Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - อินทุศีตาลา

#241
ตามที่คุณหริทาสกรุณาให้ความเห็นค่ะ ดิฉันตั้งใจตั้งมูรติให้พระศรีอยู่ด้านซ้ายของพระนารายณ์

ตัวอย่างอีกอันหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือการตั้งพระราชอาสน์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะตั้งทางซ้ายของพระราชอาสน์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอ หรือเมื่อประทับยืนในพิธีหรือพระราชพิธีสำคัญต่างๆ สมเด็จฯก็จะประทับด้านซ้ายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอ พระบรมวงศานุวงส์ก็จะประทับเรียงลำดับตามพระราชอิสริยยศต่อไปทางด้านซ้าย

ในทำนองเดียวกัน พระเก้าอี้ของพระวรชายาในสมเด็จพระบรมฯ ก็ตั้งอยู่ด้านซ้ายของพระสวามีเสมอ

และเจ้านายที่มีอิสริยยศต่ำกว่าก็จะมีที่ประทับทางด้านซ้ายของเจ้านายที่มีอิสริยยศสูงกว่าเสมอ

อันที่จริงถ้าจะหันมูรติสององค์นี้ให้หันข้างเข้าหากันก้ได้ค่ะ แต่ไม่รู้เป็นไร ดิฉันชอบให้เป็นแบบนี้เพราะแสงที่เข้ามาจับพระพักตร์พระศรีจะทำมุมกันงามมากค่ะ

คุณพี่ศรีมหามารตีขา ไม่ใช่สองอค์นี้ค่ะ เครื่องสำริดทั้งหมดหนูเก็บไว้ที่สุโขทัยค่ะ วันหลังจะเอามาให้ชมกัน

และคุณ Thiti เทวรูปสีดำองค์นั้นเป็นต้นแบบของเทวรูปสำริดค่ะ ดิฉันขอให้ช่างปั้นหล่อขึ้นตามแบบหมู่เทวรูปสุโขทัยค่ะ ถ้าไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จะเห็นเทวรูปแบบนี้องค์หนึ่ง ถ้าดูเผินๆจะคิดว่าดิฉันปั้นตามแบบนั้น แต่จริงๆแล้วดิฉันเลือกเอาแบบที่ถูกใจจากเทวรูปหลายๆองค์มารวมกันค่ะ เลยได้องค์นี้ขึ้นมาเป้นพระปารวตี หากคุณชอบดิฉันจะกลับไปถ่ายองค์สำริดที่บ้านมาให้ค่ะ องค์ที่เห็นอยู่นี้เป็ฯเรซินที่ช่างหล่อมาให้ดูแบบเพื่อแก้ไขก่อนหล่อจริง แต่ไหนๆก็เป็ฯองค์มาแล้ว ดิฉันเลยนำมาตั้งบูชาด้วย

ดิฉันก็ชอบเทวรูปไทยเหมือนกันค่ะ
#242
ขอบพระคุณกระทู้ดีดีเช่นนี้นะคะ

เรือแต่ละลำนอกจากงดงามแล้วยังแฝงปรัชญาแนวคิดไว้มากมาย

ครั้งหนึ่งพาชาวต่างชาติไปชมพิพิธภัณฑืเรือพระราชพิธี เขาบอกว่า ไม่นึกว่าจะมีของสวยขนาดนี้อยู่ในโลก แถมเป็นของที่ยังใช้ได้อยู่ มหัศจรรย์จริงๆ

ดิฉันยิ้มไม่หุบ
ดีใจที่เกิดเป็นคนไทยและได้เป็นข้าแผ่นดินของพระราชวงศ์ซึ่งทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

สมบัติเหล่านี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของบรรพชนเราได้อย่างยอดเยี่ยมเลยค่ะ
#243
ขอบพระคุณสำหรับกระทู้ดีดีที่ทำให้นึกถึงอะไรหลายๆอย่าง

นึกถึงอดีต

นึกถึงความยากลำบากให้การหาธนบัตรแต่ละใบมาเป้ฯของเราเอง (อิอิ)

และนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทรงพระเจริญ
#244
สวัสดีคุณอักษรชนนีนะคะ

หวังว่าพรุ่งนี้คงได้พบกัน

#245


พระคเณศองค์ใหญ่นี้ ได้รับมาจากอาจารย์สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ค่ะ เห็นท่านเล่าว่าตลอดขั้นตอนการสร้างตั้งแต่ร่างจนแล้วเสร็จมีพระครูญาณสยมภูว์ ทำพิธีบวงสรวงให้ อาจารย์เรียกองค์นี้ว่ามหาเทพแห่งปัญญา ทำเพียง 19 องค์

พอดีกับที่เวลานั้นดิฉันมีข้าวของอยู่จำนวนหนึ่ง จนปัญญาจะเก็บไว้มิให้สูญหายเลยได้ทีบรรจุลงในองค์พระคเณศนี้ด้วย


นอกจากที่นี่แล้ว ที่บ้านเกิดต่างจังหวัดมีห้องบูชาอีกห้อง ดิฉันจะนำเทวรุปสำริดทั้งหมดที่มีอยู่ประดิษฐานไว้ที่นั่น หากมีโอกาสจะนำภาพมาฝากกันค่ะ
#247
เข้ามาเป็นสมาชิกบอร์ดก็นานแล้ว แต่ยังไม่เคยนำภาพห้องบูชามาให้ชมค่ะ วันนี้เลยขออนุญาต

บ้านที่กรุงเทพนี้ ดิฉันมาอาศัยเขาอยู่ค่ะ แต่โชคดี เจ้าของบ้านท่านกรุณาให้ใช้ห้องว่างห้องหนึ่งทำเป็นห้องบูชา ดิฉันจึงพยายามตกแต่งอยู่นาน แต่ก็ยังไม่เรียบร้อยเสียที ผนังสองด้านของห้องนี้มีหน้าต่างบานกว้างหันหน้าไปทิศตะวันออก ตอนเช้าระหว่างเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า แดดจะส่องเข้ามาในห้องสว่างดีค่ะ  ดิฉันจะเปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านให้แสงส่องเข้ามาสะดวก

แต่ปัญหาคือผนังด้านที่เหลือกรุด้วยแผ่นยิปซึ่ม ซึ่งเจ้าของบ้านเขาบอกไม่สวย แต่ดิฉันกลับชอบสีที่ขับให้สีสันของโต๊ะบูชาเด่นขึ้น เลยไม่คิดจะทำอะไรมาก

เทวรูปประธานของห้องบูชาที่กรุงเทพนี้ คือพระวิษณุและพระศรีซึ่งเพื่อนที่รักกันมากคนหนึ่งปั้นและหล่อด้วยเรซินให้ แถมยังได้เพื่อนอีกคนช่วยลงสี และเจ้าของบ้านหลังนี้ก็กรุณาช่วยพ่นน้ำยาเคลือบเงาให้ สำหรับดิฉันถือเป็นเทวรูปที่ได้มาด้วยความรักและความปรารถนาดี มีค่ามากๆค่ะ

นอกนั้นจะเป็นเทวรูปที่หาบูชาเอง แต่ ส่วนใหญ่ของห้องนี้ได้รับมาจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่งทั้งนั้นค่ะ และเมื่อดิฉันไม่อยู่บ้านนานๆ เจ้าของบ้านก็ยังกรุณามาเปิดปิดประตูห้องตามเวลาทุกวัน ทำให้ดิฉันสบายใจเมื่อเข้าไปสวดมนตร์ ซึ่งตามปรกติจะทำทุกคืน

ต่อไปคงต้องขอคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ

#248
คราวหน้าจะพาทุกท่านเข้าไปในพระที่นั่งสำคัญอีกองค์หนึ่งของพระบรมมาหราชวังค่ะ
#249
พระที่นั่งแบบเฟรนซ์ เรอเนสซองซ์นี้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โปรดฯให้สร้างขึ้นอย่างงดงามเพื่อพระราชทานให้สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกเสด็จมาประทับ แต่เจ้าฟ้าพระองค์นั้นสวรรคตเสียก่อน มกุฎราชกุมารพระองค์ต่อมาคือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธจึงมาประทับบ้างเป็นครั้งราวจนสิ้นรัชกาลที่ 5 และตลอดรัชกาลที่ 6 -7 ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดมาประทับเลย

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัติพระนครครั้งหลัง เสด็จมาประทับที่นี่พร้อมพระชนนีและพระอนุชา จนกระทั่งเสด็จสรรคตด้วยพระแสงปืนที่ห้องบรรทมด้านทิศตะวันออก

ในรัชกาลปัจจุบันพระทั่นั่งองค์นี้ให้เป็นที่ประทับของพระราชอาคันตุกะระดับพระประมุข

สิ่งที่น่าสนใจของพระที่นั่งองค์นี้คือภาพเขียนสีรูปเทพเจ้าฮินดู




เพดานท้องพระโรงมีรูปเทพเจ้าประจำทิศทั้ง 4 ค่ะ

ถ้าสังเกตดีดี จะเห็นว่าที่คิ้วด้านบนของผนังมีกรอบเล็กๆ ภายในกรอบเป้นรูปพระอาทิตย์ชักรถ ภาพทั้งหมดสมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบค่ะ โดยเพาะพระอาทิตย์นี้ เล่ากันว่าท่านทรงศึกษากายวิภาคของม้าอย่างดี และออกแบบให้เรามองเห็ฯท้องของม้าและใต้ราชรถพระอาทิตย์ เสมือนว่าท่านชักรถลอยอยู่บนฟ้าแล้วเราแหงนหน้าขึ้นมองเลยค่ะ (อันที่จริงมีภาพสีนะคะ แต่อยู่ไกลมือ ใช้ภาพนี้ไปก่อนนะคะ)

#250
ตามที่เคยเล่าให้ฟังนะคะว่า พระราชวังขนาดใหญ่ที่กษัตริย์หรือเจ้านายสำคัญประทับ จะแบ่งเป็น 4 ส่วน
พระบรมมหาราชวังก็เช่นกันค่ะ ตามปรกติแล้ว เราก็สามารถเข้าชมได้เพียง 3 ส่วนคือ วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เขตพระราชฐานชั้นนอกและเขตพระราชฐานชั้นกลาง

โดยเส้นที่เข้าชมจะเริ่มจากประตูวิเศษไชยศรี เดินตามถนนอมรวิถีเข้าไปแล้วบังคับเลี้ยวซ้ายไปด้านหลังของศาลาสหทัยสมาคม ผ่านหมู่อาคารพระคลังข้างที่ เข้าสู่วัดพระแก้ว แล้วออกจากวัดพระแก้วผ่านประตูดุสิตศาสดาเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นกลาง สุดเขตเพียงนี้

เมื่อก้าวเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นกลาง ด้านซ้ายมือจะเป็นประตูเหล็กดัด มองเข้าไปเห็ฯอาคารทรงยุโรปงดงามากเลยค่ะ อาคารนั้นคือ พระที่นั่งบรมพิมาน

#251
ขอบพระคุณ  คุณ Phorn456 มากเลยนะคะ และขอบพระคุณที่กรุณาร่วมเดินทางกับพี่ตลอดเลย

นอกจากเพื่อแก้เซ้งแล้ว ที่พี่เพ้เจ้อมาตั้งยืดยาวนี่ก็เพระอยากชักชวนทุกๆคนให้หาเวลาว่างไปเที่ยวกัน
เที่ยวไทยครึกครื้น เสรษฐกิจไทยคึกคักค่ะ

หากมีคนได้ความรู้จากเรื่องที่พี่เพ้อเจ้อมานี้ พี่ก็รู้สึกยินดีมาก แต่เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้แล้วเท่านั้น ดังนั้นจึงขอทำตัวเป็นเครื่องเตือนความจำค่ะ

ดังนั้น วันนี้จะขอพาเที่ยวต่อนะคะ เดินทางนิ๊ดดดดดดดนึง จากวัดพระแก้ววังหน้า เข้าสู่พระบรมมหาราชวังกันเลยค่ะ
#252
ด้านหน้าของพระอุโบสถหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานเทวรุปพระคเณสประจำวิทยาลัยนาฏศิลป์ค่ะ

พระอุโบสถหฟลังนี้ก่อนหน้านี้ก็ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆของกรมศิลปากรนะคะ อาทิ การครอบครู ปลุกเสกพระ ดิฉันโชคดีเคยได้ตามเจ้านายเข้าไปประกอบพิธี 2 - 3 ครั้งบรรยากาศเข้มขลังจริงๆค่ะ แต่เข้าใจว่าทุกวันนี้พิธีที่เข้าไปทำมีน้อยลงเพราะความห่วงใยในโบราณสถาน

แม้ว่าจะเป็นสถานที่ราชการแต่ก็ไม่ได้เข้าชมยากเย็นอะไรนะคะ ถ้าจะให้สะดวกก้อาจจะเวลาราชการ เข้าไปติดต่อขอนุญาตคุณพี่ รปภ. ทำหน้าตาอ่อนหวานแช่มช้อย แต่ไม่ต้องถึงขั้นละม้ายชายตานะคะ บอกเขาว่าอยากไปไหว้พระ เดี๋ยวคุณพี่เขาก็ให้เข้าไปเองคะ

ปัญหามีอยู่นิดเดียวคือพระอุโบสถมักไม่ค่อยเปิดให้เข้าชมภายในค่ะ ต้องสังเกตลาดเลาดีๆ เดี๋ยวเสียเที่ยว

ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ เดี๋ยวคราวหน้าเราไปแต่ออีกที่หนึ่งค่ะ

พยายามหาภาพพระโกญจนาเนศวรศิวะบุตร แต่ได้ภาพไม่สวยทั้งนั้นเลย ใครมีภาพถ้ากรุณาแบ่งปันจะเป็นพระคุณมากเลยนะคะ
#253
และไฮไลท์ก็คือด้านหลังบานประตู หน้าต่างพระอุโบสถนี้ ช่างได้บรรจงวาดภาพพระเป็นเจ้า พระนารารณ์อวตาร เทพเจ้า นักสิทธิ์ ฤาษี ฯ เอาไว้ทุกบาน ตามรูปแบบที่น่าจะได้เค้าโครงมาจากตำราภาพเทวรูป ซึ่งน่าจะมีอายุสืบค้นไปได้ถึงต้นกรุง แต่เจ๋งกว่าตำรานั้นตรงที่ ตำราเป็ฯลายเส้น แต่ที่นี่เป็นภาพสีค่ะ

ใครเป็นใครดูเอาเองเลยค่ะ








#254
สิ่งที่อยากชวนทุกท่านมาชมในพระอุโบสถหลังนี้คือจิตรกรรมค่ะ ซึ่งเป็นฝีมือปนๆกันระหว่างรัชกาลที่ 3 และ 4

เมื่อกี้เล่าว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯท่านมีพระประสงค์จะเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่นี้ ดังนั้นท่านจึงโปรดให้เขียนจิตรกรรมเรื่องสิหิงคนิทาน เอาไว้ระหว่างช่องหน้าต่าง ส่วนผนังด้านบนเขียนเรื่องพระประวัติพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ประวัติพระคเณศ ประวัติช้างอัษฏทิศ (กำเนิดพระโกญจนาเนศวรศิวบุตร) วรรณคดีเช่น อุณรุทและรามเกียรติ์
#255
ต่อมาเมื่อเรามีพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สองในรัชกาลที่ 4 เมื่อแรกท่านเสด็จมาเห็นวังหน้าและวัด เล่ากันว่าท่านตรัสว่า "อ้าว...อยู่ดีดีก็จะให้มาเป็นสมภารวัดร้าง" ดั้งนั้นจึงเกิดการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ขึ้น เล่ากันว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯทรงเอาพระทัยใส่การสร้างวัดนี้มาก ดปรดให้ถ่ายแบบเจดีย์สำคัญๆมาไว้ในวัดมากมาย เช่น พระธาตุพนม กลางพระอุโบสถก็ดปรดให้ก่อฐานชุกชี หมายพระทัยว่าจะเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน แต่ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะเสด็จสวรรคตเสียก่อน

หลังจากนั้นมีการสถาปนาพระโอรสองค์ใหญ่ของท่านเป็ฯวังหน้า และขัดแย้งกับรัชกาลที่ 5อย่างหนักจนถึงขั้นตั้งปืนใหญ่บนป้อมทั้งสองวังจะยิงกัน แต่เดชะบุญที่เรื่องสงบได้ และรัชกาลที่ 5 ก้ไม่ทรงตั้งวังหน้าอีก แต่ทรงพระกรุณาโปรดฯให้สถาปนาพระโอรสองค์ใหญ่ของท่านเป็นสยามมกุฏราชกุมารพระองค์แรก ซึ่งไม่ได้ประทับที่วังหน้าอีก กำแพงวังหน้าเกือบทั้งหมด และวัดจึงถูกรื้อลง เหลือแต่พระอุโบสถจนถึงปัจจุบัน

#256


พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระประธานในพระอุโบสถค่ะ องค์พระประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี มีหลังคาทรงยอดครอบคล้ายพระมณฑป
#257
ดังที่เคยเล่าไว้ในทริปที่แล้วนะคะ ว่าวังหน้าแต่เดิมนั้นมีอาณาบริเวณใหญ่โตมากเพียงใด และธรรมเนียมการสร้างวังที่ประทับของเจ้านายสำคัญนั้นมักแบ่งพื้นที่เป็ฯ 4 ส่วน คือพระราชฐานชั้นนอก พระราชฐานชั้นกลาง พระราชฐานฝ่ายใน (ชาววังจะไม่เรียกพระราชฐานชั้นในนะคะ) และส่วนที่เป็นพระอารามประจำพระราชวัง

พิพิธภัณฑ์ที่พาไปเที่ยวคราวที่แล้วเป็นพระราชฐานฝ่ายในของวังหนเ ส่วนวัดนี้คือพระอารามประจำพระราชวังค่ะ

พระอุโบสถที่เราเห็ฯกันนี้สร้างในรัชกาลที่ 3 ค่ะ โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 แต่ก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 1 บริเวณตรงนี้เคยเป็นวัดเล็กๆวัดหนึ่ง เรียกว่าวัดหลวงชี เพราะมีเจ้านายเชื้อสายเขมรพระองค์หนึ่งมาบวชชีอยู่ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 จึงให้สร้างวัดให้พำนัก เพราะเจ้านายพระองค์นี้เป็ฯมารดาของสนมคนโปรดของท่าน และเป็นธิดาพระเจ้าอุไทยราชาแห่งเขมรด้วย ต่อมาพอหลวงชีสิ้น ก็กลายเป็นสวนกระต่าย  และวังหน้าในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างวัดที่เห็ฯหลงเหลือในปัจจุบัน

แต่วังหน้าพระองค์นี้ทิวงคตก่อนวัดเสร็จค่ะ เล่ากันว่าท่านประชวรพระโรคท้องมานพระอาการเต็มที โปรดให้พระองค์เจ้าดาราวดี นำผ้าที่จะใช้ห่มพระประธานในโบสถ์ที่สร้างค้างอยูมาถวาย แล้วทรงจบอธิษฐาน ขอให้ผู้มีบุญต่อไปช่วยสร้างให้เสร็จ รัชกาลที่ 4 ก็ทรงรับพระธุระนั้นสร้างจนเสร็จค่ะ

#258


อาคารหลังนี้มีหลังคาสีส้มแดงสดใสซาบซ่าน ประดับด้วยเครื่องลำยองครบถ้วยคือช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันซึ่งแบ่งเป็นสองชั้นสลักลายดอกพุดตานละเอียดอ่อน ประดับกระจกหลากสี สะท้อนแสงสวยงามมากค่ะ

ถ้ามีโอกาสได้เดินไปแถวนั้นก็จะพบว่าอาคารใหญ่โตหลังนี้ตั้งอยูในเขตวิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพ

นี่คือพระอุโบสถของวัดบวรสถานสุทธาวาสหรือวัดพระแก้ววังหน้าค่ะ
#259
สวัสดีค่ะ

หลังจากที่พาทุกท่านไปเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครมาในคราวที่แล้ว เว้นไปได้ไม่กี่วันดิฉันก็เริ่มเบื่ออีกแล้วล่ะค่ะ เลยอยากจะพาทุกท่านไปเที่ยวกันอีกสักทริป หวังเหลือเกินว่าคงจะไม่ทำให้ใครๆเบื่อกันวะก่อนนะคะ

แต่ละที่ที่สิรวีย์พาทุกท่านไปนั้น ตั้งใจว่านอกจากจะสวยงามและน่าสนใจแล้ว ยังจะพยายามให้ทุกที่มีเทพเจ้าฮินดูอยู่ด้วย เพื่อให้เข้ากับความเชื่อถือศรัทธาของทุกท่าน และที่สำคัญคือเป็นสถานที่ที่คนไทยมักลืมเที่ยว(หรือเขามักไม่เปิดให้เที่ยว) แม้จะอยู่ใกล้ๆก็ตาม

คราวที่แล้วเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในวังหน้ากัน ดังนั้นทริปนี้จึงขออนุญาตเริ่มต้นที่นี่ซะเลยค่ะ
หากใครเดินทางผ่านสะพานพระปิ่นเกล่าบ่อยๆ เมื่อจะขึ้นหรือลงสะพานฝั่งพระนครคงเห็ฯว่าด้านทิศใต้ของเชิงสะพาน มีอาคารจตุรมุขขนาดมหึมาปรากฎอยู่


#260
อิอิ แหมใครเก่งและดี ดิฉันเรียกอาจารย์หมดแหละค่ะ
#261


ลายละเอียดเพิ่มเติม

http://www.tourguide.joomkoshop.com/index.php?option=com_content&view=article&id=548:2010-04-08-12-26-21&catid=57:hot-news&Itemid=50

อาจารย์ทั้งสองท่านเป็นนักวิชาการซึ่งมีความรู้ลึกซึ้งและกว้างขวางมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ โดยเฉพาะเรื่องปฏิมากรในประเทศไทย นับเป็นโอกาสดีที่จะได้รับฟังแนวคิดจากท่านโดยตรงค่ะ จึงขอเรียนเชิญสมาชิก HM ทุกท่านเข้าร่วมฟังด้วยกัน

ปล.ดิฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางผู้จัดงานนะคะ แค่เห็ฯว่าน่าสนใจ เลยเอามาฝากกัน
#262
ขอบพระคุณอาจารย์กาลิทัสที่กรุณามารับพวกเรากลับบ้านและคุณอักษรชนนีสำหรับรูปพระลักษมีงามๆนะคะ

ข้อสังเกตของดิฉันก็คือ หากเทวรูปที่นำมาประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์นั้นเดิมเคยประดิษฐานอยู่ที่สถานพระนารายณ์ แล้วเทวรูปพระมเหศวรีซึ่งประดิษฐานอยู่อีกด้านของพระลักษมีที่สถานแห่งนั้น มีองค์จริงหรือไม่ หากมีแล้วองค์จริงไปไหน และหากไม่เคยมี ใครเป็ฯต้นคิดให่หล่อรูปพระมหเศวรีไปประดิษฐานที่นั่น ดูจากฝีมือแล้ว พระมหเศวรีน่าจะสร้างจากช่างคนเดียวกัน และอาจจะสร้างขึ้นพร้อมๆกัน ข้อนี้คงต้องรบกวนท่านผู้รู้กรุณาสืบหาต่อไป


แต่ดิฉันเข้าใจว่าช่างหรือผู้เกี่ยวข้องคงตั้งใจจะเพียงจำลองรูปร่างคร่าวๆของเทวรูปพระลักษมีกลับไปประดิษฐานที่เดิมค่ะ

เรื่องของจำลองเอาไปตั้งแทนที่เดิมนี้ หากใครอยู่พิษณุโลกหรือเคยไปพิษณุโลก แล้วมีโอกาสแวะไปนมัสการพระพุทธชินราชคงทราบดี ที่นั่นยังมีวิหารที่เคยประดิษฐานพระพุทธชินสีห์และพระศาสดา ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ก็มีพระพุทธรูปซึ่งวังหน้าในรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาฯให้ช่างหล่อจำลองไว้แทนที่

แต่ดูยังไงพระทั้งสององค์นั้นก็ไม่เหมือนหรือแม้แต่ไม่คล้ายพระพุทธชินสีห์และพระศาสดาเลยค่ะ พอจะกล่าวได้ว่าความ 'เพี้ยน' ของของจำลองนี่ไม่ได้มีมาแค่ไม่กี่ปีมานี้

หากไม่คิดอะไรมากก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ

ปล.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไม่ขัดข้องหากจะนำพวงมาลัยไปสักการะนะคะ เพียงแต่ต้องระวังดังนี้

1. อย่าแตะต้องโบราณวัตถุค่ะ เพราะอาจเกิดการชำรุดเสียหาย แต่ก่อนที่โบราณวัตถุจะเกิดการชำรุดนั้น เราจะถูกเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ขย้ำคนเสียก่อน
2. วางพวงมาลัยได้เพียงบนฐานไม้รองรับโบราณวัตถุหรืออาจจะวางบนพื้นค่ะ เพื่อไม่ให้ความชื้นจากดอกไม้และสารพิษทำลายเทวรูป
3. ทางที่ดีควรขออนุญาตเจ้า (หน้า) ที่ ที่ดูแลห้องนั้นเสียก่อน เพราะตามปรกติแล้ว เจ้า(หน้า) ที่ เหล่านี้ดุร้ายมากค่ะ ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษเพียงบางคน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เขาเป็ฯคนไม่ดีนะคะ เพียงแต่หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคือการเฝ้าระวังโบราณวัตถุที่สำคัญของชาติค่ะ
#263
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปกับดิฉันในทริปนี้ ขอบพระคุณที่ทนดูมาจนกระทู้สุดท้ายนี้นะคะ แม้ว่าจะน่าเบื่อไปบ้างแต่ดิฉํนยินดีนำเสนออย่างยิ่งค่ะ และหวังว่าอีกไม่นานทุกท่านคงจะหาโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ด้วยตนเอง

หากมีสิ่งใดที่ดิฉันพลาดไป ยินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกท่านนะคะ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทริปหน้าจะได้รับความกรุณาจากทุกท่านร่วมเดินทางไปด้วยกัน สำหรับทริปนี้ สวัสดีค่ะ

#264
ดิฉันขอส่งท้ายสิรวีย์พาเที่ยวทริปแรกนี้ด้วย เทวรูปพระคเณศ ศิลาทราย ขุดพบที่เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
แม้ว่าพระคเณศองค์นี้จะแตกหักเป็นชิ้นๆจนไม่สามารถทราบว่าพระองค์ประทับนั่งหรือยืนด้วยรูปแบบใด ร่องรอยของเทพศาสตราวุธก็หายไปหมด แต่ด้วยขนาดมหึมาและฝีมือสลักอันปราณีตที่เหลืออยู่ก็ทำให้เราเห็นถึงความงดงามได้โดยง่าย นักวิชาการลงความเห็นกันว่าพระคเณศองค์นี้อาจจะเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยเชียว

#265
นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุมากมาย อาทิ พระพุทธรูป เครื่องงา เครื่องเคลือบ เครื่องเงินเครื่องทอง เครื่องราชูปโภคพระราชยานคานหาม ศิลาจารึก หุ่นละคร หัวโขน เครื่องดนตรี ผ้าโบราณ ฯ ของแต่ละชิ้นบรรพชนของเราบรรจงสร้างขึ้นอย่างดีที่สุด และวันนี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายแห่งความรุ่งเรืองของชาติ รอให้ลูกหลานอย่างเราๆเข้าไปสัมผัส เรียนรู้และชื่นชม เพื่อความภาคภูมิใจในแผ่นดินมาตุภูมิ รวมถึงความเข้าใจในตนเองมากยิ่งขึ้น

ค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 30 บาท ปิดวันจันทร์และอังคาร เปิดตั้งแต่เวลาแปดนาฬิกาถึงสิบหกนาฬิกา หากเป็นวันเสาร์และอาทิตย์หรือเมื่อท่านมาเป็นหมู่คณะจะมีเจ้าหน้าที่นำชมค่ะ
#266
สิ่งควรชมอีกอย่างหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือเทวรูปพระลักษมีเทวี ศิลปะอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีกลิ่นอายของศิลปะอินเดียแบบปัลลวะ แต่เดิมเทวรูปองค์นี้ประดิษฐานเคียงข้างเทวรุปพระนารายณ์สมัยสุโขทัย ในสถานพระนารายณ์ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า ก่อนจะถูกเชิญมาประดิษฐานที่นี่แล้วสร้างองค์จำลองไปประดิษฐานแทนไว้ที่เดิม ซึ่งฝีมือผิดกันอย่างมาก เรียกว่าเทียบไม่ติดฝุ่น ดิฉันขออนุญาตไม่ลงรูปเทวรุปองค์นี้นะคะ แต่อยากเชิญชวนทุกท่านมาชมด้วยตนเอง โดยเฉพาะบรรดาข้าพระบาทของพระศรี ขอเรียนเชิญให้ท่านหาโอกาสมาชมให้ได้นะคะ ท่านจะไม่ผิดหวังเลย



สถานพระนารายณ์(รุปนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือคุณอักษรชนนีหรือเปล่านะคะ หากใช่ก็ขออนุญาตท่านเจ้าของรูปด้วยเลย ณ ที่นี้)
#267
55555555555555555555555555555555555555555555555

ขอต้อนรับคุณแต่ก็มิได้นำพาอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ และขอบพระคุณมากที่กรุณาร่วมเที่ยวกับเราค่ะ
#268
คำถามของคุณ Nai3 ตอบค่อนข้างยากนะคะ

หากให้ตอบตามข้อความทางวิชาการทางประวัติศาสตร์ศิลปะ คงต้องบอกว่าน่าจะเป็นคนละองค์กัน เพราะรูปแบบและเรื่องราวของพระนางจุณฑิพุทธมารดา อาจจะยังไม่มีในเวลาที่ช่างศรีวิชัยสร้างรูปนางจุณฑาซึ่งดิฉํนชวยทุกท่านไปชมมา ในเวลานั้นพระพุทธมารดามหายานที่เป็ฯที่ยอมรับคือพระนางปรัชญาปารมิตา หรือปัญญาบารมี ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นแม่ของพุทธะทั้งมวล เพราะพระองค์คือปัญญา อันเป็นเครื่องนำพระโพธิสัตว์ไปสู่การตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

นางจุณฑา ซึ่งนำมาให้ชมนั้น เป็นศักติของพระวัชระสัตว์ค่ะ อันที่จริงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มีประติมากรรมรูปร่างคล้ายกันนี้อีกจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นนางตารา อีกส่วนหนึ่งเป็นศักติของพระโพธิสัตว์หรือพระมหาสัตว์

สำหรับพระพุทธมารดาพระองค์นี้ เคยทราบมาว่าเป็นคติที่เกิดขึ้นภายหลังจากอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ ดิฉันจึงเล่าว่าอาจจะเป็นคนละองค์ แต่จะคลี่คลาย รับส่งอิทธิพลกันหรือไม่อย่างไรนั้น คงต้องรอบรรดานักวิชาการและผู้รู้ศึกษาต่อไป
#269
เทวรูปพระนางปารวตีหรือพระอุมาเทวีค่ะ เป็ฯรูปแบบเดียวกับที่ปัจจุบัน เราเรียกกันว่า องค์แทน
หากเทวรูปองค์นี้ประดิษฐานเคียงข้างพระนารายณ์ก็จะหมายถึง พระลักษมี หากประดิษฐานเคียงข้างพระพรหมก็จะหมายถึงพระสรัสวดี (ซึ่งในสมัยสุโขทัยยังไม่รู้จักพระองค์)
แม้เทวรูปเหล่านี้จะมีลักษณะโดยรวมคล้ายกัน แต่ก็มีความต่างด้วยลายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เป็นต้นว่า รูปแบบของพระภูษาทรง ลวดลายในกรองศอ มงกุฎ พาหุรัด หรือแม้แต่รูปแบบของกุณฑล ซึ่งนักวิชาการศิลปะนำโดยหม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงศึกษาและใช้ลวดลายกำหนดรุ่นอายุ

ลายละเอียดของเทวรูปพระเทวีองค์นี้ คล้ายกับเทวรูปพระอิศวรองคืหนึ่ง จึงอาจสร้างคู่กัน ท่านจึงจัดให้เป็นพระนางปารวตีหรือพระอุมาเทวี

#270
สิ่งควรชมที่ไม่สมควรพลาดเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาว HM ทุกท่านก็คือหมู่เทวรูปศิลปะสุโขทัย ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ห้องศิลปะสุโขทัยและอยุธยา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์



สำหรับพระอิศวรองค์นี้ สูงถึง 305 เซนติเมตร และมีสององค์คือพระอิศวรองค์นี้และพระนารายณ์ ซึ่งทั้งสององค์ได้รับการยอมรับว่างดงามแสดงถึงความสามารถเชิงช่างและการหล่อโลหะของช่างสุโขทัย ปรากฎร่องรอยการลงรักปิดทองบริเวณที่เป็นเครื่องประดับ และที่พระหัตถ์มีช่องสำหรับสอดเทพศาสตราของเทวรูปไว้ เทวรูปทั้งสององค์ประทับยืนเหนือแท่นโทรณะมีพวยด้านหน้ายื่นออกมา สันนิษฐานว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงหล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ.1892 เพื่อประดิษฐาน ณ เทวาลัยมหาเกษตรพิมาน ด้านทิศใต้ของเมืองสุโขทัย

นอกจากนี้ยังมีรูปพระพรหม ซึ่งมีเพียงองค์เดียวเท่านั้นนับตั้องแต่กรุงสุโขทัยจนถึงตลอดกรุงศรีอยุธยา ซึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ กับทั้งเทวรูปพระเทวี ประทับยืนยกพระหัตถ์ขึ้นเสมอพระโสณี ที่พระหัตถ์มีช่องสำหรับสอดเทพศาสตรา ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นดอกบัว นักวิชาการสันนิษฐานกันว่าเทวรูปพระองค์นี้คือพระนางปารวตีหรือพระอุมาเทวี เพราะมีขนาดและรูปแบบทางศิลปะคล้ายคลึงกับรูปพระอิศวรอีกองค์หนึ่ง

สิ่งที่น่าสนใจคือ เทวรูปในสมัยนี้ส่วนใหญ่เป็นพระหริหระ ซึ่งเป็นภาครวมของพระวิษณุและพระศิวะ ช่างจะทำให้เป็นเทวรูป 4 กร มีพระเนตรที่สามกลางพระนลาต





เครื่องทรง พระภูษาทรง เครื่องอลงกรณ์ รวมถึงรูปแบบของเทวรูปสมัยนี้ ดิฉันมีความชื่นชมมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะมีเส้นนอกอันอ่อนช้อยงดงาม ตามอย่างศิลปะสุโขทัยแล้ว ยังแสดงออกถึงเทพภาวะของพระผู้เป็นเจ้า มีเมตตา สงบ และพร้อมจะรับฟังทุกข์ร้อนของมรรตรัยชนเช่นเรา ความงดงามของเทวรูปสมัยสุโขทัยนี้จะต่างจากเทวรูปสมัยอื่นตรงที่ ไม่ได้ดูขึงขังแสดงความเคลื่อนไหวและอำนาจมากมาย แต่กลับน่ายำเกรง มองเท่าไรก็ไม่เบื่อเลย ดิฉันขอเชิญชวนทุกท่านลองหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตาและใจของตัวเองสักครั้งจะทราบว่า ดิฉันกล่าวได้ไม่ถึงเสี้ยวของความเป็นจริงเลย
#271
เรียน  คุณ nai3
เรื่องสร้อยพระศอสามเส้นนี่ อาจจะไม่ค่อยพบในประติมาณวิทยาแถบบ้านเราเท่าไรนะคะ บางองค์ไม่ทรงสร้อยพระศอเลยก็มี อาจเป็นได้สองทางคือไม่ได้ถือกันดั่งนี้ทางหนึ่ง หรือศาสนิกชนจะสวมสร้อยพระศอจริงๆถวายท่านก็ได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับเรื่องรุปกวางนั้น อันที่จริงไม่ได้เป็นสังวาลย์นะคะ ดิฉันขอโทษค่ะที่อธิบายคลุมเครือ อันที่จริงต้องบอกว่าสลักเป็นรูปกวางไว้ที่พระอังศา คล้ายๆกับพระอวโลกิเตศวรองค์ที่พบที่วัดศาลาทึง ในความเห็นที่ 23 นะคะ
#272


พระอักโษภยะพุทธะ ด้านทิศตะวันออกค่ะ

อันที่จริงพระธยาณิพุทธะมีด้วยกัน 5 พระองค์ แต่พระพุทธรูปซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงทรงได้รับมานั้นมีเพียง 4 พระองค์ค่ะ ประดิษฐานอยู่ ณ 4 มุมพระมณฑปพอดี ดังนั้นองค์ที่ไม่มีพระพุทธรูปคือองค์ไหนคะ..... (ขยันถามจะได้รู้ว่ามีคนยังอ่านอยู่ค่ะ)
#273


พระรัตนสัมภวะพุทธะ ด้านทิศใต้



พระอามิตาภะพุทธะ ด้านทิศตะวันตก

#274


พระไวโรจนะพุทธเจ้า

#275
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณอักษรชนนีกรุณาเข้ามาพาเราเที่ยวด้วยค่ะ (นึกว่าจะไม่มีใครมาร่วมสนุกซะแล้ว)

นอกจากพระพุทธรูปที่มวยพระเมาฬีจะทำให้เราทราบว่านั่นคือรูปพระโพธิสัตว์แล้ว การสังเกตเครื่องแต่งพระองค์บางอย่างก็สามารถทำให้เราชี้เฉพาะได้ว่าเป็นพระองค์ใด ยกตัวอย่างเช่นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร องค์ที่คนไทยคุ้นตากันดีนั้น จะเห็นว่าท่านมีสังวาลย์พาดพระอังศาหลายๆเส้น แต่หากเราเข้าไปสังเกตุใกล้ๆจะเห็นว่าเส้นหนึ่งทำเป็นรูปกวาง ตามลักษณะที่ระบุว่าพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นทรงหนังกวางเป็นอาภรณ์ แต่ลายรูปกว้างนี้ค่อนข้างเล็กนะคะ ดังนั้นถ้าไม่ได้ดูรูปที่ใหญ่และละเอียดพอจะมองไม่ใคร่เห็น ดีที่สุดคือไปดูของจริงด้วยตาตนเองค่ะ นี่คือแรงบันดาลใจที่อยากชวนทุกท่านมาเที่ยวที่นี่

ตามคำขอของคุณจิ้งจอกพันหน้านะคะ

พระธยานิพุทธะซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดฯให้นำมาจากชวาและประดิษฐานอยู่ ณ มุมฐานไพทีของพระมณฑปนั้น ทำจากหินภูเขาไฟ ซึ่งมีสีดำแกมน้ำเงิน มีรูพรุนเล็กน้อย มีผิวค่อนข้างขรุขระ และเริ่มกร่อนบ้างเพราะฤทธิ์มลพิษในบ้านเรา เมื่อมีการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามครั้งใหญ่ พ.ศ.2525 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์แม่กองในการบูรณะ ทรงพระกรุณาฯให้เชิญองค์จริงลงมาประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วจำลองด้วยวัสดุคล้ายเดิมขึ้นประดิษฐานไว้ที่เดิมแทน การนี้ทำให้เกิดข้อดี 2 อย่างคือ
   1. ทำให้โบราณวัตถุสำคัญของชาติมีอายุยืนยาวต่อไป
   2. ทำให้เรามีโอกาสชื่นชมพระพุทธรูปเหล่านั้นใกล้ชิดมากที่พิพิธภัณฑ์ค่ะ เอาไว้ทริปหน้าจะพาไปชมนะคะ
#276
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุง่นี้พาเที่ยวที่นี่เพิ่มเติมค่ะ
#277


องค์นี้คือนางตารา ศิลปะศรีวิชัย พบที่บ้านหัวคู อำเภอไชยาค่ะ




องค์นี้คือนางจุณฑา ศิลปะศรีวิชัย นางจุณฑาเป็นศักติของพระวัชรสัตว์ค่ะ ได้รับการนับถืออย่างมากในบางส่วนของเบงกอล เชื่อว่านางถือกำเนิดจากอำนาจของพระพุทธเจ้าอโมฆสิทธิหรือบางตำราก็ว่าพระพุทธเจ้าไวโรจนะ และเป็นบุคลาธิษฐานของคาถาจุนฑาธาริณี รุปเคารพของพระนางมักมีหกกร ด้านขวาบนทรงปะคำ ขวากลางประทานพรมีเม็ดมณีกลางฝ่าพระหัตถ์ ขวาล่างและซ้ายล่างปางสมาธิ พระหัตถืว้ายบนทรงถือคัมภีนร์และซ้ายกลางที่หักกายไปนี้ต้องถือหม้อน้ำ
#278


องค์นี้คือพระอวโลกิเตศวร ศิลปะศรีวิชัย พบที่วัดศาลาทึง อำเภอไชยาเช่นกันค่ะ (ได้คำตอบของคำถามที่แล้วหรือยังคะ อิอิ)



ส่วนองค์นี้เป็นศิลปะศรีวิชัยที่มีอิทธิพลปัลลวะหน่อยๆ พบที่อำเภอพุนพิน สุราษฎร์ธานีค่ะ
#279
สันนิษฐานกันว่าหากรูปพระโพธิสัตว์ข้างบนยังสมบูรณ์อยู่ ก็คงจะมีรุปแบบประมาณนี้นะคะ



พระโพธิสัตว์สององค์นี้ มีกลิ่นอายศิลปะอินเดียแบบปัลลวะหน่อยๆนะคะ
#280


รุปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนี้ คงเป็นโบราณวัตถุที่คุ้นตาคนไทยมากที่สุดรูปหนึ่ง บ้ายมาจากวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีค่ะ ความงดงามคงไม่ต้องบรรยายมาก นักวิชาการทางศิลปะบางท่านถึงกับพูดว่าถ้ารุปนี้ยังสมบูรณ์ก็อาจไม่งามเท่านี้ แบบเดียวกับรูป Venus de milo นั่นเลยเทียว

คำถามก็คือ เมื่อไม่มีชิ้นส่วนพระพุทธรูปบนพระเมาลี เพราะหักหายไปแล้ว เราทราบได้อย่างไรว่าเป็นพระโพธิสัตวืพระองค์นั้น คำถามนี้ถ้าใครได้เห็นใกล้ๆ ทั้งจากองค์จริงหรือรูปคงตอบได้นะคะ