เมื่อครั้นที่พระฤๅษีอากาธิญาณได้ทำพิธีสักการะพระศิวะเจ้า และได้ขอพรว่า ขอให้ตนได้ยินยลการเริงระบำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่เจ้าปารวตี และพระศดาศิวะ คำขอนั้นทำให้พระผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองทรงลุกขึ้นจากสมาธิและออกมาร่ายรำตามคำขอนั้น แต่แล้วการร่ายรำก็ได้สะดุดลง เนื่องจากต่างหูของพระแม่ได้หลุดออกในขณะทรงระบำ พระองค์ไม่อยากหยุดร่ายรำจึงใช้พระบาทหนีบต่างหูขึ้นมาเหน็บไว้ที่ข้างพระกรรณของพระองค์ พระแม่เจ้าปารวตีเห็นดังนั้นจึงทรงพิโรธเป็นการมาก เพราะพระศิวะได้หยามพระนางโดยการใช้เท้าหนีบต่างหูอันเป็นเครื่องหมายแห่งพระนางที่เป็นเหมือนขุมพลังของพระศิวะเจ้า พร้อมกับตำหนิพระศิวะด้วยโทสะอันรุนแรงจนทรงเผลอตรัสออกไปว่า พระศิวะทรงเป็นโยคีนุ่งห่มหนังเสือหนังหมีป่าเถื่อน ทรงมีสังวาลย์เป็นอสรพิษน่าขยะแขยง และทรงมีตาที่สามประหลาดแท้ พระศดาศิวะฟังดังนั้นจึงพิโรธมากได้ทรงร่ายคำสาปให้พระแม่ปารวตีเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง พระนางทรงเศร้าเสียใจเป็นอันมากที่ได้ดูถูกพระสวามีเช่นนั้น แต่เมื่อคำสาปได้ถูกสาปออกไปแล้วพระนางจึงต้องลงมาเกิดเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์เมืองปาเดียน ในสังคมของชาวทมิฬ โดยการนำพาของพระวิษณุเจ้า ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของพระองค์
พระนางได้ทรงกำเนิดอีกครั้งจากกองไฟที่กษัตริย์และราชินีเมืองปานเดียนทำการบูชาเพื่อขอบุตร พระนางทรงเป็นเด็กสาววัย3ขวบ ลอยอยู่เหนือกองไฟ บนพระอุระของพระนางปรากฎพระถันถึง3จุดด้วยกัน กษัตริย์ปานเดียนและราชินีต่างพอพระหฤทัยมากและรับเป็นบุตรสาวทันที โดยตั้งพระนามว่า ธาดาทาไก หรือแปลว่า ผู้ที่กำเนิดจากพระอัคนี พระนางทรงเติบโตขึ้นด้วยความห้าวหาญ ดุร้ายดุจบุรุษเพศ ทรงเก่งกล้าสามารถทั้งเวทย์มนต์ การต่อสู้ และทรงเป็นเอกกวีที่หาใครเทียบยาก เล่ากันว่า พระนางมักจะปลอมพระองค์เป็นสาวชาวบ้านออกไปนิเวศน์พระนครปาเดียนอยู่บ่อยๆ และได้ทรงช่วยเหลือผู้คนไว้มากมาย
ครั้งหนึ่งที่เกิดช้างพลายตกมันบุกเข้าพระราชฐาน หากองทหารและควาญช้างผู้ใด ก็ไม่สามารถหยุดช้างตกมันเชือกนี้ได้ พระนางเพียงเดินเข้าไปลูบหัวช้างตัวนี้ ก็กลับเชื่องทันทีสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ชาวเมืองเป็นอันมาก เมื่อพระนางเจริญพระชรรษาได้20ปี ทรงได้ปกครองเมืองแทนพระราชบิดา โดยมีพระนามที่ฤๅษีอากาธิญาณตั้งมาใหม่ว่า มีนาคชี แปลว่า ตาปลา กล่าวคือ ปลาในแม่น้ำคงคาวางไข่ไว้ในตาตัวเอง และประทังความหิวโดยการมองลูกๆของมันเติบโตอย่างมีความสุข พระแม่มีนาคชีได้ทรงปกครองเมืองด้วยความห้าวหาญและเข้มแข็ง ดุจขุนศึกนักรบ พระนางทรงเลิกธรรมเนียมที่ผู้หญิงต้องนำของหมั้นไปให้แก่ฝ่ายชาย และที่สำคัญพระนางทรงเลิกประเพณีการบูชาพระอินทร์ ที่ต้องปล่อยฝูงม้าพหุปการ100ตัว หากไปหยุดที่เมืองใดก็ต้องมีการประหัตประหารกันเพื่อแย่งชิงดินแดน โดยพระนางกล่าวว่า การบูชาพระอินทร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างความเจริญอะไรเลย พระอินทร์ทรงรับรู้และทรงพิโรธเอามาก ได้ส่งกองทัพเทวดาลงมาปั่นป่วนเมืองปานเดียนให้วอดวาย แต่พระศิวะทรงทราบก่อนจึงทรงแปลงพระองค์เป็นชายหนุ่มมาช่วยพระแม่มีนาคชีต่อสู้จนได้รับชัยชนะ หลังจากนั้นพระแม่มีนาคชีได้แต่กองทัพพร้อมกับหญิงรับใช้นามว่า สุมาธิ ขึ้นไปบนวิมานของพระอินทร์ เหล่าเทวดาทราบได้หนีกันอลหม่านโดยมีเพียง พระวายุเทพ พระอัคนีเทพ พระวรุณเทพ และพระยมเทพรับหน้า แต่ทั้งหมดก็ไม่อาจทำอะไรพระนางได้ เพราะพระนางทรงมีพระบุญญาณุภาพที่สูงส่งกว่า พระอินทร์หนีไปเข้าเฝ้าขอร้องพระศิวะให้ช่วยตน และหลบซ่อนอยู่ที่เขาไกรลาศนั่นเอง เมื่อพระแม่มีนาคชีรู้ข่าวจากเทวฤๅษีนารัท จึงติดตามไปที่ไกรลาศ แต่พระโคนันทิห้ามไว้ จึงถูกทำร้ายจนสาหัส ความร้อนไปถึงพระศิวะทรงออกมาพบกับพระแม่มีนาคชี ทันใดนั้นความดุร้าย ห้าวหาญเยี่ยงบุรุษเพศและพระถันที่สามของพระนางได้เลือนหายไป ทรงทิ้งอาวุธและทรงมีความเขินอายดั่งสตรีเพศเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นพระศิวะ คำสาปของพระศิวะได้หมดสิ้นไป และได้ทรงสยุมพรกับพระศิวะอีกครั้งหนึ่ง
(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Ffiles.myopera.com%2FTamil%2Falbums%2F196902%2FGods.jpg&hash=bb63c85bb94288973849d7171635692b33aa3baf)
ในวันที่ทรงอภิเษกนั้นเทพจักรวาลทั้งหลายต่างมาชุมนุมกันที่นครปานเดียน พระแม่มีนาคชีทรงแต่องค์ทรงเครื่อง และไดทรงทำทักษิณานุปาทาน7รอบกองไฟบูชา โดยการนำพาของพระวิษณุเจ้า(เป็นองค์แบ่งภาคของพระศิวะที่อธิษฐานขึ้น เกิดมาใหม่นามว่า พระหริหระ)เข้าสู่พิธี ในงานนั้นพระศิวะได้ทรงเนรมิตอสูรขึ้นตนหนึ่ง เพื่อสร้างแม่น้ำสายสำคัญในเมืองปานเดียนขึ้นคล้ายๆกับเป็นของขวัญแต่งงานของพระองค์ ในวันที่ทรงอภิเษกนั้นได้มีการเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่เรียกว่า วันมีนาคชีกัลยานัม
พระศิวะกับพระแม่มีนาคชีได้ทรงอยู่ปกครองเมืองปานเดียนด้วยกัน และทรงมีพระราชโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ซึ่งทรงพระนามว่า พระศรีรุทราปาเดียน อันเป็นพระมหากษัตริย์ของชาวทมิฬต่อมา หลังจากที่พระนางและพระศิวะทรงกลับไปไกรลาศดังเดิม
*****พระแม่มีนาคชีทรงเป็นเทพมารดรที่เชื่อว่าไม่ได้มาจากสมมติเทพ แต่น่าจะทรงพระชมน์ชีพอยู่จริงๆ ชาวทมิฬยกย่องให้พระนางเป็นเทพมารดรแห่งสายน้ำ บทมหัตราทั้ง108 (การร่ายรำ) ทรงเป็นพระแม่แห่งมนตราแก้คำสาป ภาษาทมิฬ ทรงเป็นมารดาแห่งพระวินัยกันและพระมุรุกัน รวมถึงชาวทมิฬทุกคน พระนางทรงตรัสว่า ทมิฬคือความหวัง เพราะทมิฬกำเนิดจากพระศิวะเจ้า ทมิฬมีอำนาจคือพระแม่อัมมัน ทมิฬมีความสดใสคือพระมุรากัน
กล่าวกันว่าผู้ใดสวดพระนามของพระนางแล้วจะพ้นซึ่งความเกลียดคร้าน ความโง่เขลา พระนางจะทรงประทานพลังชีวิตและจิตใจให้แก่คนผู้นั้น พระนางทรงประทานความกล้าหาญในการฝ่าฟันอุปสรรค การทำงาน ซึ่งเข้ากับกระแสชีวิตของเราๆท่านๆในปัจจุบัน สำหรับผมพระนางจึงเปรียบเสมือนมารดาที่คอยชี้นำชีวิตไปในทางที่ดี ไม่ให้ลูกตกต่ำ พระแม่ทรงเหมือนแสงสว่างที่ทำลายกำแพงแห่งกิเลส อวิชชาความเห็นแก่ตัวให้หมดสิ้นไป *****
ขอบคุณ
คุณ Morinaka
โพสไว้ในบอร์ด Hindumeeting เก่าครับ
ตอนนี้ผมค้นเจอข้อมูลจากบอร์ดเก่าบางส่วนครับ เห็นว่ามีประโยชน์กับผู้ศึกษาใหม่ เลยโพสให้ได้ชมกันครับ
ขอบคุณพี่กาลิทัสที่เอามาแปะจากบอร์ดเก่านะครับ
เหมาะกับมือใหม่อย่างผมสุดๆเลย ^_^
(https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fupload.wikimedia.org%2Fwikipedia%2Fcommons%2Fc%2Fc0%2FMeenakshi-deity.jpg&hash=bc29cd07ce68668885ff0b71c4bef283e92120ed) (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/c0/Meenakshi-deity.jpg)
คา ถา บูชา พระแม่ มีนาคชิ
นมัสเต สดาปานาเดียรราเจน ระกันเย
นมัสเต สดาสุนดาเรทราม กะอา เฮ
นมัสเต นมัสเต สุหมี่นาคชรี เดวี
นมัสเต นมัสเต ปุรัตเต้ นโมตุ
ไม่แจกเพลงบูชาของพระแม่องค์นี้เหรอค่ะ
อสูรที่พระศิวะเนรมิตขึ้นมานั้น มีนามว่า ไวไกย และแม่น้ำที่กำเนิดขึ้นมา พระแม่
มินาคชี ได้ทรงตั้งชื่อแม่น้ำนั้นตามชื่ออสูรว่า แม่น้ำไวไกย
ภาคที่พระศิวะแบ่งครึ่งกับพระนารายณ์นั้น พระศิวะทรงตั้งชื่อว่า ตระงัน และ
ได้ทรงโปรดให้สร้างเทวสถานขึ้น ชื่อว่าตระงันเพื่อบูชาต่อไป หรือที่เราเรียกว่า
" พระหริหระ " นั่นเอง....
หลังจากพระโอรส พระศรีรุทราปาเดียน ได้เติบโตเป็นหนุ่มแลัว พระนารัทมุนี
ได้แอบไปเป่าหู อัตทาอสูรซึ่งกำลังเข้าสมาธินานถึง 18 ปี อัตทาอสูรนี้ได้กำเนิด
มาจากเม็ดเหงื่อของพระศิวะและต้องคำสาปว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของพระศิวะ
พระนารัทมุนีได้เป่าหูอสูรว่า พระศิวะนั้นเกรงกลัวอัตทาอสูรมากจึงหนีจาก
สวรรค์ลงมาอยู่เมืองมนุษย์จึงทำให้สวรรค์ไม่มีใครปกครอง.จึงทำให้อัตทาอสูร
กำเริบในฤทธิ์ของตนไปรุกรานสวรรค์ และเขาไกรลาส จนเหล่า พระอินทร์
เทวดา และนนทิ หนีไปคนละทิศละทาง พระศิวะทรงรับรู้ด้วยญาณ และทรง
เสด็จขึ้นมาปราบ จนอสูรถึงแก่ความตาย และเสด็จลงมาเมืองมนุษย์ แต่งตั้ง
พระโอรส พระศรีรุทราปาเดียนขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์ พระศิวะและพระแม่
มินาคชี ได้ทรงมอบ อาวุธวิเศษ ให้แก่พระโอรสคนละอย่างแล้วจึงเสด็จกลับไป
ยังเขาไกรลาสดังเดิม...
***พระมเหสีของพระศรีรุทราปาเดียนทรงมีพระนามว่า พระนางรุทรา...
ขอบคุณครับพี่กุหลาบขาว (https://forum.hindumeeting.com/proxy.php?request=http%3A%2F%2Fwww.hindumeeting.com%2Fforum%2Frichedit%2Fsmileys%2Fhm%2Fb005.gif&hash=628fbe9ad458d7a59e63c295f153738564b6b83c) ฝากเนื้อฝากตัวเป็นน้องชายอีกซักคนนะพี่คับ แหะๆๆๆ
ดีใจจัง พระแม่มีนาคชี ลูกขอกราบนมัสการ ลูกคิดถึงแม่ตลอดเวลา สักวัน ลูกจะกลับบ้านไปอยู่แทบพระบาทแม่
ขอบคุณค่ะ เรื่องน่าอ่านและสนุกมากๆ เลยค่ะ
รุทระ ปาณฑยัน คือ พระสุนทเรศวร
วัดมีนากษี ชื่อเรียกเต็มๆว่า วัดมีนากษีสุนทเรศวร