Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - หริทาส

#81
Quote from: กาลปุตรา on September 09, 2010, 13:27:53
แหมถ้ามีกดคำว่า "ถูกใจ" แบบใน Facebook จะกดให้คุณตุลสักหน่อย อิอิ อยากระบายมาตั้งแต่งานแห่พระแม่ปีที่แล้วแระ

เดี๋ยวนี้สร้างเทพขึ้นมาใหม่เยอะทั้ง กวนมา อุอิม หง่าเอาเจ้าแม่กวนอิมของพุทธศาสนาแบบมหายานมาผสมกับพระแม่ศรีมหาอุมาของศาสนาฮินดูกันยังทำกันได้เน๊าะคนเรา บางรายหนักกว่าตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิลงทรงพระพุทธเจ้าก็เคยเจอมาแล้ว แหมทำไปได้

ที่งานแห่ของวัดแขกในคืนวิชัยทศมี ก็เจอร่างอวตารแรงๆ เช่นกัน ตั้งโต๊ะบูชาเสร็จเอาเทพเจ้าตั้งแล้วทำบันไดขึ้นไปเป็นแท่นอยู่เหนือองค์เทวรูป จากนั้นเจ้าลัทธิคนนั้นก็แผลงฤทธิ์แต่งตัวเป็นฤษีขึ้นไปนั่งทำพิธีประพรมน้ำมนต์ให้เหล่าสาวกอยู่เหนือเทวรูปเทพเจ้าอีก ทำไปได้เน๊าะคนเราไม่ดูเลยว่าควรหรือไม่ควร

อีกรายก็มาลงทรงเจ้าแม่กวนอิมบ้าง เทพจีนบ้าง พ่อปู่บ้าง แม่ย่าบ้าง สิงสาราสัตว์บ้าง ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิประกาศศักดากันว่าข้านี้ยิ่งใหญ่นัก ท่ามกลางงานพิธีแห่ของวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (มารีอัมมัน) กันขนานใหญ่ ช่างไม่รู้กาลและเทศะเลย ว่างานนี้เป็นงานของใคร

เอาง่ายๆ ถ้าเป็นงานของมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างเขาจัดงานกันขึ้น เราจะกล้าอวดดีแผลงฤทธิ์เหนือเจ้าภาพงานเขากันไหม แต่พวกร่างสัมพเวสีพวกนี้กลับกล้าที่จะกระทำ โดยไม่ให้เกียรติเจ้าภาพของงานกันเลยสักนิด จะไปแผลงฤทธิ์ก็กลับไปแผลงฤทธิ์กันที่ตำหนักของตนเถิดตนเถิด หรือตำหนักของพวกตนเถิดที่คอเดียวกันก็ย่อมได้ อย่ามาสร้างลัทธิอุบาทว์ที่ไม่รู้กาลเทศกลางงานที่เป็นมงคลเช่นนี้อีกเลยครับ

แต่ทว่า ถ้าอยากออกฤทธิ์เดชกันปีนี้ขอเชิญที่ซุ้มผมก็ได้นะครับ จะจัดเตรียมของไว้ต้อนรับให้อย่างสาสมเลยทีเดียว ทั้งมีดาบที่ลับไว้เป็นฟันเลื่อยอย่างคมกริบขาดใบมีดโกน ทั้งตุ้มหนามตะปูเข็ม และเก้าอี้เตาไฟ จะให้ลองฟันตัว ฟาดตัวแรงๆ และให้ลองนั่งเก้าอี้เตาถ่านที่ติดไฟลุกโชนกันดูร่างละสัก 15 นาที ดูสิร่างอวตารพวกนั้นจะแหลกหรือไม่ ถ้าตุดไม่ไหม้ตูดไม่พองจะกราบงามๆ สัก 3 ทีเลยปีนี้ ถ้ามาแผลงฤทธิ์ที่ซุ้มผมอีก



อ่านของอ.แหนมแล้วขำครับ 5555
อยากกดไลค์ให้ล้านครั้ง 555

อ่อ เรียนเชิญอ.แหนมมางานของเราด้วยนะครับ ถ้ามีเวลา
#83
อัพเดท สำหรับวันนี้( 7 ก.ย.)

ศิลปินได้ ทำการตกแต่ง องค์พระและเพิ่มส่วนประกอบต่างๆ

เริ่มเห็นเป็นองค์เป็นรูปเป็นร่างแล้วครับ








#84
สำหรับรูปของงานปีที่แล้วครับ

วันปั้น

Uploaded with ImageShack.us


องค์ที่ปั้นเสร็จแล้ว

Uploaded with ImageShack.us

วันบูชาวันแรก

Uploaded with ImageShack.us


Uploaded with ImageShack.us

วันแห่ส่งเสด็จ(วันสุดท้าย )


Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us


#85
ชัย คเณศ!

เรียนทุกท่านครับ ทางภาควิชาปรัชญา มศก. ของเราที่จะจัดงานคเณศจตุรถี ใน วันที่ 13 -16 ก.ย. นี้
จะมาอัพเดท ความก้าวหน้าในการจัดงานครับ

วันนี้ทางศิลปินของเรา
อ.ชัชวาลย์ วรรณโพธิ์ ศิลปินรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ เป็นผู้ออกแบบและปั้นพระคเณศในพิธี
ได้เริ่มปั้นองค์พระสำหรับใช้ในพิธีแล้วครับ

โดยเมื่อวานพวกเราไปขนดินมาจาก จังหวัดราชบุรี และดำเนินการปั้นที่ภาควิชาปรัชญา

องค์ใหญ่ทีเดียวครับ

Thanks: เกมส์ทําอาหารเกมส์ต่อสู้เกมส์ปลูกผักเกมส์มันๆของขวัญ

คนเสื้อดำนี่อาจารย์ชัชวาลย์ครับ



Thanks: เกมส์ทําอาหารเกมส์ต่อสู้เกมส์ปลูกผักเกมส์มันๆของขวัญ

ช่วยกันคนละไม้คนละมือ สถานที่ก็ที่ภาควิชาของเราเองครับ


Thanks: เกมส์ทําอาหารเกมส์ต่อสู้เกมส์ปลูกผักเกมส์มันๆของขวัญ
เป็นรูปเป็นร่างแล้ว



วันนี้ทำงานกันถึงเที่ยงคืนครับ ความคืบหน้าผมจะมารายงานเรื่อยๆครับ

ปีนนี้พระเราองค์เท่าๆกับคนจริงเลยครับ ยังไงพบกัน 13-16 ก.ย. ที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐมนะครับ
#86
สุขสันต์วันเกิดครับ
#87
Quote from: พรศักติบารมี on September 05, 2010, 13:31:53
พรได้รู้มาใหม่ว่าพระแม่ คายตรี กายตรี กายาตรี เป็นคนละองค์กัน! คือพระแม่แต่ละองค์มีข้อแตกต่างกันดังนี้

1.พระแม่คายตรี เป็นภาคหนึ่งของพระแม่สุรัสวดี เป็นเทวีแห่งพระเวท

2.พระแม่กายตรี เป็นเทวีแห่งแสงอรุณ(สว่าง)บ้างว่าเป็นชายาพระอาทิตย์(สุริยะเทพ)

3.พระแม่กายาตรี เป็นเทวีของพระแม่5องค์มารวมกันมีดังนี้ 1.พระแม่สรัสวดี เทวีแห่ความรู้
                                                       2.พระแม่ไภรวีเทวี เทวีแห่งการกำจัดความขั่ว(อวิชชา)
                                                       3. พระแม่ธัญเทวี เป็นเทวีแห่งความเจริญงอกงาม
                                                       4. พระแม่อโนมเทวี เป็นภาคแบ่งของพระแม่คงคาเป็นเทวีแห่งน้ำมีรสหวาน
                                                       5. พระแม่ธรณี พระแม่แห่งผืนดิน
พระแม่5พระองค์นี้ได้รวมกันและอวตารลงมาเพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์แก่โลก โดยคนที่ประกอบอาชีพนี้มักจะบูชาพระแม่องค์นี้คือ พ่อค้า ปราชญ์ ชาวนาชาวสวน ค่ะ



เอ่อ ไม่ทราบว่าไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหนครับ


ในศาสนาฮินดู

คายตรี (เขียนแบบนี้แบบเดียวครับ) (เทวนาครี

गायत्री
) เขียนแบบถอดสันสกฤต  "คายตฺรี"
ออกเสียงคล้าย กายะตรี กายตรี บางคนจึงคิดว่า เขียน คายตรี คนละองค์กับ กายตรี
ไม่มีพระนาม กายตรี นะครับ มีแต่การออกเสียงที่ใกล้เคียงคำว่า กายะตรี
แต่ตามรูปศัพท์คือ คายตรี ตัวค ออกเสียงคล้าย ก แต่มีเสียงก้อง หรือออกเสียงคล้าย G ในภาษาอังกฤษ

เดิมคายตรี เป็นชื่อ ฉันท์ หรือ รูปแบบ คำประพันธ์ชนิดหนึ่งในพระเวท (คายตฺรี ฉนฺทะ)
ในเวลาต่อมา มีบทสวดมนตร์ที่เรียกว่า "สาวิตรี"หรือ "คายตรี" ที่เป็นคายตรีฉันท์  และเรียกในเวลาต่อมาว่า มูลคายตรี
มนตร์นี้คือ โอมฺ ตตฺสวิตุรฺ วเรณยมฺ ภรฺโค เทวสฺย ธีมหิ ธิโย โย นะ ปฺรโจทยาตฺ
แปลว่า โอมฺ ข้าเพ่งจิตระลึกถึงแสงสว่างล้ำเลิศ ของพระสวิตฤ ขอพระองค์โปรดประทานความคิดสร้างสรรค์แก่ข้าด้วยเถิด

พระสวิตฤนี้ เป็นพระสูรยเทพพระองค์หนึ่งในสมัยพระเวท  คำวผู้ปลุก ผู้กระตุ้น พระองค์เป็นผู้ปลุกให้ตื่น ให้พลังชีวิตและสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินชีวิต
มนตร์บทนี้อยู่ในฤคเวท มณฑลที่ 3 สูกตะที่ 63 มันตระที่ 10

พวกพราหมณ์และทวิชาติทั้งหลาย(3 วรรณะแรก) ต้องเรียนมนตร์นี้ เพราะต้องใช้ในพิธี อุปนยนสัมสการ และใช้ภาวนา
(เวลา ภาวนาจะเติม โอมฺ ภูรฺภุวสวะ ก่อน ตตฺ..)

จากมนตร์ ได้กลายเป็นบุคคลาธิษฐาน เป็นพระเทวีองค์หนึ่ง เรียกว่า พระเทวีคายตรี

ดังนั้น ทางหนึ่งพระเทวีคายตรี จึงถูกถือว่าเป็นมารดาแห่งพระเวท เพราะ มูลคายตรีเป้นมนตร์ที่สำคัญที่สุดของทวิชาติและพราหมณ์

ดังมีโศลกในสมฤติว่า เมื่อศิษย์ได้ผ่านพิธีอุปนยนแล้ว ถือว่า ครูผู้คล้องสายยัชโญปวีต คือบิดา และพระเทวีคายตรีคือมารดา

พระเทวีคายตรีนี้ จึงเป็นทั้งพระสูรยเทพ ในทางหนึ่ง เป็นมารดาแห่งพระเวทในทางหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่างและสติปัญญาในทางหนึ่ง

ในบทคายตรี ตรปณ หรือบทถวายน้ำแด่พระคายตรี พระองค์มีพระนามว่า สรัสวตีด้วย วาคเทวีด้วย สวิตาด้วย
ครูอาจารย์หลายๆท่านจึงถือว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งพระสวัสวตี และพระวาคเทวี(วาจา)

ในเวลาต่อมาพวกพราหมณ์ได้เพิ่มเทวตำนานและเทวลักษณะ เรื่องที่ว่าพระองค์เป็นพระเทวีที่สำคัญรวมกันห้าพระองค์

แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เล่ามาเลยครับ
#88
Quote from: สิรวีย์ on September 02, 2010, 14:53:58
ไปด้วยแน่นอนค่ะ


ยินดีที่จะได้พบกันครับ
#89
Quote from: อักษรชนนี on September 01, 2010, 21:49:18
น่าจะเป็นวันแรกและวันแห่ครับพี่หริทาส

ต้องขออนุญาตติดตามไปถ่ายภาพพิธีกรรมด้วยนะคร๊าบบพี่    

ยินดีที่สุดในโลกครับผม
#90
Quote from: สยามคเณศ on September 01, 2010, 22:23:11
Quote from: หริทาส on August 28, 2010, 22:55:00
มาเพิ่มเติมนะครับ

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานคเณศจตุรถีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ในวันแรกและวันสุดท้าย


จะมีการแจก ผงสินทูร ผงภาสมะ และผงกุมกุม อันศักดิ์สิทธิ์ จากมหาเทวสถานอัษฏวินายก ทั้ง 8 แห่งของพระคเณศในอินเดีย
ตลอดจนเทวประสาทต่างๆ ซึ่งผมได้ไปอัญเชิญมาด้วยตัวเอง
และน้ำมนตร์ที่ผสมน้ำจากแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี น้ำที่แม่น้ำคงคาจากเมืองหริทวาร น้ำมนตร์ปัญจมหานที และน้ำจากแม่น้ำโคทาวารี จากรามกุณฑ์ หรือที่ๆเชื่อกันว่าพระรามได้เคยลงมาสรง
เพื่อเป็นมงคลแก่ทุกท่านนะครับ

และยังมีสปอนเซอร์จะมอบเมล็ดรุทรากษะ(เมล็ดน้ำตาพระศิวะ)ให้เรานำมาแจกในงานด้วยครับ

ดังนั้น เพื่อให้ได้สิริมงคลเต็มที่ ก็เรียนเชิญที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งจัดพิธีแบบโบราณและบ้านๆในวันที่ 13-16 ก.ย. จากนั้นต่อด้วยงานที่วัดเทพมณเฑียร ซึ่งผู้จัดงานทั้งสองแห่งเป็นพันธมิตรร่วมมือรว่มใจในศรัทธาเดียวกันครับ




เพิ่งกลับมาจากงาน หะเรกฤษณะ ครับ ^^

แหม...ผมหาของไปแจกกับ อ.หริทาส ที่ทับแก้วบ้างดีกว่า

แต่ไม่รู้จะทำทันมั๊ย เดี๋ยวผมสรรหาของก่อนละกันนะครับ

และจะไปขอแบ่งน้ำมนต์มาด้วยอ่ะครับ


ใครทราบข่าวงานคเณศจตุรถีที่ไหนอีกก็มาโพสต์ได้เลยนะครับ ยิ่งเยอะยิ่งดี เป็นทางเลือกให้กับผู้ศรัทธาครับ

( ปล. คืนนี้ที่เทพมณเฑียร ครึกครื้นมากๆครับ )



วันนี้ผมมีสอนทั้งบ่าย แล้วมีที่ปรึกษาสารนิพนธ์มาคุยจนมืดค่ำครับ เลยไม่ได้ไปวัด กะว่าเดี๋ยวเที่ยงคืนสวดมนตร์ที่ห้องเองดีกว่า

ถ้าทางสยามคเณศจะแจกของเรายินดีที่สุดในโลกครับ 555

ตอนนี้ที่อยากได้ อยากได้ผ้าคาดหัวเอาไว้ใช้วันแห่ หรือไม่ก็ ผ้ายันตร์ไรงี้

เดี๋ยวคุยกันครับ

หะเรกฤษณะ ครับ
ราเธศยาม...
#91
Quote from: อักษรชนนี on September 01, 2010, 15:20:45
Quote from: หริทาส on August 28, 2010, 22:55:00
มาเพิ่มเติมนะครับ

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานคเณศจตุรถีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ในวันแรกและวันสุดท้าย


จะมีการแจก ผงสินทูร ผงภาสมะ และผงกุมกุม อันศักดิ์สิทธิ์ จากมหาเทวสถานอัษฏวินายก ทั้ง 8 แห่งของพระคเณศในอินเดีย
ตลอดจนเทวประสาทต่างๆ ซึ่งผมได้ไปอัญเชิญมาด้วยตัวเอง
และน้ำมนตร์ที่ผสมน้ำจากแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี น้ำที่แม่น้ำคงคาจากเมืองหริทวาร น้ำมนตร์ปัญจมหานที และน้ำจากแม่น้ำโคทาวารี จากรามกุณฑ์ หรือที่ๆเชื่อกันว่าพระรามได้เคยลงมาสรง
เพื่อเป็นมงคลแก่ทุกท่านนะครับ

และยังมีสปอนเซอร์จะมอบเมล็ดรุทรากษะ(เมล็ดน้ำตาพระศิวะ)ให้เรานำมาแจกในงานด้วยครับ

ดังนั้น เพื่อให้ได้สิริมงคลเต็มที่ ก็เรียนเชิญที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งจัดพิธีแบบโบราณและบ้านๆในวันที่ 13-16 ก.ย. จากนั้นต่อด้วยงานที่วัดเทพมณเฑียร ซึ่งผู้จัดงานทั้งสองแห่งเป็นพันธมิตรร่วมมือรว่มใจในศรัทธาเดียวกันครับ



ไม่พลาดแน่นอนครับพี่หริทาส

น้องคิวจะมาวันไหนครับ หรือจะมาทั้งวันแรกและวันแห่ครับ
#92
มาเพิ่มเติมนะครับ

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานคเณศจตุรถีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ในวันแรกและวันสุดท้าย


จะมีการแจก ผงสินทูร ผงภาสมะ และผงกุมกุม อันศักดิ์สิทธิ์ จากมหาเทวสถานอัษฏวินายก ทั้ง 8 แห่งของพระคเณศในอินเดีย
ตลอดจนเทวประสาทต่างๆ ซึ่งผมได้ไปอัญเชิญมาด้วยตัวเอง
และน้ำมนตร์ที่ผสมน้ำจากแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี น้ำที่แม่น้ำคงคาจากเมืองหริทวาร น้ำมนตร์ปัญจมหานที และน้ำจากแม่น้ำโคทาวารี จากรามกุณฑ์ หรือที่ๆเชื่อกันว่าพระรามได้เคยลงมาสรง
เพื่อเป็นมงคลแก่ทุกท่านนะครับ

และยังมีสปอนเซอร์จะมอบเมล็ดรุทรากษะ(เมล็ดน้ำตาพระศิวะ)ให้เรานำมาแจกในงานด้วยครับ

ดังนั้น เพื่อให้ได้สิริมงคลเต็มที่ ก็เรียนเชิญที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งจัดพิธีแบบโบราณและบ้านๆในวันที่ 13-16 ก.ย. จากนั้นต่อด้วยงานที่วัดเทพมณเฑียร ซึ่งผู้จัดงานทั้งสองแห่งเป็นพันธมิตรร่วมมือรว่มใจในศรัทธาเดียวกันครับ

#93
สักการบูชา ASHTA VINAYAK พิเศษ สักการบูชา 1 ใน 12 โยติลึงค์ ภีมะสังกรณ์อัษฏวินายัก 8 แห่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ-ร่วมขบวนพิธีวิสาร์ยัน คเณศจตุรถี ณ มุมไบ6 วัน 5 คืน  โดยสายการบินคิงฟิชเชอร์แอร์ไลน์
ออกเดินทางวันที่  19-24 กันยายน 2553




จัดโดย คุณสาหร่าย ไกด์ใจดี

มีประสบการณ์มานานหลายปี
สอบถามที่ 02 185 6304 หรือ ส่งเมล์มาที่ sarai@trltour.com
บริษัท เที่ยวรอบโลก จำกัด(ใบอนุญาตฯเลขที่ 11/4929 โทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02 3938354-5, 02 185 6305, 089 4884747 

พอดีพี่สาหร่ายฝากประชาสัมพันธ์ครับ
#94
ขอเรียนเชิญท่านที่สนใจ
ร่วมการเสวนาในหัวข้อ

"วัชรยาน กับวิถีสู่ความหลุดพ้น"
โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมทิเบต และประธานมูลนิธิพันดารา

ณ ห้องประชุมเทพยสุวรรณ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม

ในวันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2553
เวลา 13.00น. เป็นต้นไป

จัดโดยภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์


เนื้อหา เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาเถรวาทกับวัชรยาน การปฏิบัติธรรมแบบวัชรยาน
การอภิเษก ความสำคัญของพระอาจารย์ ความหมายของความหลุดพ้นในวัชรยาน ฯลฯ
#95
Quote from: สิรวีย์ on August 26, 2010, 21:27:45
โอ กระจ่างดีค่ะ ขอบพระคุณคุณกาลิทัสมากเลยค่ะ และรบกวนอีกข้อหนึ่งค่ะ เราควรอำอย่างไรเมื่อเห็นรันโกลิคะ นั่งบนนั้น วางเครื่องบูชาหรือเทวรูปบนนั้น หรือยืนบนนั้น หรือหลีกตรงนั้น *-* ขอบพระคุณค่ะ




เท่าที่ผมเคยไปถามที่อินเดียมาครับ
เขาบอกว่า รังโคลี ที่ทำไว้หน้าบ้านหรือวัดหรือปะรำพิธี มีไว้เพื่อต้อนรับเทพเจ้าครับ เพราะเวลาจะเสด็จลงมาต้องมีที่ให้ลงประมาณนั้น
ดังนั้นที่อินเดีย เขาจะไม่เหยียบรังโคลี
เว้นแต่ทำไว้ทั่วพื้นที่หรือบริเวณ(เพราะคงไม่รู้จะหลบยังไง) แต่โดยมากมักเว้นที่เบื้องหน้าเทวรูปหรือตรงที่สำคัญไว้ครับ
#96
Quote from: balloon101 on August 15, 2010, 18:51:07
พอดีผมอยากทราบว่าใบกะเพราเราถวายแก่เทพทุกพระองค์ได้ไหมคับ


และถวายท่านเพื่ออะไรคับ


ใบกระเพรา หรือใบตุลสี ใช้บูชาพระวิษณุ หรืออวตารของพระวิษณุเป็นหลักครับ
หรือพระศิวะก็สามารถบูชาได้

เว้นแต่พระคเณศ(ห้ามถวาย) และพระเทวีบางองค์ครับ


เนื่องจากชาวฮินดูถือว่าพระตุลสีเทวี เป็นที่รักยิ่งของพระวิษณุครับ
#97
Quote from: สิรวีย์ on August 15, 2010, 23:39:06
ถ้าอย่างนี้เราสามารถเชิญเทวรูปของเราเองไปร่วมพิธีได้ไหมคะ และควรทำอย่างไรบ้าง ขอบคุณค่ะ


ถ้าเป็นเทวรูปที่บูชาเป็นประจำ สามารถนำมาให้พราหมณ์ท่านเจิมให้ได้ในวันแรกและวันสุดท้ายครับ
แต่หากคุณสิรวีย์ปั้นพระขึ้นมาชั่วคราวเพื่อเทศกาลก็เอามาร่วมพิธีในวันแรก และในวันสุดท้ายก็เอามาร่วมส่งเสด็จ(ลอยน้ำได้ในพิธีของเราครับ)
#98
Quote from: ۞ Musika ۞ on August 14, 2010, 21:12:28
ทำไมจัดไม่ตรงกันอ่ะค่ะ ?

หรือเพราะ "เทศกาล" ที่มีหลายวัน ?

ปล. วันนั้นไปวัดเทพฯ มีคนมาแจกใบปลิวงานบูชา บอกถ้าใครไปวันนั้นจะได้รับของมงคล 8 อย่าง

ผงเจิม น้ำมนต์ ผ้ายันต์ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ ฯลฯ เค้าบอกมาาาาาาา...คนต้องเยอะแน่ๆเลย

จริงจตุรถี เริ่มวันที่ 11 ครับและในอินเดีย จะจัดไปจนถึงวัน จตุรทศี ก็กินเวลาในเทศกาลทั้งสิ้นประมาณ 10 วันครับถึงจะส่งเสด็จ
และพวกเราได้ประชุมกัน ในการจัดงาน เพื่อไม่ให้วันตรงกันทุกท่านจะได้มีโอกาสเวียนไปงานยังที่ต่างๆ อีกอย่างที่มหาวิทยาลัยศิลปากรต้องการให้งานจัดในวันที่ราชการทำการครับ จึงเริ่มวันที่ 13
#99
ขอเชิญท่านที่สนใจและมีศรัทธาต่อองค์พระพิฆเนศวร์เข้าร่วมพิธีได้ตามวันและเวลาดังกล่าว
สอบถามโทร 034-255096-7 ต่อ 23303 ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ
รถตู้ประจำทาง ขึ้นรถที่ปอกุ้งเผา หลังเทวาลัยพระศิวะ ข้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า รถจะมาจอดสุดสายที่หน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร จากนั้นเดินเข้ามานิดหน่อยจะถึงคณะอักษรศาสตร์(ราคา 40 บาท)รถกลับ ขึ้นที่หน้ามหาวิทยาลัย<o:p></o:p>
รถตู้ประจำทางขึ้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถึงปลายทางที่หน้ามหาวิทยาลัย<o:p></o:p>
รถบัสประจำทาง สายกรุงเทพ
ดำเนินฯ บอกให้จอดหน้าทับแก้ว รถจะจอดให้หน้ามหาวิทยาลัย

ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 40 นาที  - 1 ชม.
#100
กำหนดการ โครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
สืบสานประเพณีพิธีคเณศจตุรถี

พิธีคเณศจตุรถี  เพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติแห่งองค์พระคเณศ  ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ.2553
ณ มณฑลพิธี บริเวณหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อ.เมือง จ.นครปฐม

วันที่ 5 กันยายน – 12 กันยายน 2553
ดำเนินการปั้นเทวรูปพระพิฆเนศวร์สำหรับใช้ในพิธี โดย อาจารย์ชัชวาลย์ วรรณโพธิ์ ศิลปินร่วมสมัยชั้นนำ และจัดเตรียมประดับตกแต่งสถานที่ปะรำพิธี(มณฑป)

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2553 วันเฉลิมฉลองการประสูติและสถาปนาเทวรูปในพิธี(วันแรก)
13.00 น. พิธีบูชาพระพิฆเนศวร์ ตามประเพณีฮินดู โดยเริ่มจาก ปวิตรกรณ(ทำพิธีให้เกิดความบริสุทธิ์)  ทีปสถาปนา(สถาปนาประทีป) กลัศสถาปนา(สถาปนากลัศ) ศังขปูชา ฆานฏาปูชา(บูชาสังข์และระฆัง) ปฤถิวีปูชา(ปูชาแม่พระธรณี) พิธีบูชาเทวดาในปีฐที่สำคัญ(ปัญจางคปูชา)ได้แก่ พระวรุณ พระคเณศและพระแม่เคารี เทวดานพเคราะห์ พระแม่โษฑศมาตฤตกา พระแม่สัปตมาตฤกา พิธีสังกัลปะและ สวัสติวาจน
13.30 น. พิธีปราณประติษฐา  จากนั้น สถาปนาเทวรูป
เริ่มทำพิธีบูชาพระคเณศด้วยอุปจาระทั้ง 16 ขั้นตอนตามแบบโบราณประเพณีฮินดู เช่นการสรงด้วยนมและสิ่งต่างๆ ถวายอาหาร(ไนเวทยํ)เป็นต้น พิธีบูชา 108 พระนาม
15.00 น. คเณศจตุรถีกถา พิธีมงคลอารตี จากนั้น ทุกท่านร่วมรับพร เจิมหน้าและรับประสาท(ของมงคลที่ได้จากพิธี)เพื่อเป็นสิริมงคล
17.00 น. ร่วมสวดคเณศมนตร์ต่างๆ ภาวนา ปริกรรมและพิธีสันธยอารตี
ประกอบพิธีโดย ท่านอาจารย์ บัณฑิตพรหมานันทะ ทวิเวที พราหมณ์ชาวอินเดีย(Acarya Pandit Shri Brahmananda Dvivediji Maharaj )



วันอังคารที่ 14 กันยายน 2553 (วันที่ 2)
10.00 น. พิธีบูชาพระคเณศและเทวดาต่างๆในปีฐที่ประดิษฐาน ด้วยปัญจอุปจาร(5 ขั้นตอน) จากนั้นพิธีมงคลอารตี  ผู้เข้าร่วมพิธีรับพรและประสาทเพื่อเป็นสิริมงคล
17.00 น. พิธีบูชาพระคเณศและเทวดาต่างๆในปีฐที่ประดิษฐาน ด้วยปัญจอุปจาร(5 ขั้นตอน) พิธีสวดคณปติยอาถวรศีรษะ  11 จบ จากนั้น ร่วมกันสวดคเณศมนตร์ต่างๆ ภาวนา ปริกรรม พิธีสันธยอารตี  ผู้เข้าร่วมพิธีรับพรและประสาทเพื่อเป็นสิริมงคล

วันพุธที่ 15 กันยายน 2553 (วันที่ 3)
10.00 น. พิธีบูชาพระคเณศและเทวดาต่างๆในปีฐที่ประดิษฐาน ด้วยปัญจอุปจาร(5 ขั้นตอน) จากนั้นพิธีมงคลอารตี  ผู้เข้าร่วมพิธีรับพรและประสาทเพื่อเป็นสิริมงคล
17.30 น. พิธีบูชาพระคเณศและเทวดาต่างๆในปีฐที่ประดิษฐาน ด้วยปัญจอุปจาร(5 ขั้นตอน) พิธีสวดคณปติยอาถวรศีรษะ 11 จบ จากนั้น ร่วมกันสวดคเณศมนตร์ต่างๆ ภาวนา ปริกรรม พิธีสันธยอารตี  ผู้เข้าร่วมพิธีรับพรและประสาทเพื่อเป็นสิริมงคล
18.30 น. การแสดงสมโภช การออกร้านโดยนักศึกษา และมหรสพต่างๆ
22.00น. พิธีมงคลอารตี และรับพร

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2553 วันส่งเสด็จ (วิสรชัน)
15.30 น. พิธีบูชาพระพิฆเนศวร์ ตามประเพณีฮินดู โดยเริ่มจาก ปวิตรกรณ(ทำพิธีให้เกิดความบริสุทธิ์)  สังกัลปะ สวัสติวาจน บูชาเทวดาต่างๆในปะรำพิธี 
จากนั้นทำพิธีบูชาพระคเณศด้วยอุปจาระทั้ง 16 ขั้นตอนตามแบบโบราณประเพณีฮินดู
16.00 น. คเณศจตุรถีกถา
16.15น. พิธีโหมกรรม ก่อกูณฑ์บูชาไฟถวายบูชา 108 พระนามแห่งพระคเณศ
17.00 น. พิธีมงคลอารตี  จากนั้นทุกท่านร่วมรับพร เจิมหน้าและรับประสาท(ของมงคลที่ได้จากพิธี)
18.00 น. อัญเชิญเทวรูปพระคเณศจากปะรำพิธี แห่ไปยังบริเวณสระแก้ว จากนั้นทำพิธีวิสรชัน ลอยน้ำส่งเสด็จ ผู้เข้าร่วมพิธีรับพรและของมงคล เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลคเณศจตุรถี
ประกอบพิธีโดย ท่านอาจารย์ บัณฑิตพรหมานันทะ ทวิเวที พราหมณ์ชาวอินเดีย(Acarya Pandit Shri Brahmananda Dvivediji Maharaj )
#101
Quote from: สิรวีย์ on August 11, 2010, 15:36:28
ใกล้เทศกาลคเณศจตุรถีแล้วค่ะ อยากทราบว่าที่งานน่าสนใจจัดขึ้นที่ไหนบ้าง
เวลานี้ทราบข่าวว่า ที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี สีลม มีงานในวันที่ 11 กันยายน 2553
วัดเทพมณเฑียร จัดงานในวันที่ 18 - 19 กันยายน 2553
พิพิธภัณฑ์พระคเณศ จังหวัดเชียงใหม่ จัดงานในวันที่ 11 กันยายน 2553
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดงานระหว่างวันที่ 5 - 12 กันยายน 2553

ใครมีข่าวคราวเพิ่มเติม เอามาบอกกันบ้างไหมคะ เผื่อจะได้ไปร่วมงานกัน
ปล.ถึงอาจารย์หริทาสค่ะ หนูพยายามหากำหนดการของงานที่ภาควิชาปรัชญา แต่โหลดเท่าไรก็ไม่ได้ รบกวนอาจารย์บอกข่าวกับพวกเราด้วยนะคะว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

ขอบพระคุณค่ะ


เรียนคุณสิรวีย์ครับ

ปีนี้ งานของภาควิชาเราจะเริ่มต้นงานวันแรกวันที่ 13 ก.ย. ครับ และจะแห่พระวันสุดท้ายวันที่ 16 ก.ย.ครับ
ส่วนก่อนหน้านั้นจะเป้นการปั้นองค์พระที่ใช้ในพิธีครับ


เดี๋ยวผมจะขอนำกำหนดการมาให้นะครับ
#102
Quote from: สิรวีย์ on August 11, 2010, 15:40:27
เคยอ่านจากหนังสือว่าพระคเณศโปรดหญ้าทูรวาและกานพลู ก็เลยอยากถวายกานพลูแด่พระองค์ท่าน ทั้งที่ห้องบูชาที่บ้านและที่เทวาลัย แต่ไม่ทราบว่าสมควรไหม เราถวายกานพลูอย่างเดียวได้เลย หรือว่าต้องนำกานพลูโรยลงบนอาหารแล้วถวายท่านคะ ขอบพระคุณค่ะ


เท่าที่ทราบจากท่านอาจารย์มา
เวลาถวายกานพลูแด่พระคเณศ และพระเทวี
ใส่ลงในอาหารหรือขนมที่เราถวาย หรือนมที่เราถวายก้ใส่ได้ครับ ใส่นิดๆก็พอครับ
แล้วก็ใส่ในหมากอีกอย่างครับ
#103
เป็นกำลังใจให้ท่านกาลิทัสครับ

ผมเองก็เข้าๆมาๆหายๆ ด้วยภารกิจ มีแต่ท่านแหละครับที่ยืนยงทำหน้าที่มาโดยตลอด
ขอเป็นหนึ่งในแรงใจครับ
#104
เท่าที่ทราบนะครับ
มีร้านสุขจิตต์ ข้างเซ็นทรัลวังบูรพาเดิม(เดี๋ยวนี้รู้สึกเขาจะเรียกไชน่าเวิร์ลอะไรซักอย่างนี่แหละ)
และร้านโอมอุมาศิวะในซอยข้างวัดสิกข์
แต่ผมไม่เคยเช่าหามาบูชาครับ เลยไม่ทราบว่าร้านไหนของดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะผมจน ราคาเทวรูปหินน้ำนมสูงไปสำหรับผม

ส่วนร้านอื่นผมไม่ทราบครับ อันนี้ไม่ทราบว่าออกชื่อร้านจะผิดกฏหรือปล่าว แต่ไม่ได้ค่าโฆษณาแน่นอนครับ เหอเหอ
#105
Quote from: บุตรมาเตศวรีศรีมหาอุมาเทวี on July 27, 2010, 00:55:56

ขอบพระคุณอาจารย์หริทาสมากๆครับ
ดีใจมากๆที่อาจารย์กลับมาให้ความรู้กับพวกเราชาวสมาชิกครับ


งานผมเยอะครับ พอดีที่ภาควิชา มีอาจารย์ลาไปเรียนด๊อกเตอร์ที่เมืองนอกเสียคนนึง

งานของอาจารย์ท่านนั้นผมก็ต้องไปรับแทน จึงยุ่งหน่อยครับ
แต่จะพยายามหาโอกาสแวะเวียนเข้ามาครับ
ขอบพระคุณในคำขอบพระคุณครับ
#106
Quote from: บุตรมาเตศวรีศรีมหาอุมาเทวี on July 15, 2010, 23:21:44
Quote from: nai 3 on July 15, 2010, 22:57:03
อ่านทีไรก็ยังทรงคุณค่าอยู่เสมอ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับผม
แต่ผมมีข้อสงสัยบางอย่างครับ  ตามนี้เลย

Quote from: หริทาส on May 06, 2010, 13:44:50



ตอบครับ

เท่าที่ผมเรียนและสอบถามจากครูอาจารย์มา

เวลาถวายบูชาอย่างเป็นพิธีการ ออกจะยุ่งมากทีเดียว โดยเฉพาะเวลาถวายไนเวทยมฺ หรือถวายอาหาร

อันนี้เล่าให้ฟังก่อนนะครับ

เมื่อบูชาไปถึงขั้นตอนถวายอาหารแล้ว ผู้บูชาหรือปูชารีจะล้างมือ ประพรมน้ำที่บริเวณจะถวายอาหาร
ตั้งอาหารต่างๆไว้หน้าพระประพรมน้ำพร้อมภาวนาคายตรีมนตร์เพื่อให้อาหารนั้นบริสุทธิ์(คายตฺรีมนฺเตฺรณสํโปฺรกฺษเยตฺ) วางดอกไม้ลงบนอาหารถ้าถวายพระแม่ต่างๆและพระคเณศเอาลองค์หรือกานพลูวางไว้บนอาหารถ้าถวายพระนารายณ์พระกฤษณะ หรือพระรามเอาใบตุลสีวางบนอาหารถ้าถวายพระศิวะเอาใบมะตูมวางบนอาหารนั้นแล้ว
จากนั้นผู้ถวายทำมุทราต่อหน้าเทวรูป คือ เธนุมุทฺรา(แม่โคกามเธนุ ) ทำมสฺยมุทฺรา(วางคว่ำมือ)(อันนี้แล้วแต่สำนักครับ บางสำนักก็ทำแค่เธนุมุทฺราบางสำนักก็ทำจกฺรมุทราด้วย  อาจารย์บัณฑิตลลิตจะทำสองมุทราครับคือเธนุกับมัสยะ ส่วนอาจารย์บัณฑิตวิทยาธรจะทำแต่เธนุ)
แล้วสวดบทถวายอาหาร คือบท นาภฺยา อสีทํตริกข...จากปุรุษสูกตะในฤคเวท สวดเสร็จแล้ว ทำคราสมุทรา

ทำไมต้องทำคราสมุทรา เพราะ เป็นการถวายอาหารลงใน "ปราณ" ของเทวรูปครับ
ตามคติฮินดู มนุษย์เรามี ปราณอยู่ห้าชนิด(ปราณ อปาน วยาน อุทาน และ สมาน) แต่ละอย่างก็ทำหน้าที่ต่างๆกันในร่างกาย
คนฮินดูเชื่อว่า กระบวนการย่อยอาหารก็ต้องใช้ปราณด้วย รวมทั้งกระบวนการลำเลียงสารอาหาร ฯลฯ มากมายครับ ซึ่งปราณทั้ง 5จะทำหน้าที่สอดประสานกัน

วิธีการทำคราสมุทราก็ทำคล้ายใช้นิ้วโป้ง หยิบหรือคีบบนส่วนต่างๆของมือเดียวกัน.....อธิบายยากแหะ เปลี่ยนไปตามคำสวดถวายปราณทั้ง 5โดยคล้ายๆหยิบลมจากบนอาหารถวายหน้าเทวรูป ผมอธิบายไม่ถูกครับ 5555

พอถวายเสร็จแล้ว ก็ถวายน้ำดื่มตาม เรียกมา มธฺเยปานียํ(น้ำระหว่างถวายอาหาร)ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ล้างพระหัตถ์ เรียก อาจมานียํ และหสฺตปรกฺษารณํ(ถ้าจำไม่ผิด)

นี่ครับเฉพาะขั้นตอนถวายอาหารอย่างเดียว ถ้าทำแบบที่ปูชารีตามวัดทำ หรือทำในพิธีการ

บางวัดเวลาถวายมหาไนเวทยํ เค้าจะปิดม่านเลยครับ เพราะถือว่าถ้าคนที่ไม่บริสุทธิ์มาจ้องมองอาหารของเทวรูป อาหารจะมีมลทินแต่นี่ก็เป็นธรรมเนียมของบางวัดเท่านั้นครับ

กลับมาสู่คำถามครับ

จริงๆแล้วเวลาที่เราปฏิบัติถวายบูชาประจำวัน ผมได้เรียนว่า ทำเพียงแค่ 5 ขั้นตอนก็พอ(ปัญจอุปจารวิธี)
และในเวลาถวายอาหารนั้น ก็เพียง
1.ถ้าอาหารนั้นเป้นผลไม้ พึงล้างให้สะอาดก่อน และก่อนถวายให้ล้างมือ
2.เวลาจะถวายนำอาหารใส่ภาชนะที่เหมาะสม วางไว้เบื้องหน้าเทวรูป ถ้ามีดอกไม้ก็วางบนอาหารนั้นนิดหน่อยเป็นสัญลักษณ์ว่าของที่วางดอกไม้นี้เป็นของประณีตที่จะถวาย
3.ประพรมอาหารทุกอย่างนั้นด้วยน้ำสะอาดเล็กน้อย ภาวนาคายตรีมนตร์ถ้าไม่รู้คายตรีมนตร์ ให้ระลึกในใจว่า"ด้วยอำนาจพระคายตรีมนตร์ขอให้อาหารที่จะถวายนี้บริสุทธิ์"ประมาณนั้นครับ
4.จากนั้นกล่าวคำถวายตามแต่ท่านถนัด รู้สันสกฤตก็กล่าวสันกฤต รู้ไทยก็กล่าวแบบไทย มนตร์สั้นมนตร์ยาวไม่เป็นไรทั้งนั้น
5.ทำมุทราไม่เป็นก็ไม่เป็นไรครับอันนั้นเอาไว้เวลาที่เราเชิญบัณฑิตมาทำบูชาหรือเราไปบูชาที่วัดแล้วบัณฑิตทำให้ค่อยว่ากันเราทำเองบูชาเองที่บ้านก็ทำไม่ต้องใช้มุทราในทัศนะของผมไม่ผิดอะไรครับเพราะเราได้ถวายอาหารนั้นแล้วไม่ว่าจะทำมุทราหรือไม่ก็ตามอีกอย่างระหว่างใช้มุทรากับมนตร์ที่ไม่ค่อยจะคล่องแคล่วหรือถวายแบบง่ายๆแล้วคล่องแคล้วใจจดจ่อมีสมาธิกว่าผมว่าอย่างหลังดีกว่าครับ
6.ระลึกในใจว่า"น้อมถวายอาหารนี้ลงในปราณทั้ง 5 คือ ปราณ อปาน วยาน อุทาน สมาน ขอพระเป้นเจ้ารับอาหารนี้"
7.ถวายน้ำสะอาด ให้เป็นน้ำดื่มและน้ำบ้วนพระโอษฐ์


ผมว่าเท่านี้ก็เยี่ยมแล้วครับ
จริงๆพวกมุทรานี้ พวกพราหมณ์เค้าเรียนกัน ด้วยเหตุผลสองประการใหญ่ครับ
1.เพื่อนทำสันธยา หรือการภาวนาตามวิธีของพราหมณ์ จะมีมุทราหลายมุทราในขั้นตอนต่างๆซึ่งเราไม่จำเป้นต้องทำตามเพราะเราไม่ได้ทำสันธยาแบบพราหมณ์ครับ
2.ใช้(บ้าง)ในการประกอบพิธี ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่สำนักครับ

ดังนั้น ไม่รู้มุทราก็ยังทำพิธีบูชาประจำวันของเราได้โดยสมบูรณ์ครับ


ป.ล.อีกเหตุผลที่ผมลงเรื่องมุทราใว้ในหนังสือก็เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องการบูชาตามธรรมเนียมที่ถูกต้องครับบางเรื่องที่ผมเห็นว่าอาจไม่สำคัญหรือข้ามไปได้บ้างสำหรับการบูชาโดยส่วนตัวของคนทั่วไป จึงไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ครับ
จากตัวแดงด้านบนนะครับ 
1  เราควรใช้อะไรในการพรมน้ำครับ  เป็นดอกไม้หรือเปล่าครับ  แล้วจึงวางดอกไม้นั้นลงบนอาหารที่จะถวาย
2  ภาวนาคายตรีมนตร์  เป็นบทคายตรีแบบที่รู้จักกันทั่วไป  หรือว่าเป็นบทคายตรีของแต่ละพระองค์ครับ
3  ในบางครั้งการสรงน้ำเห็นว่ามีน้ำผสมกำยานด้วย  ไม่ทราบว่ากำยานที่นำมาผสมเป็นอย่างไรครับ  หาซื้อได้ที่ไหนครับ
ขอบพระคุณครับ


1 ดอกไม้พรมน้ำครับ แล้วจะใช้ดอกอื่นวางก็ได้ครับวางไปให้ครบสิ่งที่จะถวาย พอเป็นพิธี อาจารย์ท่านสอนว่า พระคเณศและพระเทวีโปรดลองค์ หรือกานพลูครับ ในนม หรืออาหารหรือขนมที่จะถวาย ให้ใส่กานพลูลงไปด้วยนิดหน่อย ถ้าถวายพระนารายณ์และพระอวตารต่างๆของพระองค์ให้ใส่กระเพราด้วยครับ
2 คายตรี ทั่วไปนี่แหละครับ แต่ภาวนาในใจ บางครั้งท่านก็จะสวดว่า คายตฺรีมนฺเตฺรณสมฺโปฺรกฺษย แปลว่าด้วยคายตรีจะได้ทำการประพรมชำระล้าง
แต่สวดในใจ เพราะในสมฤติกล่าวว่าพราหมณ์พึงภาวนาคายตรีก่อนเพื่อให้อาหารนั้นบริสุทธิ์ กับเทพก็เช่นกัน แต่ก็มีบ้างทีบางทีคณาจารย์ก็สวดคายตรีขององค์นั้นด้วย แต่โดยปกติใช้มูลคายตรี หรือคายตรีธรรมดานี่แหละครับ
3ในตำราที่ผมเรียนมาไม่มีการถวายน้ำผสมกำยานครับ นั่นอาจเป็นธรรมเนียมทางใต้ แต่เรามีการถวายสรงน้ำสุคันธหรือน้ำผสมเครื่องหอม ก็โดยผสมน้ำหอมลงใน้น้ำสะอาด พร้อมผงขมิ้นและจัทน์ และกลีบดอกไม้แต่ขั้นตอนนี้จะมีหรือไม่ก็ได้ครับ เพราะเมื่อสรงเสร็จเราถวายเครื่องหอมจุลเจิมอยู่แล้ว

แต่ถ้าจะผสมน้ำกำยานถวาย ผมเห็นเขาใช้น้ำผสมผงจันทน์แดงนะครับ สีออกน้ำตาลๆหน่อย ที่ร้านของชำในพาหุรัดมีขายครับ ไม่เคยทราบว่าเขาเอากำยานมาบดๆแล้วผสมถวาย
#107
Quote from: พิษประจิม on December 19, 2009, 13:57:36
ตำรับปุราณ โบราณของจริง

คำว่าโบราณ เป็นคำวิเศษณ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายว่า มีมาแล้วช้านาน เก่าก่อน ใช้ประกอบกับคำอื่นๆอีกมากมายหลายคำ เช่น โบราณคดี โบราณวัตถุ โบราณสถาน

ส่วนคำว่า ปุราณ เป็นคำเดียวกับ โบราณ ประพัฒน์ ตรีณรงค์ และสงวน อั้นคง อธิบายว่า เป็นนาม ใช้เรียกหนังสือหนึ่งในสามพวก ที่พราหมณ์รวบรวมแต่งไว้ แบ่งเป็นสามยุค ตามลักษณะแห่งหนังสือ

1. ยุคไตรเพท เป็นยุคที่แต่งตำรับที่ออกนามว่า พระเวท พร้อมตำรับอื่นอันเป็นบริวาร มีข้อความกล่าวด้วยการบูชายัญ สรรเสริญพระเป็นเจ้าด้วยวิธีอย่างเก่าที่สุด ไม่ใคร่จะมีเรื่องราวเล่าอย่างเป็นนิยายหรือประวัติพิสดาร

เพราะในสมัยนั้น ยังมิได้มีเวลาคิดประดิด ประดอยเรื่องราว

2. ยุคอิติหาส เป็นยุคที่เกิดมีวีรบุรุษขึ้นแล้ว จึงมีผู้คิดรวบรวมเรื่องราวอันเป็นตำนานเนื่องด้วยวีรบุรุษ รจนาเป็นกาพย์เพื่อให้จำง่าย สอนให้ศิษย์สาธยายในกาลอันควร  แล้วก็จำกันต่อๆมา  มีเรื่องรามายณะ (รามเกียรติ์) และมหาภารตะ เป็นอาทิ แต่ยังไม่มีผู้จดลงเป็นลายลักษณ์อักษร

ภายหลังอีกหลายร้อยปี จนมีผู้จดเป็นหนังสือ เพราะฉะนั้น หนังสืออิติหาสจึงมักมีข้อผนวกหรือแก้ไขเกินไปกว่าเรื่องเดิม

3. ยุคปุราณ เมื่อยกยอวีรบุรุษต่างๆมากขึ้นๆ ในที่สุดวีรบุรุษก็กลายเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา เกิดตำรับชุดปุราณขึ้นเป็นพยานหลักฐานว่า พระเป็นเจ้า หรือเทวดาองค์นั้นๆ ได้ทรงอภินิหารอย่างนี้ ยิ่งแต่งยิ่งเพลินขึ้นทุกที

ข้างฝ่ายไสยศาสตร์ก็เกิดตำรับปุราณ อ้างว่ารวบรวมจากเรื่องเก่าขึ้นมาบ้าง

หนังสือตำรับเหล่านี้ เมื่อเป็นที่ถูกใจนักศึกษาก็มีผู้จำได้มาก จนในที่สุด ทั้งพราหมณ์ และชนสามัญที่ถือไสยศาสตร์ก็เริ่มไม่รู้จักไตรเพทที่แท้จริง ยึดตำรับหนังสือชุดปุราณ เป็นตำรับสำคัญของลัทธิไสยศาสตร์ไปเลยทีเดียว

หนังสืออมรโกษ หนังสืออภิธานภาษา สันสกฤตที่เก่าที่สุด แต่งโดยพราหมณ์อมรสิงห์ รัตนกวีผู้หนึ่ง ในราชสำนักพระเจ้าวิกรมาทิตย์ กรุงอุชยินี(อุชเชนี) อธิบายคุณลักษณะ หนังสือปุราณไว้ว่า ควรมีลักษณะพร้อมด้วยองค์ 5 กล่าวคือ

1. กล่าวด้วยการสร้างโลก
2. กล่าวด้วยการล้างโลกและกลับสถาปนาขึ้น
3. กล่าวด้วยกำเนิดแห่งพระเจ้า และพระบิดาทั้งหลาย
4. กล่าวด้วยกัลป์แห่งพระมนูทั้งหลาย ผู้บันดาลให้กาลแบ่งเป็นมันวันตระ
5.กล่าวด้วยพงศาวดารกษัตริย์ สุริยวงศ์ และจันทรวงศ์

พราหมณ์อมรสิงห์ระบุว่า หนังสือใดบริบูรณ์ด้วยเนื้อหาเช่นนี้ จึงเรียกว่า บริบูรณ์ ด้วยเบญจลักษณ์แห่งปุราณคัมภีร์ หรือคัมภีร์ปุราณที่แท้จริง

หนังสือปุราณทุกฉบับแต่งเป็นกาพย์ มีฉันท์กับโศลกคละกัน รูปแบบหนังสือมักเป็นปุจฉาวิสัชนา และมีคนอื่นๆพูดบ้างบางแห่ง

อายุหนังสือปุราณไม่ใช่สมัยเดียว กันหมด แม้ในเล่มเดียวกัน ข้อความบางตอนชี้ให้เห็นว่า มีผู้แต้มเติมเข้าใหม่ ภายหลัง เชื่อมหัวต่อไม่สนิท

หนังสือปุราณทุกคัมภีร์ มักอ้างว่าเป็นของมุนีตนใดตนหนึ่ง รับมาจากพระเป็นเจ้า มาสอนให้ศิษย์นามว่าอย่างนั้นๆ

เช่น วิษณุปุราณ พระปุลุสตยมนีรับมาจากพระพรหมา แล้วมาบอกเล่าให้ศิษย์ ชขื่อปราศร และปราศรบอกให้แก่ศิษย์ชื่อไมไตรยอีกชั้นหนึ่ง

ตำรับปุราณ มี 18 คัมภีร์ แบ่งเป็น 3 นิกาย ตามลักษณะแห่งเรื่อง ดังต่อไปนี้

ก. สาตตวิกนิกาย  มีลักษณะเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม  หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่าไวษณพนิกาย  กล่าวด้วยพระพิษณุเจ้า  มี  6  คัมภีร์ 
1.วิษณุปุราณ 
2.นารท หรือนารทียปุราณ
3. ภาควัตปุราณ
4. ครุฑปุราณ
5. ปัทมปุราณ
6. วราหปุราณ

ข.ตามัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยที่โลกยังขุ่นเป็นน้ำตม อีกนัยหนึ่ง ไศวนิกาย กล่าวด้วยพระศิวะเป็นเจ้า มี 6 คัมภีร์
1. มัตสยปุราณ
2. กูรมปุราณ
3. ลิงคปุราณ
4. ศิวปุราณ
5 สกันทปุราณ
6. อัคนิปุราณ หรือวายุปุราณ(หลังๆแยกออกเป็น2ปุราณะ)

ค. ราชัสนิกาย กล่าวด้วยสมัยเมื่อโลกเต็มไปด้วยความมืด และกล่าวด้วยพระพรหม สมมติว่าพระพรหมมาเป็นผู้แสดงบ้างในบางเรื่อง มี 6 คัมภีร์ 1. พรหมปุราณ
2. พรหมาณฑปุราณ
3. พรหมไววรรตปุราณ
4. มารกัณเฑยปุราณ
5. ภวิษยปุราณ
6. วามนปุราณ

ข้อมูลหนังสือปุราณเหล่านี้ ผู้ เรียบเรียงบอกว่าได้มาจากอภิธานศกุนตลา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6. (อ่านรายละเอียดใน บ่อเกิดรามเกียรติ์ และ ศกุนตลา)

Oบาราย O

http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/52476


ในหนังสือประวัตวรรณคดีสันสกฤต ของ อาจารย์มณีปิ่น พรหมสุทธิลักษณ์ ศิลปากร
กล่าวว่า
ในการแบ่งปุราณะ ออกเป็นสามนิกายนั้น
บางคณาจารย์ถึงกับถือว่า
ปุราณะที่เป็นสาตวิกนิกายนั้น อ่านแล้วไปสวรรค์

ส่วนตมัสนิกาย อ่านแล้วไปนรก
เข้าใจว่าคณาจารย์ที่กล่าวอ้างเช่นนี้คงเป็นคณาจารย์ในฝ่ายไวษณวะ เพราะสาตวิกนิกายทั้งหมดเป็นปุราณะในฝ่ายไวษณวะ
ส่วนตมัสนิกายเป็นของไศวะครับ

นอกจากปุราณะหลักข้างต้นแล้ว
ยังมีปุราณะชั้นรอง ที่เรียกว่าอุปปุราณอีก จำนวนหนึ่ง

ที่เป็นที่รู้จักกันมากคือ คเณศปุราณะ และมุทคลปุราณะ

และยังมีปุราณะในภาษาถิ่นอีก อย่างเปริยาปุราณัม ของทมิฬ ที่เขียนด้วยภาษาทมิฬ เป็นเรื่องความภักดีในพระศิวะ

มาเพิ่มเติมครับ
#108
ทั้งบัณเฑาะว์สังข์และแตรงอนเป็นเครื่องสุง ใช้ประโคมครับ

โดยปกติใช้ในการพระราชพิธี เท่าที่ผมทราบ
ฆ้องชัย จะให้โหรเป็นผู้ตี สังข์ให้พราหมณ์เป่า บัณเฑาะว์ชาวพนักงานภูษามาลาเป็นผู้ไกว
และ แตรงอน ชาวพนักงาน(ผมจำไม่ได้แล้ว)เป็นผู้เป่าครับ

และเมื่อทรงมีพระบรมราชานุญาติให้พราหมณ์ประจำพระราชสำนักประกอบพิธีกรรมให้กับราษฎรได้ พราหมณ์เหล่านั้น เมอื่ไปประกอบพิธีจึงได้นำเครื่องสูงไปใช้ในการพิธีนั้นๆกด้วย

จากนั้นการใช้เครื่องสูงในพิธีจึงแพร่หลายไป ซึ่งในประเทศอินเดียก็นิยมใช้ศังข์ในการพิธีต่างๆอยู่แล้ว

แต่โดยส่วนใหญ่ในการพิธีของคนทั่วไปจะมีของมงคลคือสังข์และระฆัง(โดยเฉพาะพิธีแบบฮินดู)
บัณเฑะว์ไม่ได้ใช้ครับ

และแตรงอนยิ่งไม่ได้ใช้เลย เพราะจัดว่าเป็นของในการพระราชพิธีเท่านั้น

เครื่องดนตรีพวกนี้มีน้อยร้านที่ทำ
อย่างบัณเฑาะแบบไทย(มีก้าน )ก็ต้องสั่งร้านเครื่องดนตรีทำเป็นพิเศษ ที่ทราบคือ ร้านสมชัยการดนตรี อยู่จรัลครับ
#109
สุขสันต์วันเกิดครับน้องคิว


อายุษฺยกามะ ยศสฺกามะ ปุตฺรกามศฺ ตไทว จ
อาโรคฺยํ ธนกามศฺจ สรฺเวกาม ภวนฺตุเต

ความปรารถนาในความมีอายุยืน ความมียศ ความมีบุตร
ความไร้โรค  ความมีทรัพย์ และความปรารถนาทั้งหลายจงมีแด่ท่านเทอญ
#110
ภาพงานตุลสีวิวาหะครับ





#111
Quote from: สิรวีย์ on June 25, 2010, 15:15:34
เตรียมไว้เหมือนกันค่ะ แค่อยากทราบว่าพอจะมีเทวรูปให้ได้บูชาไหม แบบที่ราคาไม่แพงมาก ถ้ามีก็ดี ถ้าไม่มีก็ใช้รูปหรือไม่ก็มีแต่ต้นก็พอใจแล้วค่ะ



รูปการปลูกต้นตุลสีของชาวอินเดียครับ


เท่าที่ผมทราบมานะครับ

เทพเจ้าบางพระองค์ในทางฮินดู ถ้าเทพเจ้านั้นๆถูกระบุว่าเป็นพืชพันธ์ หรือแร่ธาตุชนิดใด
ก็บุชาพืชพันธ์ชนิดนั้นโดยตรง โดยไม่ต้องบูชาเทวรูปซึ่งเท่ากับบูชา "สิ่งแทน" ท่านอีกที

ดังนั้น คนฮินดูเวลาจะบูชาพระแม่ตุลสี เขาจึงบูชาที่ต้นกะเพราโดยตรง ซึ่งกะเพรามีสองแบบ แบบแรกเรียกว่า รามตุลสี หรือกะเพราขาว
แบบที่สองเรียกว่า กฤษณะตุลสี หรือกะเพราแดง เขานิยมกะเพราแดงมากกว่าครับ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ กะเพราขาวก็ไม่ผิดอะไร

การบูชาพระแม่ตุลสี ที่ผมพบ เขามักจะปลูกไว้บนกระถาง บางบ้านกระถางก็สูงซักหน่อย โดยเฉพาะบ้านที่ไม่มีหิ่งพระหรือห้องพระ เขาก็นิยมปลูกไว้ ลานหน้าบ้าน

เช้ามาก็ออกมารดน้ำ บุชาด้วยธูปและประทีป จึงไปทำกิจกรรมอื่นๆ หรือรดน้ำเฉยๆก็มี

เย็นมาก็จุดประทีป โดยมากประทีปเขานิยม ทำกระถางที่มีช่องใส่ประทีปไว้ครับ

คนอินเดียถือว่า กะเพราเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นชายาและที่รักยิ่งของพระนารายณ์
มีประโยชน์ด้านอยุรเวท คือแก้พิษไข้ ขับลม ไล่แมลง นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ
คือในเวลากลางคืนจะไม่ปล่อยคาร์บอนครับ


นอกจากนี้แล้ว การปลูกต้นตุลสีหรือกะเพราไว้ ก้สามารถเด็ดใบมาบูชาพระนารายณ์ได้ แต่มีข้อกำหนดนะครับ ว่าห้ามเด็ดวันไหนบ้าง คนไวษณวะที่เคร่งๆถือกันว่า ถ้าเด็ดใบกะเพราผิดวันเท่ากับเหมือนตัดพระศอพระนารายณ์เชียวครับ(อันนี้ผมเคยออ่านเจอในหนังสือนิตยกรรมปธติ)

นอกจากนี้ยังมีเทศกาลพิเศษสำหรับพระแม่ตุลสี
คือเทศกาลตุลสีวิวาหะ
หรือพิธีแต่งงานของพระแม่ตุลสีกับพระนารายณ์ในรูปพระศาลิครามครับ
ราวๆ ปลายปี เดือน ต.ค. - พ.ย.


ภาพงานตุลสีวิวาหะครับ




ภาพพระแม่ตุลสีในรูปเทวรูปครับ
#112
ด้วยความยินดีครับบบ

ผมเองเวลาสวดมนตร์ก็อยากทราบความหมายถึงได้พยายามขวนขวายเรียนสันสกฤต เพราะยิ่งทราบความหมายก็เกิดความซาบซึ้งยิ่งขึ้น
#113
คนอินเดียโดยมาก ไหว้พระแม่ตุลสี คือไหว้ต้นกะเพราครับ
น้อยมากที่จะเห็นเป็นเทวรูป

ดังนั้นผมว่า คุณสิรวีย์ ปลูกกะเพราแดงซักต้น ตอนเช้ารดน้ำ กลางคืนจุดประทีปบูชา
เป็นการบูชาพระแม่ตุลสีที่ตรงและเป้นตามธรรมเนียมฮินดูครับ
#114
Quote from: สิรวีย์ on June 24, 2010, 13:27:21
ขอบพระคุณคุณกาลิทัสมากค่ะ (จริงๆอยากเรียกว่าอาจารย์เหมือนคราวที่แล้วนะคะ แต่เดี๋ยวคุณกาลิทัสจะเข้ามาแซวอีก)


ด้วยความกรุณานี้ ขอพระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองคุณกาลิทัสนะคะ
และขอความกรุณาอีกครั้งกับบทนี้ค่ะ


โอม โรคานเศษานะปะหัมสิ ตุษฏา รุษฏา
[/SIZE]ตุ กามาน สะกะ ละนะภีษะฏาน ตวามาศริตานาม นะ วิปันนราณาม ตวามาศริตา หยา [/COLOR]
ระยะตาม ปะระยานติ



เห็นที่นำมาส่วนใหญ่ เป็นบทสวดของวัดเทพมณเฑียรนี่ครับ


ส่วนบทนี้มาจาก เทวีภาควัตปุราณะ


โอมฺ โรคานเศษานปหํสิ ตุษฺฏา รุษฺฏา ตุกามานฺ สกลนภีษฺฏานฺ
ตฺวามาศฺริตานำ น วิปนฺนราณำ ตฺวาศฺริตา หฺยาศฺรยตำ ปฺรยานฺติ


พระแม่ทุรคา ในยามที่ทรงพอพระทัย ทรงบรรเทาโรคร้ายทั้งหลาย แต่ในยามพิโรธ ทรงทำลายกาม(ความปรารถนา)ทั้งหลาย จะไม่มีความทุกข์โศก แก่ผู้ขอความช่วยเหลือจากพระองค์  ผู้ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ย่อมเป็นที่พึ่งของผู้อื่น
#115
โอม  กระปูระเคารัม  กรุณาวะตารัม  สันสาระสารัม 
ภุชะเคนทะ  ระหารัม  สะทะวะสันตัม  หฤทะยาระวินเท  ภะวัมภะวานี  สาหิตัม  นะมามิ
อันนี้สำนวนแปลของผมครับ
โอมฺ กรฺปูรเคารํ กรุณาวตารํ สํสารสารํ ภุชเคนฺทฺรหารมฺ
สทาวสนฺตํ หฤทยารวินฺเท ภวํภวานี สาหิตํ นมามิ
พระศิวะผู้มีพระวรกายขาวดั่งการบูน เป็นอวตารแห่งความกรุณา เป็นที่สุดแห่งสังสารวัฏ
มีพญานาคเป็นสร้อยพระศอ ผู้ประทับในกมลหทัย(หัวใจรูปดอกบัว)ของเราในกาลทุกเมื่อ
ข้าฯขอน้อมไหว้ พระภวะ(การดำรงอยู่)กับทั้งพระแม่ภวานีพระองค์นั้น
#116
Quote from: Axari on June 16, 2010, 15:20:00

เท่าที่ทราบ ตตฺตวํอสิ (tattvamasi) หมายถึง สูเจ้าคือสิ่งนั้น (Thou art that)
tat   =  that
tvam=  thou
asi   =  art

รบกวนผู้รู้ช่วยเพิ่มเติมข้อมูลและขยายความด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ




เพิ่งมีโอกาสว่างมาตอบครับ ขออภัยด้วย

โอมฺ สทฺคุรุจรณกมเลภฺโย นมะ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระกมลบาทของคุรุผู้เที่ยงแท้ทั้งหลาย

โอมฺ เวทานตคุรุปรมฺปราภฺโย นมะ
ขอความนอบน้อมมีแด่สายสืบทอดคุรุแห่งเวทานตะทั้งหลาย

โอมฺ ศฺรีศํกราจารฺยวรยาย นมะ
ขอความนอบน้อมจงมีแด่ท่านศังกราจารย์ผู้ประเสริฐ


ผมขอตอบตามหลักวิชาการนะครับ

คำว่า โอมฺ ตตฺ ตฺวามสิ หรือ ตตฺ ตวมฺ อสิ
รวมทั้งคำอื่นๆในแบบเดียวกันนี้ เช่น โอม โสหํ หํสา หรือ อหมฺ พฺรหฺมาสฺมิ, หรือ ปฺรชฺญา พฺรหมนฺ ฯลฯ

คำเหล่านี้เป็นประโยคหรือวลีสั้นๆในคัมภีร์หมวดอุปนิษัทครับ
อุปนัษัทเป็นส่วนหนึ่งของพระเวทหรือส่วนท้ายของพระเวท อันแสดงเกี่ยวกับความจริงแท้หรือปรัชญาลึกซึ้ง

วลีเหล่านี้เรียกกันว่า "มหาวากย" หรือ ถ้อยคำอันยิ่งใหญ่
เพราะเป็นถ้อยคำสั้นๆที่แสดงความจริงแท้หรือสัจธรรม อันสูงสุด

ในกรณีคำว่า ตตฺ ตฺวมาสิ
ถอดสนธิเป็น
ตตฺ ตฺวํ อสิ
ตตฺ -นั้น
ตฺวมฺ - ท่าน,เจ้า
อสิ -เป็น อยู่ คือ

แปลว่า "ท่านคือสิ่งนั้น"

ประโยคนี้ปรากฏในฉานโทคโยปนิษัท หรือฉานโทคยอุปนิษัท
ท่านอุททาลกะ กล่าวกับบุตรคือ เศวตเกตุ

ความหมายของประโยคนี้ในทางเวทานตะ ไม่ได้หมายถึงการส่งใจหรือการรวมจิต
แต่เป็นประโยคแสดงสัจธรรม

ที่ยืนยันความหมายทางปรัชญาอไทฺวตเวทานตะ
กล่าวคือ ในทางเวทานตะ มีหลักว่า

ความจริงแท้มีแค่พรหมันเท่านั้น โลกเป็นมายา ชีวาตมันไม่ได้แยกต่างจากพรหมัน
(พฺรหมสตฺยมฺ ชคนฺมิถฺยา ชีโวพรฺหไมวนาประ)

การบอกว่าท่านคือสิ่งนั้นหมายความว่า ตัวเราไม่ได้แยกจากสิ่งสูงสุดหรือสัจธรรมหรือพรหมัน
เพราะโดยหลักการแล้ว การแยกแตกต่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในมายาเท่านั้น โดยสัจภาวะแล้ว ไม่มีความแตกต่างหรือเภทาเภทะทั้งนั้น
เมอื่ความรู้แจ้งปรากฏตัวเราเองก็คือพรหมัน(นี่เป้นหลักการของท่านศังกราจารย์)

ข้อนี้ต่างจากหลักการของท่านรามานุชะ ที่แยกออกเป็นปรมาตมัน หรืออาตมันใหญ่หรือพระเจ้า กับอาตมันหรือชีวาตมันอันเป็นอาตมันย่อยๆ
อาตมันย่อยๆนี้อยู่ในฐานะส่วนหนึค่งหรือเปรียบประดุจร่างกายของปรมาตมันเท่านั้น


ประมาณนี้ครับ เดี๋ยวผมค่อยมาต่ออีกนะครับ

อ่อ นักบวชและสาธุบางท่านก็มักแนะนำให้ภาวนาเพ่งพินิจความหมายของคำนี้ โดยอาจทำให้เกิดการประจักษ์แจ้งความจริงได้ครับ


#118
Quote from: อักษรชนนี on June 17, 2010, 21:57:41
Quote from: chaicharna on June 17, 2010, 21:44:36

ครับใช่ที่กล่าวมาเป็นกระบะมุกครับขอบคุณคุร สิรวีย์นะครับ ที่ช่วยมาต่อยอดเรื่องของกระผมอันที่จริงความรู้เท่าหางอึ่งครับ บังเอิญมากกว่าที่ได้เข้ามาศึกษาบ้างประปรายก็พอมีข้อมูลติดตัวมาบ้างยินดีที่จะรับคำติชมครับ




ทั้งสองภาพเป็นภาพการจัดเครื่องโต๊ะหมู่ไทยแบบจีนของพระที่นั่งที่ใดบ้างผมเองก็จำไม่ได้นะครับ เพราะเนื่องจากก็ยังไม่มีโอกาศได้ไปชมของจริงสักทีครับ เลยเอามาฝากเพื่อน ๆ ชมกัน

ถ้าจำไม่ผิด ภาพเเรกน่าจะเป็นภาพห้องเจว็ด ภายในพระจุฑาธุชราชสถาน เกาะสีชัง

ส่วนภาพที่สองเป็นพระวิมานพระสยามเทวาธิราช ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ภายในระบรมมหาราชวังครับ



พี่เองก็ไม่แน่ใจนะครับ

แต่จำได้ลางๆว่า เครื่องบูชาแบบจีนรูปบน อยู่ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ครับ

ถ้าผิดขออภัยครับ
#119
เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นกระทู้เรื่องนี้โดยเฉพาะหรือกระทู้อื่นๆ คงต้องรบกวนท่านกาลิทัสหรือน้องอักษรชนนีครับ

เรื่องนี้กล่าวสั้นๆไว้ก่อนว่า ท่านพระราชครูวามเทพมุนี ท่านพิจารณาแล้วเห้นว่าพระตรีมูรติที่เวิร์ลเทรด เป็นพระสทาศิวะ หรือพระปัญจมุขีศิวะนะครับ ดังนั้นเมื่อทางห้างไม่ยอมเปลี่ยนชื่อตามที่ท่านพิจารณา ท่านจึงไม่ไปประกอบพิธีบวงสรวงให้ครับ ซึ่งทางคณะพราหามณ์ไทยตกลงกันว่าจะไม่ยอมไปทำพิธีในที่ที่เรียกขานพระนามเทพเจ้าไม่ถูกต้องหรือมีเทวลักษณะที่ผิดครับ
#120
ขอบคุณท่านสยามคเณศที่มาช่วยเผยแพร่ข้อมูล พอดีช่วงนี้ผมงานยุ่งจริงๆ
เด๋วมีเวลาจะนำรายละเอียดของงานคเณศจตุรถีของภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยศิลปากรมาลงนะครับ