Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - sacred avatar

#1
เรียบร้อยสะอาดตาค่ะ

ขอถามหน่อยนะค่ะ พระลักษมี องค์ที่ 2 ถัดจากองค์ประธาน ที่เนื้อผิวสีน้ำตาล เชิญมาจากไหนค่ะ งามดีค่ะ เป็นเนื้ออะไรค่ะ เพราะ น่าจะ เพ้นท์สีอคิลิก แล้วคงสวยพอดูทีเดียว
#2
เห็นด้วยกับ คุณพี่กาลิทัส อย่างยิ่งค่ะ

ตอนนี้เท่าที่ดู จุดประสงค์เวป แปรเปลี่ยนไปด้วยหลายวัตถุประสงค์ จนอาจเป็นที่หนักใจ ของ เจ้าของบอร์ดของ Hindumeeting  และ เจตนาบอร์ดของ Hindumeeting ที่จิง คุณพี่ มีอำนาจเต็มในการพิจรณา ผู้กระทำผิด หรือ ผู้ปฎิบัตินอกกรอบ จนทำให้วัตถุประสงค์แปรเปลี่ยน แต่ เวลามีปัญหา คนที่รับผิดชอบล้วนแล้วคือ เจ้าของเว็บ ไม่ใช่ผู้มาเยื่อนแต่อย่างไำร


*ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันขอเสนอความคิดเห็นนะค่ะ คุณพี่กาลิทัส ขอให้ใช้อำนาจเต็มที่มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าใครจะว่าเป็นเผด็จการ แต่จงดำึ่รงซึ่งกฎที่ตัวเองและเป้าหมายตั้งไว้ และ จงทำจริง เพื่อไม่ให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และกฏต้องบังคับใช้กับทุกคนไม่ว่าจะคนใกล้ตัว หรือ ตัวเจ้าของบอรด์เอง  มิฉะนั้น จะเป็นข้อตำหนิในวันหลังได้


คุณพี่กาลิทัส ต้องพิจรณาจาก 1.วัตถุประสงค์บอรด์ 2.คอมเม้นสื่อประชดประชัน 3.คอมเม้นเพื่อเข้ามาให้กระทู้รวนผิดจากคำถาม 4.คอมเม้นส่อหรือสื่อผิดจุดประสงค์ 5.คอมเม้นที่วุตถุโดยอ่านแล้วบ่งชัดว่าต้องการทำอะไรในแนวทางที่ผิด


ขอให้ คุณพี่กาลิทัส จงใช้อำนาจและกฏที่มีอยู่ เพื่อ รักษา ระดับ และ จุดประสงค์ให้ผ่านไปด้วยดีค่ะ


[HIGHLIGHT=#76923c]**ถ้าผู้ใดไม่รักษากฏกติกามารยาท ของแต่ละแห่ง ซึ่ง บัณญัต ไว้ เพื่อจุดประสงค์หลัก และ เพื่อการควบคุมในระบบ กฏนั้นจะเสื่อมและถูกทำลาย จนไม่เหลืออะไรเลย [/HIGHLIGHT]
#3
เท่าที่อ่าน คุณกี้ อาจต้องการ พิมพ์ว่า หนู ค่ะ แต่ อาจพิมพ์ผิดไป 
#4
อ่านแล้วรู้สึกดี ค่ะ ยังมีคนในสังคมที่บูชพระเป็นเจ้า ตามแนวคิดเจ้าของกระทู้ ถือ ว่า ดี ถึงบางข้อ ดิฉันอาจมีความคิดต่างไปบ้างแต่ ที่จริงแล้ว ก็ แนวทางศรัทธาจากใจเหมือนกัน

หมายเหตุ ความคิดส่วนบุคคลไม่ว่ากันนะค่ะ

ขอพูด ถึง คุณ ตรีศังกุ บางข้อหน่อยนะค่ะ เราอาจมีความเห็นที่ต่างกันบ้างคงไม่ว่ากัน

ดิฉันบูชาพระเป็นเจ้าตามแบบความเชื่อแล้วศรัทธาในใจ จึงมีความคิดเห็นบางอย่างที่ต่างกัน เพราะดิฉันไม่เคยบูชาพระเจ้าในรูปแบบหนังภารตะ หรือ ตามตำราที่ว่าด้วยหลายอย่าง เพราะตามความจริงของมนุษย์แล้วไม่ต้องตัดคอถึง10คอค่ะ แค่ ปลายมีดกีดโดนเนื้อตรงคอ ก็สะกดคำว่า ตาย ได้แล้วค่ะ เพราะ ไม่เชื่อเรื่องที่พระองค์จำใจให้พร แต่ พระองค์ต้องทรงเห็นจิตใจแห่งศรัทธา ณ.ตอนนั้น และ ทุกครั้ง เพราะคงไม่มีใครหลอก พระเป็นเจ้าแห่งศรัทธาได้ 


เพราะฉนั้น ดิฉัน การบูชาทุกครั้งทำด้วยความบริสุทธิ์ แต่จะบอกว่า ไม่เคยขอพรนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะดิฉันคือหนึ่งคนที่ไม่โกหกตัวเอง ดังนั้น ดิฉันจึงขอพรทุกวัน เพราะ ดิฉันจะกล่าวต่อหน้าศรัทธาของดิฉันว่า(ขออนุญาต นะค่ะ เพราะ ต้องขอยกตัวอย่างคำพูดคนๆนึงที่มีศรัทธากับพระเจ้าเหมือนกัน แต่ มีแนวคิดที่ต่างค่ะ)

ลูกเป็นคนๆนึงที่มีกิเลศตัณหาเยี่ยงมนุษย์พึงมี พระองค์คือความเป็นธรรม พระองค์คือสัจจะ พระองค์ทรงมีรอยยิ้มซึ่งเปรียบเสมือนพรติดตัวอยู่อย่างตลอดเวลา เพราะฉนั้น พระองค์ทรงเห็นด้วยพระองค์เองโดยไม่ต้องมีใครตัดสินหรือชี้นำพระองค์ พระองค์ คือ ต้นกำเนิดของคำว่า พ่อ และ แม่ ดั่งนั้น คำว่าผู้ให้และเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ลูกปฎิบัติตามพระองค์มาตลอด .......


ดังนั้น ดิฉันจะเชื่อในความเป็นจริง ไม่ว่าความสุข ความเป็นอยู่ ในปัจจุบัน และ อนาคต เพราะนั่นคือคำตอบ และ บทตัดสินว่า คนนั้น ศรัทธาจริงหรือศรัทธาลวงค่ะ สิ่งนั้นคือ รอยยิ้มที่พระเจ้าทรงให้เรามีรอยยิ้มนั้น ติดตัวเราเช่นกัน

**ไม่ว่ากันนะค่ะ คือ ความเชื่อและความคิดส่วนบุคคลค่ะ ถ้าขัดกับหลักการใดขออภัยค่ะ
#5
ค่ะ.............เห็นด้วยกับคุณ สิวรีย์ ...ในคำที่ว่า อันนี้คือสิ่งที่ดิฉันทำนะคะ อาจจะผิดหลักการไปบ้าง แต่ทำแล้วสบายใจและสบายกายค่ะ เลยมาเล่าให้ฟังในฐานะที่เราต่างก็เป็นข้าพระบาทของพระศรีดุจเดียวกัน และดิฉันก็เชื่อว่าพระองค์ท่านจะทรงคุ้มครองคุณ ผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาอย่างแน่นอน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพราะ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่บูชาพระลักษมีเป็นประธานในบ้าน และ บูชา เทพฝ่ายมารดาเป็นใหญ่ การบูชาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หรือ เหมือน ก็ สุดแล้วแต่กำลัง และ ตัวบุคคล การบูชามากหรือน้อย ไม่ใช่ตัวชี้วัด ว่าใคร ศรัทธามาก หรือ น้อยกว่ากัน แต่ การศรัทธาด้วยใจแท้ของมนุษย์ สิ่งนี้ต่างหาก คือสิ่งวัดค่า ว่าคุณศรัทธาพระองค์แบบไหน เท่าที่อ่าน ของ เจ้าของ กระทู้ และ คุณสิวรีย์ ก็เป็นการบูชาที่ทำมาจากใจค่ะ ถือว่า ล้วนแล้วแต่ดี แต่นี่เราถือมาแรกเปลี่ยนให้เห็นถึงการบูชาพระมารดาพระองค์นี้ และ เทพเจ้าอีกหลายพระองค์ที่เราศรัทธากัน ถึงสิ่งไหนเราสามรถพูดได้ นำเสนอได้ สิ่งไหนเป็นพิธีการบูชาส่วนตัว ก็อาจที่จะนำเสนอไม่ได้ อาจจะมีอะไร ที่ดิฉันบูชาต่างไปบ้าง ก็ขอให้เป็นอีกหนึ่งคนที่มีการบูชา พระเป็นเจ้า เหมือนดั่งหลายๆคนนะค่ะ

ดิฉันบูชาพระมารดาพระองค์มาก็ศรัทธาไม่น้อยกว่าสิ่งใด สิ่งเดียวที่คิดไว้เสมอ

ข้อที่1.วันแรกทำอย่าไร วันต่อไปก็ต้องอย่างนั้น สิ่งได้ทำเพิ่มได้ ก็ทำ แต่ ห้ามลดหย่อนให้น้อยลง เพราะแสดงว่าเราไม่สม่ำเสมอ กับศรัทธาของเรา เพราะฉนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา มนต์ จะไม่เคยขาดหายจากห้องบูชาแห่งนี้ แสงประทีป ไม่ว่าจะแสงประทีปที่ถูกจุดมาจากศรัทธาในหัวใจ หรือ แสงประทีปแห่งความจริง ก็จะไม่มีวันดับจากห้องบูชานี้เช่นกันค่ะ นี่คือหนึ่งอย่างค่ะ

ข้อที่2.ดิฉันจะสวดมนต์บูชาพระ และ เทพเจ้า รวมถึง สิ่งที่ศรัทธาทุกวัน ในช่วงค่ำ ถ้าวันธรรมดา ก็จะสวดบทสั้นแต่ ถ้าวันพระของไทย และ วันพฤหัส จะสวดมนต์แบบยาว  ดิฉันจะไม่เน้นเรื่องมนต์เท่าไรค่ะ แต่ที่เห็นเวลานาน อาจเพราะ ต้อง ไหว้หลายองค์ ค่ะ )(2 วันนี้ จะงดทานสัตว์ใหญ่ และ ขออนุญาตนะค่ะ จะไม่แตะต้องด้านกามอารมณ์กับบุคคลที่เราคิดว่าเป็นเพศตรงข้ามเราเด็ดขาด) เพราะ อยากให้ เป็นวันที่สะอาดที่สุด ค่ะ ตกเดือนหนึ่ง จะ 8 วัน ก็เหมือนเรารักษาสุขภาพไปในตัว

หมายเหตุ ความเชื่อส่วนบุคคล นะคะ ข้อ2 นี้ ดิฉันเชื่อว่า วันแห่งศรีหริ คือวันพฤหัส และ เป็นวันคล้ายวันเกิด ดิฉัน ส่วนวันพระ เป็น ความสมควร ที่เราชาวพุทธ อาจทำได้ค่ะ )


ข้อที่3. เวลาอยู่ในห้องบูชา เวลาท่องมนต์ จะไม่ให้ ใครเดินเข้ามาในห้อง เพราะ เปรียบเสมือนการเดิน ค้ำหัว หรือ ส่งเสียงดังในห้องนี้เด็ดขาด เพราะ ดิฉันเชื่อว่า เป็นเวลาที่กำลัง ศรัทธา ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ดิฉัน นับถือ ก็เปรียบเหมือน ประเพณีคนไทย เวลาคุยหรือไหว้ผู้ใหญ่ การเดินค้ำหัว ส่งเสียงดัง เป็นมารยาทที่ไม่ให้เกียรติ สิ่งที่เรานับถือ และ สักการะอยู่


ข้อที่4. เวลาบูชา กำยาน กับ เครื่องหอมจะขาดไม่ได้ค่ะ รวมถึง แสงประทีป เพราะ บ้านดิฉัน พูดตรงๆ ถวายดอกไม้เฉพาะวันพระ เปลี่ยน น้ำ เฉพาะวันพระ ค่ะ และการบูชาถึงสวดมนต์เสร็จแล้ว ที่ห้องบูชาจะเปิดเพลงสรรเสริญเทพทุกวันค่ะ และ จะปิดก็ต่อเมื่อ ควันกำยาน และ แสงไฟจากการบูร หรือ แม้แต่ โถไฟ ที่จะจุดขึ้น เวลาบูชาเสร็จ จะดับไปเองค่ะ ถึงจะเป็นเวลา ปิดเพลงสรรเสริญ

ข้อที่5. ดิฉันจะถวายผ้าสาหรี เพราะ ถือว่าเป็น อาภรณ์ ความมั่งคั่งของพระลักษมี จุดตรงกลาง ตกปีหนึ่ง จะ  6 ครั้ง แต่ไม่ขอระบุว่ากี่ผืนนะค่ะ เพราะ ที่ความเชื่อ 6 ครั้ง นี้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ จะถวายทุก 4 เดือน คือ 3 ครั้ง และ ถวาย อีก 3 ครั้งคือ วันสงกรานต์ แบบไทย และ วันดีปาวาลี และสุดท้ายคือวันบูชาพระลักษมีที่จัดเป็นการภายในส่วนตัวประจำปี อีก 1 ครั้งค่ะ


สรุปแล้ว การบูชา ของดิฉันจะไปใส่ใจกับ รายละเอียดบางอย่างมากกว่า ค่ะ คือ อยากให้ใส่ใจในรายละเอียด ยิ่งเราเป็นคนไทยด้วยแล้ว สิ่งนี้มันเหมือนข้อดีติดตัวเรามาเรื่องความปราณีต และ ความระเอียด แบบไทยๆ และ เป็นการฝึกนิสัยของตัวเราด้วยค่ะ เช่น ดิฉันไม่เคยแม้แต่ชี้นิ้ว ใส่มูรติ หรือ สัญลักษณ์แห่งพระเป็นเจ้า ถึงแม้ เวลาไปซื้ออะไรก็ตาม ที่เป็นพระองค์ เพราะ การชี้นิ้วใส่ท่าน เป็นการดูถูกและเหยียบหยามท่านอย่างรุนแรงค่ะ อยากฝากไว้ ถึงเปงเรื่องเล็ก แต่ลองคิดดู ถ้าใครมาชี้หน้าเรา เราก็คิดใช่ไหมค่ะ ว่าชี้เพราะอะไร และการชี้นิ้ว แสดงถึงอะไร ขอให้ รักในศรัทธาที่มีนะค่ะ และ ขอให้ ยิ้มกับทุกวัน ที่ยังมีศรัทธา
[HIGHLIGHT=#ff0000]
การบูชาท่านก็อยากให้บูชาตามความสะดวก แต่อยากใส่ใจเท่านค่ะ สิ่งเหล่านี้มีสำคัญและมีค่ามากว่าสิ่งใด
[/HIGHLIGHT]

ทิ้งท้าย เหมือนกับทุกคนนะค่ะ การบูชา อาจแตกต่าง  แต่ ศรัทธา ถ้าใครที่ศรัทธาพระองค์อย่างแท้จริง เราคงไม่ต่างกัน ค่ะ อย่าแค่บูชาไปวันๆ อย่าแค่บูชาเพื่ออยากมีอยากได้ อย่าแค่บูชาแค่ตามๆกัน อย่าแค่บูชาเพื่อเอาชนะและหาผลประโยชน์ จงบูชาท่าน เหมือน ที่เมื่อก่อนจนถึงปัจจุบันนี้ เรารักพ่อแม่เรา เราห่วงพ่อแม่ เรา อย่างไร จงคิดว่าท่านคือพ่อแม่เราค่ะ และเราจะคิดแต่สิ่งดีๆกับท่าน รักท่าน เหมื่อนที่เรารักพ่อแม่ และ พ่อแม่รักเรา ค่ะ


#6
อย่างที่ คุณกาลิทัส  บอกค่ะ ไม่ใช่ ธนลักษมี ค่ะ แต่ เจ้าของกระทู้อาจหมายถึงรูปลักษณ์ของศิลปะรูปภาพค่ะ











หมายเหตุ ขอนำรูป พระลักษมี รูปแรก ของดิฉันที่บูชา มาด้วยใจอันศรัทธาเสมอมา และอาจน่าจะตรงกับเจตนาความต้องการแบบของเจ้าของกระทู้ค่ะ  และ ที่คุงจิ้งจอกพันหน้า พูดค่ะ ตรอกแขกมี แต่ บล๊อคโครงหน้ารูปบล๊อคนี้จะผอมกว่า รูปนี้ค่ะ

#7
Quote from: โอมมหาบารมีเทวา on February 07, 2010, 14:26:07
ส่วนเรื่องยันต์ ผมว่าอย่าเรียกว่ายันต์เลยดีกว่านะ เรียกว่า เทวศิลปะ จะดีกว่าเปรียบเหมือนรูปภาพที่เราบูชากันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ

ที่มาของ เทวศิลปะ มหาศาสตราวุธตรีศูล เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนตอน 4 ทุ่มหลังสวดมนต์เสร็จก็ได้นั้งสมาธิฝึกปฏิบัติอยู่ ก็นิมิตเห็น ตรีศูลของพระแม่ตั้งสง่าอยู่ มีมะนาวเสียบที่ปลายของตรีศูลทั้งสามง่าม จากนั้นก็มีอักษรโอม  ปรากฏขึ้นทางด้านขวาของตรีศูล แล้วก็มีอักษรสวัสดิกะปรากฏขึ้นทางด้านซ้ายของตรีศูล แล้วจากนั้นก็มีอักษรโอมกับตรีศูลเล็กๆอีกมากมายล้อมรอบ ภาพนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมากครับ ประมาณ 15 วินาทีได้ จะนั้นก็ออกจากสามธิและก็ประหลาดใจว่าทำไมถึงนิมิตแบบนี้ คืนต่อมาก็นิมิตแบบเดิมอีก เป็นแบบนี้อยู่4วัน พอวันที่5 คราวนี้มีโต้ะไม้ด้วยครับ เป็นโต้ะไม้หอมที่หอมมมากประดับด้วยมุกสวยมาก บนโต้ะมีกระดาษ1แผ่น มีถ้วย1ถ้วยในถ้วยมีฉาดสีแดงอยู่เต็มถ้วยแล้วก็มีขนนกยูงปักไว้ แล้วตรีศูลก็ได้ปรากฏอีกครั้ง  ครั้งนี้ไม่หายไปไหนครับปรากฏอยู่นานมาก เหมือนกับว่าต้องการให้ผมวาดสิ่งที่เห็นนั้นลงไป ก็ลองวาดลงไป พอวาดเสร็จกระดาษนั้นก็หายไป ตรีศูลที่ปรากฏขึ้นก็หายไป งง!เป็นไก่ตาแตกเลย วันรุ่งขึ้นเลยสวดมนต์แล้วทูลถามพระแม่ว่า พระแม่ต้องการให้ลูกทำอะไร จู่ไฟตะเกียงก็ดับไป1ตะเกียง ดับข้างที่ผมวางฉาดกับพู่กันจีนเอาไว้ คราวนี้ก็ปิ้งแล้วว่าอะไร ผมเลยลองเขียนตามที่ผมเขียนในนิมิต เขียนได้แค่10 แผ่นครับ ที่เหลือเสียหมดเลย เสียไปประมาณ20กว่าแผ่นได้ แผ่นที่เสียก็ได้เผาทำลายไปแล้ว จากนั้นก็เอามาอธิฐานจิตหลังสวดมนต์เสร็จทุกครั้ง ก็ประมาณ 7 วันได้ มีตั้ง10ใบไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยแบ่งให้ญาติพี่น้องคนแถวบ้านไปบ้างให้เขาเอาไปใส่กรอบแล้วบูชาหรือพกติดตัวไป  เก็บไว้ที่ตัวเอง2แผ่น ผมเองก็พกใส่กระเป๋าเงิน แล้วเมื่อพฤหัส กำลังเดินอยู่ที่ระเบียงโรงเรียนชั้นล่าง พวกพี่ปีสามเตะบอลกันอยู่ไม่รู้ว่ามันเตะกันยังไง เตะจนรองเท้ากระเด็นมาทางผม แต่แทนที่จะโดน แต่รองเท้ากลับหักเหไปทิศทางอื่นทั้งๆที่มันพุ่งมาด้วยความเร็วประชั้นชิดหน้าผมระยะครึ่งเมตร มันก็ประหลาดอีก

พวกพี่ว่าเทวศิลปะที่ปรากฏแบบนี้มันจะดีหรือไม่มันจะขัดทางศาสนาหรือไม่ออกความคิดเห็นได้เต็มที่


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวนะค่ะ พอได้อ่านที่คุงน้อง โอมมหาบารมีเทวา ได้เขียน ดิฉัน ทำได้แค่ เอามือปิดปาก ตำตาตื่นตกใจเล็กน้อย พร้อมมีเสียงอุทานในออกมาว่า โอ๋ๆๆๆๆโหหหหหหหหหหหห

อย่าถือว่าดิฉันเสนอความคิดเห็นอะไรที่ต่างเลย แต่ คิดว่า แนะนำในฐานะที่อายุอาจจะโตกว่า และ ไม่อยากเหงเด็กคนนึง หรือ อีกหลายๆคน เดินในเส้นทางที่คิดเอง หรือ มีคนสอนมาแต่อาจจะ ไม่เลิศ ของความหมายที่ว่าศรัทธาค่ะ

เหงด้วยกับความคิด คุงพี่  giftzy_69 มาก ว่า อย่าถือว่าสอนเลย ใช้คำว่าแนะนำกันดีกว่า / ถ้าคิดจะเดินทางนี้มันเสี่ยง (ดิฉันเติมให้ว่า ถ้าคิดจะทางนี้ กลับไปนั่งหาจุดตัวตนของตัวเราก่อน และ ถ้าเดินแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวัง แม้แต่คำพูด เพราะ บางครั้งคำพูดมันจะฆ่าตัวเราเอง ) บางครั้งเราอาจแนะนำ ในทางที่เรียบง่าย แต่ อาจยังคิดไม่ทัน ด้วยความเป็นเด็ก หรือ ด้วยอะไรก็แล้วแต่ ก็อยากให้คิดไตร่ตรองอะไร ก่อนจะทำหรือเขียนอะไรลงไป เพราะมันจะบ่งบอกถึง นิสัย และ ความเป็นตัวเรา

อย่าว่าดิฉัน แนะนำอะไรรุนแรงเลย แต่ หวังว่า คุงน้อง โอมมหาบารมีเทวา เอาไปไตร่ตรองสัก 30 วินาทีก็ยังดีค่ะ ว่า สิ่งที่เราทำหรือ อาจจะทำต่อๆไป มันควรหรือไม่ ถูกกาละเทศะหรือไม่ ตรงกับความหมายของคำว่ามารญาท และ กฏของแต่ละที่ ได้ตั้งมาแล้วควรกระทำตามอย่างไร

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เริ่มเข้าเรื่องค่ะ คุงน้อง โอมมหาบารมีเทวา

เรื่องยันต์ คุงน้องก็บอกว่า ให้คิดเปงเทวศิลปะ อันนี้ก็ไม่ได้ติเตียนอะไร เพราะ พอเข้าใจความหมาย แต่ คำว่า เทวศิลปะ ( ศิลปะ กับ ศิลป์ ความหมาย คล้ายกัน แต่ความเหมาะสมและการใช้ไม่คล้ายกันมากนัก ) สรุป  ดิฉัน ก็คงคิดว่า จะสื่อมาเเนว เทวศิลป์ แล้วกันนะค่ะ แต่ เท่าที่อ่านมา มันให้ความหมายอย่างนั้นไม่ได้เลย เพราะ ไม่ใช่แค่ คุงน้องจะจะเขียนตรีศูล แล้ว นั่นจะกลายเปงศิลปะ นะค่ะ คำว่าเทวศิลป์ ความหมายมันตรงตัวเลยนะค่ะ ศิลปะแห่งเทพเจ้า ศิลปะชั้นสูง ศิลปะแห่งศรัทธานะค่ะ เพราะฉนั้น ความรอบคอบ ความหมาย หรือแม้แต่ ความระเอียดอ่อน ก็ต้องมากกว่าศิลปะธรรมดาซะอีก ใช่ว่าจะบอกถึงนิมิต และ จะนั่งเขียนเป็นความศักดิ์สิทธิ์แห่งศรัทธา มันเป็นไปไม่ได้นะค่ะ แต่ ต่อให้ คุงน้องวาดรูปพระเป็นเจ้ามาเต็มองค์ด้วยนิมิต หรืออะไรก็ตาม แต่ ไม่ได้รู้ถึงความหมาย และสื่ออะไร มันก็ไม่ได้มีค่า และ อาจมีค่าน้อยกว่า คนๆนึงที่อาจจะวาดดวงตาพระเจ้า แต่แฝงด้วยศรัทธา และ ความหมาย กว่าที่วาดออกมาซะอีก ( คือ อันนี้ ดิฉัน ต้องขอพูด เพราะ เปงคนที่ชอบศิลปะ และ ศรัทธา ในพระเปงเจ้า มาก จึงไม่อยากให้น้องเข้าใจความกหมายของ เทวศิลป์ผิด ) ยกตัวอย่าง ดิฉันทำประตูทวารบาลที่ห้องพระส่วนตัวที่บ้าน ยังใช้เวลาศึกษา และ ร่างออกแบบบนกระดาษเพื่อเป็นเคล้าโครงถึง 8 เดือน สั่งทำประตูอีก 10 วัน และ ต้องหาช่างมา เขียนเทวศิลป์ และ เวลา กำหนดเขียน และ เขียนลงประตูเสร็จ เปงคำว่าเทวศิลป์ อีก 5-6 เดือน สรุป ดิฉันใช้ใช้จินตการแห่งศรัทธาความเชื่อ ออกมาในรูปเทวศิลป์ ถึง ปีครึ่ง เห็นความหมายของเทวศิลป์หรือยังค่ะ ว่าไม่ใช่แค่ มีนิมิต หรือ ฝันไป คิดไป จินตนาการไป และ จะลืมตามา เขียนออกมา สู่ศรัทธา เคารพได้เลย เพราะ ต้องมีศรัทธาที่บริสุทธิ์ ในใจก่อน และ คุงน้องบอกว่าให้ผู้คนไปกราบไหว้ อันนี้อันตรายค่ะ เพราะ กระดาษ หรือ ผ้าผืนนั้น ถ้าคุงน้องบูชาเองก็อาจไม่ผิด แต่ ตอนนี้ ศรัทธา โดนขยายออกไปในความเชื่อนิมิตของคุงน้องซึ่ง ไม่ควร เพราะ ดิฉันไม่ได้ว่าคุงน้องว่าไม่สะอาดนะ แต่ พร้อมแล้วหราค่ะ ศรัทธาในใจ มันเปงคำว่าผู้ให้โดยบริสุทธิ์สะอาดแล้วหรือยัง ผ้าผืนหนึ่ง แม่ผู้เอาเราออกวาจากท้องและเลี้ยงดูเรา แค่เอาเท้าเหยียบ ผ้าผืนนั้น ดิฉันยังว่า นั่น ยังทรงความศรักสิทธิ์ และ สอาดมากกว่า เพราะ แม่ คือ ผู้ให้เราอย่างแท้จิง เราสมควรกราบไหว้


**เครื่องรางของขลัง ก็เปรียบเหมือนกำลังใจ แต่ อยากให้คิดให้เป็น ความเชื่อ มีมันไม่ผิด แต่ ต้องดูด้วย ว่า ความเชื่อเรา สอนอะไรเรา หรือ สักแต่ว่าเชื่อ อย่างนั้น มันก็ได้ส่งผลให้ดีขึ้น แต่ยังดึงให้ต่ำลง

เรา ควรรู้ในความควร นะค่ะ ทุกอย่าง ถึงมีค่ามาก ราคาสูงไม่สูง แต่ ศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ มันมีค่ามากกว่า ตัวเงิน หรือ สิ่งของนับหลายเท่าค่ะ


หมายเหตุ อยากให้ คุงน้อง และ คนที่คิดบูชา ศรัทธา ให้มีสติ คิด ก่อนทำ คิด ก่อนพูด เพราะ นั่น จะทำให้ ศรัทธาเรามีค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเรา

**ไม่ว่ากันนะค่ะ แค่ อยากแนะนำ ทั้งเรื่อตามความเชื่อ และ ความคิดของดิฉัน หรือ แม้แต่ มารยาทในการใช้บรอด์กระทู้  และ กฏของแต่ละสถานที่ ซึ่งแตกต่างกัน
#8
อิอิ เข้ามากระทู้นี้ แล้วรู้สึกว่าอยากจะแสดงความคิดเห็นมากๆ เพราะ ไม่อยากให้ปล่อยเลยไป มิฉนั้น จะทำให้คำว่าศรัทธา ที่อยู่ในปากและกระทำอยู่ทุกวัน มันจะดูปลอม เพราะ ไม่ออกมาแสดงความเห็นในมุมที่ต้องรักษาเกียรติ ของพระเป็นเจ้า

เห็นด้วยกับ คุณ giftzy_69  โหราน้อย ที่สุด และ ก็ที่สุดดดดดดดดดด ค่ะ


ไม่ว่าจะ หมอดู หรือ กูรู ทั้งหลาย ก็ล้วนแล้ว แต่มีครูที่ดี คือ ตำราทั้งนั้น เพราะฉนั้น คงไม่มีใครเก่งหรือ รู้ดีไปมากกว่าใคร นอกเหนือ ความใฝ่พยายามในตัวเองทั้งหมดทั้งสิ้นและ คำที่คุณ โหราน้อย พูดมา เลิศค่ะ กับคำว่า ไม่อวดอ้างสรรพคุณ เพราะ สังคมสมัยนี้ ชอบสร้างกระแสอวดอ้างสรรพคุณ108  เพื่อ นำศรัทธามาผูกกับความงมงาย ให้ มองและเดินสู่ทางที่ผิดต่อการทำมาหากินให้ตัวเองดูดีรวมกับผลประโยชน์ทั้งสิ้น

เรื่อง หวย นี่นะ เห็นด้วยเลยว่า การจะได้มาซึ่งโชคลาภ อาจเพราะ เป็นคุณความดีที่เคยทำ หรือ ตามสถิติฟรุ๊ค ก็เป็นไปได้  ซึ่งไม่ใช่เหตุที่พระเป็นเจ้าจะทรงมาให้เด็ดขาด เพราะ พระองค์คงไม่ลำบากยากเข็นถึงขนาดต้องให้สิ่งที่มีความหมายเปงบาปเพื่อแลกกับ ของแก้บน (ขออนุญาติ นะค่ะ ใช้คำนี้) แต่ การที่เราจะมีผลต่อโชคลาภ หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่มีแม้แต่โชคลาภ เลย แต่ ยังทำการสักการะเสมอ นั่น ก็คือ ความศรัทธาที่สร้างสมอาจส่งผลต่อพรแห่งความปราถนามากกว่าจึงได้ความสำเร็จแห่งโชคลาภมาค่ะ

พระเป็นเจ้า คือผู้ประทานพร แห่ง ความหวัง ความรัก ความปราถนา นานาประการในตัญหาความอยากของมนุษย์ที่มีไม่มีวันสิ้นสุด แต่ ถ้าสิ่งใดได้มา เรา ก็ควร พึงรู้ไว้ถึงความควรไม่ควร การที่บอกว่า พระเป็นเจ้าประทานในสิ่งที่เป็นมุมแย่ของการไม่ใฝ่ในความดี และ ความถูกต้อง แสดงว่า เรากำลังดึงพระเป็นเจ้าลงมาสู่พื้นแห่งความต่ำของมนุษย์แทนที่จะให้พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ศรัทธาแห่งความดี ที่อยู่สูงค่า แก่การประทานพร แห่งความสุขปราถนาในคนที่ดำรงเส้นทางถูกและควร

เพราะฉนั้น เราต้องระวังคำพูดและกริยาแห่งศรัทธา ถ้าเราพูดว่า เราบนท่านและได้ว่าซึ่งหวย สิ่งนี้ต้องไปแก้บน (อย่าโกรธกันนะค่ะถ้ามีคำพูดแรงไป)การแก้บนครั้งนี้ไปถวาย เข็ม กับด้าย ให้ท่านเถอะค่ะ เพราะแสดงว่าท่านคงตกอับถึงขนาดให้สิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลง เพื่อแลกกับของแก้บน นั้นคงถวายเข็ม กับ ด้าย ดีที่สุดเพราะ ตอนนี้ไม่รู้ว่า อาภรณ์ที่ใส่ จะขาดเก่ามั่งยัง ต้องให้ท่าน เก็บไว้ ชุน ชุดที่ท่านใส่เถอะ ค่ะ แต่ ถ้าเราได้โชคลาภมาโดยที่เราบอกว่า เพราะความดีและศรัทธาที่เรามีต่อท่าน อาจส่งผลให้เราได้มีความสุข ด้าน ทรัพย์ ณ.ตอนนี้  ยังดู สละสรวยเสียกว่าค่ะ


**หมายเหตุ ขออภัยนะค่ะ ถ้าพูดแรง แต่ แค่ไม่อยากให้ใครมองพระองค์ ในด้านนึง ซึ่งมันจะส่งผลในแง่ลบกับศรัทธาก็เท่านั้นค่ะ เพราะฉนั้นใครที่ศรัทธาพระองค์ ก็สมควรให้ซึ่งคำว่า เกียรติ แด่พระองค์ค่ะ จงรักษาศักดิ์ศรีของพระองค์ ซึ่งการรักษานี้ สามารถแสดงออกมา ตามนาๆ ความศรัทธาความคิดของแต่ละคน แต่จง นำมาซึ่งความดี แห่งศรัทธาความเชื่อในใจมนุษย์ต่อไปเถอะค่ะ


มนุษย์นำศรัทธามาหาประโยชน์ใส่ตนจะมีสักกี่เปอร์เซนต์ในสังคม ที่ศรัทธาด้วยใจโดยไม่หวังผลประโยชน์ ที่ไม่กอบโกยเอาเงิน และ ชื่อเสียงใส่ตน











ขออนุญาติแสดงความเห็นนะค่ะ คงไม่ว่ากัน ดิฉันก็แค่คนที่ศรัทธา และ บูชา พระองค์ อย่างสม่ำเสมอ ตามความเชื่่อดิฉัน และ ดิฉันก็บูชา แบบ หิ้งเล็กๆในมุมห้องน้อยๆของที่บ้านแบบส่วนตัว  เลย อาจไม่ใช้กูรู และ  ห้องบูชาดิฉันคงอาจไม่มีของฤทธิ์แรง ก็ขออภัยนะค่ะ
#9
ขอเสนอความเห็นส่วนตัวนะค่ะ

ในเมื่อเจ้าของมีจุดประสงค์และคิดว่าท่านเป็นพระอุมา ก็สามารถบูชาท่านในนามแห่งพระแม่อุมา ได้ เพราะ พระเป็นเจ้า คงดูที่เจตนาแห่งศรัทธา มากกว่ารูปลักษณ์ ต่อให้ดิน1ก้อน ปั้นเป็นรูปร่างแห่งมูรติ นั่นก็คือพระเป็นเจ้าสำหรับเค้าคนนั้น หรือ แม้แต่ต้นไม้1ต้น ถ้ามีศรัทธาในใจจริง แต่เขียนดวงตาแห่งพระเป็นเจ้า นั่นก็คือพระเป็นเจ้า เพราะ พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่แม้กระทั่งในดวงใจของมนุษย์ เพราะฉนั้น เจตนา ศรัทธา เคารพเทิดทูล เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ว่า จะเชิญท่านในรูปลักษณ์พระนามใด เพราะ นามแห่งท่านคือความศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยรูปภาพ หรือ มูรติ เท่านั้น ค่ะ


เรามาคิดและมองแบบง่ายๆนะค่ะ ถ้ามีการคัดค้านว่า บูชาในนามพระอุมาไม่ได้ แต่ ย้อนกลับไประยะเวลาที่ผ่านมา เจ้าของ หรือ คนที่มีจุดประสงค์ในการบูชาท่านในนามแห่งพระอุมา เรียกขานท่านว่าพระอุมา ลองถามกลับว่า ช่วงที่บูชาท่านในนามพระอุมา เราเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เห็นและเกิดขึ้นอาจคือ ความสบายใจ เป็นแรงกำลังใจ  ถ้างั้น ความสบายใจ เป็นแรงกำลังใจ นั้นคือคำตอบว่า ท่านคือพระอุมาสำหรับท่านที่มีเจตนาตั้งแต่แรกค่ะ  เพราะ เรา ได้สิ่งนั้น จากเจตนาในนามอันศักดิ์สิทธิ์ มากกว่ามูรติ ที่มนุษย์สร้างเป็นเพียงมายาวัตถุเท่านั้น ค่ะ   


ส่วนนี้คือรูปบูชาที่บ้านที่วาดขึ้นมาบูชาเป็นการส่วนตัว แต่ เจตนาคือพระอุมา จึงบูชา รูปนี้ในนามพระแม่อุมาเทวี มาตลอด ถึง แม้ ศิลปะ อาจดูไปทางพระอัมมัน ก็ตามค่ะ


#10
เป็นกระทู้ที่ได้ความรู้ และ เป็นกระทู้ที่ดี อีกกระทู้นึง เพราะ ได้เหงแนวคิดหลายมุมมองไม่ว่า คุณ giftzy_69  คุณ Oam  คุณ nai 3  และ คุณ ตรีศังกุ เพราะ ทำให้ให้ถึงแนวคิดของแต่ละคนอย่างแน่ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

แต่ ที่คุณ ตรีสังกุ (ขออ้างอิง นะค่ะ ที่พูดว่า ) ไม่มีตำนานไหนที่บอกว่าพระแม่มารีอัมมัน มีบุตรชายชื่อคเณศ และขันทกุมาร

จริงค่ะ และ ก็ตอบได้เลยว่า ใครคิดว่า พระมารีอัมมัน เป็น ญาติ หรือ เป็นมารดา ของ 2 พระองค์นี้ คือ ผิด ค่ะ แต่เท่าที่อ่านในนี้ ไม่มีใครอ้างถึงนะค่ะ แต่ ใช้คำว่าประมานว่ามูรติ ที่อยู่ 2 ฝั่ง เท่านั้น เหมือนที่คุงตรีสังกุยกตัวอย่างนำรูปมาให้ดู นั้น ที่จริง ทางด้านศิลปะ เรียกว่า สถาปัตยกรรม ที่เป็น ส่วนประกอบ ของ สถานที่นั้นๆและ เจตนาคนสร้างขึ้นมาส่วนใหญ่ ก็ใช้คติ และ ความเชื่อส่วนตนทั้งนั้น ในการนับถือ



จริงๆแล้ว วัดแขกสีลม มีชื่อในภาษาทมิฬว่า "ติรูมารียัมมันโกยิล" (โกยิล - เทวสถาน) พระประธานก็ คือ พระมารีอัมมัน แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่คนไทย หรือการยึดตาม มติของคณาจารย์ และ เจตนาของ คณาจารย์ จึงได้เรียกว่า พระแม่มารีอัมมัน ว่า พระศรีมหาอุมาเทวี ( ถ้าจิงๆแล้วคำตอบ ก็รู้อยู่กันว่า คือ พระมารีอัมมัน แต่ถึงจะเป็นใคร ถ้าใจศรัทธา ทุกพระนามคือ ความศักดิ์สิทธิ์ ขอแค่วาง ในเรื่อง ลัทธินิกาย วางทฤษฎี บางอย่างเราจะเห็นว่า ล้วนแล้ว แต่ คือ ศรัทธา ของผู้คนทั้งนั้น ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่มนุษย์สร้างมา เพื่อเป็น แหล่งยึดเหนี่ยว หรือ เหตุผล ที่เราไม่สามารถตอบได้ในจุดประสงค์ของแต่ละคน ค่ะ )


แม้ว่า เมื่อก่อนวัดพระศรีมหาอุมาเทวี จะเป็นเพียงศาลเล็กๆ เข้าทำนอง ครามเทวตา แต่ ปัจจุบันได้กลายเป็นวัด่ในนิกายศักติแล้วค่ะิ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


มารี อาจจะแปลได้ว่า ศักติ หรือ พลัง   อัมมัน แปลว่า แม่

มารีอัมมัน จึงมีความหมายรวมว่า แม่พลังของชนชาวหมู่บ้าน

มารีอัมมัน ในอินเดียใต้ถูกบูชาเป็นพระเทวีของหมู่บ้าน ที่ค่อยส่งผลต่าง ๆ ต่อหมู่บ้าน พลังของมารีอัมมันเป็นอยู่ในลักษณะที่ค่อนข้างไปในทางลบมากกว่า เพราะถ้า คนในหมู่บ้านไม่บูชาให้พระแม่พอใจ โรคร้ายต่างๆจะปรากฏสนองคนที่อยู่ในหมู่บ้าน

ชาวอินเดียใต้จะบูชาพระแมมารีอัมมัน่มาก เพราะ พระมารีอัมมันไม่ได้ เป็นพระแม่ประจำของใคร


มารีอัมมันเป็นพลังงานของโลก ที่มาในสักษณะของ โรคระบาดต่าง ๆ เชื้อโรค ไข้ทรพิษ อีสุกอีใส และ อีกมากใน สังคม อินเดีย

บทบาทของพระแม่มารีอัมมันอยู่ในลักษณะของความไม่แน่นอน ท่านจะช่วยรักษา ความเจ็บปวด และ อาการป่วยด้วยโรค มาปกป้องคนในหมู่บ้าน จากโรคร้าย  เมื่อชาวบ้านป่วย นั้นหมายถึงถูกผีทำร้าย และ ระบาดไปทั่ว มารีอัมมันจะป่วยตามด้วย และ ป่วยมากที่สุดถึงที่สุด เพราะ ท่านต้อง รับความเจ็บป่วยทั้งหลายใว้กับ ตนเอง แต่ เมื่อถึงคราวที่พระแม่โกรธกริ้ว ภูติผีปีศาจทั้งหลาย ก็จะหายไป ความเชื่อแบบมารีอัมมันเป็นในลักษณะให้คนในหมู่บ้านได้รู้จักรักษา ธรรมชาติหรือสิ่งแวด ล้อม พระแม่ คือ การบูชาตามท้องถิ่นของหมู่บ้าน นั่นเอง




หมายเหตุ อยากฝากว่า คนสมัยนี้ น้อมบูชาท่านมากเพราะ เหตุผลหลายๆอย่างของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่อาจทราบได้ โดยเฉพาะ การบูชา เทพทางตอนใต้ จนทำให้เกิดการดูถูกและดูหมิ่น เทพเจ้าอีกหลายพระองค์ในแนวทางที่ผิด เพราะ แค่ความชื่นชอบ คนสมัยมีบูชาตามค่านิยม การบูชาตามแบบไหนไม่ผิด แต่ ก็ไม่สมควรดูถูกดูหมื่น การบูชา ของคนอื่น ที่อาจทำมาจากใจไม่ต่างกัน  แม้กับคนบางคนในสมัยนี้ และได้เจอมากับตัวในวาจาที่หยาบว่า พระแม่ลักษมี เป็นแค่เศษเสี้ยวศักติ ไม่มีทางเทียบเท่าพระมารีอัมมัน คำนี้ พอได้ยิน รู้สึกเวทนาคนพูดในใจ กับความคิดที่แย่มาก ซึ่งปัจจุบันนี้ คนนับถือ เทพมีมากเพื่อใช้ เหตุผลหลายๆอย่างและดูถูกศรัทธาคนอื่น แท้ที่จริง มารีอัมมัน ใน คัมภีร์ปุราณะทั้งหลายจะเรียกว่า มริกะ พลังงานของมารีอัมมันสำแดงในลักษณะที่มาอย่างอาฆาตแค้น และ ไม่พอใจง่ายๆ ยากที่จะลบเลือนไปได้ มารีอัมมันไม่ได้เป็นพระแม่แห่งสันติสุข ไม่เหมือนพระจักรวาลชนนี อีกหลายพระองค์ เช่น พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี ที่ได้ชื่อ ว่า ศักติ โดยสมบูรณ์
#11
สวัสดีคุงน้องเสือ พอพี่ได้อ่าน กระทู้นี้ สิ่งเดียวเลยที่อ่านเสร็จแล้วสิ่งเดียวที่แสดงออกได้คือ คุงพี่ถอนหายใจดัง เอ้อ....

คุงพี่เข้าใจความรู้สึกคุงน้องเสือนะค่ะ  แต่ที่จริง น้องเสือเท่าที่พี่รู้จักนู๋ คนอย่างนู๋น่าจะเข้มแข็งกว่านี้

คุงพี่ไม่รู้ว่าใครคนนั้นที่ว่าศิลปะของน้องเสืออย่างไม่ให้เกียรติ เค้าจะยังมีเกียรติอยู่ไหม เพราะ คนไหนที่ดูถูกศิลปะไม่ว่าจะศิลปะแขนงไหน แสดงว่า เค้าคนนั้นต่ำ่กว่าเดรฉาน นะ (อันนี้ขออนุญาตต้องใช้คำนี้นะค่ะ ต้องการเปรียบเปรย) และที่สำคัญเขาวิจารณ์ว่า (โดยบอกว่า ภาพ  ญ  ขาย  บริการนอนตายบนตึกยังดีกว่าแนวคิดของเสืออีกใช่ไหม) อันนี้ น้องเสือ ถ้าฟังก็น่าจะดีใจนะค่ะ เพราะ แสดงว่า คนที่วิจารณ์ศิลปะ ของคุงน้อง เป็นพวกที่ชอบจินตนาการของ ศิลปะ โดย  ญ  ขาย  บริการนอนตายบนตึกสร้างสรรค์มาเท่านั้น  เพราะ เค้า อาจนิยมศิลปะแบบนั้น ที่ชั้นต่ำ คุงน้องก็ที่จริงไม่น่าจะใส่ใจ กับคนที่อ้างว่า วิจารณ์ แต่ที่จริง เขาเรียกว่า กระแนะกระแหน่ มันแน่นอนที่ต้องคิดศิลปะ ต้องมีแนวคิด แต่ คนที่พูด มีแนวคิดแล้วหรือยัง เพราะ ภาพที่เขาวิจารณ์ เปรียบเหมือนศรัทธาของคนนึงคนที่สร้างมา


เพราะฉนั้น สู้ๆค่ะ คุงน้อง แต่ คุงพี่อาจผิดหวังในตัวคุงน้องเสือ อยู่2อย่าง

1. คราวหลังถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ต้องจำไว้ว่า เราต้องรักษาศักดิ์ศรี ของศิลปะ และ ศักดิ์ศรีในศรัทธาของเรา

2. ถ้าคุงน้องเสือนำรูปพระแม่ไปลอยน้ำจริง สิ่งนี้เป็นการดูถูกตัวของน้องเสือเอง ดูถูกศิลปะในตัวน้องเสือ ที่ คุงพี่เคยแนะนำเรื่องศิลปะ และที่สำคัญ เปรียบเหมือนน้องเสือไม่ให้เกียรติศรัทธาในสิ่งที่ตนมี


ไม่รู้คุงพี่พูดแรงไปไหม แต่ คุงพี่หวังและเชื่อเหลือเกินว่า รอยยิ้มของคุงน้องจะกลับมา ความเข้มแข็งจะต้องอยู่กับตัว และ  จงนำวันนี้และทุกๆวันเป็นประสบการณ์ เพื่อจะได้รู้ว่า สิ่งไหน เราควรทำอย่างไร อะไรพลาดไปแล้ว เริ่มต้นใหม่ แล้ว ใครที่ดูถูกศิลปะคุงน้อง จงอย่าถือว่าเขาวิจารณ์ เพราะ เขาไม่มีค่าที่จะวิจารณ์ศิลปะ ค่ะ
#12
ใช่ค่ะ ที่ คุณ กาลิทัส พูดค่ะ มีพระหัตถ์ ด้วยค่ะ

#13
ค่ะ นี่คือรูปแบบพระบาทพระลักษมีนะค่ะ แต่ต้องขอโทษ คุณเจ้าของกระทู้ด้วยที่ไม่สามารถ นำพระบาทพระลักษมี ที่ ห้องบูชาที่บ้านมาให้ชมได้ เนื่องด้วย ที่บ้านทำการบูชาพระมารดาลักษมีเป็นใหญ่ ของบางอย่างจึงถูกสั่งทำมาโดยเฉพาะในสิ่งที่เกี่ยวพันธ์กับพระลักษมี แต่ ถ้าให้อธิบายได้ ก็เป็นฐาน สลักลาบบัว แกะรอยพระบาทเท้าพระบาทจริงค่ะ ต้องขอโทษไว้ ณ.ที่นี้นะค่ะ เพราะเพื่อเป็นความ................ด้วยค่ะ อิอิ ไง ดูแบบ ลักษณะที่ดิฉันนำมาให้ชมนะค่ะ



แต่ขอเอาโครงต้นแบบที่ออกแบบไว้ก่อนสั่งทำมาให้ชมแทนนะค่ะคงไม่ว่ากันนะค่ะ( หมายเหตุ แบบนี้เป็น โครงร่างแรกก่อนถูกสั่งให้ช่างไปแก้)


#14
ค่ะ เท่าที่เห็นก็หน้าจะเป็นพระบาทของพระพุทธเจ้าค่ะ หรือ พุทธบาท ค่ะ เพราะ ศิลป์ ในเรื่องพระบาทพระพุทธเจ้า มีหลายแบบ และ ที่เห็นว่ามีสัตว์ ใช่ว่าไม่มีนะ ที่จริงก็มีค่ะ และ ดูแล้ว ก็มีสัญลักษณ์ที่น่าจะเป็นศิลปะ รูปแบบ ของพระพุทธบาทค่ะ







ส่วนวิษณุบาท หน้าจะเป็นแบบนี้มากกว่าค่ะ และ ส่วนใหญ่ พระบาทของเทพเจ้า เท่าที่เห็น จะเป็น สาย ไวษณพ ซะมากกว่าค่ะ หรือ อาจเป็นไปได้ที่พระนารายณ์ ท่านอวตาร มาในโลกมนุษย์ตามความเชื่อค่ะ เพราะเท่าที่เห็น จะมีพระบาทของวิษณุ พระบาทพระแม่ลักษมี  พระบาทพระนางราทา พระบาทพระราม และ ก็มีอีกในสายพระนารายณ์ค่ะ เพราะเท่าที่ดิฉันมี บูชาไว้ที่ห้องบูชา ก็มี วิษณุบาท พระบาทพระลักษมี และ พระบาทของพระราม ค่ะ และ เชื่อการว่า การบูชาต่อหน้าวิษณุบาท และ พระบาทพระลักษมี เปรียบเสมือน ท่านมายื่น อยู่ต่อหน้าเราค่ะ ในการบูชา




ส่วนนี่รูปแบบ คือ วิษณุบาท ที่ห้องบูชา ค่ะ

#15
ขอบคุณความรู้ สาระ อันประเสริฐ ของ กาลปุตรา มากๆค่ะ
#16
****ขอให้มีความสุข คิดอะไรขอให้ได้ดังใจปรารถนาทุกประการ สุขภาพแข็งแรง การงานการเงินมั่งคั่ง พร้อมไปด้วยโชคลาภวาสนา กลอนนี้อาจจะไม่ไพเราะ แต่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายได้โปรดให้พร ในโอกาส คล้ายวันเกิดนะ และ ขอให้ทุกคน ใน HM อาจจะผ่าน วันคล้ายวันเกิดมาก็ตาม ก็ รวบตึง เลยแล้วกัน เพราะปลายปีแล้ว ขอ สุขสันต์วันเกิดทุกคน ในปีนี้ที่กำลังจะผ่านไป นะค่ะ


ขอให้ พระมารดาทั้ง 8 พระองค์ ทรง ประทานพรแห่งความเมตตา สืบไป
#17
งามอ่ะ คุง พี่ต่าย อิอิ

ศรัทธา ที่แสดง ออก ไม่ว่าทางกายก็ดี ทางใจก็ดี หรือ จะแสดงออก ในการสร้างสรร ต่างๆ นาๆ ที่ ทำเพื่อพระองค์


คุณน้องเชื่อเหลือเกิน ว่า พรใดที่ มีอยู่ แม้กระทั่ง เพียงรอยยิ้มที่มุม พระโอษฐ เพียงเล็กน้อย สิ่งนั้น คือ พร อันยิ่งใหญ่ ที่เรา ได้รับ โดยหาความสุขใดๆจะเทียบเท่า


อย่างที่เคยบอกคุงพี่ต่าย ว่า ทำดี ศรัทธาด้วยใจ สรรเสริญด้วยใจ บูชา โดยเหตุอันบริสุทธิ์ ถวายในสิ่งที่ดีงาม เราจะได้ สิ่งดีๆ กับชีวิตตลอดไป สิงเดียวที่เราได้รับจากพระองค์แน่นอน คือ เรา มีพระองค์ อยู่ กับกำลังใจและศรัทธา ตลอดไป


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทสรรเสริญใด ที่เปร่งออกมาจากความบริสุทธิ์ อันเกิดจากความรักในใจ บทสรรเสริญนั้น จะแปรเปลี่ยนดั่งคำพูดเพื่อพูดให้แด่มารดา และ พระจักรวาลทั้งปวง...

สิ่งใดที่สรรเสริญ แสดงถึงความเป็นมารดา สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่มารดาจะไม่ฟังและไม่นิยม แต่ จะกลับกลายให้ พระมารดา ได้ฟังพร้องมีรอยยิ้มที่ข้างพระโอษฐ์ รอยยิ้มนั้นประดุจความยินดี ประดุจธรรมชาติแห่งความจริง รอยยิ้มนั้น คือ ความสุข ที่ผู้สรรเสริญมารดา จะมีรอยยิ้มของพระมารดาอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจ โดยความปลื้มปิติ สืบไป...

เป็นกำลังใจ ให้ทุกคนนะค่ะ ที่รังสรรค์ ศรัทธา ออกมา เพื่อแสดงถึง ตัวตน ข้างใน ต่อ พระเป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหนก็ตาม ขอให้ มีความสุขกับศรัทธา โน๊ะ ทุกๆคนเลย

 



#18
เท่าที่อ่านมา ก็ไม่เหง ว่า คุณ Vasudeva จะว่าอะไรเรื่อง มนต์ ไทย แต่ กล่าว คำว่า สำเนียง มนต์  บอกว่า สำเนียง ไม่ได้ว่าเรื่อง มนตร์



ถูกต้อง ที่สุด มนตร์ไทย คือ สิ่งที่ดี แล้ว แต่ นี่ พูด ถึง สำเนียง เวลา คนท่อง มนตร์ ตามเเบบฮินดู เท่านั้น เพราะ ในนี้ บองคนบอกว่า มีครุ เรียนจาก เวท เพราะ ฉนั้น ถ้าปากบอกว่า เรียนมาจากครุ เรียนมาจาก เวท ก็ ต้องให้ถูก จิงไหม แต่ เรา มัน คนไทย มนตร์ ไทย มัน ดี อยู่ ในตัว แต่บางคนบอกว่า คนไทยบูชา ผี บูชาสางมาก่อน ถูกต้อง แล้ว ดีไหม โบราณวางไว้ดี แล้ว แต่ ก็ ชอบเอาไปเปรียบกัน ทำให้ วัฒธรรมไทยดูต่ำ


อย่างดิฉันเคยพูดไว้ว่า วรรณะ พราหม์ ใช่ว่าสะอาดเสมอไป เพราะ มัน ขึ้น อยู่กับการทำตัว  เพราะเดี๋ยวนี้ พราหม์ รับจ้าง มีมากมาย (ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย) ดิฉันคนนึง ที่ ถ้า พราหม์ หรือ ใคร ก็แล้ว แต่ ที่ไม่สะอาด ทางด้าน ตัวตน และ  จิตใจ ดิฉัน จะไม่ยอมให้ มาสวด ที่ ห้องบูชา ดิฉันเด็ดขาด เพราะถ้าปาก เอ่ย ว่ารักพระเจ้า แต่ คุณเป็น คนที่มีวรรณะ ในความเชื่อ คุณก็ต้องสะอาด ดั่งวรรณะ สีขาวของคุณด้วย มนต์ ต่อ ให้ท่อง ไทย ท่อง ฮินดู ถ้าใจ แท้ ในกมลสันดานลึก ยัง จองหอง อวดดี ในสิ่งที่ตนมี อยู่ ดิฉัน ยอมเปิดเพลงสรรเสริญให้ พระเป็นเจ้าฟังยังดีกว่า ได้ บุญกว่า พระองค์ คงปราบปลื้ม กว่า ค่ะ ที่พระองค์จะทรงเห็น คนที่มีแต่ความรู้  แต่ ไร้จิตใจ ที่อยู่ในสังคม
#19

ขอเพิ่มเติมนะค่ะ ไม่รู้จำผิดหรือ ป่าว ถ้า ผิด ยังไงขออภัยนะค่ะ


สาเหตุ ที่ รูป พระกามเทพ ไม่ค่อยมีรูป เพราะเหตุการณ์ที่พระองค์โดนพระศิวะ เผา... แล้ว ต่อมาชายา แห่ง กามเทพ ได้ไป ทูล ต่อ ศิวะเจ้า ในความเมตตา  แต่ สาเหตุที่เผาไปแล้ว คงกลับ คืนไม่ได้ เลย ทรง ให้ พระกามเทพ ไม่มีตัวตนเป็นรูปร่าง แต่ ให้ พระกามเทพ อยู่ ใน จิตใจ ของคนที่มีความรัก ทุกคน แทน ( ก็คือ ความรัก นั่นเองค่ะ )

หลังจากที่ถูกพระศิวะเผาไหม้เป็นจุณจนไม่มีรูปร่างมาช้านาน แต่ในที่สุดพระศิวะมีความสงสารนางรตี ชายาของกามเทพที่พลัดพรากสามีและมีความเศร้าโศกน่าสงสาร พระมหาเทพจึงอนุญาตให้กามเทพไปเกิดเป็นโอรสของพระกฤษณะ ส่วนนางรตีลงมาเกิดเป็นนางมายาวตี ได้เป็นชายาของพระประทยุมน์ ต่อมาพระประทยุมน์ได้ชายาใหม่ชื่อนางกกุทมตี

พระประทยุมน์ เป็น โอรสคนสำคัญของพระกฤษณะ กับ พระนางรุกมิณี ถือกันว่ามีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าชายทั้งหลายในโลก เพราะพระกามเทพกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์

#20
เห็นด้วย กับ K . โหราน้อย  เป็นที่สุด ตื่นมาแล้วได้ อ่าน บทความ ดีๆ แล้ว รู้สึกสบายใจ ได้เห็นความคิด ที่มีเหตุผล และ สมควร ทำให้ เช้านี้ มีรอยยิ้มได้

ขอ ยก คำ ของ  K . โหราน้อย ที่ต้องพูดว่า ถูกต้อง แบบ เวอร์ ๆ เลยค่ะ


ท่อนที่ 1. กฎเกณฑ์ต่างๆล้วนแล้วแต่เป็น เรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น  พระเป็นเจ้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าความรักและความศรัทธาที่สาวกพึงมี ต่อพระองค์


ท่อนที่ 2. แบบแผนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ คือสิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร  ส่วนเรื่องที่เป็นสิ่งซ่อนเร้นอันไม่สามารถนำมาขยายความได้  นั่นก็คือกำแพงด่านสำคัญที่เหล่ามนุษย์ต่างสร้างขึ้นเพื่อเป็นกรอบปิดกั้น ตัวเอง



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ค่ะ มนุษย์ ล้วนสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น แบบแผน คือ สิ่งที่ดี การวางไว้ ซึ่ง ธรรมเนียม และ กฏ ก็คือสิ่งที่ดี แต่ เราต้องดู ปัจเจก เหตุและผล เป็น หลัก ทุกอย่างล้วนแล้วมีความ ลับ ในตัวมันเอง 100 ตำรา ก็ 100 คนเขียน 100 ครูบาอาจารณ์ คำสอน ก็ใช่ว่า จะเหมือนกัน เสมอไป เช่นกัน เปรียบเหมือน มนตรา ที่ มีการนำเสนอ ทางคอมพิวเตอร์ หรือ หนังสือ ก็ตาม นั่น คือ แบบ แผน ของ มนต์ เท่านั้น มนต์ อันศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถ สอน หรือ นำมาเสนอง่ายๆ รูป แบบ ของตัวหนังสือ แต่ การที่โลกเรา พัฒนา เป็น สิ่งที่ทำให้ มนต์นั้น หลุด ออกมา ในโลก แห่ง ความ ทันสมัยมากขึ้น ถ้าถาม ว่า มนต์ นั้น ศักดิ์สิทธิ์ ไหม ตอบได้ว่า ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยตัวของ มนต์ ที่สร้างมาอยู่แล้ว แต่ ความศักดิ์สิทธิ์ ของ มนต์ นั้น ก็ไม่เท่ากับ มนต์ ที่ได้ ถูก สอน มา จาก ปาก ของผู้ที่ท่องมนต์ และ บูชา ตำรา โดยแท้จริง เพราะ จิตวิญญาณ และ ความ ไฝ่ที่จะรู้ และ จดจำ มัน ต่างกัน อยู่นิดหน่อย และ ดิฉัน เชื่อ อยู่ อย่างหนึ่งว่า ทุก มนต์ จะมีหัวใจ ของ มนตรา นั้นๆ ซึ่ง ไม่สามารถ ถ่ายทอด ออกมา จากตัวหนังสือได้ ( ความหมาย คล้าย K . โหราน้อย  ได้ให้ไว้ สิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร  ส่วนเรื่องที่เป็นสิ่งซ่อนเร้นอันไม่สามารถนำมาขยายความได้ )


*** หมายเหตุ อาจจะนอกเรื่อง ไปนิด กับ บท หัวข้อกระทู้ แต่ ใน เมื่อ พูด ถึงเรื่องนี้ แล้ว ขอ ทิ้งท้ายไว้อย่าง นะค่ะ บางคน เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในตำราที่ตัวเองอ่าน เป็นสิ่งที่ดี บางคน ดูถูก ตำรา เล่มไม่กี่สิบบาท ( อันนี้ เผอิญ อ่านเจอ ในบางกระทู้ ว่า ไม่นิยม หรือ อ่าน ตำ รา เล่มละไม่กี่สิบบาท ) แต่ อยากให้ จำเอาไว้ว่า ตำรา หรือ สิ่งในการเรียนรู้ ต่อ ให้ เล่มละ 1 บาท นั่น ก็คือ บุญคุณ แห่งความรู้ ที่เข้าไปอยู่ ใน ส่วนลึก ของการเรียนรู้แล้ว บางทีอยากถามกลับ กับ ผู้ที่ประเทืองปัญญาทั้งหลาย ผู้ที่รอบรู้ทั้งหลาย ว่า เคย ทำพิธี บูชา ความรู้ที่คุณได้มาหรือยัง หรือ ตำรา ของคุณ ยังวาง อยู่ โดยอาจไม่เป็นที่เป็นทาง  คุณเคย จุดตะเกียงประทีป ไฟ บูชา แสงสว่างแห่ง ปัญญา ต่อหน้า ตำรา นาๆประการ ที่คุณ ได้เรียนรู้มา จนได้ นำมาเสนอ กันบ้างแล้วหรือยัง ... ถ้ายัง ลองทำดู นะค่ะ นำหนังสือ ความรู้ ที่เราศึกษา มา รวม ณ.จุดเดียวกัน เป็นที่เป็นทาง จุดประทีป แสงสว่าง บูชา ปัญญา ที่ท่านได้เรียนรู้บ้าง เพราะ ตำรา เหล่านั้น คือ ครู ของคุณ และ เชื่อว่า ทุกคน จะมีความรู้ ที่สะอาด เป็นกลาง เพราะ เราได้บูชา ให้เกียรติ ตำรา นาๆประการ ซึ่ง อาจ มี บทความเนื้อหาที่แตกต่าง แต่ เรา ก็ยัง ได้ นับถือ ว่า เป็น ครูในการเรียนรู้ เช่นกัน


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ อิอิ ไม่รู้ นอกเรื่องไปป่าวค่ะ แต่ แค่ อยาก ให้ .................เท่านั้นเอง
#21
ค่ะ อย่างที่ K. กาลิทัส  พูดค่ะ แทบจะไม่มีใครนำดวงตาแม่ มา แขวน กับตัวเลยค่ะ และ ความคิดส่วนตัวของดิฉัน คือ ไม่สมควรด้วยค่ะ เพราะ ชาวฮินดู มี ความเชื่อ ในดวงตาอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ดวงตา ที่มีเป็น ดวง ต่อให้ดวงตา ที่ ทำมากับเทวรูป หรือ รูปวาด รูปภาพ ก็ตาม ก็ยังไม่นิยมไปทำอะไรยส่วนดวงตานั้น เลยค่ะ เช่น ไม่นิยม เอาผ้าไปปิด ดวงตา ของท่าน

ดวงตา สายพระเนตรอันศักดิ์สิทธิ์  ของ พระองค์ จะทรงมองไปรอบๆ ด้านอยู่แล้วค่ะ ดวงตาพระองค์ สมควรอยู่ ใน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลักแน่นอน การที่เรานำดวงตาท่านมาห้อย อาจเหมือน เรา นำ สายพระเนตร ของพระองค์ มาอยู่กับตัว และ บางครั้ง เราอาจทำกริยา อะไรที่ไม่ควร นี่อาจเป็นสาเหตุ ที่ไม่สมควรมาห้อยคอ ค่ะ

ดวงตา จะมี 2 ประเภท คือ ดวงตาที่เป็นคู่ กับ ดวงตาที่สาม ค่ะ



ดวงตา แบบ คู่ สายพระเนตรแห่ง มารดาลักษมี







ดวงตาที่สาม พระเนตร แห่ง เจ้าแม่กาลี

#22
กระทู้นี้ ถือว่าเป็น 1 กระทู้ ที่ไม่ตก จริง  ๆ เลย ต้องขอมา เสนอความคิดเห็นส่วนตัว อีกสัก 1 รอบ เพราะ ดูจากอ่าน เจตนาเจ้าของกระทู้แล้ว บริสุทธิ์ มาก และ เจตนาที่จะสร้างด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ อาจยังไม่ได้ศึกษาถึงแก่นแท้ของเทวลัย จนแน่ชัด เลยบางครั้ง อาจมีคนที่มีความเห็นที่ต่าง มาขัดแย้งได้


ขอพูดอะไรอย่าว่ากันนะค่ะ ที่มีสมาชิก HM. ได้นำ พจนานุกรม แนบมาเพื่อ อ้างอิง ขอย้ำว่าอ้างอิง ( มิใช่คำว่า อ้าง นะค่ะ ตามที่ดิฉันน่าจะเข้าใจ ) ถือเป็น สิ่งที่ดี และ ก็ดิฉัน ก็พอมองเจตนาออกว่า เขา ไม่ได้เจตนาเอาพจนานุกรมมาอ้าง แต่ เพื่อ ต้องขยายความ ของ คำว่า เทวลัย กับ มณฑป  เท่านั้น


ถูกต้อง ใช่ว่า จะนำเทวรูป ไป ตั้งแล้ว ณ.สถานที่ ได้สร้างขึ้นมา แล้ว จะเรียกว่า เทวลัย ได้ แต่ เจตนาไม่ผิด เพราะ เทวลัย ความหมาย ง่าย ๆ เลย คือสถานที่ประทับ ของเทพพระเจ้า ที่ตั้งวางมูลติของพระเป็นเจ้า เพราะฉนั้นไม่ผิด เพราะ ดูที่เจตนาคนสร้างไม่ได้สร้างมาเป็นห้องพระ เพราะ ฉนั้น เจ้าของกระทู้ จะเรียกอะไรก็คงไม่มีใครไปตำหนิ เพราะ ท่าน ต้องการสร้างที่ประทับมูลติองค์พระแม่ลักษมี เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นใครสร้างมา แล้ว จะเรียก ว่า บ้านพักเทพ เลยสักครั้ง การที่เรียกเทวลัย อาจถือ เป็นเจตนารมณ์ ในการให้เกียรติ แด่ พระเป็นเจ้าองค์นั้น


หมายเหตุ อันนี้ต้องดูเจ้าของกระทู้ว่าสร้างมาในรูปลักษณ์ไหน เท่านั้น ค่ะ แต่ ถ้าคุณสร้าง ใน ตัวบ้าน อันนี้ ไม่รวม ตัวเรือนบ้าน หรือ พื้นที่ดิน ในอาณาเขตบ้าน นะค่ะ เช่นสร้างในตัวห้อง ของบ้าน อันนั้น ถึงจะไม่สมควร เรียกว่า เทวลัย เพราะ ตัวคุณกําลังเปรียบเหมือนนอน อยู่ในเทวลัย ร่วมกับพระเป็นเจ้า ซึ้ง ความนิยมเท่านั้นเองค่ะ เพราะ การดูแล หรือ การทำตัว ใน สถานที่นั้น อาจ จะต้อง มีกฏข้อห้ามพอสมควร แต่ ก็ยังมี ช่องว่างให้ใช้เทวลัย หรือ อื่นได้ ในตัวบ้านได้อีก   



ขอแนะนำเป็นการส่วนตัว ถ้า กลัวจะมีใครมาตำหนิ หรือ ว่าในภายหลัง กับคำว่า เทวลัย ที่มีเจตนาที่ดีในการสร้าง แต่ สังคมมีคนคิด หลายแบบหลายมุม ให้ เจ้าของกระทู้ เติม คำนำหน้าเทวลัยเข้าไป ค่ะ ยังไงนำไปคิดนะค่ะ ถ้าคิดไม่ออกเดี๋ยวแนะนำให้ แต่อยากให้ บุคคลที่สร้างได้คิดก่อน และ มันจะรู้สึกดี เหมือนตอนนี้ เราต้องการ ผ่านอุปสรรค ไม่ว่าในใจก็ดี อุปสรรคทางกฏข้อห้ามก็ดี แต่ อยากให้คิดไว้ 1 อย่างว่า ไม่มีกฏ หรือ ข้อบังคับใด ที่จะไม่มีช่องทาง ไม่มี ทางออก ภาษา และ ความหมาย ของภาษา ถูกสร้างมาจากมนุษย์ เท่านั้นค่ะ มนุษย์ ก็สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ โดยใช้ภาษา เช่นกัน
#23
เผอิญ เห็น ที่ คุณ monster_Ice เขียน ถึงคำว่า ปราชญ์ (ขอยกคำพูดมานะค่ะ ....เพราะอ่านแล้ว ถูกต้องที่สุด .กับคำว่า... อย่าลืมหัวใจสำคัญของการเป็นปราชญ์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน  นั่นก็คือความอ่อนน้อมถ่อมตน การยอมรับความแตกต่าง การเคารพในความเห็นของคนอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน )


เราใช้กระทู้สาธารณะ โดยอย่างยิ่งกระทู้เกี่ยวกับความรู้ และ ความแตกต่าง คนเราอาจมีมุมมองต่างกัน ความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ เราจะทำอย่างไร ในการใช้ภาษา หรื่อ สื่อ ของความแตกต่างนั้น โดย ไม่ใช่พูดแบบขัดแย้งเรื่อยๆไป


จงวางตัวเยี่ยงนักปราชญ์  จงฉลาดเยี่ยงผู้รู้  จงรู้เยี่ยงผู้ใฝ่ จงไปเยี่ยงนักรบ 

จงเคารพเยี่ยงผู้น้อย   จงคอยเยี่ยงราชสีห์  จงทำดีอย่าให้ขาด   จงอย่าประมาทในตัวตน

จงอย่าเป็นคนเพียงแค่ชื่อ   จงอย่าสื่อเพียงภาษา จงเจรจาเหมือนผู้รู้  จงอย่าลบหลู่ถ้าไม่เห็น

จงอย่าเป็นเช่นอีกา เพราะเก่งเจรจาแต่ไร้สำรวม จงมองในความเป็นคน  จงผจญในรอบด้าน

จงอย่าพาลถ้าไม่ชอบ เพราะทุกอย่าง คือคำตอบ แห่งนักปราชญ์ความเป็นคน.
#24
ขอแสดงการยอมรับ ในความรู้ ของ คุณ กาลปุตรา

ได้ไปอ่าน ที่ คุณ กาลปุตรา ที่ เขียนใน HM.  มา รู้สึกว่า เป็นคนที่ศึกษา แน่น มากกกกกก อิอิ โดยเฉพาะ ในเรื่อง ทฤษฎี ขอย้ำอีกครั้งค่ะ ว่า แน่น ค่ะ



GOOD GOOD GOOD

#25
ความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ

การทำตามสัญญา ...(สัญญา อาจ หมายถึง สัจจะ ... ) ดูที่เจตนา การบูชา ค่ะ ตั้งใจทำ กับ ต้องการทำ อาจแตกต่างกัน ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจเลยค่ะ และ ถ้ายิ่ง เราทำเพราะศรัทธา เราทำแล้วไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่ได้เอาเงินบริจาคจากใคร แต่ เป็นเงินส่วนตัว เรา ทำไปเลยค่ะ แต่ เรา ก็ต้องดูงบประมานค่ะ

การบูชา เรา ห้ามมองว่าเป็นการฟุ่มเฟือย เพราะถ้าเจตนาต้องการบูชา หาสิ่งที่ดีให้การบูชา ทำสิ่งที่ดีในการบูชา คำว่าฟุ่มเฟือย จะไม่เกิดขึ้น เพราะ ใจเรามองว่า เราทำในสิ่งที่ดีที่สุด ให้ท่าน ค่ะ

เรื่อง การบูชา นอกบ้าน หรือ ในบ้าน ไม่ใช่หลักบังคับอะไรแน่นอน เราต้องดูที่เจตนารมณ์ ดูสถานที่ และ ความเหมาะสม


*** ถ้าอยากให้แนะนำ นะค่ะ แกะหิน หราค่ะ ต้องดูดีๆหน่อยค่ะ เพราะ หินในเมืิองไทย ยิ่ง องค์ใหญ่ หิน มันจะ ลั่น ค่ะ มีส่วนสไลด์ของเนื้อหินสูง หาช่างให้ดีๆ ไม่ต้อง เร่ง มาก เพราะ ทำมาแล้ว แก้ไม่ได้ ยังไงก็ตัดสินใจให้รอบคอบ ก่อนนะค่ะ ศึกษา จากช่าง หลาย ๆ คน และ ดูผลงาน เค้า แล้วเรา ค่อยตัดสินใจค่ะ ว่า จะเลือกใคร มาเป็น คน แกะ พระแม่ให้เรา ไม่ใช่ดูแค่ ช่างแกะสวยนะค่ะ

เราต้องดูแม้กระทั่ง การแกะ ทุกขั้นตอน การซื่อสัตย์ ต่องาน เพราะ การแกะเทวรูป แตกต่าง กับ การแกะ สิ่งมาประดับบ้าน ความรับผิดชอบต้องสูง ช่วงระหว่างแกะงาน ให้เรา ก็ สมควรให้ ช่างของเรา บริสุทธิ์ และ สะอาด เวลาแกะ เอา ขา มาค่อม หิน หรือ เดิน ข้ามหิน ก็ ยังไม่ได้เลยค่ะ ถึงยังไม่องค์ เป็นรูปเป็นร่างก็เหอะค่ะ แต่ พอ ตอกแรก ที่ลงไปที่หิน นั่น คือ การเริ่ม แล้ว และเราจะได้ เทวรูป ที่ได้ชื่อ ว่า สมบูรณ์ ค่ะ

+++++++++++++ความเห็นส่วนตัวนะค่ะ
#26
ค่ะ อย่างเช่น ที่ คุณ กาลิทัส พูด ก็ถูก


แต่ บางถิ่นฐานในอินเดีย ก็บูชา พระกายตรี ( พระแม่อุมา พระทุรคา  พระกาลี  พระลักษมี  พระสุรัสวตี)

   บางถิ่นฐานในอินเดีย ก็บูชา พระกายตรี ( พระแม่อุมา พระลักษมี  พระสุรัสวตี พระคงคา พระบูวเดวี)

   บางถิ่นฐานในอินเดีย ก็บูชา พระกายตรี ( พระแม่อุมา พระลักษมี  พระสุรัสวตี )


+++++ เนื่องด้วย มีหลายตำนาน มากมาย  เหมือน เทพ อีกหลายพระองค์ที่มีเทวกำเนิด มากมาย หลายตำนาน แต่ เราก็จะยอมรับ ในเทวกำเนิดที่ดูศักดิ์สิทธิ์ และ ยิ่งใหญ่ ตามความน่าจะเป็นมากที่สุด ค่ะ

*บางตำนาน มีความเกี่ยวข้องกับคำสาป ของ พระสรัสวตี ซึ่ง ตอนนั้น พระนางกายตรี มิได้ต้องคำสาป เนื่องด้วย พระองค์ทรงเห็นว่า พระกายตรี คือผู้บริสุทธิ์ พระสุรัสวตี ยัง ให้พร ให้ไปเกิดดั่ง เทพ  และ ให้ เหล่ามนุษย์ ได้สวด กายตรีมนตรา มนตร์ แห่ง พระสุรัสวตี ก็ถูกถ่ายทอดสู่ พระกายตรี และ พระองค์ทรงตรัสกับพระกายตรีว่า เธอ เปรียบเหมือน เรา เรา เปรียบเสมือน เธอ ( เรื่องคำสาปนี้ มัน เนื้อหายาวค่ะ แต่ เรา แค่ ท่อน ที่ พูดถึง พระกายตรี )


ตามความคิด ดิฉัน ชอบใช้หลัก ตรรกะ ค่ะ เพราะ ประวัติ เทพเจ้า บางที ชอบใช้หลัก ลัทธิ ไหน เป็นใหญ่ ก็ จะนำเทพพระองค์นั้น เป็น องค์หลักทันที


ดิฉันเชื่อว่า พระสรัสวดี คือ มารดาแห่งพระเวท ปรีชาญาณ ศิลปวิทยาการความรู้ทั้งมวล เทวีผู้ขจัดความไม่รู้

          พระกายตรี คือ เทวี แห่งเวท เทวีแห่งความสัจจริง

พระแม่กายาตรี มี 3 พระนาม อันได้แก่

พระแม่กายาตรี เป็น พระแม่แห่งญาณวิเศษ

พระแม่สาวิตรี เป็น พระแม่แห่งชีวิตและความสัตย์จริงทั้งปวง

พระแม่สุรัสวตี เป็น พระแม่แห่งคำสุนทรพจน์

กายาตรีมันตรา คัมภีร์พระเวทหนึ่งในคัมภีร์ที่เก่าแก่ พระแม่กายาตรีเป็นมหาเทวีแห่งพระเวทซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนที่ทำการสวด

***** บางที มี การ เอ่ย นามแห่ง พระกายตรี ว่า องค์ มาเตสาวิตรี


ดิฉัน จึงเชื่อ ความน่าจะเป็น และ จึง มีคำนี้ไงค่ะ โพสต์ของคุณ Sacred avatar ตอบว่า  "กายตรี คือ สรัสวดี โดยแก่นแท้"





[HIGHLIGHT=#ff0000]หมายเหตุ

เราไม่สามารถบังคับให้ใครเชื่อในตำนานใดตำนาน นึง ได้ แต่ เรา สามารถ ใช้ หลัก ความคิด ตัวเอง ในการตัดสินใจ ที่จะเชื่อค่ะ
[/HIGHLIGHT]


#27
ดิฉัน ว่า การ ดูศิลปะ อาจจะลำบากหน่อย เพราะ ศิลปะ ดูได้หลายมุมมอง และ แต่ มุมมอง คนนั้น จะเป็น อย่างไร

แต่ การดูศิลปะ มีหลายแบบ ดู จากสถานที่จริง ดูตามรูปภาพ ดูตามทฤษฏี แต่ ทุกอย่างก็ยัง มีการ ดู ต่างกันอีก

อย่าง ที่ คุง วาสุเดวา บอกอาจดูแรงไปนิส แต่ อาจจะมองในมุมมอง ของ คนที่เรียน วิทยาลัย ทางด้านศิลป์ มาโดยตรง  และ ได้ ศึกษาเห็นไม่ว่าจะ การสัมผัสจริง หรือ เห็น จิง หรือ ตาม ทฤษฎี

แต่ ศิลปะ เนปาล เป็นศิลปะที่ไม่หยาบ ไม่ดุ ถึงแสดงออกทางลักษณะ ที่มอง แล้ว เหมือนดุ แต่ ถ้ามอง แก่นของศิลป์ คือ ความหมายของ แบบศิลป์แบบแฝง เช่น ศิลปะไทย ก็จะมีความอ่อน และ ระเอียดสูง


การศึกษาด้านศิลปะ บางครั้ง เรามอง องค์รวม ไม่ได้ค่ะ มองตามหลักตำรา อย่างเดียวก็ไม่ได้อีก แต่ต้องมอง ที่เจตนา ของสื่อ ศิลป์ นั้น


---สรุป ง่ายๆ ไม่มีใครรู้ ถูกต้อง ไป เท่ากับ คนสร้าง คนทำ ปผลงานศิลป์ สิ่งนั้นขึ้นมา


เพราะ ฉนั้น การศึกษา จากตำรา ไม่ผิด  ศึกษา จากสถานที่จริง ไม่ผิด ศึกษาโดยมุมมองส่วนตัว ก็ไม่ผิด ดั่งนั้น ศิลป์ คือ สื่อ สิ่งนึง ที่ ต้องการรวม และ เสนอในแต่ระมุมมอง แต่ ศิลป์ สื่อ ถึง การมองมารวมกัน การเสนอแลกเปลี่ยนกัน ศิลป์ คือ การมองของอารยชน ซึ่ง มองต่างกัน แต่ มันก็คือ สิ่งเดียวกัน ไม่ได้สื่อถึงความแตกแยก หรืออย่างไร

แต่การแสดงออก ของ แต่ละคน อาจ มีมุมมองและการแสดงที่ต่างกันค่ะ



#28
พระสุรัสวตี ศิลปะ เนปาล ธิเบต จะมีรูปลักษณะ แบบนี้ เป็นส่วนใหญ่









พระอุมา ศิลปะ เนปาล ธิเบต และ พระทุรคา (taleju)






พระลักษมี ศิลปะ เนปาล ธิเบต





+++++รูปลักษณ์ เทพสตรี ในศิลปะเนปาล ส่วนใหญ่ ลักษณะ จะ แบบนี้ มากกว่า ค่ะ
#29
ขอนำรูป พระสุรัสวดี ที่ บ้าน มาให้ชมนะค่ะ (ผลงาน ทุกชิ้น เป็น ศิลป์ศรัทธา ของ Arts to draw From K. Vasudeva )








#31
ขอเสริมรูป พระมารดา แห่ง ผู้ขจัดความไม่รู้ เทวีแห่งปราชญ์ ค่ะ















">






#32
องค์นี้ คือ นารัทมุณี  ค่ะ แต่ที่มีหงส์ เพื่อแสดง ว่า ท่าน อยู่ใน สายพรหม เปงบุตร แห่ง พรหม ค่ะ
#33
พูดถึง พระจักรวาลชนนี พระองค์นี้ นั้น ขอ ลงรูป ความสวยงาม และ สง่างาม แห่ง มารดาค่ะ






























#34
ค่ะ ถ้าเป็นการ แนะนำ หนังสือ น่าจะไม่ผิด และถูกต้อง เหมือนการ Pr. ในตัว แก่หนังสือนั้นๆ ค่ะ แต่ที่บอก ค่ะ ว่า ถ้านำมาโพส เป็นบทความรูปเล่ม อันนั้น ผิดเต็ม ๆ
#35
ขอแนะนำนะค่ะ คือ การเปิดห้องหนังสือ ในเวป จะมีทั้งข้อดี และ เสีย

ข้อที่สมควร ระวัง ที่สุด คือ ลิขสิทธิ์ ซึ่งจะมองข้ามไม่ได้ และเวลา มีปัญหา ครอบครัว HM อาจมีผลกระทบน้อย แต่ ผู้ก่อตั้งเวป หล่ะสิ กลัว จะต้อง ร้อง ว่า มีงานเข้า มีงานเข้า

อันนี้ ถือ ว่าเป็นความเห็น กึ่งแนะนำ ค่ะ คิด ดี ๆ นะค่ะ

**การยกบทความ บางตอน และ มีคำอ้างอิง ยังไม่ผิดรุนแรงเท่า เอามาทั้งเล่ม ต่อให้เขียนอ้างอิงก็ตาม เพราะ ถ้าเราจะลงหนังสือ ใดๆ ต้องได้รับ อนุญาติจากผู้เขียนค่ะ

ห่วง นะ เลย ทัก แบบ เบาๆ คิด นานๆ
#37
ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ลงรูป ไม่ติด เลย ใช้หลายวิธีแล้ว แต่ เดี๋ยว สักพัก คง หาวิธี ได้ค่ะ พยายามสุดพลัง 555
#38
อิ อิ ครบ พอดี เลย ดิฉัน ลงรูป ในบอรด์ไม่ได้เลย อิอิ
#39
การเจิม เราต้องแยกค่ะ เพราะ ถ้ามีกฎ ที่ว่า ถ้าเราให้วรรณะพราหม์ เจิม อย่างเดียว แต่ถ้าบ้านใครมีเทวรุปที่เยอะ และ น้ำหนักสูง คงไม่สามารถนำไปให้พราหม์เจิม ได้เสมอไป

การเจิม บางครั้ง ก็เปรียบเสมือน การแต่งประดับองค์ค่ะ เหมือน สตรีเพศ ที่ มี การติดกระแจะ หรือ รอยเจิมที่หน้าผาก ก็เปรียบเสมือน เครื่องประดับ หรือ ความสวยงาม เพราะ ถ้า ในอินเดีย คนที่บูชาตามบ้าน ก็เจิม เอง ค่ะ เพราะ พระเป็นเจ้าไม่ได้อยู่ไกลจากเรา

ดั่งที่ คำสอนพระพุทธเจ้า ตรัสวา่า วรรณะพราหม์ ตามความเชื่อ คือ วรรณะ ที่สะอาด แต่ พระองค์ ทรงพูดว่า ถ้าพราหม์ คนนั้น ทำไม่ดี ทำไม่ชอบ ใช่ว่า จะสะอาดเสมอไป (แต่ เรา ก็ยังเหง อยู่ในวรรณณะพราหม์อยู่ดี)


+++พราหม์ แต่ละนิกาย ยังมีกฏ ข้อห้ามต่างกัน เลยค่ะ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ เราก็ยังให้เกียรติท่าน ใน ความเป็น พราหม์


ดิฉัน ไม่คิดว่า ต่างอะไร กับ ถ้าเรา ประพฤติดี ทำดี ศรัทธาบริสุทธิ์ เรา ก็คือ ผู้ที่มีความบริสุทธ์ ( เราต้องห้ามดูถูกตนเองค่ะ)


***หมายเหตุ เทวรูป และ ทุก อย่าง ที่ดิฉันบูชา ก็

1. เจิมเอง (ไม่ให้ใคร มาเจิมให้เพราะ คิดว่า ศรัทธานั้น มันมีพลัง เหนือ กว่า วรรณะ )

2. เจิม โดย หอเทพมณเทียร (เสาชิงช้า) ค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++

การบูชาเทพ นั้น บางที เราต้องใช้แง่ความเป็นจริง และ อิงความเป็นปัจจุบัน ค่ะ
#40
การบูชา ทั้ง 3 พระองค์นี้ก็ยังมี นัยความหมาย  อีกมามาย เช่น

พระแม่ลักษมี คือ เป็นมหาเทวีที่แสดงถึงความสุขสำราญใจ  เทวีแห่งความมั่งคั่ง  การมีโดยไม่มีที่สิ้นสุด

พระแม่สรัสวตี คือ เป็นเทพผู้ทรงความรู้ในปราชญ์  เทวีแห่งการขจัดความไม่รู้ ความอิสระไปทางแห่งสร้างสรรค์

พระพิฆเนศ  นัยของท่าน คือ ผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวง เทวะแห่งปฐม 

ความหมายทั้งหมด อาจมี นัย ว่า ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง ด้วยการปฏิบัติที่ดีงาม จะพบกับทางแห่งความสุข ความสำราญใจ การมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ความเป็นอิสระ ความหลุดพ้น โดยไร้ซึ่งอุปสรรคนานาประการ