Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Neosiris

#1
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงบทพระอาการวัตตาสูตรว่า อานิสงส์ดังนี้

พระอาการะวัตตาสูตรนี้ ผู้ใดท่องได้ใช้สวดมนต์ปฏิบัติได้เสมอ มีอานิสงส์มากยิ่งนักหนา แม้ปรารถนา พระพุทธภูมิ พระปัจเจกภูมิ พระอัครสาวกภูมิ พระสาวิกาภูมิ จะปรารถนามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมความปรารถนาทั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า มีปัญญามากเพราะเจริญพุทธมนต์บทนี้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้ เจริญได้ทุกๆวัน จะเห็นผลความสุขเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องมีผู้อื่นบอกอานิสงส์ แสดงว่าผู้ที่เจริญพระสูตรนี้ครั้งหนึ่ง จะคุ้มครองภัยอันตราย 30 ประการ ได้ 4 เดือน ( คือภัยอันเกิดแต่ งูพิษ สุนัขป่า สุนัขบ้าน โคบ้าน และโคป่ากระบือบ้าน และกระบือเถื่อนพยัคฆะ หมู เสือ สิงห์และ ภัยอันเกิดแต่คชสารอัสดรพาชี จตุรงคชาติของพระราชาผู้เป็นจอมของนรชนภัยอันเกิดแต่น้ำ และเพลิง เกิดแต่มนุษย์ และอมนุษย์ ภูตผีปิศาจ เกิดแต่อาชญาของแผ่นดิน เกิดแต่ยักษ์กุมภัณฑ์และคนธรรพ์อารักขเทวดา เกิดแต่มาร ๕ ประการที่ผลาญให้วิการต่าง ๆเกิดแต่วิชาธรผู้ทรงคุณวิทยากร และภัยที่จะเกิดแต่มเหศวรเทวราชผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกรวมเป็นภัย ๓๐ ประการ)


ผู้ใดเจริญพระสูตรนี้อยู่เป็นนิจ บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงสู่สันดานเว้นแต่กรรมเก่าตามมาทันเท่านั้น ผู้ใดอุตสาหะตั้งจิตตั้งใจเล่าเรียน ได้ใช้สวดมนต์ก็ดี บอกเล่าให้ผู้อื่นเลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี กระทำสักการะบูชา เคารพนับถือพร้อมทั้ง ไตรทวารก็ดี ผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ ท่านผู้มีปรีชาศรัทธาความเลื่อมใส จะกระทำซึ่งอาการะวัตตาสูตร อันจะเป็นที่พักผ่อนพึ่งพาอาศัยในวัฎฎะกันดาร ดุจเกาะแลฝั่งเป็นที่อาศัยแห่งชนทั้งหลายผู้สัญจรไปมาในชลสาครสมุทรทะเลใหญ่ฉะนั้น อาการวัตตาสูตรนี้ พระพุทธเจ้า28 พระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้วก็ดี พระตถาคตพุทธเจ้าของเราปัจจุบันนี้ก็ดี มิได้สละละวางทิ้งร้างให้ห่างเลยสักพระองค์เดียว ได้ทรงเจริญรอยตามพระสูตรนี้มาทุกๆพระองค์ จึงมีคุณานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสูตรอื่น ไม่มีธรรมอื่นจะเปรียบให้เท่าถึง เป็นธรรมอันระงับได้โดยแท้

ในอนาคตกาล ถ้าบุคคลใดทำปาณาติบาต คือ ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกถ่วงไป เป็นวัชชกรรมที่ชักนำให้ไปปฏิสนธิในนรกใหญ่ทั้ง 8 ขุม คือ สัญชีพนรก กาฬสุตตนรก สังฆาฏนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตาปนรก อเวจีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานกำเนิดไซร้ ถ้าได้ท่องบ่นจำจนคล่องก็จะปิดบังห้ามกันไว้ไม่ให้ไปสู่ทุคติกำเนิดก่อนโดยกาลนาน 90 แสนกัลป์ ผู้นั้นระลึกตามเนื่องๆก็จะสำเร็จ ไตรวิชชา และ อภิญญา 6 ประการ ยังทิพจักษุญานให้บริสุทธิ์ ดุจองค์มเหสักกเทวราช

มีอาการรีบร้อนออกจากบ้านไป จะไม่อดอาหารในระหว่างทางที่ผ่านไป จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยแห่งชนทั้งหลายในเรื่องเสบียงอาหาร ภัยอันตราย ศัตรูหมู่ปัจจามิตร ไม่อาจจะมาครอบงำย่ำยีได้ นี่เป็นทิฏฐธรรมเวทนียานิสงส์ปัจจุบันทันตา

ในสัมปรายิกานิสงส์ที่จะเกื้อหนุนในภพเบื้องหน้านั้น แสดงว่าผู้ใดได้พระสูตรนี้ เมื่อสืบขันธะประวัติในภพเบื้องหน้า จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ หิรัญรัตนมณีเหลือล้น ขนขึ้นรักษาไว้ที่เรือน และที่คลังเป็นต้นประกอบด้วยเครื่องอลังการวิภูษิตพรรณต่างๆ จะมีกำลังมากแรงขยันต่ออยุทธนาข้าศึก ศัตรูหมู่ไพรีไม่ย่อท้อ ทั้งจะมีฉวีวรรณผ่องใสบริสุทธิ์ดุจทองธรรมชาติ มีจักษุประสาทรุ่งเรืองงามไม่วิปริตแลเห็นทั่วทิศซึ่งสรรพรูปทั้งปวง และจะได้เป็นพระอินทร์ปิ่นพิภพดาวดึงส์อยู่ 36 กัลป์ โดยประมาณ และจะได้เป็น บรมจักรพรรดิราชผู้เป็นอิสระในทวีปใหญ่ 4 ทวีปน้อย 2000 เป็นบริวาร นานถึง 36 กัลป์ จะถึงพร้อมด้วยประสาทอันแล้วไปด้วยทองควรจะปรีดา บริบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว อันเป็นของเกิดสำหรับบุญแห่งจักรพรรดิราช จะตั้งอยู่ในสุขสมบัติโดยกำหนดกาลนาน

ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร อานิสงส์คงอภิบาล ตามประคองไป ให้มีปัญญาเฉียบแหลมว่องไวสุขุมละเอียดลึกซึ้ง อาจรู้ทั่วถึงอรรถธรรมด้วยกำลังปรีชาญาน อวสานที่สุดชาติก็จะได้บรรลุพระนิพาน อนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง พระนิพานก็จะไม่ไปบังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉานกำเนิดและมหานรกใหญ่ทั้ง 8 ขุม ช้านานถึง 90 แสนกัลป์ และจะไม่ไปเกิดในตระกูลหญิงจัณฑาลเข็ญใจ จะไม่ไปเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ จะไม่ไปเกิดเป็นหญิง จะไม่ไปเกิดเป็นอุภโตพยัญชนกอันมีเพศเป็น 2 ฝ่าย จะไม่ไปเกิดเป็นบัณเฑาะก์ เป็นกระเทย ที่เป็นอภัพพบุคคล บุคคลผู้นั้นเกิดในภพใดๆ จะมีอวัยวะน้อยใหญ่บริบูรณ์ จะมีรูปทรงสัณฐานงามดีดุจทองธรรมชาติ เป็นที่เลื่อมใสแก่มหาชน ผู้ใดทัศนาไม่เบื่อหน่าย จะเป็นผู้มีอายุคงทนจนถึงอายุขัยถึงตาย จะเป็นคนมีศีล ศรัทธาธิคุณบริบูรณ์ ในการบริจาคทานไม่เบื่อหน่าย จะเป็นคนไม่มีโรคาพยาธิเบียดเบียน สรรพอันตรายความจัญไรภัยพิบัติ สรรพอาพาธที่บังเกิดเบียดเบียนกาย ก็จะสงบระงับดับคลายลงด้วยคุณานิสงส์ ผลที่ได้สวดมนต์ ได้สดับฟังพระสูตรนี้ ด้วยประสาทจิตผ่องใส เวลามรณสมัยใกล้จะตายจะไม่หลงสติ จะดำรงไว้ในทางสุคติ เสวยสุขสมบัติตามใจประสงค์ นรชนผู้ใดเห็นตามโดยชอบ ซึ่งพระสูตรอันเจือปนด้วยพระวินัยปรมัตถ์ มีนามบัญญัติชื่อว่า อาการวัตตาสูตร มีข้อความดังได้แสดงมาด้วยประการฉะนี้ จบอานิสงส์สังเขป

พระอาการวัตตาสูตร เป็นพระสูตรซึ่งบรรจุ นวหรคุณอภินิหาร การก้าวลงสู่พระครรภ์ การตั้งอยู่ในพระครรภ์ ความตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์บ้าง มหาปัญญาบารมีธรรมของพระองค์บ้าง วิชชาปริญญาธรรมบ้าง บรรจุไว้ซึ่งทศพลญาณกายกำลังของพระองค์บ้าง พุทธจริยาและลักษณะธรรมบ้าง ตลอดทั้งความชำนาญในกำลังญาณต่างๆ และบรรจุไว้ซึ่งพระพุทธประเพณี เมื่อบุคคลใดได้ท่องบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ จะมีอานุภาพ มหาตบะเดชะ ตลอดทั้งยศอำนาจ ลาภเมตตามหานิยม ทั่วทุกสารทิศ บันดาลให้เกิดโภคสมบัติ บริวารสมบัติ ประกอบด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดจนดลบันดาลตนเองให้มีฤทธิ์ มีโชค มีสติ มีปัญญา ป้องกัน สรรพภัย มิให้แผ้วพาลได้ จะคิดอะไรก็สมปรารถนา ด้วยอำนาจแห่งพระอาการวัตตาสูตรที่ตนสาธยาย ตลอดกาลนานฯ

ให้ใช้ภาวนาสำหรับคนดวงชะตาขาด เป็นการต่อดวงชะตาชีวิตและจะมีอานุภาพให้เกิดโชคลาภ อำนาจ บริวาร และปราศจากภัยอันตราย ให้ภาวนาทุกเช้าค่ำ

ขึ้นต้นพระคาถาอาการวัตรสูตร
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สัพพะสัตตานัง พุทธะคุโณ ธัมมะคุโณ สังฆะคุโณ อายัสมา อานันโท อะนุรุทโธ สารีปุตโต โมคคัลลาโน มะหิทธิโก มะหานุภาเวนะ สัตตานัง เอตะทะโวจะฯ

พระคาถาอาการวัตรสูตร
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถาเทวะ มะนุสสานัง
อิติปิ โส ภะคะวา พุธโธ
อิติปิ โส ภะคะวา ภะคะวาติ อะระหาทิคุณะวัคโค ปะฐะโมฯ

พุทธะคุณะวัคโค ปะฐะโม [วรรคที่ 1]

อิติปิ โส ภะคะวา อภินิหาระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะณิธานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ยุติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ชุตติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะฐิติ ปาระมิสัมปันโน
อภินิหาระวัคโค ทุติโย [วรรคที่ 2]

อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คัพภะมะละ วิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สิริ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะริณามะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สุนิฏฐา ปาระมิสัมปันโน
คัพภะ วุฏฐานะวัคโค ตะติโย [วรรคที่ 3]

อิติปิ โส ภะคะวา อะภิสัมโพธิ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สีละขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะมาธิขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญาขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ทะวัตติงสะ มะหาปุริสะลักขะณา ปาระมิสัมปันโน
อะภิสัมโพธิวัคโค จะตุตโถ [วรรคที่ 4]

อิติปิ โส ภะคะวา มะหาปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปุถุปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา นิพเพธิกะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะจักขุ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐาระสะ พุทธะกะระ ปาระมิสัมปันโน
มะหาปัญญาวัคโค ปัญจะโม [วรรคที่ 5]

อิติปิ โส ภะคะวา ทานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สีละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา เนกขัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิริยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ขันติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัจจะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะธิษฐานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา เมตตา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อุเบกขา ปาระมิสัมปันโน

ปาระมิวัคโค ฉัฏโฐ [วรรคที่ 6]

อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะอุปะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะมะติงสะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ตังตังขานะหะนัง ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะภิญญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะมาธิ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิมุตติญานะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา วิมุตติญานะทัสสะ ปาระมิสัมปันโน
ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม [วรรคที่ 7]

อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา วิปัสสะนาวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา มะโนมะยิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ทิพพะโสตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะระจิตตะ ปะริยะญาณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชา ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ตะระณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จะระณะธัมมะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุปุพพะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน
วิชชาวัคโค อัฏฐะโม [วรรคที่ 8]

อิติปิ โส ภะคะวา ปะริญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะหานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉิกิริยาภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุธัมมะสัจจะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปะฏิสัมภิทาญานะ ปาระมิสัมปันโน
ปะริญญาณะวัคโค นะวะโม [วรรคที่ 9]

อิติปิ โส ภะคะวา โพธิปักขิยะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สะติปัฏฐานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมัปปะธานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อิทธิปาทะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา โพชฌังคะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐังคิกะมัคคะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา มะหาปุริสะกิริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาวะระณะวิโมกขะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละวิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
โพธิปักขิยะธัมมะวัคโค ทะสะโม [วรรคที่ 10]

อิติปิ โส ภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัตตานังนานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อินทรียะปะโรปะริยัตตะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ฌาณาทิสังกิเลสาทิญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จุตูปาปะตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
ทะสะพะละญาณะวัคโค เอกาทะสะโม [วรรคที่ 11]

อิติปิ โส ภะคะวา โกฏิสะหัสสานัง ปะกะฏิสะหัสสานัง หัตถีนัง พะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะโกฏิทะสะ สะหัสสานัง พะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะจักขุญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐะสะมาปัตติคุณะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา ปัญญาคุณะ ปาระมิสัมปันโน
กายะพะละวัคโค ทะวาทะสะโม [วรรคที่ 12]

อิติปิ โส ภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ถามะพะละญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พะละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อุตสาหะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คะเวสีญาณะ ปาระมิสัมปันโน
ถามะพะละวัคโค เตระสะโม [วรรคที่ 13]

อิติปิ โส ภะคะวา จะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา โลกัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ญาตัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ญาตัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ติวิธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา ติวิธะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
จะริยาวัคโค จะตุททะสะโม [วรรคที่ 14]

อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ ทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุ อะนัตตะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อายะตะเนสุ ติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อัฏฐาระสะธาตูสุ ติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิปะริณามะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
ลักขะณะวัคโค ปัณณะระสะโม [วรรคที่ 15]

อิติปิ โส ภะคะวา คะตัฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา คะตัฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วุสิตะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วุสิตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สิกขา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
คะตัฏฐานะวัคโค โสฬะสะโม [วรรคที่ 16]

อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะปะเวณิ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พุทธะปะเวณิญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุพรัมมะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา จะตุพรัมมะวิหาระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาวะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะปะริยันตะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา อะปะริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัพพัญญุตะ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุวีสะโกฏิสะตะวะชิระ ปาระมิสัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา จะตุวีสะโกฏิสะตะวะชิระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
ปะเวณิวัคโค สัตตะระสะโม [วรรคที่ 17]

อาการวัตตะสุตตังนิฏฐิตัง

(พระคาถาสุนทรีวาณี: หัวใจพระอาการวัตรสูตร)
มุนินทะ วะทะนัมพุชะคัพภะ สัมภะวะสุนทะรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง
#2
ไม่รู้ว่า วันที่ 15 ค่ำเดือน 3 วันนี้มีนัยสำคัญ อะไร กับวันศิวะราตรีหรือไม่ประการใดรบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
#3
ในพระพุทธศาสนา ได้มีการจำแนกหน้าที่ของกรรมออกเป็น 4 ประเภท แต่ละปรเะเภทมีหน้าที่โดยเฉพาะ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของกรรมประเภทอื่น ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.กรรมนำไปเกิด(ชนกกรรม-ชะ-นก-กรรม) กรรมประเภทนี้มีหน้าที่นำสัตว์ที่จุติ(ตาย) จากภพหนึ่งไปเกิด(ปฎิสนธิ)ในภพใหม่ กรรมนี้เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดทารก บุคคลจะเกิดในที่ดีหรือเลวก็ด้วยอานุภาพของกรรมนี้ พอให้เกิดแล้วกรรมนี้ก็หมดหน้าที่ อานุภาพของกรรมนี้จะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่บุคคลทำไว้ก่อนละโลกนั่นเอง

2.กรรมผู้ช่วยเหลือ(อุปถัมภกกรรม-อุ-ปะ-ถัม-ภะ-กะ-กรรม) กรรมประเภทนี้เปรียบเหมือนพี่เลี้ยงนางงาม ถ้าได้กำเนิดดี กรรมนี้จะช่วยส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น ถ้าไ้ด้กำเนิดชั่ว กรรมนี้จะช่วยสนับสนุนไปทางชั่ว รวมความว่า เหมือนพี่เลี้ยงดีและชั่ว ตัวอย่างเช่น บางคนได้กำเนิดมาดี ถ้าชาตินี้ทำดีอีก กรรมดีของเขาในปัจจุบันก็จะเป็นอุปถัมภกกรรม ช่วยสนับสนุนให้เขาดียิ่งๆขึ้นไปอีก  ในทางกลับกัน บางคนเกิดมาในกำเนิดไม่ดีเพราะชนกกรรมไม่ดี ถ้าชาตินี้ทำไม่ดีซ้ำอีก กรรมไม่ดีของเขาในปัจจุบันก็จะเป็นอุปถัมภกกรรม ฉุดให้เขาตกต่ำไปอีก

3.กรรมบีบคั้น(อุปปีฬกกรรม-อุ-ปะ-ปี-ฬะ-กะ-กรรม) กรรมประเภทนี้ตรงกันข้ามกับประเภทที่ 2 เช่น คนที่เกิดมาดี เพราะชนกกรรมดี แต่เมื่อเกิดมาแล้วทำแต่กรรมชั่ว กรรมชั่วก็จะฉุดเขาให้ต่ำลง กรรมนี้เรียกว่า กรรมบีบคั้น บางคนได้กำเนิดไม่ดี แต่เมื่อเกิดมาแล้ว หมั่นสั่งสมแต่กรรมดี กรรมดีของเขานั้นจะบีบคั้นความไม่ดีเ่ก่าให้หมดไป กรรมใหม่ที่ดีของเขาจะโดดเด่นขึ้นมา
จากเรื่องกรรมบีบคั้น นี้ย่อมให้ข้อคิดว่า คนเราจะเกิดมามีฐานะสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ตาม จะต้องหมั่นสั่งสมแต่กรรมดีสถานเดียว มิฉะนั้นชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์และความเดือดร้อนยากที่จะพบความสุขกายสบายใจ

4.กรรมตัดรอน(อุปฆาตกรรม-อุ-ปะ-ฆาต-ตะ-กะ-กรรม) กรรมประเภทนี้เป็นกรรมตัดรอนได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเป็นกรรมหนัก ตัวอย่างทางฝ่ายชั่ว เช่น บุคคลที่ทำอนันตริยกรรม 5 อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะเคยทำ หรือตั้งใจทำกรรมดีเ่ท่าไร เขาก็จะตกนรกอย่างแน่นอน เพราะกรรมดีของเขาถูกตัดรอนหมด  ตัวอย่างทางฝ่ายดี เช่น  ซึ่งถือว่าเป็นอนันตริยกรรมฝ่ายกุศล ตราบเท่าที่ฌานยังไม่เสื่อม ความชั่วอย่างอื่นไม่อาจทำลายเขาได้ เพราะฌานกรรมนั้นตัดรอนวิบากแห่งกรรมชั่วเสียสิ้น ครั้นละโลกเขาย่อมไปบังเกิดในพรหมโลกอย่างแน่นอน

สูงไปกว่านั้น หากเขาได้บรรลุอรหัตผลก่อนที่จะละโลกอรหัตผลนั้น ย่อมตัดรอนวิบากกรรมอื่นเสียสิ้น เมือพระอรหันต์นั้นละเบญจขันธ์นิพพานแล้ว กรรมชั่วทุกอย่างที่เคยทำมาก็หมดโอกาสติดตาม คือเป็นอโหสิกรรมไปหมด นี่คือลักษณะของอุปฆาตตกกรรม

ถ้าพูดแบบโลกๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เศรษฐีที่กลายเป็นยาจก หรือคนขอทานที่กลายเป็นเศรษฐีนั่นเอง
#4
ผมหายไปเพราะลืมรหัสเฉย แต่จู่ๆวันนี้ลองนึกๆดู แล้วเข้าก็ได้เฉย ดีใจสุดๆ ว่าจาสมัครใหม่แต่ก็ได้เข้ามาติดตามอยู่เสมอครับ

ขออวยพร ปีใหม่ให้พี่ๆน้องๆ ทีมงานมีความสุข สร้างสิ่งดีๆในเวบเพื่อเสริมและประดับความรู้ คู่ชาวรักและบูชามหาเทพ เทพเทวา สนใจพรหมศาสตร์กัน

ต่อไปอย่างยาวนาน จนกัลปวสานนะครับ ขอบารมี พระรัตนตรัย และพ่อมหาเทพอวยพระพร นะครับ
#5
พระพุทธบาท 4 รอย ดินแดนแห่งพุทธะ

เหตุที่ควรไปสักการะพระพุทธบาท 4 รอย มีหลายประการมากมาย แต่ปีนี้ มันอาจเป็นปีของการเริ่มต้น ของการสิ้นสุดหลายๆอย่าง โดยเฉพาะคนไม่มีศีลธรรม ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า เช็คบิล อย่านึกว่าทำบุญเยอะแล้วจะรอด เคยสังเกตไหม ทำไมคนทำบุญแล้วยังโดนวิบากกรรมเล่นซะอ่วมเลย เพราะเรายังไม่รู้ว่าในชาตินี้ ชาติก่อนๆ เราทำบาปอะไรไว้บ้าง ดังนั้น การไปขอขมาและปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าที่พระพุทธบาท 4 รอย จะเป็นการลดทอนกรรมได้ดีที่สุด และ มีผลทำให้การปฎิบัติธรรมก้าวหน้าอย่างเร็วโดยที่เรานึกไม่ถึงเลย อันนี้เรื่องจริงแต้ๆเลย
ขนาดหลวงปู่สิม หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเปลี่ยน หลวงตาม้า ท่านยังให้ความสำคัญกับพระพุทธ 4 รอยเป็นอันมากครับ สำหรับพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้นับเป็นมหาปูชนียสถานพิเศษที่ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวดด้วยเป็นที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จอุบัติขึ้นมาแล้วถึง 4 พระองค์คือ



1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
3. พระกัสสปพุทธเจ้า
4. พระโคตมพุทธเจ้า(พระองค์ปัจจุบัน)
หรือแม้แต่ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมพระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยวดยิ่งแห่งวัดป่าอรัญญวิเวก จ.นครพนมเมื่อครั้งยังเที่ยวธุดงค์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยเช่นกันว่า “พระพุทธบาทสี่รอยนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่มีความสำคัญที่สุดในจักรวาล...”
พระผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตพระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุคก็ยังได้เคยพยากรณ์ไว้เมื่อครั้งที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า “เณรสิมนี้ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อได้ จะหอมกว่าหมู่” เมื่อได้เล็งญาณพิจารณาการทั้งสิ้นแล้วจึงได้กล่าวสรุปปิดท้ายไว้ก่อนละสังขารไม่นานว่า
“พระบาทสี่รอยนี้เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบรอยพระบาทไว้เองจริงๆ....”
“รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรีเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมเพียงพระองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้นเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่งก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึง 4 พระองค์นั่นแหละ....”
“การที่ได้ไปกราบไปไหว้ไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาที่พระบาทสี่รอยนี้จะทำให้ได้บุญเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียวนะ..!!!!!”



เดินทางสักการะพระพุทะบาท 4 รอย

รูปขนาดเล็ก      

ประวัติ  ต้องเริ่มจากตำนานความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยเสียก่อน  สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบัน  ได้เสด็จาริกประกาศธรรมมายังปัจจันตประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ได้เสด็จมาถึงทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา "เวภารบรรพต"  ได้เสด็จมาพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์  และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้  เมื่อฉันจังหันแล้วก็ทราบด้วยญานสมบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้  มีรอยพระพุทธบาทเจ้าประทับอยู่แล้วถึง ๓ พระองค์  พระสารีบุตรได้ทูลถามว่า  พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด  จึงตรัสตอบว่า ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้แล้วในที่เดียวกัน ๓ พระองค์  ดังนั้นพระองค์จะประทับไว้เป็นรอยที่สี่  และต่อไปแม้นว่าพระพุทธเจ้าศรีอารยเมตไตรย์จักเสด็จมาอีก  จะมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ สถานที่แห่งนี้อีก  แต่จะประทับแล้วจะลบรอยทั้ง ๔ รวมทั้งรอยที่ ๕ ลบให้เหลือเพียงรอยเดียว  เมื่อตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทที่ประทับอยู่แล้ว ๓ รอยนั้นรวมเป็นสี่รอยด้วยกัน
        รอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอย  ต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์  เพราะประทับอยู่บนแผ่นศิลาซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาสูงทีเดียว  ดั้งเดิมต้องปีนขึ้นไปดู  แต่ปัจจุบันมีบันไดขึ้น  มีวิหารสร้างครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว  พระพุทธบาทนั้นไม่ใช่สักแต่ว่ามีรอยพระบาท จะต้องมีรูปธรรมจักรปรากฏด้วย  ไม่ใช่ไปเจอหินที่ไหนมีหลุมลึกยุบลงไปก็โมเมว่าเป็นรอยพระพุทธบาทหมด  ส่วนว่าจะเสด็จมาได้อย่างไรจากอินเดียนั้นคงต้องคุยกันนาน  ให้นึกถึงคนแบกตู้เย็นแบกโอ่งมีน้ำหนีไฟไหม้ได้ก็แล้วกัน  ไฟดับแล้วบอกให้แบกกลับแบกไม่ไหวหรอก  เพราะเอาพลังกายในที่แฝงอยู่ในร่างกายออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว  แต่หากมีการฝึกแล้วก็จะเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา  เหมือนวิชาตัวเบาก็เช่นกัน
        รอยพระพุทธบาทสี่รอย ประกอบด้วย
        พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุลันธะ  ยาว ๑๒ ศอก  (ยาว ๖ เมตร )
        พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ  ยาว ๙ ศอก
        พระพุทธเจ้ากัสสปะ  ยาว ๗ ศอก และ
        พระพุทธเจ้าโคตะมะ รอยที่ ๔ ยาว ๔ ศอก
        พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานว่า  เมื่อเราคถาคตนิพพานไปแล้ว  เทวดาทั้งหลายจักนำเอาพระธาตุของเราตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้  และเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี  พระพุทธบาทสี่รอยนี้จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย  ก็จักได้มากราบไหว้บูชา  เมื่อทรงอธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปยังเชตวันอาราม ในเมืองสาวัตถี
        ๒,๐๐๐ ปีล่วงไป  เทวดาประสงค์ให้พระพุทธบาทปรากฏแก่ตาปวงชน  จึงนิมิตพญาเหยี่ยวบินลงมาจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งของพระพุทธบาทสี่รอย  ให้ลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาแล้วบินกลับขึ้นไปบนภูเขา พรานประจำหมู่บ้านโกรธมาก จึงตามขึ้นไปบนเขาเพื่อฆ่าเหยี่ยวแต่หาไม่พบ  แต่กลับไปพบรอยพระพุทธบาทสี่รอย อยู่บนพื้นหินใต้การปกคลุมของพืชพันธุ์ไม้  พรานเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจึงทำการสัการะบูชาแล้วกลับลงมาจากเขามาบอกชาวบ้าน  ชาวบ้านก็พากันไปกราบไหว้บูชาและได้ชื่อว่า "พระบาทรังรุ้ง" (รังเหยี่ยว)

จากสานส์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า  "พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดของไทย"  ครูบาอาจารย์  พระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต  หลวงปู่แหวน  หลวงปู่ชอบ  หลวงปู่สิม เป็นต้น  ล้วนแต่ขึ้นไปนมัสการมาแล้วทั้งสิ้น
        ความสำเร็จในการพัฒนาให้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากพระภิกษุหนุ่มที่ถือว่าต้องทรงวิทยาคุณเป็นอย่างสูงคือพระพรชัย ปิยวัณโณ  ซึ่งท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ นี่เอง นับถึงวันที่ผมเขียนก็มีอายุเพียง ๓๔ ปี  นับว่าหนุ่มมากสำหรับพระที่กล้าไปอยู่องค์เดียว  ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และอยู่เป็นเวลานานถึง ๙ ปี คือเป็นเณร ๑ ปี  เป็นพระอีก ๑๘ ปี  ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี  พออายุ ๑๖ ปี ก็สอบนักธรรมเอกได้  ธุดงค์มาพักอยู่ที่วัดรางสันป่าตึง  วัดพระเจ้าตนหลวง ตำบลสันป่ายาง  ที่เชิงเขาพระพุทธบาทสี่รอย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐  อยู่ได้สัก ๒ เดือน  ได้นิมิตเห็นปราสาทหลังใหญ่โตงดงามมากอยู่บนเขาสูง  ได้ขึ้นบันไดไปก็พบรอยพระพุทธบาทอยู่ในปราสาท  เมื่อวันรุ่งขึ้นออกบิณฑบาตเล่าให้โยม ๆ  ฟังก็บอกว่าบนเขามีรอยพระพุทธบาท มีวัดแต่มักจะเป็นวัดร้าง  เพราะพระเณรมักอยู่อาศัยไม่ได้ท่านจะขึ้นไปชาวบ้านก็ห้าม  สุดท้ายพอเวลาตีสองท่านก็ขึ้นไปยังพระพุทธบาทสี่รอย  เดินไปเป็นระยะทางประมาณ ๒๒ กม.  และไปอยู่ประจำองค์เดียว ๑ ปี  เป็นเณร ๘ ปี เป็นพระจนปีที่ ๘ จึงเริ่มมีพระมาจำพรรษาด้วยมากถึง ๑๑ รูป  ต่อจากนั้นท่านก็เลยเริ่มบูรณะวัด  เริ่มตั้งแต่วิหารเจ้าดารารัศมี  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างกุฏิทรงล้านนา  สร้างมหาเจดีย์  สร้างอุโบสถที่งดงามหลังโตเหมือนปราสาทที่ท่านนิมิตนั่นแหละ
        ท่านต้องต่อสู้กับความวิเวก  กับสัตว์ป่าด้วยการแผ่เมตตา  สู้กับความอดอยากสารพัดที่จะสู้ทุกรูปแบบ  ถ้าไม่ไปเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าพระภิกษุอายุเพียงเท่านี้จะทำได้ขนาดนี้  และท่านถือว่าไม่ต้องไปบอกบุญใคร  อาศัยพระบารมีของพระพุทธบาท  อธิษฐานขอจากปวงเทพเทวาว่าจะสร้างโบสถ์ ให้เป็นไปตามหน้าบุญ  "มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เอา  ใครจะมาทำบุญก็มา"  แล้วอธิษฐานขอจากครูบาศรีวิลัย เทพเทวา ไม่วุ่นวาย ไม่ยึดติด
การเดินทางมาวัดพระบาทสี่รอย
จากตัวเมืองใช้เส้นทางสายเชียงใหม่ แม่ริม ระหว่างกิโลเมตรที่ 20-21 จะมีป้ายบอกทางไปวัดอีก 31 กิโลเมตร
(ถนนดีมากๆครับ)
#6
ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเวบนี้นานแต่เข้ามาอ่านหลายกระทู้ยังอบอุ่นเหมือนเดิมเลยนะครับ

เทพเทวาทุกรูปทุกนามทรงประทานพรให้ผู้ประพฤติธรรมทุกคนครับ

โอมศานติ ศานติ
#7
พระพุทธเจ้าตรัสสอน " เหตุที่ทําให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า "


ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
[๑] พระอานนท์เวเทหมุนี มีอินทรีย์สำรวมแล้วได้ทูลถามพระตถาคตผู้ประทับ
อยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า ได้ทราบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้ามีจริงหรือ

เพราะเหตุไรจึงได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์? ในกาลนั้น

พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ
ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า ชนเหล่าใด
สร้างสมกุศลสมภารในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยังไม่ได้โมกขธรรมใน
ศาสนาของพระชินเจ้า ชนเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์โดยมุข คือ การ
ตรัสรู้นั้นแล แม้มีอัธยาศัย มีกำลังมาก มีปัญญาแก่กล้า ย่อมได้บรรลุ

ความเป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุแห่งปัญญา แม้เราเป็นธรรมราชาผู้สมบูรณ์
ด้วยบารมี ๓๐ ทัศ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
นับไม่ถ้วน นมัสการพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพร้อมด้วยสงฆ์ด้วย
นิ้วทั้ง ๑๐ แล้วกราบไหว้สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด
ทั้งหลายด้วยเศียรเกล้า รัตนะทั้งที่มีในอากาศและอยู่ที่พื้นดิน ในพุทธ-

เขต มีประมาณเท่าใด เราจักนำรัตนะทั้งหมดนั้นมาด้วยใจ ณ พื้นที่เป็น
รูปิยะนั้น เราได้นิรมิตปราสาทหลายชั้น อันสำเร็จด้วยรัตนะ สูง
ตระหง่านจรดฟ้า มีเสาอันวิจิตร ได้สัดส่วน จัดไว้ดี ควรค่ามาก มี
คันทวยทำด้วยทองคำ ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร พื้นชั้นแรกเป็น
แก้วไพฑูรย์ งามปราศจากมลทิน ไม่มีฝ้า เกลื่อนกลาดด้วยดอกบัวหลวง
มีพื้นทองคำอย่างดี พื้นบางชั้นมีสีดังแก้วประพาฬ เป็นกิ่งน่ารื่นเริง บาง

ชั้นแดงงาม บางชั้นเปล่งรัศมี ดังสีแมลงค่อมทอง บางชั้นสว่างทั่วทิศ
ในปราสาทนั้น มีศาลาสี่หน้ามุข มีประตูหน้าต่างจัดไว้เรียบร้อย มีชุกชี
และหลุมตาข่ายสี่แห่ง มีพวงมาลัยหอมน่ารื่นรมย์ใจห้อยอยู่ ยอด

ปราสาทนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว
ดำล้วน ประกอบด้วยยอดเรือนชั้นเยี่ยม มีสระประทุมชูดอกบานสะพรั่ง
งามด้วยฝูงเนื้อและนก บางชั้นดาดาษด้วยดาวนักษัตร ประดับด้วยรูป
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ปกคลุมด้วยพวงดอกไม้ทอง ดาดาษด้วยตาข่าย
ทองน่ารื่นรมย์ ห้อยย้อยด้วยกระดิ่งทอง เปล่งเสียงด้วยกำลังลม ปรา-
สาทนั้นวิจิตรด้วยธงสีต่างๆ คือ ธงสีชมพู สีแดง สีเหลือง สีเขียว

และสีทอง ปักไว้เป็นระเบียบ แผ่นกระดานต่างๆ มากหลายร้อย ทำ
ด้วยเงิน ทำด้วยแก้วมณี ทับทิม ทำด้วยแก้วมรกต วิจิตรด้วยที่นอน
ต่างๆ ลาดด้วยผ้าเมืองกาสีละเอียดอ่อน เราปูลาดเครื่องลาดต่างๆ
ด้วยผ้ากัมพล ผ้าทุกุลพัสตร์ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมืองแขก และผ้าห่มเหลือง
ทุกแห่ง ด้วยใจ ที่พื้นนั้นๆ ประดับด้วยยอดแก้ว คนหลายร้อยยืน
ถือประทีปแก้วมณีอันส่งแสงเรืองอยู่ เสาระเนียด เสาซุ้มประตู ทำด้วย

ทองชมพูนุท ไม้แก่นและเงินบ้าง มีที่ต่อหลายแห่ง จัดไว้เรียบดี วิจิตร
ด้วยบานประตูและกลอน ย่อมยังปราสาทให้งาม สองข้างปราสาทนั้น
มีกระถางน้ำเต็มเปี่ยมหลายกระถาง ปลูกบัวหลวงและอุบลไว้เต็ม เรา
นิรมิตพระพุทธเจ้าในอดีต ผู้เป็นนายกของโลกทุกพระองค์ พร้อมด้วย
พระสงฆ์สาวก ด้วยวรรณและรูปตามปกติ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์

พร้อมด้วยพระสาวกเข้าไปทางประตูนั้น หมู่พระอริยเจ้านั่งบนตั่งอันทำ
ด้วยทองคำล้วนๆ พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี
เป็นอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ทุกพระองค์ได้ขึ้นปราสาทของเรา พระสยัมภู
ปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อย ผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ขึ้น

ปราสาทของเราทั้งหมด ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งเป็นของทิพย์และของมนุษย์
มีมาก เรานำเอาผ้าทุกอย่างจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น มาทำไตรจีวรถวายให้
ท่านเหล่านั้นครอง ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำและข้าวมีสมบูรณ์
เราใส่อาหารเต็มบาตรงามทำด้วยมณีแล้วถวายพระอริยเจ้าทั้งผองครองผ้า
ทิพย์ ครองจีวรเนื้อเกลี้ยงอิ่มหนำสำราญด้วยน้ำตาลกรวด น้ำมัน น้ำผึ้ง

น้ำอ้อยรสหวานฉ่ำและด้วยข้าวปายาส หมู่อริยเจ้าเหล่านี้เข้าห้องแก้ว
สำเร็จสีหไสยาบนที่นอนอันควรค่ามาก ดังไกรสรีนอนในถ้ำที่อยู่ รู้สึกตัว
ลุกขึ้นนั่งคู้บัลลังก์บนที่นอน เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความยินดีในฌานอัน
เป็นโคจรของพุทธเจ้าทุกพระองค์ บางพวกแสดงธรรม บางพวกเข้าฌาน
ด้วยฤทธิ์ บางพวกเข้าอัปปนาฌาน และบางพวกอบรมอภิญญาวสี บาง

พวกแผลงฤทธิ์ คนเดียวเป็นได้หลายร้อยหลายพัน แม้พระพุทธเจ้าก็ถาม
ปัญหาอันเป็นอารมณ์ คือ วิสัยของพระสัพพัญญูกะพระพุทธเจ้า ท่าน
เหล่านั้น ย่อมตรัสรู้เหตุอันละเอียดลึกซึ้งด้วยพระปัญญา พระสาวกทูล

ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสาวก ท่านเหล่านั้นถามกัน
และกัน และพยากรณ์กันและกัน พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระสาวกต่างเป็นศิษย์ ท่านเหล่านั้นรื่นรมย์อยู่ด้วยความยินดีอย่างนี้

อภิรมย์อยู่ในปราสาทของเรา ฉัตรและฉัตรซ้อน มีรัศมีดังไม้ไผ่แก้วตั้งไว้
ทุกๆ องค์ทรงไว้ซึ่งฉัตรอันห้อยย้อยด้วยตาข่ายทอง ขจิตด้วยตาข่ายเงิน
วงรอบด้วยตาข่ายมุกดา บนเศียรมีเพดานผ้า แวววาวด้วยดาวทอง งดงาม

ดาดาษด้วยพวงมาลัยทุกๆ องค์ ทรงไว้รอบๆ ฉัตรดาดาษด้วยพวงมาลัย
งามด้วยพวงดอกไม้หอม เกลื่อนด้วยพวงผ้า ประดับด้วยพวงแก้ว

เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ งดงามยิ่งนัก รมด้วยของหอมน่าพอใจ ทำด้วย
ของหอมยาวห้านิ้ว มุงด้วยเครื่องมุงทอง ในสี่ทิศแห่งปราสาท มีสระ
อันดาดาษด้วยปทุมและอุบล หอมตลบด้วยเกสรดอกปทุม ปรากฏ
ดังสีทองคำ โดยรอบปราสาท มีต้นไม้ทุกชนิด ดอกบานสะพรั่ง และ

ดอกไม้หล่นลงเอง เรี่ยรายอยู่ยังปราสาท ใกล้ๆ ปราสาทนั้นมีฝูงนกยูง
รำแพนหาง ฝูงหงส์ทิพย์ส่งเสียง ฝูงนกการวิกขับขาน หมู่นกร้องอยู่
โดยรอบปราสาท เสียงกลองเภรีทุกอย่างจงเป็นไป เสียงพิณทุกชนิดจง

ดีด เสียงสังคีตทุกอย่างจงขับขาน โดยรอบปราสาท ขอบัลลังก์ทองใหญ่
สมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องประดับด้วยแก้ว จงตั้งอยู่ ในกำหนดพุทธเขต
และในหมื่นจักรวาล ขอต้นไม้ประจำทวีปจงรุ่งเรือง เป็นไม้สว่างไสว

เช่นเดียวกัน สืบต่อกันไปตั้งหมื่นต้น หญิงเต้นรำ หญิงขับร้อง จงเต้นรำ
ขับร้อง หมู่นางอัปสรผู้มีอวัยวะต่างๆ กัน จงปรากฏ (ฟ้อน) อยู่โดย
รอบปราสาท เราให้ชักธงทุกชนิดมีห้าสีงามวิจิตรขึ้นอยู่บนยอดไม้ ยอด

ภูเขา และบนยอดสิเนรุ หมู่ชน ฝูงนาค คนธรรพ์ และเทวดาทุกท่าน
นั้น จงมาประนมหัตถ์นมัสการเรา แวดล้อมปราสาทอยู่ กุศลกรรมอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง เป็นกิริยาที่เราพึงทำด้วยกาย วาจา และใจ กุศลกรรมนั้นเรา

ทำแล้วไปในไตรทศ สัตว์เหล่าใดมีสัญญา และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญา
มีอยู่ ขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีส่วนแห่งผลบุญ ที่เราทำแล้ว สัตว์
เหล่าใดทราบบุญที่เราทำแล้ว เราให้ผลบุญแก่สัตว์เหล่านั้น บรรดาสัตว์

เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอทวยเทพจงไปบอกแก่สัตว์เหล่านั้น ปวง
สัตว์ในโลกผู้อาศัยอาหารเป็นอยู่ทุกจำพวก ขอจงได้อาหารอันพึงใจ ด้วย
ใจของเรา เรามีใจเลื่อมใสในทานที่เราให้แล้วด้วยใจอันผ่องใส เราบูชา
พระสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว บูชาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

เพราะกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น และเพราะความปรารถนาแห่งใจ เราละ
กายมนุษย์แล้ว ได้ไปยังดาวดึงส์พิภพ เราย่อมรู้ทั่วความเป็นเทวดาและ
มนุษย์ในสองภพ ย่อมไม่รู้จักคติอื่น นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ

เราเป็นใหญ่กว่าเทวดา เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ
ไม่มีใครเสมอเราด้วยปัญญา โภชนะต่างๆ อย่างประเสริฐ และรัตนะ
มากมาย ผ้าต่างชนิด ย่อมจากฟ้ามาหาเราพลัน เราชี้มือไปในที่ใด คือ

ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า อาหารทิพย์ย่อมมาหาเรา
เอง เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและ
ในป่า รัตนะทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน

ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ของหอมทุกชนิดย่อมมาหาเราเอง
เราชี้มือไปในที่ใด คือที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า
ยวดยานทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา
บนอากาศ ในน้ำและในป่า ดอกไม้ทุกชนิดย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปใน

ที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า เครื่องประดับ
ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ
ในน้ำและในป่า ปวงนางกัญญาย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่
แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด

ย่อมมาหาเรา เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ใน
น้ำและในป่า ของเคี้ยวทุกอย่างย่อมมาหาเรา เราได้ให้ทานอันประเสริฐ
นั้นในคนไม่มีทรัพย์ คนเดินทางไกล ยาจก และคนเดินทางเปลี่ยว

เพื่อต้องการบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ เรายังภูเขาหินให้บันลืออยู่
ยังเขาอันแน่นหนาให้กระหึ่มอยู่ ยังมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลกให้ร่าเริง
อยู่ จะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก ทิศ ๑๐ มีอยู่ในโลก ที่สุดไม่มีแก่บุคคล

ผู้ไปอยู่ ก็ในทิศาภาคนั้น พุทธเขตนับไม่ได้ รัศมีของเราปรากฏเปล่ง
ออกเป็นคู่ๆ ข่าย (หมู่,คู่) รัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้ เราเป็นผู้มีแสง
สว่างมาก ปวงชนในโลกธาตุประมาณเท่านี้จงเห็นเรา จงมีใจยินดีทั้ง
หมดเทียว จงประพฤติตามเราทั้งหมด เราตีกลองอมฤต มีเสียงบันลือ
ไพเราะสละสลวย ปวงชนในระหว่างนี้ จงได้ยินเสียงอันไพเราะของเรา

เมื่อฝนคือธรรมเทศนาตกลง ปวงชนจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ บรรดาชน
เหล่านั้น สัตว์ผู้เกิดสุดท้ายภายหลัง จงเป็นพระโสดาบัน เราให้ทานที่
ควรให้แล้ว บำเพ็ญศีลโดยไม่เหลือ ถึงที่สุดเนกขัมมบารมีแล้ว พึงได้

บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเรียนถามบัณฑิตแล้ว ทำความเพียรอย่าง
สูงสุด ถึงที่สุดขันติบารมีแล้ว พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เรา
กระทำอธิษฐานจิตมั่นคงแล้ว บำเพ็ญสัจจบารมีถึงที่สุด เมตตาบารมีแล้ว
พึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เราเป็นผู้มีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง

คือ ในลาภ ความเสื่อมลาภ สุข ทุกข์ สรรเสริญ และนินทา พึง
ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ท่านทั้งหลายเห็นความเกียจคร้านโดยเป็น
ภัย และเห็นความเพียรโดยความเกษมแล้ว จงปรารภความเพียร นี้เป็น

อนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความวิวาทโดยเป็นภัย และ
เห็นความไม่วิวาทโดยเกษมแล้ว จงสมัครสมานกัน กล่าววาจาอ่อนหวาน
แก่กัน นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นความประมาท
โดยเป็นภัย และเห็นความไม่ประมาทโดยเกษมแล้ว จงอบรมอัฏฐังคิกมรรค

นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย
มาประชุมกันอยู่มาก ทุกประการ ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้นมัสการพระ-
สัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ พระพุทธเจ้า

(และ) ธรรมของพระพุทธเจ้า ใครๆ ไม่อาจคิดได้ เมื่อบุคคลเลื่อมใสใน
พระพุทธเจ้าและพระธรรม อันใครๆ ไม่อาจคิดได้ ย่อมมีผลอันใครๆ
คิดไม่ได้.

ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคจะทรงให้ท่านพระอานนท์รู้พระพุทธจิตของพระองค์ จึง
ได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปนิยะ ด้วยประการฉะนี้.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑




ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง

[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประ-
ทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวก
ป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย

ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่
เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้า
เก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธ-
เจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็น
พระพุทธเจ้า ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็น

แม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพ
หลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น

เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรา
จึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง

ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่
เป็นจริง เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา

สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้
น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้

ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภค
กาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพ
ทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้

มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำ
กล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ในกาลก่อน เราได้ฆ่า

พี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และ
บด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน
ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด ในกาลก่อน

เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟ
เผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
จึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา ในกาลก่อน เรา
เป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้
กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่ง

แล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ ใน
กาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วย
หอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก

ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของ
เราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก
(ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว

เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ)
ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะ
ฆ่าแล้ว เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า

พระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากิน
ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่
ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ในกาลนั้น เมื่อนักมวย

กำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความ
ทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค
ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกา-
พาธจึงมีแก่เรา เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า

กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยาก
อย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก
(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุ

โพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอัน
บุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด (บัดนี้)
เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้า-

โศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุ
กำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุ
สงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.

ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ
อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล
#8



อยากทราบประวัติด้วยครับ รบกวนผู้รู้นะครับ

ขอบพระคุณยิ่งครับ
#9
พระคาถาธารณปริตร


เมื่อครั้งออกพรรษาปี ๒๕๒๖ พระป่ากรรมฐานรูปหนึ่ง
มีโอกาสออกวิเวก เจริญรุกขมูล ธุดงค์ทางภาคเหนือและชายแดนฝั่งพม่า
เขตติดต่อพรมแดนในแวดวงหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ นานเกือบ ๓ เดือน
ขณะปักกลดพักที่ดอยพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน
ได้พบและปรึกษาธรรมปฏิบัติและอื่นๆ กับพระอาจารย์รังสรรค์ โชติปาโล
ซึ่งเพิ่งจะธุดงค์เดินป่ามาจากประเทศพม่า และได้จดจำเอา
"พระคาถาธารณปริตร" จากวัดอรัญตะยา ในมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า มาด้วย

เนื่องจากเห็นว่าเป็นบทสวดสรรเสริญพุทธคุณ ที่ในประเทศไทยเรายังไม่คุ้นเคยหรือปรากฏมาก่อน
จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที เมื่อพระป่ามาพบกันหลายองค์ที่จังหวัดลำพูน
ก็ได้นำพระคาถาธารณปริตรบทนี้ ทำวัตรเย็น ร่วมกันติดต่อกันอยู่ ๕ วันก่อนทำเพียรภาวนาทุกค่ำคืน
ได้ปรากฏเห็นหมู่ทวยเทวาอารักษ์ในนิมิต มาชุมนุมและร้องชมเชยสรรเสริญ ชื่นบาน ร่าเริงมาก
ที่ได้ยินพระป่ากรรมฐานเจริญพระคาถาธารณปริตร อันทรงคุณเป็นเลิศนี้

พระภิกษุกรรมฐานทั้ง ๕-๖ รูป ครั้นเจริญพระปริตรนี้ที่ห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน
ต่างได้เห็นนิมิตเทวาอารักษ์ ชื่นชมตรงกันทั้งสิ้น แม้จะน้อมนำทำน้ำพระพุทธมนต์โปรดหมู่ญาติโยมในที่ต่างๆ
ก็ศักดิ์สิทธิ์เหลือประมาณจึงได้พิจารณาเห็นว่าพระพุทธานุภาพของพระปริตรบทนี้ ทรงคุณเหลือประมาณ
สมควรที่พุทธศาสนิกชนทุกท่านจะได้นำไปสาธยายบูชาต่อไป

อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทราบจากหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้
ว่าผู้ที่สาธยายมนต์พระปริตรบทนี้ทุกๆ วัน อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง
พร้อมกับเร่งบริจาคทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
จะสามารถรอดพ้นจากวิกฤตมหาอุบัติภัยโลกที่จะบังเกิด


พระคาถาธารณปริตร

น้อมรำลึกถึง พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ
แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ โดยกล่าวคำนอบน้อม นมัสการ
คือ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ

๑. พุทธานัง ชิวิตตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ อันตะราโย กาตุง ตถา เม โหตุ
อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญานัง
อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง
ปัจจุบันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง

๒. อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต
สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง
สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง
สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง

๓. อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต
นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ นัตถิ ธัมมะเทสนายะ หานิ
นัตถิ วิริยัสสะ หานิ นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ
นัตถิ สมาธิธัสสะ หานิ นัตถิ วิมุตติยา หานิ

๔. อิเมหิ ทะวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต
นัตถิ ทะวา นัตถิ ระวา นัตถิ อัปผุฏฏัง นัตถิ เวคายิตัตตัง
นัตถิ พะยาวะฏะมะโน นัตถิ อัปปฏิสังขารุเปกขา

๕. อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต
นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง
นัตถิ ตะถาคะตัสสะ กายะทุจริตตัง
นัตถิ ตะถาคะตัสสะ วจีทุจริตตัง
นัตถิ ตะถาคะตัสสะ มะโนทุจริตตัง
นัตถิ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง
นัตถิ อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญานัง
นัตถิ ปัจจุบันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญานัง
นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง
นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง
นัตถิ สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง
อิมัง ธาระณัง อะมิตัง อะสะมัง สัพพะสัตตานัง ตาณังเลณัง
สังสาระ ภะยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง

๖. อิมัง อานันทะ ธาระณะปริตตัง ธาเรหิ วาเรหิ ปริปุจฉาหิ
ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กะเมยยะ อุทะเกนะ ลัคเคยยะ อัคคีนะ
ทะเหยยะ นานาภะยะวิโก นะ เอกาหาระโก นะ ทะวิหาระโก นะ
ติหาระโก นะ จะตุหาระโก นะ อุมมัตตะกัง นะ มุฬะหะกัง
มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา

๗. ตัง ธาระณัง ปริตตัง ยถา กะตะเม
ชาโล มหาชาโล ชาลิตเต มหาชาลิตเต ปุคเค มหาปุคเค
สัมปัตเต มหาสัมปัตเต ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง

๘. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง สัตตังสะเตหิ สัมมา
สัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง
วัตเต อะวัตเต คันธะเว อะคันธะเว โนเม อะโนเม เสเว อะเสเว
กาเย อะกาเย ธาระเณ อะธารระเณ
อัลลิ มิลลิ ติลลิ มิลลิ โยรุกเข มหาโยรุกเข ภูตัง คะมะหิ
ตะมังคะลัง

๙. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง นะวะ นะ วุติยา สัมมา
สัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง
ทิฏฐิลา ทัณทิลา มันติลา โรคิลา ขะระลา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ
วัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา<!-- google_ad_section_end -->


คำแปลพระคาถาธารณปริตร



๑.อันชีวิตแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใครๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนเช่นกัน อันว่าญาณที่ไม่มีเครื่องกระทบของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญมีย่อมมีในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน

๒.อันว่ากายกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่าวจีกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่ามโนกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ

๓. อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของประโยชน์ที่ประสงค์ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้
อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของความเพียร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของวิปัสสนาญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งกามาวจรและรูปาวจรวิมุตติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๔.อันว่าการพูดเล่น ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการเหล่านี้
อันว่าการพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าความไม่แพร่หลายในเญยยะธรรม ๕ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าการกระทำใดๆ อย่างผลุนผลัน โดยไม่การพิจารณาเสียก่อน ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าความมีใจวุ่นวายด้วยกิเลส ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าการกระทำที่ไม่มีอุเบกขาในเตภูมิสังขาร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๕.อันว่าความเคารพนอบน้อม ขอจงมีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๑๘ ประการเหล่านี้
อันว่ากายทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต
อันว่าวจีทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต
อันว่ามโนทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต
อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอดีต
อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในปัจจุบัน
อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอนาคต
อันว่ากายกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่าวจีกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันว่า ธารณปริตร นี้ ไม่มีเครื่องเทียบ ไม่มีเครื่องเสมอเหมือน เป็นที่ต่อต้าน เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์
ผู้ที่กลัวภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย อัคคัง ประเสริฐ มหาเตชัง มีเดชมาก

๖.ดูกรอานนท์ ท่านจงท่องจดจำ สอบถาม ซึ่งธารณปริตรนี้
อัน ว่ากายของผู้ท่องสวดมนต์ธารณปริตรนี้ ไม่พึงตายด้วยพิษงู พิษนาค ไม่พึงตายในน้ำ อันว่าไฟไม่พึงไหม้เป็นผู้พ้นภัยพิบัติต่างๆ ใครคิดทำร้ายในวันเดียวก็ไม่สำเร็จ ใครคิดร้ายทำลายในสองวัน สามวัน สี่วัน...ก็ไม่สำเร็จ ไม่พึงเป็นโรคหลงลืม ไม่พึงเป็นบ้าใบ้ อันอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถเบียดเบียนได้

๗.อันว่าธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ
ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย์ ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาพินาศ
มหาชาโล มีอานุภาพเหมือนมุ้งเหล็ก ที่สามารถป้องกันภัยจาก เทวดา อินทร์ นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น
ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย
มหาชาลิตเต มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป, สัตถันตรกัป และทุพภิกขันตรกัป
มี อานุภาพให้พ้นจากโลกต่างๆ ในเวลาปฏิสนธิคือ การเป็นใบ้ เป็นพิการ เป็นคนหูหนวก อีกทั้งไม่พึงตกต้นไม้ ตกเหว ตกเขาตาย สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้นโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง

๘.ดูกรอานนท์ อันธารณปริตร ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสไว้พึงสมาคมคนดี ไม่พึงสมาคมคนชั่ว พึงนำมาซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นธรรม พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจดี ไม่พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจร้าย พึงทำกายให้เป็นกายดี พึงนำมาแต่สิ่งอันเป็นกุศล ไม่ถึงนำมาซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล พึงฟังแต่สิ่งที่ดีไม่พึงฟังสิ่งที่ไม่ดี พึงเห็นแต่นิมิตดี ไม่ถึงเห็นนิมิตร้าย
โยรุกเข ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้
มหาโยรุกเข ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ ก็ทำให้เจริญงอกงามโดยความเป็นจริง
สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง

๙.ดูกรอานนท์ อันธารณปริตรนี้ สามารถรู้ความคิดร้ายของผู้อื่น
อาวุธต่างๆ มีเครื่องประหาร เช่น มีด หอก ปืน ไฟ เป็นต้น ไม่สามารถทำอันตรายได้
มันติลา สามารถทำน้ำมนต์คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สามารถประหารโรคต่างได้ และโรคร้ายแรงต่างๆ ไม่อาจทำอันตรายได้
ทุพพิลา สามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด
ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเถิด


ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัยและเทพเทวาทุกองค์คุ้มครองและประทานพร ทุกผู้ทุกนาม ครับ 

โอม ศานติ ศานติ
#10
โอม  เจริญธรรมให้พ้นบาปกันทุกคนครับ

ศานติ  ศานติ  ศานติ

มรณาสันนวิถี (วิถีจิตของคนที่ใกล้ตาย)






มรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตที่ใกล้จะตาย หมายถึง เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว จุติจิต (จิตที่ดับสิ้นไปจากภพชาติปัจจุบัน) ย่อมเกิดขึ้นในลำดับที่ใกล้เคียงกัน จะไม่มีวิถีจิตที่มีอารมณ์เป็นอย่างอื่นเกิดขึ้น คั่นระหว่างจุติจิตอีก
   ในมรณาสันนวิถีนี้ มีชวนะจิตเกิดขึ้นเพียง ๕ ขณะเท่านั้น (ปกติจะเกิดขึ้น ๗ ขณะ)

เพราะเหตุที่จิตมีกำลังอ่อน เนื่องจากอำนาจของกรรมที่ส่งมานั้น ใกล้จะหมดอำนาจอยู่แล้ว และอีกประการหนึ่ง หทัยวัตถุอันเป็นกัมมชรูป ซึ่งเป็นที่ตั้งของจิต ก็มีแต่จะเสื่อมสิ้นลงเรื่อยๆ กำลังของชวนะจิตอ่อนไป เหมือนไฟที่น้ำมันจะหมด หรือจะมอดอยู่แล้ว แสงสว่างของไฟ ก็ย่อมจะริบหรี่ เพราะหมดกำลังของปัจจัย คือน้ำมันและไส้นั่นเอง

  เมื่อหมดมรณาสันนวิถีแล้ว ต่อจากนั้นจุติจิตก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ เรียกว่า สัตว์นั้นถึงแก่ความตาย 

  ในทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยไม่มีจิตอื่น เกิดขึ้น มาคั่นระหว่าง จุติจิตกับปฏิสนธิจิตได้เลย

  แต่สำหรับจุติจิตของพระอรหันต์นั้น จะไม่มีปฏิสนธิจิตมาเกิดต่อจากจุติจิตอีก เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว ภพชาติที่จะต้องเกิดอีกไม่มี เมื่อจุติจิตดับลง จึงเข้าสู่ปรินิพพาน

  (ชวนะจิต หมายถึง การเสพอารมณ์ ๕ ของจิต คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ปกติของสัตว์จะเกิดขึ้น ๗ ขณะ)




     อารมณ์ของมรณาสันนวิถี

   ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่ยังมิได้เป็นพระอรหันต์นั้น จะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉานก็ตาม ..หรือเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหมก็ตาม เมื่อใกล้จะตาย นิมิตทั้ง ๓ คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเฉพาะหน้าในทวารใดทวารหนึ่ง แห่งทวารทั้ง ๖ นั้นเสมอ....

   พระอนุรุทธาจารย์ จึงแสดงว่า...

   "ตถา จ มรนฺตานํ ปน มรณกาเล กมฺมํวา

    กมฺมนิมิตฺตํวา คตินิมิตฺตํวา ฉนฺนํ ทฺวารานํ

    อญฺญตฺรสฺมํ ปตฺจุปฏฐาติ"

   "อารมณ์ของมรณาสันนวิถี จึงได้แก่นิมิตอารมณ์ทั้ง๓ ประการ คือ

   กรรมอารมณ์   กรรมนิมิตอารมณ์   และคตินิมิตอารมณ์"

  กรรมอารมณ์ ได้แก่ ธรรมารมณ์ที่เกี่ยวกับกุศลกรรม อกุศลกรรม กรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศล ได้แก่ การทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนา โดยทำมาแล้วด้วยความปีติโสมนัสอย่างไร ก็ให้ระลึกถึงความปีติโสมนัสให้เกิดขึ้น คล้ายกับว่าตนกำลังทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนาอยู่ในขณะนั้น

  ส่วนกรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศล ได้แก่ การที่ตนเคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เคยฉกชิงวิ่งราว เคยโกรธแค้นพยาบาท ความเสียใจหรือความโกรธนั้น คล้ายๆกับว่า กำลังปรากฏขึ้นกับตน เพราะเหตุดังกล่าวเหล่านั้น

   กรรมอารมณ์นี้เป็นความรู้สึกทางใจ จึงปรากฏได้เฉพาะทางมโนทวารทางเดียว เมื่อกรรมอารมณ์เป็นฝ่ายกุศลก็นำไปสู่สุคติ ถ้ากรรมอารมณ์เป็นฝ่ายอกุศลก็จะต้องนำไปสู่ทุคติ

กรรมนิมิตอารมณ์

   กรรมนิมิตอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และสภาพที่รู้ได้ทางใจ ที่เกี่ยวด้วยการกระทำของแต่ละบุคคล ที่ตนได้กระทำแล้วด้วยกาย วาจา ใจ ย่อมจะมาแสดงนิมิตเครื่องหมายให้รู้ได้"เมื่อใกล้จะตาย"

   ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็ให้รู้ให้เห็น เป็นการทำบุญให้ทาน เช่น เห็นโบสถ์ วิหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ตนเคยสร้าง เห็นพระภิกษุที่เคยบวชตนเอง หรือบวชลูก-หลาน เห็นพระพุทธรูปที่ตนเคยสร้าง เป็นต้น

   มรณาสันนวิถีก็หน่วงเอาอารมณ์นั้นๆ มาเป็นอารมณ์ให้เป็นนิมิตเครื่องหมายในสิ่งต่างๆเหล่านั้น

   กรรมนิมิตที่เป็นฝ่ายอกุศล เช่น เห็นแห อวน หอก ดาบ ปืนผาหน้าไม้ เครื่องประหัตประหารเบียดเบียนสัตว์ ที่ตนเคยใช้ในการทำบาปมาแล้ว เป็นต้น มรณาสันนวิถีก็จะน้อมเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์

   กรรมนิมิตอารมณ์ ที่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศลดังกล่าวมาแล้วนั้น ถ้าเป็นแต่เพียงนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น ก็จะปรากฏทางมโนทวาร(ทางใจ)เป็นอดีตอารมณ์ แต่ถ้าได้เห็นด้วยตาจริงๆ ได้ยินด้วยหูจริงๆ ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัส เป็นความรู้สึกจริงๆ ก็เป็นนิมิตอารมณ์ ที่ปรากฏทางปัญจทวาร(ทวาร ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) และเป็นปัจจุบันอารมณ์

   กรรมนิมิตที่เป็นฝ่ายกุศล ย่อมนำไปสู่"สุคติ" แต่ถ้ากรรมนิมิตเป็นฝ่ายอกุศล ก็ย่อมนำไปสู่ "ทุคติ"

คตินิมิตอารมณ์

   คตินิมิตอารมณ์ เป็นนิมิตเครื่องหมาย ที่จะนำไปสู่" สุคติ หรือทุคติ "ถ้าเป็นคตินิมิตอารมณ์ที่จะนำไปสู่"สุคติ" ก็จะปรากฏเป็นปราสาทราชวัง วิมานทิพยสมบัติ เทพบุตร เทพธิดา เห็นครรภ์มารดา เห็นวัดวา เห็นบ้านเรือน เห็นผู้คน หรือเห็นภิกษุสามเณร ล้วนแต่เห็นสิ่งที่ดีๆ

    คตินิมิตอารมณ์ ที่จะนำไปสู่"ทุคติ"ก็จะปรากฏเป็นเปลวไฟ ถ้ำ เหว ป่าทึบ เห็นนายนิรยบาล เห็นสุนัข เห็นแร้งกา เป็นต้น ที่กำลังเบียดเบียนทำอันตรายตน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีทั้งสิ้น

    คตินิมิตอารมณ์ ย่อมปรากฏได้ในทวารทั้ง ๖ แต่ส่วนมากจะปรากฏทางจักขุทวาร และทางมโนทวาร คือเห็นทางตากับทางใจเป็นส่วนมาก และจัดเป็นปัจจุบันอารมณ์

    อารมณ์ของมรณาสันนวิถีนี้ ย่อมจะมีอารมณ์ที่เป็นกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏ แก่วิถีจิตสุดท้ายที่ใกล้ชิดกับ"จุติจิต"ที่สุด และอารมณ์ทั้งสามนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกรรมทั้ง ๔ ประการตามลำดับ คือ...

  (จุติจิต หมายถึง จิตที่ดับสิ้นไปจากภพชาติปัจจุบัน)

  (คัดจากหนังสือ พระอภิธรรมมัตถสังคหะ)
#11
เคยมีผู้กล่าวว่า ชนชาติใดเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ก็มักจะเขียนเข้าข้างตัวเอง แต่ความเข้าใจเช่นนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก สำหรับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หรือประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก

เมื่อครั้งที่ ท่าน ลาลูแบลร์ราชทูตฝรั่งเศส ได้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นั้น ท่านได้รายงานกลับไปยังพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุลาลูแบลร์ ว่า "พระพุทธเจ้าโคตมะเป็นบรรพบุรุษของชาวสยาม"
    
ซึ่งคงจะไม่มีใครเชื่ออย่างนั้น และคงจะคิดว่า คนสยามในสมัยนั้น คิดเข้าข้างตัวเอง และเล่าความเท็จให้ราชทูตฟัง ดังที่มีลูกหลานคนไทยเองได้แสดงความคิดเห็นต่อบรรพบุรุษของตัวเอง ว่าเอกสารโบราณของไทยที่กล่าวถึงประวัติพระพุทธเจ้าส่วนมากเป็นตำนานพื้นบ้าน โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดรับสั่งกับประชาชนว่าพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะมาประดิษฐานในที่นั้นๆ หลังจากพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเอกสารเหล่านี้เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง มิได้เขียนขึ้นบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์แต่เขียนตามจินตนาการที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาโดยเปลี่ยนชมพูทวีปเป็นประเทศสยาม

แต่วันนี้ ผมอยากจะเชิญชวนท่านทั้งหลาย เปิดใจให้กว้าง ลืมสิ่งที่เราเคยรับรู้มาก่อนหน้านี้ ทำใจให้เป็นกลางๆ แล้วค่อยๆ อ่าน เรื่องราวทั้งหลาย ที่ผมพยายามประมวลเรียบเรียงมาทั้งหมด เพราะผมเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้อง ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมีสติ เพื่อคลี่คลายความจริงให้แผ่นดิน


เอกอิสโร วรุณศรี

ชุมนุมฟื้นธรรมฟื้นไทยแห่งยุคหลังกึ่งพุทธกาล

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ชมพูทวีปอยู่ที่ไหนกันแน่

ในคัมภีร์อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-เอกนิบาต ตอนหนึ่ง พระอรรถกถาจารย์ รจนาไว้ว่า
ชมฺพูทีเป ความว่า ชื่อว่า ชมพูทวีป เพราะเป็นทวีปที่รู้กันทั่วไป คือ ปรากฏด้วยต้นหว้าเป็นสำคัญ. เขาว่าทวีปนี้มีต้นหว้าใหญ่
ตระหง่านสูง ๑๐๐ โยชน์ กิ่งยาว ๕๐ โยชน์ ลำต้นกลม ๑๕ โยชน์ เกิดอยู่ที่เขาหิมพานต์ตั้งอยู่ชั่วกัป. ทวีปนี้เรียกว่าชมพูทวีป เพราะมีต้น
หว้าใหญ่นั้น. อนึ่งในทวีปนี้ ต้นหว้าตั้งอยู่ชั่วกัป ฉันใด แม้ต้นไม้ เหล่านี้ คือ ต้นกระทุ่ม ในอมรโคยานทวีป ต้นกัลปพฤกษ์ ในอุตตรกุรุทวีป ต้นซีก ในบุพพวิเทหทวีป ต้นแคฝอยของพวกอสูร ต้นงิ้วของ
        
พวกครุฑ ต้นปาริชาตของพวกเทวดา ก็ตั้งอยู่ชั่วกัปเหมือนกัน ฉันนั้น.

"ชมพูทวีป"
นี้มีความสำคัญอย่างไร ทำไมจะต้องค้นหานั้น ก็เป็นเพราะว่า ชมพูทวีปนี้ เป็นทวีปที่ตั้งของมัชฌิมประเทศ อันเป็นที่ที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญ แล้วเสด็จอุบัติในประเทศนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญบารมี แล้วมาเกิด พระมหาสาวกทั้งหลาย บำเพ็ญบารมี แล้วมาเกิด พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมเสด็จมาเกิด อีกทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ และคฤหบดีผู้มหาศาล ผู้มีศักดิ์ใหญ่เหล่าอื่นก็มาเกิดในประเทศนี้ ดังในคัมภีร์พระอรรถกถา พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ตอนหนึ่ง พระอรรถกถาจารย์ รจนาไว้ว่า

แต่นั้นเมื่อจะทรงตรวจดูทวีป ได้ทรงพิจารณาดูทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปที่เป็นบริวาร ทรงเห็นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มาเกิดในทวีปทั้ง ๓
จะเกิดเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น. แต่นั้นทรงตรวจดูประเทศว่า ขึ้นชื่อว่า ชมพูทวีป จัดเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณถึงหมื่นโยชน์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมมาเกิดในประเทศไหนหนอแล ทรงพิจารณาเห็นมัชฌิมประเทศแล้ว.ที่ชื่อว่า มัชฌิมประเทศ ได้แก่ประเทศที่ท่านกล่าวไว้แล้วในพระวินัย โดยนัย
เป็นต้นว่า มีนิคมชื่อกชังคละอยู่ในทิศบูรพา ดังนี้. ก็มัชฌิมประเทศนั้น มีกำหนดว่า ยาว ๓๐๐ โยชน์ กว้าง ๒๕๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๙๐๐ โยชน์.
ก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปบ้าง ๘ อสงไขยแสนกัปบ้าง ๑๖ อสงไขยแสนกัปบ้าง แล้วเสด็จอุบัติใน
ประเทศนี้. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัปแล้วมาเกิด. พระมหาสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ
เป็นต้น บำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยแสนกัป แล้วมาเกิด. พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ปราบดาภิเษกเหนือทวีปใหญ่ทั้งสี่ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารย่อมเสด็จ
มาเกิด. อีกทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ และคฤหบดีผู้มหาศาล ผู้มีศักดิ์ใหญ่ เหล่าอื่นก็มาเกิดในประเทศนี้. ก็และในประเทศนี้ มีพระนครชื่อว่า กบิลพัสดุ์
เป็นราชธานี พระองค์จึงตกลงพระทัยว่า เราควรเกิดในนครกบิลพัสดุ์นั้น.
     
แต่ในความเข้าใจปัจจุบัน ในแบบเรียน หรือหนังสือประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อกล่าวถึง

"ชมพูทวีป"

อันเป็นแดนเกิดของพระพุทธเจ้า ก็มักจะอธิบาย ว่า ดินแดน ชมพูทวีป คือ แผ่นดินที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ๔ ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ทั้งที่ บรรพชนคนในแถบสุวรรณภูมิ ทั้ง คนไทย ลาว พม่า มอญ สมัยโบราณ ต่างก็รู้ว่า ชมพูทวีป คือที่นี่ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่ตั้งของ ประเทศ พม่า มอญ ไทย และลาว แล้วไม่มีใครสงสัยเลยหรือว่าความเป็นจริงแล้ว ชมพูทวีปอยู่ที่ไหนกันแน่

        
ความเข้าใจ หรือการรับรู้ เรื่อง ชมพูทวีป ของบรรพชนแต่โบราณ ที่ปรากฏอยู่ใน นิทานพระพุทธสิหิงค์ ว่าด้วยตำนานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่ง พระโพธิรังสี แต่งไว้เป็นภาษาบาลี เมื่อก่อน พ.ศ. ๑๙๘๕ ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน ครองเมืองเชียงใหม่ นั้นอยู่ที่ไหน?

ผมจะขอคัดลอก ความสำคัญแต่พอสังเขป ในเหตุการณ์ที่พระร่วงเจ้า หรือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมืองสุโขทัย ไปอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ จากเมืองนครศรีธรรมราช และได้ทราบคำของพระเจ้าศรีธรรมราช ว่า พระพุทธสิหิงค์ ได้แสดงปาฏิหาริย์ ลอยจากบัลลังก์ที่ประดิษฐานอยู่ ขึ้นสู่อากาศ ประดิษฐานอยู่ในท้องฟ้าเปล่งรัศมี ๖ ประการไปทั่วทุกทิศ ดังนี้

พระร่วงได้ทรงฟังแล้วมีพระทัยเปี่ยมไปด้วยปีติ ทรงยกอัญชลีขึ้นเหนือพระเศียร สรรเสริญพระพุทธคุณ ทรงป่าวประกาศพลนิกายทั้งหมดให้ถือเครื่องบูชา พระองค์แวดล้อมไปด้วยอุปราช ยุพราช และหมู่อำมาตย์มีนายทหารผู้กล้าหาญเป็นหัวหน้า เสด็จเข้าไปในเมืองศรีธรรมราช ทรงดำเนินด้วยพระบาท แหงนพระพักตร์ทอดพระเนตรดูเบื้องบน ทรงทำอัญชลีเหนือพระเศียร ถวายนมัสการพระพุทธสิหิงค์องค์ประเสริฐ เมื่ออาราธนาให้เสด็จลงมาได้ตรัสเป็นคาถาว่า

ภนฺเต ภนฺเต โลกนาถ
ภนฺเต โลกมหิทฺธิกํ
อหนฺตํ ติภวเสฏฐํ
ปณมามิ อิโต ปุเรฯ
อหนฺ กตฺตุกาโมมฺหิ
อาราเธตฺวา ภวาลเย
ชมฺพูทีปมนุสฺสานํ
เทวานญฺจานุกมฺปิตุงฯ
ยาวตา สาสนา ตุยฺหํ
ติฏฐนฺติ อภิวฑฺฒิตุง
มม วาเส สุโขเทยฺยํ
อภิรมฺมตรํ อิโตฯ
อมฺหากํ อนุกมฺปาย
คฉฺฉตํ สิริยา ชลํ
ชิโน โอรุยฺห เม สีเส
นิสิทิ ชนสมฺมุเขติฯ

ข้าแต่พระผู้เป็นที่พึ่งของโลก ข้าแต่พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการพระองค์ผู้ประเสริฐในสามภพ ข้าพระพุทธเจ้าใคร่จะอาราธนาอัญเชิญพระองค์จากที่นี้ไปประดิษฐานอยู่ในเมืองโน้น เพื่อทรงอนุเคราะห์มนุษย์ชาวชมพูทวีป และเทวดาทั้งหลาย ตราบเท่าที่ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่เพื่อความเจริญ เมืองสุโขทัยเป็นที่อยู่ของข้าพระพุทธเจ้า น่ารื่นรมย์ยิ่งกว่าเมืองนี้ ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จไปเพื่อทรงอนุเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระพุทธผู้รุ่งเรืองด้วยพระสิริวิลาส จงโปรดลงมาประทับบนศรีษะข้าพระพุทธเจ้าต่อหน้ามหาชนเถิดฯ     
ขณะเมื่อพระร่วงเจ้าอาราธนาอย่างนี้ พระพุทธรูปองค์ประเสริฐเสด็จลงมาจากอากาศประดิษฐานบนพระเศียรของพระองค์
     
นอกจากนี้ ความเข้าใจ หรือการรับรู้ เรื่อง ชมพูทวีปอยู่ที่ไหนของบรรพชนคนไทยแต่โบราณ ที่ปรากฏอยู่ใน ตำนานมูลศาสนา ฉบับวัดป่าแดง ซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์ที่พระมหาญาณคัมภีร์ พระสงฆ์จากเชียงใหม่เดินทางไปลังกา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๖ ดังจะขอคัดลอกมาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ ดังนี้

พระมหาญาณคัมภีระไปลังกา        

เมื่อนั้น ญาณคัมภีระจิ่งเมือเมตตาพระยาบรมราชาธิราชบอกกิจทังมวลดั่งอั้น พระยาจิ่งไหว้ญาณคัมภีระเถรเจ้าว่าดีนัก เจ้ากูบอกแก่ข้านี้ดีจิงนัแล ขอเจ้ากูอสหะไปเถิงที่เคล้า หื้อได้อันชอบธัมมวินัยมาไว้เทอะ ข้าจักหื้ออามาจผู้ชื่อสุภรติไปกับตามเจ้ากูชะแล พระยาแต่งอามาจบ่าว ๒ คน ไปกับญาณคัมภีรเถรเจ้า ว่าดีนักเจ้ากู เถรเจ้าก็ลงไปไหว้ธัมคัมภีระสมเด็จราชคุรุ ท่านยินดีจิ่งแต่งชาวเจ้าอันเป็นสิกไป ๕ ตน มีธัมมานันทะเป็นเคล้าแก่ชาวเจ้าทังหลาย ๑๒ ตน อุบาสก ๔ คนไปสู่มะริดตะนาวสี ขึ้นเมตตาพระยาเมืองที่นั้น ยินดีกับด้วยญาณคัมภีรเถรเจ้าอันจักไปเอาสาสนานั้น พระยาก็ราธนาเถรเจ้าขอปฏิญญาณว่า คันได้สาสนาและพอกมาขอเมตตาข้าทังหลายพายหน้าแท้ อย่าล่วงพ้นทางอื่นแด่ว่าสันนี้ ก็หื้อลงเรือไปด้วยพ่อค้าสำเภา ปีก่าเหม้าสักกราชได้ ๗๘๕ ตัว (พ.ศ. ๑๙๖๖) ไปนาน ๔ เดือน ก็ไปรอดเถิงลังกาทวีป ท่านก็เข้าไปไหว้มหาสุรินทเถรในเมืองอนุราธปุรนคร วัดถูปาราม ด้วยกิจทังมวล ๑๐ ประการ สุรินทเถรเจ้ากล่าวว่า ดั่งสาสนาในลังกา ๓๐ เมืองนี้ หากดูดั่งกันเสี้ยงแล เหตุว่าท่านเจ้าม่าน ท่านเจ้าเม็ง ท่านเจ้ากุลาผาสี เจือจานกัน ไผใคร่ว่าอันใดก็หากว่า ไผใคร่เยียะอันใดก็หาเยียะตามใจอันมัก บ่ตามพระธัมมวินัยพระเจ้าสักอันแล เป็นดั่งพระเชียงใหม่สู ตนชื่อสิทธันตะมาสูตแต่ก่อนนั้นหากบ่แม่นแท้แล อันปฏิบัติตามธัมมวินัยแท้ ตามอัตถะแท้ เท่ามีในโรหณชนบท มหารัฐฐะสิ่งเดียว ด้วยสาสนาพระเจ้าตั้งอยู่ที่นั้น ยังเป็นถิรทัฬหภาวะต่อเท่า ๕,๐๐๐ วัสสา บ่เป็นภินนาเภทกัมม์เยื่องใด เหตุพระพุทธเจ้าสั่งพระยาอินท์ไว้หื้อเทวดาอยู่รักสาดูผู้ร้าย ผู้ดีแท้แล ท้าวพระยาเสนาอามาจประชาพร้อมกันรักสาด้วยชอบธัมม์แท้แล อาวุโสท่านฉลาดด้วยอัตถะจุ่งอสหะเข้าไปเถิงโรหณชนบทมหารัฏฐะเทอะ เมตตาฉันนี้แล ญาณคัมภีระก็เอาปริวารแห่งตนไปเถิงโรหณชนบท รอดประตูเวียงชั้นนอกเพิ่นก็แส้งถามด้วยกิจอันร้ายอันดีชุอันแล้ว จิ่งมีเข้าตอกดอกไม้เทียน ๘ คู่ ปูชาเทวดา สัจจอธิษฐานว่า ข้าทังหลายจักมาเอาสาสนาพระไตรรัตนะ มหาโพธิเมือถปันนาไว้ในชุมพูทวีปด้วยสวัสดีแท้ บ่มาเพื่อกระทำร้ายสักอัน ผิว่าข้าทังหลายมากระทำร้ายแก่บ้านเมืองและสาสนา จุ่งหื้อเป็นอันตรายแก่ผู้ข้าทังหลายเทอะอยู่ที่นั้นเดือน ๑ บ่มีอันตรายจิ่งใช้หนังสือเข้าเถิงชั้นถ้วน ๒ ก็แส้งถามฉันเดียว ก็กล่าวฉันเดียว เถิงชั้นถ้วน ๓ ถ้วน ๔ ถ้วน ๕ ถ้วน ๖ ถ้วน ๗ ฉันเดียว กถาคำจาบ่พัดบ่ต่าง ก็จิ่งใช้เถิงเสนาอามาจเจ้าปถวีสราชจิ่งมีอาชญาร้องเรียกแล้ว เข้าเถิงเมตตาเสนาอามาจ เจ้าปถวีสราชว่า สาธุ สาสนทายาท ดังนี้

นอกจากนี้ ความเข้าใจ หรือการรับรู้ เรื่อง ชมพูทวีปอยู่ที่ไหนของบรรพชนมอญแต่โบราณ ที่ปรากฏอยู่ใน จารึกกัลยาณ๊ ที่พระเจ้าปิฎกธร กษัตริย์รามัญ ได้ให้จารึกไว้ หลังจากได้ชำระพระพุทธศาสนา เมื่อ ๕๐๐ กว่าปีก่อน ดังจะได้คัดลอกมา แต่พอสังเขป มีดังนี้ว่า
ภาพวาดการสร้างหออุปมบทกัลยาณีสีมา เมืองพะโค ประเทศมอญในอดีตรามัญสมณวงศ์พระโมคคลีบุตรดิสสเถระก็เลือกคัดภิกขุขีณาสพ ผู้ทรงซึ่งคุณวิเศษ คือฉฬาภิญญาและจตุปฏิสัมภิทาญาณ ได้ภิกษุประมาณ ๑๐๐๐ รูปแล้ว จึงกระทำตติยสังคีติกรรม สิ้นกาล ๙ เดือนจึงเสร็จสังคายนกิจ ก็ฉันนั้น
        
สังคีติกรณาวสาเน ปน ก็ในกาลเมื่อกระทำสังคายนกิจเสร็จแล้ว พระผู้เปนเจ้าพิจารณารู้ชัดว่า ในอนาคตกาลภายหน้า พระพุทธสาสนาจักประดิษฐานอยู่ในปัจจันตะประเทศดังนี้แล้ว จึงส่งไปซึ่งพระเถระทั้งหลายนั้นๆ บรรดาพระเถระทั้งหลายที่พระผู้เปนเจ้าส่งไปเหล่านั้น
...
ส่วนว่าพระโสณเถระกับพระอุตรเถระไปอยู่รามัญประเทศ
#12
โอม  ท่านผู้รู้ท่านใด พอจะทราบวัดฮินดูในจังหวัดเชียงใหม่หรือใกล้เคียง เพื่อที่ผมจะไปกราบนมัสการ และร่วมประกอบพิธีได้ครับ

ขอบคุณมากมายครับ
#13
   ต้องกราบขออภัย ทุกท่านด้วยครับ ที่ได้แนะนำตัวโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทรงเจ้า ร่างทรงไปโดยไม่ได้ศึกษากฎของสมาชิกครับ

ต้องของอภัยครับ


  ผมอยากทราบเกี่ยวการตั้งหิ้งบูชาเทพฮินดูพร้อมรูปประกอบ  ท่านผู้มีคุณ ท่านใดพอจะทราบ ขอได้โปรดชี้แจ้งให้ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ


       มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หาได้เกิดมาเพื่อการเก็บเกี่ยวไม่ แต่หากเกิดมานั้นไซร้เพื่อแบ่งปันแท้    โอม
#14
โอม  เพิ่งมาใหม่ครับฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับพอดีไปให้ญาติที่ท่านทรงองค์นารายได้ดู ท่านก็บอกมาว่าเราเป็นลูกของพระพรหมธาดา
ท่านให้ตามาแต่เราเปิดไม่เป็นเลยอยากจะลองศึกษาทางศาสนาพาร์มดูและอยากทราบจากผู้รู้ว่าควรปฎิบัติบูชาอย่างไร สวดมนต์บทไหน  แต่โดยส่วนตัวชอบไหว้พระสวดมนต์อยู่แล้วครับ
แต่ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไร  มีแต่จะหน่วงๆอยู่กลางหน้าผากครับ ของท่านผู้รู้ทั้งหลายเมตตาบอกกล่าวจะเป็นพระคุณยิ่งคับ

ปล วิธีเอารูปลงทำไงบอกด้วยนะคับจะเอารูปสวยๆมาลงไว้เป็นหน้าตัวครับ ไว้จะเข้ามาอีกครับ  โอม