การเกิด; การคลอด. ก. เกิด; คลอด.
(ส. ปฺรสูติ; ป. ปสูติ).

Quote from: Fluorine on February 24, 2010, 22:04:49
"พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ และยอมรับผลกรรมโดยไม่ตอบโต้"

พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้ยอมรับกรรมโดยไม่ตอบโต้ครับ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นทุกข์ สอนให้รู้ว่าทุกข์นี้เกิดขึ้นจากสมุทัย สอนให้รู้ว่าเส้นชัยที่จะพ้นจากทุกข์นี้คือนิโรธ และสอนให้รู้ว่าทางที่จะไปยังเส้นชัยนั้นคือมรรค
พระองค์ไม่ได้สอนให้คนยอมรับผลกรรมอย่างเดียว แต่ให้ปฏิบัติกรรมดี และมรรคเพื่อพ้นจากทุกข์ด้วย
นี่คือคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาครับ

"พระแม่ทุรคา พระแม่กาลี พระแม่คือผู้มีความยุติธรรม และจะต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง และสอนให้รู้จักการขอพรกับพระองค์เพื่อให้พระองค์เมตตาประทานความเข้มแข็งและพลังใจ แต่เมื่อดิฉันได้ตั้งกระทู้การบูชาพระแม่กาลี ทำไมหลาย ๆ คนบอกว่าไม่จำเป็นมันอยู่ที่ใจ และอย่าหวังผลอะไรในการเคารพบูชา"

หลักของการบูชาเทพเจ้าทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่ความเข้มแข็งและพลังใจเท่านั้นที่ผู้บูชาจะได้รับจากพระเป็นเจ้า ผู้บูชาจะได้รับการคุ้มครองปกป้อง และสิ่งดีงามทั้งหลายย่อมถูกชักนำเข้าหาผู้ที่บูชาเอง โดยไม่ต้องคาดหวัง แต่สิ่งที่สูงสุดที่ผู้บูชาปรารถนาคือการเข้าถึงพระเป็นเจ้า และยกระดับจิตใจและจิตวิญญาณของเราเพื่อเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่ใช่เพียงผลที่ควรจะคาดหวังอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่เป็นผลดีกับจิตวิญญาณของผู้บูชาเองในที่สุดด้วยครับ   

เห็นด้วยคับพี่
คุณความดี....มิได้ขึ้นอยู่กับสายตาใคร

เกิดขึ้นย่อมมีดับไปเป็นธรรมดาดั่งพุทธองค์ทรงตรัส