Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Oam

#41
แล้วก็ พระราม พระนางสีดา และหนุมาน







#42
ต่อไป เป็นภาพบรรยากาศภายใน ครับ
คล้ายๆ กับวัดวิษณุมณเทียร กรุงเทพ นะครับ
เทวรูปก็ทำจากหินอ่อนเหมือนกัน คล้ายๆ กัน
แต่ที่กรุงเทพ จะอลังกว่าน่ะครับ

เริ่มด้วย เทวรูปพระวิษณุ และพระแม่ลักษมี







#43
ต่อมา เป็นศาลพระพรหม ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ครับ










#44
นำภาพวัดเทพมณเทียรที่เชียงใหม่มาให้ชมกันครับ
รู้สึกว่า คนจะน้อยๆ นะครับ..ยกเว้น วันสำคัญๆ...
ใครไปเชียงใหม่ ก็แวะไปได้ครับ...
จำได้ว่า เขาอาราตีรอบเย็น 1 ทุ่ม ครับ

เริ่มจากด้านหน้าก่อนเลยครับ












#45
งดงามอลังการ ตามสไตล์อักษรชนนี เช่นเคย..

ซักองค์สิครับ คุณอักษรฯ...ตั้งไว้หน้าบ้าน เอาเท่าในรูปเลยนะครับ
ถ้าคุณอักษรมีองค์งามๆ อย่างในรูปซักองค์
ผมจาเป็นเจ้าภา่พ ถวายอาราตีช่อใหญ่ๆ ให้เลย 1 ช่อ
เอาเหมือนวัด
ปศุปฏินาถที่เนปาลเลยนะ
แถมไปมูให้ถึงบ้านอีกต่างหาก...55
#46
ผมเองก็ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกันครับ
คือ เราเป็นคนไทย ที่ไม่ได้คุ้นสำเนียงแขก
ถึงจะพอรู้บางคำ แต่หลายคำก็ไม่คุ้นเอาเสียเลย

ถ้าจะให้หนังสือเหล่านี้ เผยแพร่ และเป็นที่เข้าใจอย่างแพร่หลาย
ในส่วนของการออกเสียงนี้ ผมเห็นว่าจำเป็นต้องปรับปรุงเป็นอย่างยิ่งครับ
หากทำได้ จะมีคนไทยอีกไม่น้อย ที่เข้าใจปรัชญาฮินดูมากขึ้นครับ

ไม่อย่างนั้น ก็คงต้องมีตารางแล้วล่ะครับ
ว่า คำนั้นๆ ในภาษาไทยปกติ คือคำไหน
แต่มันก็ยากลำบากอีก...คนอ่านคงต้องพลิกตารางตลอด
สู้ปรับทั้งหมด ให้เป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคย จะดีกว่า

หากอยากเผยแพร่คำสอน หรือหลักปรัชญาศาสนา
ก็ต้องดูบริบท และวัฒนธรรมของพื้นที่ ที่กำลังทำการอยู่ด้วยครับ
เดี๋ยวนี้ แม้แต่เพลงสวดในวาระต่างๆ ที่ใช้สวดในโบสถ์คริสต์
ก็เปลี่ยนมาใช้ทำนองเพลงไทย และภาษาไทย กันแล้วครับ
ไบเบิลฉบับภาษาไทยก็ปรับปรุงเรื่อยๆ อ่านง่ายครับ

แล้วทำไม ฮินดู จะทำไม่ได้ ถ้าตั้งใจจะทำจริงๆ
#47
ก็ตอบเท่าที่พอทราบน่ะครับ..
ท่านอื่นที่อาจมีประสบการณ์และมีความรู้มากกว่าผม มีมากมายครับ

แต่ที่ผมเป็นห่วงคือ หากน้องเป็นพุทธศาสนิกชน หรือ ฮินดู ก็ตาม
หากมีประสบการณ์ดังกล่าว แล้วคิดว่าเป็น connection ทางสายเทพ
แล้วมีคนมาชวนไปรับขันธ์ อะไรเทือกนี้ ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณให้หนักๆ หน่อย

หากเราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ว่าเทพเจ้าเหล่าใด
ก็คุ้มครองรักษา และหาทางสื่อสารกับเราเอง ถ้าเรามีคุณสมบัติถึง
เช่น ปฏิบัติสมาธิ จนจิตสงบ นิ่ง เป็นกลาง ในระดับหนึ่งแล้ว
หากโอปปาติกะ ต้องการติดต่อ ก็อาจทำได้ครับ ไม่เห็นต้องรับขันธ์อะไร
หากติดต่อไม่ได้ ท่านก็มีหน้าที่คุ้มครองเรานั่นแหละ
อาศัยเพียงเราศรัทธาที่มั่นคง มีสมาธิที่ดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรม
แล้วถวายกุศลให้เทพพรหม เทวา ที่คุ้มครองเรา ก็พอแล้วครับ
ไม่จำเป็น แม้จะต้องไปรู้นามของท่านด้วยซ้ำไป

ผมไม่ได้บอกว่าการรับขันธ์ หรือการเป็นร่างทรง ไม่ดี
ถ้าถูกกำหนดมา ก็อาจเป็นด้วยชะตา มันจำเป็น ก็คือต้องทำ
แต่หากไม่จำเป็น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปทำครับ
เพราะไม่ใช่ทั้งวิถีของทั้งพุทธ และฮินดู..
หากเป็นศาสนิกชนที่ดี ก็พึงพิจรณาให้รอบคอบก่อนนะครับ


อย่าศรัทธาหูเบา หรือหลงเชื่ออะไรง่ายๆ โดยขาดการไตร่ตรองนะครับ
เราควรเป็นตัวของเราเอง พระรัตนตรับ หรือพระเป็นเจ้า คือหลักของเรา 
ต่อให้สวดมนต์ไม่เป็นซักคำ แต่ถ้าเครพ บูชาท่านด้วย "จิตที่บริสุทธิ์"
ท่านย่อมรับทราบแน่นอนครับ..อย่าได้กังวล

สำหรับจุดตึงๆ นั้น เป็นอาการปกติ เมื่อเกิดสัมผัสกับพลังงานครับ
เป็นไปนานๆ ก็อาจหายไปเอง และเกิดขึ้นเป็นระยๆ ...
แต่หากอยากฝึกจักระ ก็อาจลองหาหนังสือมาศึกษาก่อน
แล้วถ้าอยากฝึกจริงๆ ลองปฏิบัติเองดูก่อน อาจสำเร็จก็ได้
แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ควรหาครูอาจารย์ที่มีความรู้จริง เป็นผู้ฝึกให้นะครับ
ผมก็เห็นมีเปิดสอนอยู่ครับ

บางคนฝึกพลังจักรวาล (จักระ 7ฐาน) แล้วหมุนจักรได้
ก็พอใช้รักษาตนเอง และผู้อื่นได้บ้าง ตามศักยภาพ น่ะครับ
แต่ก็พึงทราบไว้ว่า มันเป็น "วิชา" อย่างหนึ่ง ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์
มันไม่ใช่ "วิชชา" ที่หมายถึง ความรู้อันนำไปสู่ความหลุดพ้น
ตามแนวทางของพุทธศาสนา
หรือแม้แต่ฮินดู..ก็อย่างที่คุณกิฟซี่ ได้บอกไว้แล้วน่ะครับ

พลังพวกนี้ มีทั้งพลังร้อน และพลังเย็น
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะถูก หรือเข้ากันได้กับพลังงานเหล่านั้นเหมือนกัน
พลังงานบางอย่าง เหมาะสมกับบุคคลหนึ่ง
แต่อาจไม่เหมาะสม กับอีกบุคคลหนึ่งก็เป็นได้

บางคนฝึกได้ เอาไปใช้ได้ก็มี
บางคนฝึกได้ แต่เอาไปใช้ไม่ได้ก็มี
หรือบางคนฝึกได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่คิดว่าตัวเองทำได้ ก็มี
มันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลจริงๆ ครับ

น้องต้องรอบคอบนะครับ
เราคือเรา ท่านคือท่าน
แผ่เมตตาให้ตนเอง ให้ผู้รักษาตัวเรา แล้วท่านจะรักษาเราครับ
ส่วนท่านจะเป็นใคร ไม่ต้องใส่ใจครับ
ของอย่างนี้ ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันได้ เป็นวาระ ตามหน้าที่ครับ

แม้แต่จิตของคน ดังพระพุทธวจนะ ที่ว่า..
มนุษย์ ที่เป็นคน
มนุษย์ ที่เป็นเทพ
มนุษย์ ที่เป็นเดียรัจฉาจ
มนุษย์ ที่เป็นเปรต
มนุษย์ ที่เป็นอสูรกาย
เป็นต้น...

มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของเรานั่นแหละครับ
เพียงแต่ร่างกายของเรา ไม่ได้เปลี่ยนไปตามเท่านั้นเอง

เพื่อความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง...พึงยึดคติ
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" เป็นอันดับแรก นะครับ
อย่า "ศรัทธาโดยประมาท เมตตาโดยขาดสติ" นะครับ
เพราะมันจะนำภัยมาสู่ตน

ขนาดของใช้อุปโภค บริโภคยัง มีคำเตือนเลยว่า..
"โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากก่อนใช้ทุกครั้ง"
แล้วชีวิตของเรา จะไม่รอบคอบได้อย่างไร!!!
#48
วันที่ 12 ไปที่ลานคนเมืองช่วงค่ำ ครับ
วันที่ 13 บูชาที่บ้านอ่ะ เล็กๆ...ตามประสาคนไม่ค่อยรู้อารายยย...

#49
อืม...ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากก็ได้ครับ
มันเป็นจักกระจุดหนึ่ง
ลองไปศึกษาเรื่่องจักระ 7 ฐานดูก็แล้วกัน
เหมือนเป็นจุดรับพลังงานได้จุดหนึ่งน่ะครับ
หากมีพลังงานเข้ามากระทบ มันก็รู้สึกอย่างนั้น
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสายเทพเท่านั้น

หากเคยฝึกพวกพลังจักรวาล หรือจักระเทือกๆ นี้มาก่อน
ก็อาจจะฝึกได้ง่ายขึ้น น่ะครับ...

ควรใส่ใจเรื่องการปฏิบัติสมาธิ มีสติ มีสัมปชัญญะ
เพื่อความสงบกาย สงบใจ จะดีกว่าใส่ใจเรื่องพวกนี้
หากเขาจะมีทางดำเนิน ก็คงจะได้ทราบเองแหละครับ

ของพวกนี้ เป็นผลพลอยได้จากการที่ได้เคยปฏิบัติมาก่อน
ถ้าปฏิบัติฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ก็อาจมีประโยชน์ได้
แต่ไม่ควรยึดติดในศาสตร์ที่ไม่ทำให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริงครับ
#50
มิเป็นไรมิได้ครับ คุณ Giftzy...
ผมแค่ทำตามที่น้องอักษรฯ ขอไว้ ก่อนจะจากไป.....!!! (ต่างจังหวัด).....
เท่านั้นเอง...55..

ตรงลานคนเมืองนี่ ยิ่้งดึก..ลมยิ่งเย็นสบาย เหมาะจะใช้จัด event จริงๆ ครับ

แหม.. ถ้าบ้านอยู่ใกล้ คงจะไปเก็บภาพให้ทุกวัน
เผอิญอยู่ไกล...ซักนิด..เท่านั้นเอง...
#51
นำรูปของคืนวันที่ 12 ก.พ. 2553 มาให้ดูต่อจากคุณเกียร์นะครับ
เป็นภาพบรรยากาศโดยทั่วไปรอบๆ บริเวณงาน
ซึ่งประกอบด้วยบูธออกร้าน ต่างๆ เวทีการแสดง
และศูนย์กลางของพิธี คือ ปะรำพิธี ที่มี ศิวะลึงค์ และกาลัสองค์พระศิวะ ครับ
เทวรูปสวยๆ จากร้านต่างๆ ที่มาออกบูธในงาน ก็เก็บภาพมาฝากกันครับ


















































เมื่อเลิกงานในในคืนนั้นแล้ว ได้มีโอกาสได้สนทนากับคุณหริทาสเล็กน้อย...
ทำให้ทราบว่า พิธีในคืนวันที่ 12 นั้น ไม่ได้มีทำกันบ่อยๆ..
แต่ผมเองก็จำรายละเอียดที่คุยกับคุณหริทาสไม่ได้ซะแล้ว..ความจำสั้นอ่ะครับ
ถ้าอย่างไร หากคุณหริทาสพอมีเวลา ก็ขอเชิญให้มากล่าวถึงความพิเศษของพิธีกรรมที่จัดขึ้น
ในแต่ละวันด้วยนะครับ...

ถึงพิธีการจะผ่านไปแล้ว..
แต่ข้อมูลบางอย่าง ก็เป็นสิ่งที่น่ารู้ครับ...

ขอบคุณล่วงหน้าครับ
#52
ขอถามผู้รู้ด้วยครับว่า..
ปางประธานของพระแม่ลักษมีนั้น คือ ปางใด
มีลักษณะอย่างไรบ้างครับ
เคยเห็นรูปลักษมี 8 ปาง
แล้วก็มีรูปที่ใช้บูชาประจำวัน

รวมถึง ลักษณะของการยืน หรือ นั่ง นั้น..
เคร่งครัดเพียงใด ว่าจะต้องนั่ง หรือ ยืน เท่านั้น

หากสิ่งที่ถือ และท่าการประทานพร เหมือนกัน
แต่ต่างกันที่ยืน กับ นั่ง ถือว่า มีความหมายต่างกันไหม
อย่างไรบ้างครับ

เคยได้อ่านมาว่า ทางวัชรยาน เขาจะถือว่า..
นั่งไม่เท่ายืน ยืนไม่เท่าเดิน เดินไม่เท่าเหาะเหิร

แต่ทางจีนก็เคยได้ยินว่า.. ยืนเป็นเสา นั่งเป็นภูเขา
หากจะมั่นคง หนักแน่น ก็มีคนแนะนำว่า ปางนั่งจะมั่นคงกว่า..เป็นต้น

สำหรับทางฮินดู มีหลักความเชื่ออย่างไรบ้างครับ
#53
รอฟัง และรออ่าน เสียถอดเทป จากคุณ giftzy_69 อยู่ครับ
คา่ดว่าจะเป็นประโยชน์มาก สำหรับการไขความกระจ่างในเรื่องนี้
ต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าครับ

หากประเด็นนี้ เคยเป็นที่ถกเถียงกันมานาน
ก็ขอให้กระทู้นี้ ไขความกระจ่าง ได้อย่างชัดเจน
จนสามารถคลายความกังขาในประเด็นนี้ได้ในที่สุด ครับ

สำหรับเรื่องการตั้งเทวรูป ผมก็ได้บอกเอาไว้แล้วว่า..
หากท่านใด ทราบ "ตรรก" อื่น ก็ขอให้ยกตัวอย่าง พร้อมคำอธิบาย ด้วยครับ
ก็ต้องขอขอบคุณ คุณ Nai 3 ที่ได้ยกตัวอย่างมาให้ด้วยครับ

สำหรับเรื่องพระเทวีแห่งจักรวาล นั้น..
ผมได้บอกเอาไว้แล้วว่า "บางความเชื่อ"
ดังนั้น สิ่งที่นำเสนอไว้ จึงจัดอยู่ในฐานะ "ตัวอย่างความเชื่อหนึ่ง"
ผมไม่ได้บอกว่า พระศรีมหาอุมาเทวี
เป็นพระเทวีแห่งจักรวาล เพียงพระองค์เดียว แต่อย่างใดเลย
กรุณาอย่าเข้าใจผิด และอย่าคิดว่า ผมเข้าข้างลัทธินิกายใดเป็นพิเศษนะครับ

สำหรับตัวผมเอง ผมเพิ่งเข้ามาบอร์ดนี้ได้ไม่นาน
อะไรที่พอจะแชร์กันได้ ก็แชร์กัน
ไม่เคยบอกเลยว่า สิ่งที่ผมนำเสนอ ต้องถูกต้องที่สุด เสมอ...

อีกประการหนึ่ง ผมไม่เคยใช้ภาษาประชดประชัน
เสียดสี ดูหมิ่นใคร ในบอร์ดนี้... ไม่เคยคิดกล่าวร้ายใคร
ดังนั้น สิ่งที่ผมคาดหวัง คือ มิตรภาพ และภาษาสุภาพ
รวมถึงการชี้แจง ที่เป็นกลาง อย่างกลัยาณมิตร ครับ
อย่างน้อย ก็กับการตอบความคิดเห็นของผม
เพราะผมไม่เคยคิดจะเอาชนะคะคานใครครับ...

ไม่มีใครรู้ทุกอย่างในโลก..
ไม่มีใครทำถูกทุกอย่าง...
โดยเฉพาะอย่างยิ่้ง ไม่มีใคร "ตัดสิน" ได้ว่า
ความเชื่อใด ถูก หรือ ผิด ด้วยข้อมูลที่ตนคิดว่าถูก...เท่านั้น

หากในบริบทของสังคมไทย มหามารีอัมมัน เป็นอย่างหนึ่ง
แล้วที่อื่นไม่ได้เป็นเหมือนเมืองไทย
ผมก็เห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถ "อธิบายได้" ครับ
"บริบท" เป็นตัวแปรที่ทำให้ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ อันเดียวกัน
เปลี่ยนแปลงไป เมื่ออยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ครับ

รากเดิมของพระเทวี "ศรีมหามารีอัมมัน" เป็นอย่างไร
และนำมาเกี่ยวโยงกับพระศรีมาหอุมาเทวี ได้อย่างไร
ปัจจุบัน คนไทย เข้าวัดแขก แล้วเข้าใจว่า ไปสักการะ "พระแม่อุมา"
เป็นอย่างนั้นใช่ หรือไม่ อย่างไร
หากไม่ใช่ แล้ว..เราควรเชื่อ เช่นนั้น ต่อไปอีกหรือไม่ เพราะอะไร

คงได้ัรับคำตอบ และข้อมูลเพิ่มเติม จากทัศนะอื่น ในไม่ช้านี้ครับ
#54
ใช่ครับ..
ผมยกตามที่คุณมีนได้เคยอธิบายเอาไว้
แต่ผมไม่ได้แจกแจงรายละเอียด เท่ากับคุณมีน
เพราะเห็นว่า กระทู้นี้ ไม่ใ่ช่เรื่องนี้โดยตรง
ครั้นจะลิงค์ไป ก็เกรงจะเกิดความวุ่นวาย
เพราะเวปดังกล่าว ไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะเท่ากับฮินดู มีทติ้ง

จะว่า อัมมัน ของทมิฬ เป็นพระเทวีโดยเอกเทศ
ไม่ใช่ภาคปางของใคร ก็อาจเป็นได้ครับ..
ทั้งนี้ เนื่องจากในอินเดีย มีลัทธินิกาย อยู่หลายพันนิกาย
เฉพาะนิกายศักติ ก็มีแทบนับไม่ถ้วนแล้ว
ภาค ปาง และรูปลักษณ์ ต่างๆ ที่ทำขึ้นมาบูชานั้น
ก็มีมาก.. ปรกณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมูรติ นั้นๆ
ก็ต่างๆ กันไป

ดังนั้น หากมีท่านผู้ใด ทราบประวัติของมารีอัมมัน ทีั่ต่างไปจากนี้
และต่างไปจากที่เคยโพส ในฐานะเทวีรักษาโรคฝีดาษแล้วล่ะก็
ขอความกรุณา โพสเป็นวิทยาทานด้วยครับ...

พระเทวีอัมมัน ที่วัดแขกสีลม ผมไม่ได้บอกว่าเป็น "ปรวตี" นะครับ
(คำว่า "ปรวตี" ในความหมายของผม หมายถึง "ศิวะกามมี่" ครับ)
เพราะเทวลักษ์ ไม่ใช่ "ศิวะกามมี่" (หรือ ภาษาไทย เรียกว่า "ศิวะกามสุทรีย์"
ซึ่งก็คือ รูปลักษณ์ของศิวะศักติ ที่ปรากฏในเวลาที่ "เคีัยงคู่" กับพระศิวะ)...

แต่เนื่องด้วย
พระเทวีอัมมัน ที่วัดแขกสีลม ขนาบด้วยมหาบุตร
อันจัดเป็นองค์ประกอบหลัก ที่สำคัญ มีเทวรูปชัดเจน ทั้งสององค์
ดังนั้น ตรงกลาง ก็ควรเป็น "พระมารดา"
เนื่องจากวัดแขกสีลม เป็นวัดในนิกายศักติ
พระมารดาของมหาบุตรคเณศวร และสกันทะ จึงเป็น "พระศรีมหาอุมาเทวี"
หรือท่านใด จะเข้าใจเป็นอย่างอื่น ว่า เทวรูปตรงกลาง "ไม่ใช่" พระศรีมหาอุมา"
ด้วยมีตรรกอย่างอื่น ก็ขอให้นำเสนอเถอะครับ..

อย่างสมัยสุโขทัย ไม่มีการบูชาอุมา ที่ชื่อ "ปรวตี"
แต่บูชาพระเทวี ที่เป็นพระมเหสีของพระอิศวร โดยใช้ชื่อว่า "พระศรีอุมาเทวี"
สมัยนั้นก็ไม่มีกาลี แต่มีทุรคา (แต่ก็ปรากฏไม่มาก)

ดังนั้น เรื่อง "ชื่อ" อย่าสับสนเลยนะครับ

ชื่อกลาง (Common Name) ของศิวะศักติ ที่คนไทย รู้จักกันโดยทั่วไป..
คือ รู้จักในนาม "ศรีมหาอุมาเทวี"จะแบ่งเป็นภาคอะไร ก็แล้วแต่ ครับ..
แต่บางตำรา ก็เรียกศิวะศักติ ว่า "ปรวตี" เป็นการระบุอย่างชัดเจน
ว่า.."ปรวตี = อุมาเทวี" (ในส่วนของชื่อเรียก)
และภาคปางต่างๆ ที่ปรากฏภายหลัง เช่น ทุรคา กาลี จึงแปลง หรือแตกออก
จาก (การบำเพ็ญบารมี ในครวนั้นๆ ของ..)พระปรวตี หรือมหาอุมาเทวี นั่นเอง

แค่คำว่า "อุมา" ที่แปลว่า "ผู้หญิง" นั้น ก็มีที่มาแตกต่างกันไป ตามปรกณ์ต่างๆ

บางความเชื่อก็ว่า คำว่า "ศรีมหาอุมาเทวี" เป็นชื่อ "ตำแหน่ง"
ที่ค้างเอาไว้ ไม่เคยปรากฏมีเทพนารี พระองค์ใดในจักรวาล ได้รับตำแหน่งนี้
จวบจนพระศรีมหาปรวตี ทรงบำเพ็ญเพียร อย่างยิ่งยวด
ประกอบกับทรงได้รับการสนับสนุน และประทานพร จากเทพพรหม ทุกพระองค์
จึงทรงประสบความสำเร็จ ถึงที่สุดแห่งการบำเพ็ญ
เข้าถึงที่สุดแห่งปรมาตมัน ตามแนวทางของศาสนาฮินดู
จากนั้น จึงทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นรับตำแหน่ง "ศรีมหาอุมาเทวี"
พระเทวีแห่งตรีโลก พระเทวีแห่งจักรวาล
เคีัยงคู่ ตำแหน่งพระบิดา แห่งจักรวาล
ซึ่งก็คือ พระมหาสดาศิวะเป็นเจ้า นั่นเอง...

เช่นนี้ ก็เป็นความเชื่อหนึ่ง ครับ..จะผิด จะถูก ไม่มีใครบอกได้
ปรกณ์ หรือเรื่องราว ไม่ได้มีไว้ให้เชื่อ...
แต่มีไว้ให้วิเคราะห์ ถึงที่มาของเรื่องราว และความเชื่อ ในยุคสมัยนั้น
มันจะสื่อถึงวิถีชีวิต และความคิด ของผู้สร้างปกรณ์ นั้นๆ ครับ

ที่ผมเลือกเสนอแนวคิด ตามที่คุณมีนเคยได้นำเสนอไว้
ก็ด้วยคุณมีน มีหลักฐาน และแหล่งอ้างอิง ชัดเจน
และเข้ากับบริบท พัฒนาการทางความเชื่อ ที่มีปรากฏอยู่จริงในปัจจุบัน ครับ

นอกจากนั้น หากท่านใด ได้รับความรู้จากพราหมณ์สายตรงที่บูชามหาเทวีมารีอัมมัน
ก็ขอให้นำความรู้นั้น มาโพสไว้ ให้พวกเราได้อ่านกันด้วยนะครับ
แต่ก็ขอให้บอกด้วยว่า พราหมณ์ท่านนั้น นับถือลัทธินิกายใด
อยู่ในถิ่้นใดในอินเดีย เพื่อจะได้ระบุชัดเจน ว่าเป็นความเชื่อของลัทธิ นิกายใด
เพราะหากได้ต้นเรื่อง จากสายตรง โบราณจริง ก็จะดีมากๆ ครับ

เท่าที่ผมทราบ สมัยที่วัดแขกสีลม ยังเป็นศาลพระแม่มารีอัมมันเล็กๆ นั้น
ไม่แน่ใจ ว่าเขาได้สถาปนาเทวรูปองค์นี้ ให้เป็นพระศรีมหาอุมาเทวี หรือไม่
คงต้องไปสัมภาษณ์พราหมณ์ เจ้าอาวาสวัดแขกสีลมแ้ล้วล่ะครับ
ว่าแท้จริง มีที่มาอย่างไร...
แต่ด้วยกาลเวลาผ่านไป องค์ประกอบต่างๆ ชัดเจนขึ้น
ปัจจุบัน จึงนับถือเทวรูปประธาน ในวัดศักตินิกาย วัดนี้ ว่าเป็น พระศรีมหาอุมาเทวี
และไม่ได้บอกว่า คือ พระปรวตี/บรรพตี (เทวรูปพระปรวตี หรือ ศิวะกามมี่ ก็มีให้บูชาต่างหาก)

ที่ผมบอกว่า จะว่าใช่ ก็ใช่ ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ หมายความว่า
เทวรูป อัมมัน ในอินเดีย ไม่ได้หมายถึงพระศรีมหาอุมาเทวี องค์เดียว เสมอไป
หากมีบริบท เหมาะจะเป็นพระศรีมหาอุมาเทวี และได้รับการสถาปนาให้เป็นพระศรีอุมา
ก็เป็นองค์ศรีอุมาเทวี นั่นแหละครับ
แต่หากเป็นอัมมัน ประจำท้องถิ่น ก็ต้องดูอีกที ว่า ใช่หรือไม่ เขานับถือในฐานะที่เป็นองค์อะไร

อย่างที่ผมเคยโพสไว้..
เทวลักษณ์ ถือเป็น มายา
พระเป็นเจ้า คือ พลังงาน
ปรากฏรูปอย่างใด อย่าไปยึดติดครับ
เราผูกพันกับปางไหน บูชารูปลักษณ์ใด แล้วสบายใจ ก็บูชา
ไม่ได้หมายความว่า บูชาปางนี้แล้ว ปางอื่นจะสงเคราะห์เราไม่ได้

ทางวิทยาศาสตร์ พลังงานแต่ละอย่าง ก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง
เช่นเดียวกับเทพเจ้า แต่ละภาค/ปาง ก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง
หากนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ท่านก็ไม่ก้าวก่ายกัน
หรือหากจำเป็น ต้องสงเคราะห์ผู้ใด ด้วยความเหมาะสมอย่างไร
ท่านก็พิจารณากันเองได้ครับ.. อย่ากังวลเลย
มิเช่นนั้น จะต้องหามาบูชาทุกลักษณะ เป็นร้อยเป็นพัน...คงไม่ไหวนะครับ
#55
อัมมัน แปลว่า แม่...
มารีอัมมัน ตามตำนาน เป็นเทพีประจำท้องถิ่้น ทางอินเดียใต้
ที่อินเดียใต้ แต่ละท้องที่ ก็จะมี "อัมมัน" ของหมู่บ้าน หรือท้องถิ่้น
คอนเซ็ปต์คล้ายๆ กับ "เทพนารี ประจำท้องที่" ก็เรียก "อัมมัน" หรือ "เจ้าแม่" นั่นแหละครับ

ทีนี้ รูปลักษณ์ของอัมมัน ปกติ ก็สร้างเพียงเศียร ตั้งอยู่บนจากดิน
จะอัมมันของท้องที่ไหน ก็สร้างเหมือนๆ กันหมด
แต่ข้างใน องค์ใดจะสถิตย์ ก็คงเป็นเรื่องของแต่ละท้องที่
คล้ายๆ กับพระภูมิบ้านเราน่ะครับ หน้าตาก็เป็น "พระภูมิ" เหมือนกันหมด
หรือจะกล่าวได้อีกอย่างว่า "อัมมัน" ในที่ต่างๆ ของอินเดียใต้
ก็คือ "เทวี เจ้าที่ ประจำท้องถิ่้น" นั่นเอง ครับ

อัมมัน ประจำท้องถิ่น นั้น มักมีคุณด้านการรักษาโรค
หรือการป้องกันโรคระบาด นำความอุดมสมบูรณ์ มาให้ เป็นต้น
แต่หากไม่บูชาดีๆ ก็อาจเกิดโรคระบาด หรือความฝืดเคือง ได้เช่นกัน


ทีนี้ คนอินเดียใต้ เมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
ก็สร้างศาล บูชา "อัมมัน" ของตนเองขึ้น...เป็นกำเนิดวัดพระศรีมหามารีอัมมัน (วัดแขกสีลม)
จากเพิงศาลเล็กๆ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นวัดแขก..อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ในเืมื่อ "อัมมัน" ของวัดแขกสีลม มีพระคเณศ และพระขันธกุมาร อยู่เคียงข้าง
อัมมัน หรือ "เจ้าแม่" ของวัดนี้ จึงเท่ากับว่าเป็น "พระศรีมหาอุมาเทวี" นั่นเอง

ทีนี้ บางคนบอกว่า อัมมันของวัดแขกสีลม มี "เขี้ยว" ด้วย
จึงเข้าใจว่า น่าจะเป็น พระศรีมหากาลี หรือ "กาลีอัมมัน"
(อันนี้ ต้องถามผู้รู้ครับ เพราะผมไม่เคยเห็นองค์จริงๆ ข้างใน
ใครมีรูปเทวรูปด้านในของวัดแขก ก็ช่วยเอามาลงด้วยนะครับ)

ถ้าหากเราไปประเทศมาเลเซีย จะเห็นว่า
ร้านขายเทวรูปที่นั่นมีเทวรูปศักติ ที่เรียก "อัมมัน" เต็มไปหมด...
องค์ไหน ก็เรียก "อัมมัน" แยะองค์มาก..
ก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า หมายถึง เป็นสายของศักติ ตระกูล "อัมมัน"
หรือเขาเรียกศักติ/เทพนารี ว่า "อัมมัน" ไปด้วยกันทั้งหมด กันแน่

ด้วยกำเนิดของ "มารีอัมมัน" กับ "ศรีมหาอุมาเทวี" แท้จริงไม่เกี่ยวข้องกัน
จำได้ว่า มีคนโพสเรื่อง กำเนิดของ มารีอัมมัน (เทพีรักษาโรคฝีดาษ) ไว้แล้ว จะไม่เล่าซ้ำ
(ผมจะกระทู้ไม่ได้ ใครจำกระทู้ได้ ช่วยโพสลิงค์ ให้ทีนะครับ)
แต่ด้วยความเชื่อ กับคำศัพท์ ที่ใช้เรียก จึงผสมกัน..
ทำให้คนไทยทั่วไป เข้าใจว่า ศรีมหาอุมาเทวี (ที่วัดแขกสีลม)
และ ศรีมหามารีอัมมัน เป็นองค์เดียวกัน จะว่าใช่ ก็ใช่ จะว่า ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ ครับ

ดังนั้น หากจะดูว่า "อัมมัน" หรือ "เจ้าแม่" องค์ใด คือ พระศรีมหาอุมาเทวี
ก็คงต้องดูบริวาร และองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยครับ
ไม่ใช่ว่าไปอินเดีย จะไปบอกเขาว่า อยากบูชา พระศรีมหาอุมาเทวี แล้วไปชี้รูป "อัมมัน"
แขกก็อาจจะบอกว่า รูปนั้น ไม่ใช่ ศรีมหาอุมา...
ด้วยอัมมัน ของท้องที่นั้น ไม่ใช่ศรีมหาอุมา นั่นเอง

เอาล่ะ.. ทีนี้ รูปที่เจ้าของกระทู้นำมาลง
เมื่อเทียบกับรูปของศรีมหามารีอัมมันแล้ว ค่อนข้างใกล้เคียง
คงจะเป็นก๊อบงานอินเดีย ที่ทำในไทย น่ะครับ..
เพื่อความสบายใจ...
"อัมมัน" องค์นี้ จะเชิญพระญาณใด ก็คงแล้วแต่ใจเจ้าของ
แต่เมื่อดูตามรูปลักษณ์แล้ว..ก็คงจะเป็น ศักติ ในสายของพระศรีมหาอุมาเทวี นั่นเองครับ
จะบูชาให้เป็น พระแม่อุมา ก็ได้ครับ...
#56
ในช่วงเวลาแห่งศิวะราตรี ผมอยากให้เพื่อนๆ ชาว HM
ช่วยแบ่งปันความรู้ในเรื่องการประกอบพิธีบูชา
บทสวด และขั้นตอนต่างๆ ในการจัดเตรียมพิธีั
รวมถึงการจัดงาน ทั้งที่วัด ที่บ้าน หรือสถานที่อื่นๆ
ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ครับ..

โพสให้เต็มที่ อยากโพสอะไรสร้างสรรค์ ก็โพสมา
บอร์ดจะได้ไม่นิ่ง และตอบแ่ต่กระทู้เดิมๆ

ถึงจะไม่ใช่ช่วงเทศกาล ก็อาจมีประเด็นสร้างสรรค์
ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางฮินดู วัฒนธรรม ประเพณี
ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ และฮินดู ต่อวัฒนธรรมไทย

หรือประเด็นที่อยากแสดงความเห็น...อะไรก็ได้

ผมอยากให้ช่วยกันตั้งกระทู้ใหม่ๆ กันทุกวัน
ไม่งั้น บอร์ดจะนิ่้งๆ .. บรรยากาศไม่กระตือรือร้น น่ะครับ
#57
นึกว่ามีแต่ที่อินเดียใต้ ที่ชอบผสมองค์นั้นเข้ากับองค์นี้
ต่ก็ยังอยู่ในหมู่ของเทพเจ้าในศาสนาเดียวกัน

แต่ที่เห็นผสมข้ามสายกันขนาดนี้ ก็เห็นจะมีที่เมืองไทยนี่แหละครับ
เทวปกรณ์แปลกๆ เกิดขึ้นได้เสมอ

ผมคิดว่า เคยตอบในกระทู้เก่าไปแล้วกระทู้หนึ่ง
พร้อมทั้งมีผู้รู้มาให้คำตอบเพิ่มเติมแล้วด้วย..ลองหาอ่านดูครับ

หน้าที่ของเทพ และพระโพธิสัตว์ รวมถึงการบำเพ็ญบารมี ต่างกัน
#58
หายห่วงครับ ไม่ว่าจะเดินทางด้วยพาหนะอะไรก็ตาม
พนักงานส่งของทำเป็นอย่างเดียวครับ "โยน"..ลูกเดียว..

ถ้าไม่แตกหักขนาดเศียรขาด แตกครึ่งองค์
ก็น่าจะซ่อมแซมให้สมบูรณ์ ก่อนนำขึ้นบูชา

โดยส่วนตัว ผมถือว่า พระแตกหัก ชำรุด หากเสียหายในส่วนหลัก
ก็เท่ากับว่า ไม่เป็นมงคล


ถ้าเสียหายเล็กน้อย ซ่อมแซมแล้ว ก็ทำอย่างที่บอก เพื่อความสบายใจนะครับ
#59
คุณยีนส์...

สิ่งที่คุณอยากได้ตอนนี้..
ค่อนข้างใกล้เคียงกับโครงการของเวปสยามคเณศ ครับ
เขามี..

โครงการ "พันเทวาลัย ล้านศรัทธา"

เชิญร่วมส่งภาพถ่าย
ศาล เทวาลัย วัด ที่มีองค์เทวรูปใกล้บ้านท่าน
      
รูปภาพที่ผ่านการคัดเลือกจะได้ลงแนะนำในหมวด      
"สถานที่สักการะทั่วประเทศไทย"

พร้อม ชื่อ-นามสกุล ของผู้ถ่ายภาพ ติดอยู่กับภาพนั้นๆ ด้วย
      
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ศรัทธา เป็นเสมือนคู่มือการเดินทางไปสักการะยังที่ต่างๆ
จะซ้ำกับเขามั้ยครับ??
#60
แหมๆ..คุณยัีนส์นี่คิดมากอ่ะ..
เบี้ยเลี้ยงเนี่ย..ขอเป็น..พิซซ่าฝีมือคุณยีนส์ซักถาด..
ยังจะโลภ เห็นแก่กินเน๊อะ...55
#61
ลองถามแถวๆ มหามงกุฏราชวิทยาลัย สิครับ
ร้านหนังสืออยู่แถวหน้าวัดบวรนิเวศฯ น่ะครับ
หรือไม่ก็ร้านหนังสือแถวๆ ท่าพระจันทร์น่ะครับ
จุฬาบรรณคาร ก็ได้มั้ง..
น่าจะมีหนังสือไวยากรณ์บาลีนะครับ
เพราะพระท่านก็ต้องใช้อยู่เป็นประจำ
#62
ทำอะไรเหรอครับ มีเบี้บเลี้ยงป่าว...55
ไอ้นิดๆ หน่อยๆ อ่ะ..อะไรเหรอ..??
เนื้อหาพอได้ แต่เขียนเวป มะได้หรอก...
#63
ฆ่าตัวตาย..ทำให้จิตคิดวนเวียนอยู่กับสิ่งๆ นั้น...
เกิดใหม่ ก็มีแนวโน้มเป็นคนจิตใจอ่อนแอ คิดฆ่าตัวตายได้อีก
วิธีแก้ ก็ต้องอธิษฐาน ให้เจอกัลยาณมิตร ที่มีปัญญา ช่วยให้เขาคิดได้
เมื่อมีจิตใจเข้มแข็งขึ้น ก็จะไม่ฆ่าตัวตาย และพฤติกรรมนี้ ก็จะจาง สลายไปจากจิตของเขา

แต่วิธีอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ฆ่าตัวตายนี่...มันก็ขึ้นอยู่กับว่า
เราแผ่ไปถึงเขาจริงไหม และเขารับบุญของเราได้มั้ย น่ะครับ

เข้าใจว่า น่าจะมีทุขคติ เป็นที่ไป...
ก็ทำกรรมฐาน แล้วตรวจน้ำ อุทิศให้เขาไป ด้วยใจบริสุทธิ์ ก็แล้วกัน
อาจจะเป็นเจ้าภาพบวชคนอื่นในนามเขา แล้วขอให้พระท่านอุิทิศส่วยกุศลเจาะจงให้คนๆ นั้นด้วยก็ได้
หรือหากมีศรัทธา รักเพื่อนมาก ก็บวชให้เพื่อไปเลย ตรวจน้ำให้
เป็นพระที่ดี แผ่เมตตาให้ ขอให้เขามีสติ รับส่วนกุศลที่เราอุทิศให้
หรือระลึกถึงความดีของตัวเองได้ ก็ยังดี

เปรต หรือ อสูรกายบางจำพวก รับบุญที่อุทิศไปไม่ได้
แต่สามารถระลึกถึงบุญเก่า ที่ตนเองเคยทำไว้แต่ครั้งเป็นมนุษย์ได้
เมื่อระลึกได้ จิตเกิดกุศล ก็จะเปลี่ยนภพภูมิ ทันที ก็มีครับ
เพียงแต่ต้องมีอะไรไปเตือนสติเขา ให้เขานึกได้ เท่านั้น
อันนี้ ไม่ต้องคิดจะทำเอง เราอาจยังไม่เก่งพอจะติดต่อวิญญาณได้เอง
ก็ทำเท่าที่เราจะทำได้ ก็พอครับ

แต่ถ้าบุคคลนั้น สมัยเป็นคน ไม่เคยทำความดี ไม่เคยทำบุญ
เรียกง่ายๆ ไม่มีอะไรจะไประลึกถึงความดีของตนเอง หรือของผู้อื่นได้
อันนี้ก็เรียกว่า โคม่า... คงต้องเสวยกรรมของเขาไปเรื่อยๆ น่ะครับ

ขอเตือนว่าเวลาอุทิศส่วนกุศล "ไม่ต้อง" เรียกเขามานะครับ...เราไม่รู้สภาพของเขา
มิเช่นนั้น เกิดเป็นอสุรกาย มาพร้อมกลิ่นซากศพคลุ้งไปทั่ว
แล้วจะวุ่นวายกันใหญ่ ถ้าเรียกเขาแล้วส่งกลับไม่ได้ลุ่ะ ยุ่งเลย..
ปล่อยให้เป็นไปตามกลไก ของการนำส่งส่วนกุศล จะดีกว่า
#64
ความจริง การสวดมนต์ เป็นอุบายในการเจริญสติอย่างหนึ่ง
เนื่องจากคนส่วนมาก มักสวดๆ ไป ก็แว๊บ ไปคิดนั่น คิดนี่้
ปากก็สวดนะ.. แต่ใจแว๊บไปแล้ว บ่อยๆ ... เรียกว่า "สวดด้วยกระดูกสันหลัง"
เมื่อรู้ตัวบ่อยขึ้นว่าเผลอ ก็แสดงว่า มีสติดีขึ้นเรื่อยๆ

บางท่านก็แก้วิธีสวดด้วยกระดูกสันหลัง ด้วยการหาบทยากๆ มาสวด
จะได้ตั้งใจจดจ่อ มีสมาธิ และรู้ตัว อยู่กับการสวดมนต์นั้น
เป็นวิธีฝึกสติ อย่างหนึ่งน่ะครับ

มนต์บางบท ก็สามารถสวดใส่ทำนองได้เช่นกัน
จะแปลกอะไร หากคุณเสือจะโซโล่กีตาร์ หนเล่นพิณ ไป สวดมนต์ไป
หากวิธีนี้ มันทำให้คุณเสือไม่ง่วง มีสติ ไม่พลั้งเผลอ
ดีดผิดคีย์ สวดผิดคำ คอร์ดมั่วไปมา ไม่รู้อันไหนก่อน-หลัง

ที่สำคัญ เวลาสวด และดีดพิณ นั้น.. ก็ต้องมีสติ
รู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ รู้กลางๆ เป็นคนดู...สติ คือ รู้ตาม ไม่ใช่รู้่ก่อน จ้อง หรือ ดักไว้

หากทำได้อย่างนี้ คือ มีสติที่เป็น "สัมมาสติ" แล้วล่ะก็
จะตีลังกา ทำกายกรรม ยิมนาสติก โซโล่ฮาร์ดร๊อค ก็สวดไปเถอะครับ...

ผมเคยได้ยินว่า ในสมัยพุทธกาล มีผู้บรรลุธรรม ด้วยพิจารณาความไม่เท่ากัน
ของเสียงดนตรี จนบรรลุเป็นพระอริยบุคคลมาแล้ว..
คือ ท่านไม่ได้ตั้งใจจดจ่อ ว่า ต้องจ้องความไม่เท่ากัน แต่เขาดูด้วยใจเป็นกลางๆ ว่า..

เสียงที่ได้ยิน น้ำหนักที่ลงไป มันไม่เท่ากัน
(ท่านคงเป็นศิลปินไม่น้อย ถึงมีใจแนบแน่นกับเสียงดนตรีมาก)
เมืื่อเห็นไตรลักษณ์ในเสียงที่ตนรัก ชอบ ผูกพัน แนบแน่น..ก็คลายความยิดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ถอดถอนความยิดถือในกาย ในใจ ออกเสียได้ ด้วยเหตุจากการ "รู้จักฟังเสียง" อย่างถูกวิธี นั้นเอง
แสดงว่า ท่านผู้นี้ มีสมาธิ และปัญญากล้า มาก...

บางท่าน พิจารณาความเปื้อนของผ้าเช็ดหน้าสีขาว แล้วเห็นไตรลักษณ์ ประจักษ์แก่ใจ
ก็ส่งผลให้บรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้เช่นกัน
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ปัญญาจะจำแค่บทอิติปิโส ท่อนเดียว ยังทำไม่ได้

มันก็แล้วแต่จริตของคนน่ะครับ ว่า ใครถูกกับอะไร ใครทำอะไรแล้วสติเกิดบ่อย

คุณเสือจะดีดพิณ ก็ทำไปเถิด หากอยากบูชาพระรัตนตรัย และเทพพรหม ด้วยความจริงใจ
แต่ให้ทำด้วยมีสติ เป็นกลางๆ สักวัน อาจเห็นไตรลักษณ์ขึ้นในใจ จากเสียงพิณที่ดีดก็เป็นได้


ระวังแค่ อย่าดีดๆ ไป ร้องๆ ไป จะเผลอไปร้อง "ออกลายมาเล้ย ออกลายให้เห็น"...ก็ละกานน....
เพราะหากเป็นเช่นนั้น "นรก" รออยู่รำไร เพราะเป็นโมหะครอบงำ อย่างเมามัน... เกิดขาดใจตายตอนนั้น ไม่ไปดีแน่.. หรือหากสะสมความ "เพลิดเพลิน" เช่นนั้นบ่อยๆ ก็คือสะสมอกุศลบ่อยๆ

ตอนจะตาย มันก็จะมารวมกันเป็นอารมณ์ หรือนิมิต นำเกิด ตาม "โมหะ" ที่สะสมไว้ นั่นเอง
#65
อาจมี แต่ก็ต้องไปดูเป็นระยะๆ นะครับ
บางที แถวพาหุรัด ก็มี.. แล้วแต่ช่วงครับ

ส่วนวัดทำพิธีให้ไหม?...เท่าที่ทราบ...
เขาเจิมให้นะครับ แล้วก็เอาไปอาราตีหน้าเทวรูปพระแม่
เรื่องสรงน้ำปัญจอำมฤต หรือสวดอะไรยาวๆ คงไม่ได้ทำครับ

จะให้เขาเจิมให้ ต้องเป็นพระที่บูชาจากวัดเท่านั้นครับ
#66
ความจาก พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร
(www..mahaparamita.com)
ตอนหนึ่งว่า...


...ครั้นแล้ว พระโลกนาถเจ้าพระองค์นั้นจึงทรงเจริญสมาธินามว่า สรวสัตวทุกขภินทนา
แล
เมื่อเข้าสู่สมาธิแล้ว พระพุทธอุษณีษ์ (หรือ อุณหิสในบาลี หมายถึงกรอบหน้าพระพักตร์,
ก้อนพระมังสะหน้าพระเศียร ซึ่งเป็นอาการหนึ่งในอาการ ๓๒ ของพระพุทธเจ้า โดยมากทำเป็น
เปลวเพลิง แสดงถึงพระปัญญาอันรุ่งโรจน์ ประติมากรรมฝ่ายมหายาน บางแห่งทำเป็นก้อนพระมังสะ
งอกขึ้นมาเหนือพระนลาตขึ้นไปเล็กน้อย)
ได้บังเกิดมหารัศมีโอภาสสว่างไสว
ในระหว่างรัศมีนั้นแลได้ตรัส
มหาธารณีว่า...

นโม ภควเต ไภษชฺย คุรุ ไวฑูรฺย ปรภา ราชาย
ตถาคตาย อรฺหเต สมยกฺ สมพุทฺธาย
ตทฺยถา
โอม ไภษชฺเย ไภษชฺเย ไภษชฺย สมุทฺคเต สฺวาหา


เมื่อเพลาที่ตรัสมนตรานี้หว่างรัศมีอันโอภาสแล้ว มหาปฐพีดลก็กัมปนาทสั่นไหว
บังเกิดเป็นมหารัศมีรุ่งเรืองไปทั่ว บรรดาโรคาพาธของหมู่สัตว์ทั้งปวงได้สูญสิ้น
ได้รับความผาสุกสวัสดีโดยทั่วกัน


ดูก่อนมัญชุศรี หากพบชาย หญิงผู้มีทุกข์จากโรค พึงมีจิตแน่วแน่ให้ผู้ป่วยไข้นั้น
ชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เป็นนิจ นำอาหาร โอสถ หรือน้ำที่ปราศจากสิ่งสกปรก
เสกด้วยคาถานี้ ๑๐๘ จบ พร้อมกับอาภรณ์และอาหารนั้น บรรดาทุกข์แห่งโรคก็จักดับสิ้นไป

หากปรารถนาสิ่งใด แล้วภาวนาสาธยายด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้
ย่อมบรรลุได้ตามประสงค์ทุกประการ จักเป็นผู้ไร้โรคาพาธเบียดเบียน อายุสิริวัฒนา

เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วในภายหลัง จักไปอุบัติยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น
มิเสื่อมถอยย้อนกลับตราบจนถึงพระโพธิญาณ...
#67
เป็นไอเดียร์ที่ดีนะครับ..
แต่หวังว่า จะไม่มีเทวรูปหลายองค์มากนัก
เพราะอาจยุ่งยากได้...

การที่เอาเทวรูป แล้วลอยอยู่บนน้ำ ผสมน้ำหอม และดอกไม้นั้น
ก็ืถือว่า เป็นการสักการะบูชาอย่างหนึ่ง ให้ตั้งจิตทำเป็นการบูชาไปได้เลยครับ

แต่ อย่าลืม เปลี่ยนน้ำ และเปลี่ยนหรือทำความสะอาดดอกไม้บ้าง..
หากใช้ดอกไม้พลาสติก ดอกไม้ผ้า หรือเทียนหอม ก็เอามาล้างบ้าง
แต่ถ้าลอบดอกไม้สด แนะนำว่า อย่าลอยไว้เกิน 1 วัน ครับ มันจะเน่า

มิเช่นนั้น แทนที่จะมีมด อาจมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในน้ำก็ได้ ครับ
#68
ปกติ ผมไม่จุดตะเกียงตลอดเวลานะครับ อาจเกิดอันตรายได้
แนะนำว่า หากต้องการจุดตลอดเวลา ให้ใช้ตะเกียงไฟฟ้า
จะเป็นตะเกียงแก้ว ก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ราคาสูงหน่อย
แต่ก็ปลอดภัยเรื่องฟืนไฟ และไม่ต้องเติมน้ำมัน เปิด-ปิด สะดวก

หากจะอาราตี ผมใช้น้ำมันมะพร้าวหีบเย็นครับ
น้ำมันมะพร้าวหีบร้อน ไม่ค่อยมีขายในกรุงเทพฯ ครับ

น้ำมันมะพร้าวหีบเย็น เป็นพวกน้ำมันที่ใช้ทาตัว ทาหัว
ขายตามห้างก็มีครับ มันแพงหน่อย แต่ควันน้อย..
ก็แค่ ตัดปลายสำลีนิดหน่อย
แล้วอย่าให้มันดึงน้ำมันมากเกิน..เติมๆ บ้าง

ส่วนน้ำมันมะพร้าวหีบร้อน ได้ยินว่า แถวอำพวามีแยะ และถูก
แต่ไม่แน่ใจว่าควันเป็นอย่างไร น้อย หรือมาก

อีกอย่าง เพื่อความประหยัด.. ก็เติมกี ผสมเข้าไปครับ
ไม่อย่างนั้น มันจะสูบน้ำมันมะพร้าวมากเกิน ทำให้เปลืองครับ

ผมเคยลองใช้กี..ผมว่า ควันแยะกว่าน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น หลายเท่า
และน้ำมันพืช ผมว่า มันหืน หน่อยนะครับ ได้กลิ่นไม่ค่อยดี

อ่อ เกือบลืมบอกไป..
น้ำมันใสๆ ขายเป็นแกลอน ไม่ใช่น้ำมันมะพร้าวนะครับ
เขาเรียก น้ำมันแก้ว หรือ น้ำมันตะเกียงแก้ว
ควันมากน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของใส้ตะเกียง
และความยาวของใส้ตะเกียง ครับ
แต่ผมใช้แล้ว ไม่ชอบ เพราะควันแยะ..
แถมยังต้องไปไกลถึงวัดราชนัดดา หรือพาหุรัด

รวมค่าเดินทางแล้ว ยอมซื้อตะเกียงไฟฟ้าสวยๆ ดีกว่า
แล้วอาราตีด้วยน้ำมันมะพร้าว ผสมกี..
มีเคล็ดลับว่า ให้ชุบสำลีด้วยน้ำมันมะพร้าวก่อน
เมื่อไหม้ไปซักนิด ค่อยเติมกีลงไป.. ควันจะน้อยครับ
ถ้าเริ่มด้วยกี ควันแยะ ครับ..

อีกอย่าง ขึ้นอยู่กับชนิดของสำลีด้วยครับ
สำลีถูกๆ ห่อสีแดงๆ ดีนะครับ สำหรับปั้นเพื่อทำอาราตี..
ส่วนสำลีแพงๆ ไฮโซ นั้น ผมลองใช้ดูแล้ว ทำให้ควันแยะมากๆ ครับ
#69
ผมเองก็ไม่ได้ไปพาหุรัดบ่อยนัก
แต่สำหรับร้านเดวี เธอมีเทวรูปบางองค์สวยดีจริง
ที่เคยเห็น เป็นมาริอัมมัน 4 กร.. หน้าตาใช้ได้..
ราคาสูงสักนิด...ถ้าเป็น 8 กร (และหน้าดุ มีเขี้ยว)
จะเลิศมาก
(ตอนนี้ ไม่แน่ใจว่ามีแบบ 8 กร ออกมารึยัง?)
#70
ผมเคยได้ยินว่า ราธา เป็นหญิงที่มีสามีแล้ว
แต่มารักกับพระกฤษณะ.. จนกลายเป็นไอดอล
ของความรักในศาสนาฮินดู คู่หนึ่ง
ที่เรียกว่า โ่ด่งดัง ยิ่งใหญ่กว่าคู่ของพระศิวะกับพระนางปรวตี เสียอีก..

แต่การที่นางมีสามีแล้ว แม้จะรักมั่น รักจริงเพียงใด
ไม่ถือว่าผิดหลักศาสนาเหรอครับ...

ถึงจะเคยได้ยินว่า...
ราธาแต่งงานเพราะเห็นแก่พ่อแม่
แต่ในใจของนางมีแต่พระกฤษณะ..
เช่นนี้ ไม่เข้าตำรา "เป็นชู้" หรอกหรือ

ตอนที่รักกับพระกฤษณะอย่างเป็นทางการ
นางได้ไป "เลิก" กับสามี ของนางหรือยัง..??

และพระกฤษณะเอง ก็มีนางโคบาล มากมาย มาหลงใหล
ไม่แน่ใจว่า นางทั้งหลายเหล่านั้น มีสามีแล้ว หรือยัง
หากมีแล้ว ยังมาหลงใหลได้ปลื้มกับคนอื่นอีก ก็ถือว่า "นอกใจ"
แล้วการที่ยินดีให้คนอื่นนอกใจ ผิดหลักศาสนาหรือไม่??

ไม่ได้ลบหลู่พระพระเป็นเจ้าที่ Popular ที่สุดในอินเดียนะครับ
แต่ขอความกระจ่างในประเด็นนี้ด้วยครับ
มิเช่นนั้นแล้ว ผู้คนในสังคม จะพากันเอาเยี่ยงอย่างไปแบบผิดๆ

ขอให้ท่านผู้มีึความรู้ ช่วยไขข้อข้องใจประเด็นนี้ด้วยครับ

ขอบคุณครับ
#71
ขอเรียนถามผู้รู้ทุกท่าน ว่า...
มีวันที่บูชาองค์วิษณุนารายณ์ โดยเฉพาะ
ที่คล้ายๆ กับ ศิวะราตรี ที่บูชาองค์ศิวะมหาเทพ โดยเฉพาะ
บ้างมั้ยครับ...???

ขอคำแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณครับ
#72
โอววว... น่าสนใจมากกกกกกกกกกกก
แต่..ไม่มีหัวด้านนี้เรย...อ่านแล้ว สมองไม่โหลดเก็บไว้เลยอ่ะ

เอาไว้ รออ่านหนังสือของคุณกาลปุตราดีกว่าครับ
หนังสืออกเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกกันด้วยนะครับ
#73
"...ตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ ที่จะประพฤติตัวปฏิบัติงานให้เต็มกำลังความสามารถ
โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา
กล่าวคือ จะคิดจะทำสิ่งใด ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง..."

ขอบคุณ คุณอักษรชนนี มากครับ ที่ช่วยนำมาโพสให้ดูกัน
ก็ขอให้ได้รับพร จากทุกๆ พระองค์ โดยถ้วนหน้ากัน นะครับ


  [HIGHLIGHT=#ffffff]...สวัสดีปีใหม่ 2553 แด่ชาว HM ทุกท่าน ครับ...[/HIGHLIGHT] 
#74
อืม เพิ่งเห็นนะเนี่ย ว่า..
เขาปั้นพระแม่สุรัสวดี มีกล้ามท้องด้วยแหละ..
ในปฏิมากรรมแบบอินเดีย ท่านออกจะอ้อนแอ้น...งดงาม
นี่เป็นเวอร์ชั่นแรก ทีเ่ห็นกล้ามท้องของพระสุรัสวดี เป็นแพ็คๆ ชัดเจน
...แปลกดีครับ !!!
#75
มีคนบอกผมว่า...
ไข่ไก่ ที่ชาวฮินดู ไม่ให้ถวายเทพเจ้านั้น
เป็นเพราะเขาว่า ไข่ออกมาจาก "ก้น" ถือเป็น "ของต่ำ" ครับ
ไม่เกี่ยวกับว่ามีชีวิต หรือไม่มี อยู่ีในไข่ใบนั้นครับ

สำหรับเรื่องอาหารเจ หรือ มัง

มังสะวิรัติ หมายถึง การ "งดเว้น" อาหารใดๆ ที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ ทุกประเภท
ดังนั้น ไข่ ทุกชนิด ถือเป็นสิ่งที่ได้จากสัตว์ จึงไม่ถือว่ามังด้วยประการทั้งปวง
มีอย่างเดียว ที่ยกเว้น คือ หอยนางรม และผลิตภัณฑ์จากหอยนางรม
แต่ปัจจุบัน ก็มี ซอสเห็ดหอม คนกินเจ และมัง จึงนิยมใช้ซอสเห็นหอมเป็น่ส่วนใหญ่แล้วครับ

ส่วนอาหารเจ นั้น มีข้อปลีกย่อย มากกว่า มังสะวิรัติ
เช่น ห้ามเครื่องเทศ หรือ ผักบางอย่าง ที่อาจช่วยกระตุ้นกำหนัด เช่น หอม กระเทียม เป็นต้น
แม้แต่กะทะ ตะหลิว จาน ชาม ก็ต้องแยก ไม่ใช้ปะปนกับอาหาร ช เลย...(ถ้าถือเคร่งนะครับ)

อีกประการหนึ่งนะครับ

พระโพธิสัตว์ เราควรเอ่ยพระนาม หรือเรียกท่านให้ถูกต้องครับ
ผู้ที่เคร่งครัด หรือผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนามหายาน จะไม่เรียกท่านว่า "เจ้าแม่"
เพราะจะไปเปรียบกับ "เจ้าแม่นั่น เจ้าแม่นี่" เช่น เจ้าแม่ตะเคียนทอง เป็นต้น
ซึ่งเป็นวิญญาณ หรีือเทพ ชั้นต่ำ

เพราะเขาถือว่า พระโพธิสัตว์ชั้นผู้ใหญ่ ระดับพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม หรือ
พระอวโลกิตเศวรมหาโำพธิสัตว์นั้น มหายานเขาให้เกียรติ และให้ความสำคัญแด่ท่าน
ยิ่งกว่าพระอรหันต์ เสียอีกนะครับ ดังนั้น จึงควรใช้คำเรียกท่านว่า "พระโพธิสัตว์"
จะถูกต้องที่สุดครับ ส่วนใครจะใส่ "มหา" หรือ "บรม" นำหน้า ก็แล้วแต่ครับ

เพราะพระโพธิสัตว์ ก็มีหลายระดับ ลดหลั่นกันลงไป ตามลำดับกำเนิด และบารมีธรรม
เช่น พระอนุโพธิสัตว์ (พวกกุมาร หรือ กุมารี โพธิสัตว์)
    พระมหาโพธิสัตว์ (เช่น พระอากาศครรภ์โพธิสัตว์)
และ พระบรมโพธิสัตว์ (เช่น พระศรีอริยเมตตรัย ที่บารมีเต็มแล้ว รอการมาตรัสรู้ เท่านั้น)

แม้คำว่า "เจ้าแม่อุมา"
โดยส่วนตัว ผมก็เห็นว่า ควรขานพระนามท่านว่า "พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี"
เพราะคำว่า "พระแม่" ใช้กับเทพชั้นสูง ไม่ใช่ "เจ้าแม่" "เจ้าพ่อ"
ซึ่งเป็นเทพที่ต่ำกว่า "พระมหาเทวี" แห่งจักรวาล ซึ่งเป็น "มหาศักติ"
ที่ไม่เป็นรองพระศักติ พระองค์ใด เช่นท่าน ครับ
ทั้งนี้ รวมถึง พระมหาศักติเทวี ทุกพระองค์ ก็เช่นกัน

หากไม่ทราบ ไม่เจตนา ขานพระนามท่านพลาดพลั้งไป ก็คงไม่เป็นไร
แต่หากทราบแล้ว ก็ไม่ควรลดทอนพระเกียรติของท่าน ครับ
#76
คำว่า "เจอพระพุทธเจ้่าที่ไหน ให้่ฆ่าทิ้ง"...
ตามที่ผมเข้าใจ จากคำสอนของครูอาจารย์สายพระป่า
ไม่ได้มุ่งถึงการมุ่งเน้นถึงสิ่งที่รูปลักษณ์ภายนอก เช่น พระพุทธรูป
แต่มุ่งเน้นที่จะกล่าวถึง "ภาวะของใจ หรือจิต" ในฐานะที่เป็น "จิตผู้รู้" ว่า

"ความเป็น" พุทธะ คือ "จิตผู้รู้" นั้น เปรียบเหมือนเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะยังสังวรเสมอว่า "มี" จิตผู้รู้ อยู่

อันเป็นสิ่งที่แม้แต่พระอนาคามี หรือ พระโพธิสัตว์ชั้นสูง ยัง"ยึด"อยู่
เป็นสิ่งสุดท้าย ที่ต้องละ (สลัด) ออกให้ได้
จึงจะตัดสังโยชน์ 5 ประการสุดท้าย ออกไปพร้อมกันหมด
บรรลุซึ่ง อรหัตผล นั่นเอง

คือ แม้แต่จิต ของตนเอง ก็เห็นว่า เป็น อนัตตา ไม่ "ยึด"อีกต่อไป
สลัดคืน ความยึดมั่นนี้ได้ ก็จบกัน

เปรียบเหมือนละ "ความเป็น" พุทธะ (หรือ "ผู้รู้" - พระพุทธเจ้า)
ได้นั่นเอง แต่เขาใช้คำพูดว่า "ให้ฆ่าทิ้ง" ซึ่งโดยนัยะ ก็คือ
"ทำลาย" หรือ "ละ" หรือ "สลัดทิ้ง" นั่นเอง

มิใช่ตั้งใจจะบอกเพียง "รูปลักษณ์" ภายนอก เท่านั้น
#77
ขอให้ทำความเข้าใจเบื้องต้นเสียก่อนว่า..
พุทธมหายานนั้น ไม่ว่าลัทธิหรือนิกายใด จะนับถือพระโพธิสัตว์เป็นหลักสำคัญ
เขาไม่ได้ลดความสำคัญของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
แต่ให้ความสำคัญกับพระโพธิสัตว์ต่างๆ มากกว่าพระพุทธเจ้า..
ในฐานะที่ผู้คน สามารถเข้าถึงพระโพธิสัตว์ ได้ง่ายกว่าพระพุทธเจ้า
และยังปาวรนาาตนเป็นผู้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ด้วยปณิธาณฝืนโลก ที่แตกต่าง กันออกไป

และพระโพธิสัตว์ในมหายานบางนิกาย ได้รับเกียรติในบางกรณี สูงกว่าพระพุทธเจ้าเีสียอีก
แต่โดยรวมแล้ว พระโพธิสัตว์จะให้เกียรติแก่พระพุทธเจ้ากว่าตนเองเสมอ
กรุณาอย่าเชื่อคัมภีร์อะไรใดๆ ให้มากนัก เพราะพระสูตรทั้งปวง มนุษย์เป็นผู้แต่ง
ไม่มีใครรู้สภาวะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทิพยภาวะแบบไหน
แต่เมื่อต้องการโปรโมทลัทธิความเชื่อของตน คันภีร์ และพระสูตร จึงกลายเป็นเครื่องมือ
ที่ลัทธิ นิกาย เหล่านั้นใช้ เรียกว่า "ใส่คำพูดลงไปในพระโอสถ์ของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์" นั่นเอง


ใครเกิดจากใคร ก็เขียนกันไปได้ทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่า ต้องการให้ความสำคัญกับบุคคลใดมากเป็นพิเศษ


ขอให้ทำความเข้าใจอีกอย่างว่า คำว่า "พระโพธิสัตว์" แบบแถรวาท และมหายาน นั้น ต่างกัน
มีวิถีการบรรลุธรรม หรือเป้าหมาย ที่ต่างกัน...เพียงแต่มีบางส่วนคล้ายกัน

พระโพธิสัตว์ของเถรวาท เป็นผู้บำเพ็ญบารมี เพื่อต้องการเป็นพระพุทธเจ้า ประเภทใดประเภทหนึ่ง
การโปรดสัตว์๋ มีความจำกันบางประการ เช่น โปรดได้เฉพาะผู้เคยร่วมบารมีกันมาเท่านั้น
หากนอกนั้น ต้องอาศัยว่า สัตว์เหล่านั้น เคยมีบารมีกับสาวกของท่านมาหรือไม่ ก็โปรดต่อๆ กันไป
เมื่อทรงตั้งศาสนาแล้ว หมดอายุของพระศาสนา ก็จบหน้าที่

ส่วนพระโพธิสัตว์ของมหายาน มักเกิดจากพระญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นส่วนใหญ่
บางพระองค์ ไม่เคยเป็นมนุษย์เลยก็มี.. แต่ส่วนใหญ่ ก็มาเกิด หรือแบ่งภาค หรืออณูมาบำเพ็ญ ในลักษณะต่างๆ
พระโพธิสัตว์เหล่านี้ จะตั้งปณิธานฝืนโลก คนละข้อ...เป็นอย่างน้อย
เช่น จะโปรดสรรพสัตว์ จนกว่าจะหมดโลก  จะโปรดสรรพสัตว์ จนหมดขุมนรก
จะอาราธนาธรรม ขอให้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์โปรดสรรพสัตว์ และขอฟังธรรมจากรพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
อย่างนี้แล้ว หน้าที่ของพระโพธิสัตว์เหล่านี้ จึงไม่มีวันจบสิ้น เพราะสิ่งที่ตั้งเอาไว้ เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมด หรือจบ

ยิ่งกว่านั้น พระโพธิสัตว์ของมหายาน ไม่ปารถนาเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือลงมาตั้งพระศาสนา
แต่ปารถนาช่วยเหลือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่จำกัดว่า จะอยู่ในขอบอายุของพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดหรือไม่
ดังนั้น พระโพธิสัตว์เหล่าี้นี้ จึงอยู่ยั้งยืนยง ผ่านกาลเวลาของพระพุทธเจ้ามาแล้วนับพระองค์ไม่ถ้วน ก็อาจมีได้

แต่ก็มีปรากฏในพระสูตรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าของมหายาน
กล่าวถึงปณิธานของพระพุทธเจ้าเฉพาะพระองค์ ว่า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ทำอะไร อย่างไร มาบ้าง
แต่ก็ส่งเสริมให้สาธุชน บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยา มากกว่าอย่างอื่น...

นอกจากนั้น ในแนวคิดแบบมหายานยัง มี "พุทธเกษตร" เป็นล้านๆ ประมาณมิได้ ยิ่งกว่าเมล็ดทรายในมหาคงคานที
อันเป็นแดนของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ จะใช้โปรดสรรถสัตว์ ให้ไปเกิด ณ พุทธเกษตรนั้นๆ
ตามแต่ลักษณะการบำเพ็ญบารมี และความตั้งใจของสัตว์นั้นๆ จึงเป็นสิ่งที่เกินเถรวาท ออกไป

ถามว่า การตั้งบูชารวมกันได้ไหน ตอบว่าได้...
อย่างรูปที่เห็นในรีข้างบน หากนับถือพระโพธิสัตว์เป็นหลักมากกว่าพระพุทธ ก็ถือว่า ไม่ผิด
แต่หากนับถือพระพุทธสูงกว่าพระโพธิสัตว์ ก็ถือว่า ไม่เหมาะ ควรแยกพระกวนอิมองค์ใหญ่ ออกไปต่างหาก
แต่หากเป็นไปได้ ก็ควรตั้งแยก ตามลัทธิ นิกาย เพื่อความเหมาุะสม
ทั้งการสัการะ การถวายของบูชา และความสบายใจ

พระโพธิสัตว์ ทุกลัทธินิกาย จะไม่ยืนค้ำพระเศียรของพระพุทธเจ้า
แม้ลัทธิ นิกายนั้นๆ จะถือพระโพธิส้ัตว์เป็นใหญ่ รูปเคารพ ก็จะให้มีพระพุทูเจ้าลอยอยู่ด้านบน
แสดงว่า เป็นสาวก หรืออยู่ในมณฑล มันดาลา ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
แต่รูปใหญ่ คือ พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นๆ ..

มีเพียงกรณีเดียว ที่นำรูปพระโพธิสัตว์ประดิษฐานไว้เหนือเศียรของพระพุทธได้ ก็คือ
พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นๆ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ประเภท "พระอุษณีย์"
คือ ทรงกำเนิดจากรัสมี ของโหนกหน้าผาก
ที่ปัจจุบัน นิยมทำเป็นมุ่นไว้กลางพระเศียรของพระพุทธรูป....
ด้วยกำเนิด เกิดมาก็เกิดจากรัสมีที่อยู่เหนือพระเศียรอยู่แล้ว จึงให้ประดิษฐานไว้เหนือพระเศียร
ของพระพุทธรูปได้..เพียงกรณีเดียว นอกนั้น ไม่ว่าพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
ก็ต้องประดิษฐานไว้ต่ำกว่าพระพุทธเจ้า

และกรุณาอย่ายึดเอาอาวุธต่างๆ ของพระโพธิสัตว์เป็นสำคัญ
เนื่องจากพระโพธิสัตว์ ถึงจะเป็นฝ่ายปราบ ก็จะไม่มีจิตเข่นฆ่าใคร
หากต้องใช้บารมี ก็จะใช้เมตตาบารมีก่อน หากต้องใช้กำลัง ก็จะไม่ฆ่าไม่แกง
อย่างมาก็จองจำ ให้บำเพ็ญ หรือสำนึกผิด..

ดังนั้น อยากให้ท่านถืออะไร มนุษย์ก็ใส่เข้าไปในมือท่านเข้าไปได้ทั้งนั้น...!!!
ทั้งสื่อถึงปริศนาธรรม อำนาจ หน้าที่ และความนิยมตามยุคสมัย

ดังนั้น ความเชื่อว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นปางหนึ่งของพระแม่อุมา จึงยังคลุมเครือ
ด้วยลักษณะการบำเพ็ญบารมีของเทพ และของพระโพธิสัตว์นั้น แตกต่างกัน...
แต่พื้นฐานบางอย่าง อาจเหมือนกันบ้าง เช่น พรหมวิหารสี่ หรือการเจริญสมถะบางอย่าง
และโดยหน้าที่ ก็ต้องช่วยเหลือมนุษย์ เช่นเดียวกัน แต่อาจด้วยวิธี หรือแนวทางที่แตกต่างกัน

เทพ จะฆ่าอสูร ขว้างหอกไปปักอก ตายคาที่ ก็ทำได้ และถือว่า เป็นหน้าที่ที่้ต้องกระทำ
ถึงจะมีเมตตา แต่ด้วยหน้าที่ และการหักล้างพลังงานบวก และลบ ก็ต้องปฏิบัติ
แต่ก็ถือว่า "สร้างกรรม" อย่างไรก็ดีกรรมนั้น เป็นไปเพื่อความสงบสุข เป็นต้น...
ผลของกรรม จึงต้องมีให้แก้ไขกันอยู่เรื่อยไป

แต่พระโพธิสัตว์ จะไม่กระทำการอันเป็นการเข่นฆ่าสรรพชีวิต
ถึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายปราบ หากต้องกระทำการทำลายชีวิตใคร ก็ต้องพิจารณาแล้ว
ว่าจนจักต้องเสวยผลของกรรมวิบากนั้น แน่นอน...และปลงใจเสียก่อน แต่ก็แทบไม่ปรากฏเลย
เพราะหากเป็นการสังหารชีวิตขนาดนั้น ท่านมักไม่ลงมือเอง แต่เป็นหน้าที่ของเทพที่มีหน้าที่ในกรณีนั้นๆ
ดังนั้นแล้ว หน้าที่ของเทพ พรหม และพระโพธิสัตว์ จึงแตกต่างกัน อันนี้เป็นตัวอย่าง

ด้วยพระโพธิสัตว์หลายพระองค์ ย่อมมีความเมตตา มากล้น ยอมรับกรรมของสรรพสัตว์ทั้งปวง
บางคนบอกผมว่า อันนี้อาจคล้ายกับพระเยซู
แต่ พระเยซู ไม่มีจริยาในการบำเพ็ญบารมี 30 ทัส
เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ของหินยาน หรือมหายาน..
ท่านก็ดำเนินตามแบบของท่าน มีหลักการปฏิบัติ คำสอน และศาสนาของท่านเอง
ถือว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน เพียงแต่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ คล้ายคลึงกันเท่านั้น

ดังนั้น หากมองโดยภาพรวม พื้นฐานของศาสนาหลักๆ ของโลก
จะเห็นว่า ขอบข่ายของศีล 5 และเมตตาธรรม มีอยู่ในทุกศาสนาหลักๆ

และไม่น่าแปลกใจ ในลัทธิมหายาน ที่ต้องการเผยแผ่อิทธิพลเหนือดินแดนที่นับถือฮินดู และผีสางมาก่อน
ที่เทพ พรหม ฮินดู อาจหันมาปฏิบัตตน เป็นโพธิสัตว์ ด้วยอยากหลุดพ้น ตามแบบพุทธ
หรือเพื่อชำระอณู และกรรมของตน ให้หมดจด ตามวิถีพุทธ ก็อาจเป็นได้
ดังนั้น เทพเจ้าทั้งหลายฝ่ายฮินดู จึงถูกปรับเข้ามาเป็นพระโพธิสัตว์ธรรมบาล ในพุทธมหายาน มากมาย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าพระโพธิสัตว์แบบมหายาน โดยปรกติ จะนับถือ และเคารพพระพุทธเจ้า
แต่ด้วยความต้องการ (ของคน) ที่จะยกพระโพธิสัตว์ให้สำคัญกว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทเจ้าของมหายาน จึงไม่ถือเป็นที่สุด...แห่งการบรรลุธรรม
พระพูทธเจ้าของมหายาน ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจะเจกพุทธเจ้า ทุกประเภท
ก็ยังลงมาเกิดใหม่ เพื่อเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้อีก...
โดยอาจแบ่งภาค หรือลงมาเกิดหมดทั้งองค์ (จิตทั้งหมด) ก็ได้..

อันนี้ ผมก็งงๆ ว่า เช่นนั้นแล้ว การบรรลุธรรมสูงสุด จะหลุดพ้นจากวัฏฏะ ได้อย่างไร
เพราะขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังต้องมาเกิดใหม่ เป็นพระโพธิสัตว์อีก
เหมือนกับ Game Over แล้วกด Start ใหม่อีก ร่ำไป..แต่เขาบอกว่า เป็น "พระมหากรุณา"
แต่หากเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว แม้แต่ เมตตา-กรุณา อันเป็นลักษณะหนึ่งของธรรมฝ่ายกุศล
ก็ต้องเคลียร์หมด..เมื่อนิพพาน เพราะไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายกุศล หรือ ธรรมฝ่ายอกุศล ก็ยังถือเป็นสิ่งคู่
ธรรมทั้งปวงเป็น อนัตตา ยึดถือมิได้ (ให้ปล่อยวาง)...นั่นเอง (อันนี้ ความเห็นส่วนตัวนะครับ)

แต่ก็เป็นแนวคิด ที่ผู้ที่นับถือพระโพธิสัตว์แบบสุดๆ เอาไว้ยกข่ม พุทธศาสนา นิกายอื่น...
ซึ่งผมเองก็เคยได้ยินมากับตนเอง เช่น บอกว่า พระพุทธเจ้าที่เธอนับถือ เป็นพระพุทธเจ้าชาติเดียว
แต่พระโพธิสัตว์ที่ฉันนับถือ เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายหน (เหมือนจะบอกว่า แก่รอบการเป็นพระพุทธเจ้า
และมีบารมีทับถมหลายครั้งหลายหน) ปัจจุบันก็เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นต้น
ผมก็ไม่เห็นประโยชน์จะเีถียงเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่หลักธรรมใดๆ เลย เป็นเพียง "คติ" เฉพาะกลุ่ม เท่านั้น

ส่วนนิกายวัชรยาน เขามีแบบฉบับของเขาโดยเฉพาะ เท่าที่ทราบ ก็มีหลักสูตรชัดเจน
หากจะศึกษาจริงๆ ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงข้อวัตรปฏิบัติ อย่างเคร่งครัดเสียก่อน
อย่านับถือพระโพธิสัตว์องค์ใด เนื่องด้วยเห็นเพียงรูปปั้น รูปเครพ แล้วรู้สึกว่า "แรง" ถูกจริตของตน
เพราะอาจมีผลเสีย มากกว่าผลดี.. หรืแม้แต่บทสวดบางบท ก็ถือว่าสวดในบ้านไม่ได้ ต้อสวดกลางแจ้ง
เป็นต้น

พระโพธิสัตว์บางพระองค์ อาจยังมีจริตพื้นฐาน "แรง" และชอบใช้ฤทธิ์ ด้วยมาจากเทพ หรือ มาร
การบูชา การเชื่อมต่อ การปฏิบัติเพื่อการเข้าถึง และผนวก เป็นหนึ่งเดียวกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น
จึงถือว่า เป็นเรื่องที่ครูอาจารย์ ต้องใช้เวลาพิจาณาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อดูจริตของศิษย์
ตามแนวทางของวัชรยาน นี่เอง อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ลับ" ของเฉพาะบุคคล
เพราะบุคคลนั้นๆ อาจต้องฝึกแบบนั้นๆ จึงบรรลุ ก็เป็นได้...ไม่ใช่ใช้ได้กับทุกคน

ดังนั้น พระโพธิสัตว์ของวัชรญาณจะมีหลายแบบ หลายจริต
แต่จริตกลาง คือ "เมตตา" ตุ่อทุกสรรพสัตว์ ก็มีอยู่หลายพระองค์ที่อนุญาตให้ทุกคนบูชา และเข้าถึงได้
เช่นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (วัชรยานไม่มี "กวนอิม") พระตาราบางปาง เป็นต้น
จึงมีคนฝึกเพื่อเข้าถึง (ไม่ใช่เข้าทรง) คุณธรรม และกระแสธรรม ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มากกว่าพระองค์อื่น
เหมือนกับว่า ท่านเป็นคนช่วยพายเรือ ส่งเราให้ถึงฝั่งนั่นเอง...

ส่วน "กวนอิม" นั้น วัชรยานถือว่า เป็นภาคหรือปางหนึ่งของพระตาราเขียวโพธิสัตว์ (พระตารามีหลายสี หลายปาง หลายองค์)
และบางลัทธิย่อยของวัชรยาน ก็ถือว่า พระนางตาราโพธิสัตว์ กำเนิดจากน้ำตาของพระอวโลกิเตศวร
ที่หลั่งออกมาด้วยเมตตาสงสารสรรพสัตว์ นั่นเอง และมีบางความเชื่อกล่าวว่า น้ำตาของกวนอิม เกิดเป็นแม่คงคา
อันนี้ จะเห็นว่า เป็นลักษณะการให้ความสำคัญของบุคคล เป็นสำคัญ

ถึงแม้ วัชร ที่แปลว่า "สายฟ้า" จะหมายถึง "การบรรลุ ถึงปัญญา โดยฉับพลัน เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ"
แต่ก็ไม่ควรเอามาข่มคนอื่น ลัทธินิกายอื่น ว่า ด้วยกว่า ไม่แข็งแกร่ง และรวดเร็วเหมือนสายฟ้า
เพราะสรรพสัตว์ มีจริตมากมาย บางคนเรียนเร็ว บรรลุเร็ว บางคนเรียนช้า ก็บรรลุปริญญาเดียวกัน
หากเอาคนเรียนช้า ไปเรียนหลักสูตรเร็ว มันก็ไม่ได้ผล เอาคนหัวเร็ว ไปเรียนหลักสูตรช้า ก็เปล่าประโชยน์

บางคนจำตำราได้มาก พิจรณาแยบคายแล้ว จึงบรรลุตามขั้นตอน ก็มี
บางคน ไม่ชอบจำตำรา แต่เป็นคนช่างสังเกตุ มีสติว่องไว เป็นกลาง อาจบรรลุธรรมได้เร็ว ก็มี

หากจะกล่าวถึงการบรรลุธรรมเร็ว ในเถวรวาทก็มี...ในเซ็น ก็มี
และพระพุทธเจ้า ก็เป็นครู ที่ไม่ "อมความรู้" ไม่มีอะไร "ลับ" ในพระพุทธศาสนา

แต่พอมี "ลัทธิ นิกาย ลับ" ขึ้นมา ด้วยจุดประสงค์เริ่มต้นบางประการ ขึ้นอยู่กับจริตของคน
ก็เลยกลายเป็น "ความลับ" เหมือนเคล็ดวิชาลับในหนังจีน ต้องอยู่กับอาจารย์นานๆ และถ่ายทอดวิชากันแบบลับๆ
สร้างความน่าค้นหา เนื่องด้วยไม่ใช่พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ แต่เจือด้วยลัทธิ นิกายอื่น นอกพระพุทธศาสนา
แต่ก็จำเป็นต้องให้เจือ เพราะต้องการเผยแพร่หลักคำสอน ในแหล่งชุมชนวัฒนธรรมนั้นๆ

พอมาชั้นหลัง จึงแปรเปลี่ยนไป... และเป็นสิ่งที่เอามาพยายามล้มล้าง ว่า ลัทธิของตน ดีเด่นกว่าลัทธิอื่น
เพราะมีอะไร "ลับ สุดยอด"  ก็มีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน รหัสมือก็ลับ บทสวด หรือบริกรรมบางอย่าง ก็ลับ เป็นต้น

บางคนอาจอ้างว่า ก็ไปอ่านตำรามา เขาเขียนไว้ว่า พระพุทธเจ้า ทรงสอนรหัสมือ (มุทรา)
ให้กับพระเถระบางองค์ แล้วก็สืบต่อกันมา...
อันนี้ ต่อให้คนเขียนตำรา หรือคัมภีร์เอง ผมก็ไม่แน่ใจว่าเห็นกับตา หรือได้ยินกับหูหรือไม่
หากแต่หรัสมือนั้น อาจใช้โปรดสรรพสัตว์ได้จริง ก็เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา
ดีกว่าปัจจุบัน ที่มักนิยมชมชอบว่า ใครรำมือ (แสดงรหัสมุทรา) ได้งดงาม มีลีลาดีกว่ากัน แต่โดยถ่ายเดียว

จะเชื่ออะไร ก็ยึดหลัก กาลามสูตร จะดีกว่านะครับ

ดังนั้น เรื่องลัทธิ นิกาย จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่เอามาข่มกัน ดังเช่นในปัจจุบัน

การตั้งรูปเคารพ สมควรพิจาณาให้ดี
เรานับถือลัทธิ นิกายใด เป็นหลัก
การตั้งรูปเคารพของเรา ควรมีพระองค์ใดบ้าง เพราะอะไร
ด้วยเหตุปัจจัยของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงฟันธงไม่ได้ว่า แบบไหนถูก หรือผิด

"ตั้งหลัก" ใ้ห้ได้ก่อน ศึกษาให้ถ้วนถี่
อย่าตามกระแส หรืิอเพราะ "ฉันชอบ แรงดี"
หรือ "บูชาแล้วเฮ็ง แน่ๆ" (ใครจะมาการันตี ใ้ห้เหรอครับ)
แต่ควรศึกษาให้เคลียร์ๆ ถึงที่มาที่ไป ความเหมาะสมกับภาวะตนเอง

จะบูชาอะไร องค์ไหน เพื่ออะไร เพราะอะไร อย่างไร
ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้เคลียร์หมดแล้ว
เชื่อว่า แค่วิธีจัดโต๊ะหมูู่บูชา ก็คงไม่เป็นปัญหาหรอกครับ
#78
ผมเห็นด้วยกับคุณ Naga ว่า ถ้าเป็นไปได้ ก็แยกหิ้งพระพุทธไปเลย
วิธีง่ายๆ ถ้าไม่มีโต๊ะหมู่ ก็ให้ซื้อหิ้งลอย ที่ติดกับผนัง เพื่อใ้ช้ตั้งพระพุทธ กับพระโพธิสัตว์กวนอิม ก็ได้ครับ

สำหรับพระโพธิสัตว์กวนอิม..ถึงเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายาน
ผมเห็นว่า ถ้าจำเป็นก็สามารถตั้งรวมกับพระพุทธไทยได้ครับ
เพราะความเป็นพุทธะ ไม่แตกต่าง แค่ต่างกันด้วยลักษณะของพระพุทธปฏิมา เท่านั้น
เพียงแต่ตั้งม้าหมู่เสริม ให้พระพุทธสูงกว่าพระโพธิสัตว์ ก็ใช้ได้ครับ หากจำเป็น

คนจีน ก็ตั้งพระพุทธรูป บูชาร่วมกับพระโพธิสัตว์เป็นปกติครับ
เช่น พระพุทธอมิตาภะพุทธเจ้า อยู่ตรงกลาง เป็นประทาน
ข้างขวา คือ พระโพธิสัตว์กวนอิม ข้างซ้าย คือ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์
อย่างนี้เรียกว่า ตั้งบูชา ตามลัทธิ "สุขาวดี"

หรือ บางคราว จะเห็นว่า ตั้งพระพุทธศรีศากยมุนี (พระสมนโคดม) ไว้ตรงกลาง
ด้านซ้าย เป็น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ด้านขวา เป็น สมัตภัทรโพธิสตว์ เป็นต้น

ส่วนเรื่องของการถวายของบูชานั้น ศาสนาพุทธ ทุกนิกาย รวมถึงศาสนาฮินดู
ผมเห็นว่า สามารถตั้งเครื่องบูชาได้ครับ...แต่จะเป็นผลไม้ น้ำสะอาด และของมังสะวิรัต หรือเจ เท่านั้น

คนจีัน จะตั้งเครื่องบูชา พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าต่างๆ ไว้เป็นปรกติ
ทั้งคนจีน และคนไทย ถวายข้าวบูชาพระพุทธ ด้วยถือว่าเป็นพุทธานุสติ

การประกอบพิธีกรรมของจีน ก็ใช้ข้าวใหม่ ขึ้นหม้อ ตักใส่ชาม จัดอย่างงดงาม
รวมถึงเครื่องถวายมากมาย ล้วนแต่ของเจ จัดด้วยความประณีต
แม้แต่วุ้นเส้น ยังสานเป็นตาข่ายทีละเส้น เป็นชุดชุด ถวายเป็นเครื่องสักการะบูชา
แด่พระพุทธ พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าทั้งปวง ทีั่เชิญมาในพิธีบวงสรวง
ถ้าอยากเห็นว่าเขาจัดกันอย่างไร ให้ไปดูตามพิธี "ก๊งชูเทียน"
หรือ ภาษาไทยเรียกว่า "พิธีบูชาเทพธรรมบาลโพธิสัตว์" ตามศาลเจ้าใหญ่ๆ ครับ
เขาจะจัดเครื่องบูชาไว้อย่างอลังการ ครบครัน ไฮโซยิ่ง

หากจำเป็น ต้องตั้งหมู่เดียวกัน ก็ถวายเครื่องสังเวยเทพได้ปกติ ครับ
เพียงแต่ขอแยกสำรับ สำหรับพระพทธ และพระโพธิสัตว์ อีก 2 ชุด เล็กๆ ก็ได้
ประกอบด้วย น้ำสะอาด และผลไม้ เป็นหลัก

สำหรับขนมที่ผสมไข่ ถือว่า ไม่มัง ไม่เจ
แต่สำหรับคนไทย มีขนมที่มีส่วนผสมของไข่ มากมาย และมีนามมงคล
นิยมใช้เป็นเครื่องสังเวยเทพชั้นสูง มาแต่โบราณ
แม้แต่พราหมณ์ไทย ก็บูชาด้วยสิ่งนี้มานานแล้ว

แต่หากถือคติฮินดูเคร่งครัด ก็ไม่ควรถวายขนม ที่มีส่วนผสมของไข่นะครับ

สำหรับนมนั้น ทั้งไทย จีน ฮินดู ถวายเป็นนมถั่งเหลืองสูตรเจ ใช้ได้หมดครับ
เพราะทางจีน ไม่ขึ้นนมวัว แต่ฮินดู ขึ้นนมวัว
ส่วนนมถั่วที่สูตรไม่เจ มีส่วนผสมของนมวัวผง อยู่นะครับ

หากท่านใดมีสูตรเฉพาะในการถวายของบูชา และจัดหาได้ตามนั้น ก็ดีครับ

แต่สำหรับท่านใดที่ไม่สะดวก ก็ใช้วิธีง่ายๆ ครับ คือ

น้ำสะอาด 

น้ำมะพร้าวอ่อน เฉาะหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเฉาะ (แบบไทย)
หรือ มะพร้วแก่ ถวายทั้งผล ไม่เฉาะ (แบบฮินดู)
บางคนถวายน้ำมะพร้าวเผา ก็มีบ้าง ครับ

น้ำมะพร้าวอ่อน เป็นที่รู้กันว่า เป็นน้ำมหาผล
ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ เกิดเอง ในผลของต้นไม้
และทางชีวจิต ก็ถือว่า เสริมกำลังด้วย ครับ

สำหรับน้ำมะพร้าวแก่นั้น ฮินดูบางลัทธิ
นอกจากใช้เป็นน้ำสรงพระบาทองค์เทพ ในพิธีกรรมใหญ่ๆ
เช่น ที่ทุ่มมะพร้าวถวาย เพื่อล้างทางที่พระแม่จะเสด็จผ่าน ในงานแห่วัดแขก
ยังถือว่า น้ำมะพร้าวแก่ เป็นน้ำมงคล ใช้ล้างหน้า ปัดเสนียด ได้นะครับ
บางคนเขาล้างหน้า ล้างหัว ด้วยน้ำมะพร้วาแก่ เดือนละ 2 ครั้ง ก็มี
(แต่คงต้องล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด)

แต่สำหรับคนไทย เอาน้ำมะพร้าว มารดหน้าศพ
ผมเดาว่า ก็คงรับมาจากความเชื่อข้างต้นน่ะครับ

ผมแนะนำว่า ควรจัด"ช้อน" ไว้ข้างๆ ครับ ไม่ควรใช้หลอดดูด
อันนี้ แล้วแต่นะครับ จะถวายหลอดดูดก็ได้
(คนโบราณ ผู้ดี เขาไม่ดูด หรือ ยกดื่มโฮกๆ ครับ เขาตัก และ ค่อยๆ ซด)


ผลไม้ เช่น กล้วยน้ำว้า ส้ม และอื่นๆ ที่เห็นว่าเหมาะสม

สำหรับบางท่าน จะไม่นิยมถวาย มังคุด ละมุด พุทรา เพราะถือว่า ชื่อไม่เป็นมงคล
แต่สำหรับผม ผมถือว่า สิ่งเหล่านั้น เป็น "สมมุติบััญญัติ"
ขนาด "แห้ว" เราก็เปลี่ยนชื่อเขาเป็น "สมหวัง" ได้นี่นา

ดังนั้น ผลไม้ใด สิ่งใด ที่เป็นของประจำท้องถิ่น และฤดูนั้นๆ
หากเหมาะสม ก็ถวายได้ทั้งนั้นแหละครับ

นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต หรือ ทั้งสองอย่าง

ขนม และอื่นๆ ก็ถวายได้ หากไม่เกินกำลัง

ท่านใดจะถวายข้าว และอาหารมัง หรือเจ หากสามารถ ก็ทำได้ครับ

บางคนเขาถือ จะถวายของไหว้ ควรทำตามความเหมาะสม ดีที่สุด

แต่สำหรับผม ก็ถวายของที่ผมกินได้น่ะครับ
เพราะถวายพระ ถวายเจ้าแล้ว ผมเป็นคนกินต่อนี่นา..
อยากกินไร ก็ถวายอันนั้น...อิอิ...



สำหรับผม อะไรที่ดีที่สุดสำหรับเรา และเหมาะสมจะเป็นของไหว้ ก็ถวายบูชา ด้วยสิ่งนั้น ครับ
หากท่านใด จะถวายอย่างอื่นเพิ่มเติม ก็คงเป็นไปตามคติ ความเชื่อ ส่วนบุคคล แล้วครับ
#79
แหม...จาตอบทั้งทีั ก็ต้องมีลีลาเน๊อะ...

เอ้า..ไหนๆ ก็มาถึงเรื่องขอพรกันแล้ว
ก็ขอยกตัวอย่างเรื่องการขอพร จาก "สันติวรบท"
ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ดังนี้...

ทำดีดีกว่าขอพร

ในวันวิสาขบูชาวันหนึ่ง หลังจากเวียนเทียนเสร็จได้มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้าไปกราบ
ท่านธมมวิตกโก ขณะที่ท่านเดินอยู่ท่านได้หยุดและถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ
หนุ่มสาวคู่นั้นได้เรียนท่านว่ามาขอพรให้เกิดมาพบกันอีก


ท่านได้ตอบว่า "มีแต่เขาไม่อยากจะมาเกิด นี่ทำไมอยากมาเกิดอีก
อย่างอาตมา ถ้าใครแช่งให้ไม่รู้จักผุดจักเกิด อาตมาก็จะขอบใจ
เอาละเมื่อมาขอพรก็จะให้ แต่จะบอกว่า คนเราไม่ได้อะไรง่ายๆ ด้วยการร้องขอ
อยากได้อะไรต้องทำถึงจะได้"


เรื่องการขอพรนี้มีคนไปขอพรท่านมาก ใครอยากได้อะไรก็ไปขอ
จนท่านได้เขียนโอวาทเป็นข้อสุดท้าย
ลงในหนังสือสันติวรบทของท่านว่า
ทำดีดีกว่าขอพร

ท่านบอกว่าพรเป็นเพียงกำลังใจให้คนประพฤติปฏิบัตเท่านั้น
และพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ศาสนาของการสวดอ้อนวอนร้องขออะไร
พระบรมศาสดาสอนให้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้น
ฉะนั้นท่านจึงบอกว่า "ทำดีดีกว่าพร"


เจ้าของกระทู้ คงมีบุญ (ผลของ "กรรม" ดี) ร่วมกับคู่ของเขา ก็เลยได้เจอกัน
เพียงแต่อาจต้องใช้วิบากกับใครบางคนเสียก่อน เท่านั้นเอง
เมื่อเทพพรหมท่านเห็นควรว่า ถึงวาระที่ทั้งสองต้องเสวยกรรมร่วมกันได้
ท่านก็เปิดโอกาส...เท่านั้นแหละ...

ก็เป็นอันว่า คงตรงกับที่คุณอักษรชนนี้ตั้งใจจะสื่อนะครับ
#80
สงสัยเพื่อนคุณคนนี้คงขอประทานพรนี้ จากองค์ศรีคเณศ อยู่เป็นประจำ
ความรักจึง "อุดมสมบูรณ์ เบ่งบานนนน ทั้งกา่ย และใจ" ขนาดนี้...