ถ้าจำไม่ผิด เรื่องนี้ในสมัยพุทธกาล พระตถาคตเคยได้วินิจฉัยไว้ครั้งหนึ่งแล้ว
เนื่องด้วยในสมัยพุทธกาลได้มีเพชฌฆาตได้เคยนำความกลุ้มใจนี้มาทูลฏีกาถามพระตถาคต
เขานั้นเกิดความทุกข์ใจเมื่อฟังธรรมแล้ว หวนกลับไปคิดว่าตนนั้นเป็นเพชฌฆาตต้องบั่นคอคนไปมากมาย
เกรงว่าจะเป็นบาป เลยเข้าเฝ้าขอฏีกาถามพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อพระตถาคตทราบความจึงตรัสถามเพชฌฆาต ให้เขาวินิจฉัยดังนี้
1. มีเจตนาที่ต้องการฆ่าหรือไม่ หรือทำเพราะเป็นหน้าที่
2. ผู้ถูกฆ่านั้นผิดกฏบ้านกฏเมืองจนถูกลงโทษให้ประหาร หรือท่านประหารเขาทั้งที่ทราบว่าเขาไม่ผิด
เพชฌฆาตก็ทูลกลับไปว่า ตนนั้นมิได้ประหารเพราะมีจิตอยากให้นักโทษตาย แต่ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะเป็นหน้าที่
ส่วนนักโทษนั้นตนก็ไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน มิได้เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิดแต่ประการใด และเมื่อมีคำสั่งประหารมาตนก็ต้องทำตามกฏหมายบ้านเมือง
เมื่อตอบเสร็จพระตถาคตก็กล่าวว่า เมื่อไม่มีจิตคิดอาฆาตต้องสังหาร แต่ที่ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ก็ถือว่าไม่มีเจตนาในการฆ่า
การก่อบาป สำคัญที่เจตนา เพราะเจตนานั้นเป็นต้นเหตุเป็นปัจจัยของการกระทำทั้งปวง
อีกอย่างเพชฌฆาตก็มิได้เป็นผู้ทำการตัดสินโทษ เรื่องว่าเขาจะผิดจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพชฌฆาต
ผมจึงสรุปว่า ถ้าทำตามหน้าที่เช่นนั้น โดยไม่มีเจตนาอาฆาตฆ่า ถือว่าไม่ผิด
ไม่มีสักขณะหนึ่งใด ที่เรานั้นไม่ประกอบกรรม กรรมนั้นเกิดเพราะจิตมีเจตนา ถ้าเจตนาถูกต้องกรรมย่อมถูกต้อง
แต่ถ้าความเป็นไปนั้นเกิดผันแปร ก็ไม่ถือว่าบาปแค่เป็นด่างที่ติดอยู่ในใจของเราเท่านั้น รอพุทธิปัญญามาขจัดให้หมดไป
เนื่องด้วยในสมัยพุทธกาลได้มีเพชฌฆาตได้เคยนำความกลุ้มใจนี้มาทูลฏีกาถามพระตถาคต
เขานั้นเกิดความทุกข์ใจเมื่อฟังธรรมแล้ว หวนกลับไปคิดว่าตนนั้นเป็นเพชฌฆาตต้องบั่นคอคนไปมากมาย
เกรงว่าจะเป็นบาป เลยเข้าเฝ้าขอฏีกาถามพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อพระตถาคตทราบความจึงตรัสถามเพชฌฆาต ให้เขาวินิจฉัยดังนี้
1. มีเจตนาที่ต้องการฆ่าหรือไม่ หรือทำเพราะเป็นหน้าที่
2. ผู้ถูกฆ่านั้นผิดกฏบ้านกฏเมืองจนถูกลงโทษให้ประหาร หรือท่านประหารเขาทั้งที่ทราบว่าเขาไม่ผิด
เพชฌฆาตก็ทูลกลับไปว่า ตนนั้นมิได้ประหารเพราะมีจิตอยากให้นักโทษตาย แต่ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะเป็นหน้าที่
ส่วนนักโทษนั้นตนก็ไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน มิได้เป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิดแต่ประการใด และเมื่อมีคำสั่งประหารมาตนก็ต้องทำตามกฏหมายบ้านเมือง
เมื่อตอบเสร็จพระตถาคตก็กล่าวว่า เมื่อไม่มีจิตคิดอาฆาตต้องสังหาร แต่ที่ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ก็ถือว่าไม่มีเจตนาในการฆ่า
การก่อบาป สำคัญที่เจตนา เพราะเจตนานั้นเป็นต้นเหตุเป็นปัจจัยของการกระทำทั้งปวง
อีกอย่างเพชฌฆาตก็มิได้เป็นผู้ทำการตัดสินโทษ เรื่องว่าเขาจะผิดจริงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพชฌฆาต
ผมจึงสรุปว่า ถ้าทำตามหน้าที่เช่นนั้น โดยไม่มีเจตนาอาฆาตฆ่า ถือว่าไม่ผิด
ไม่มีสักขณะหนึ่งใด ที่เรานั้นไม่ประกอบกรรม กรรมนั้นเกิดเพราะจิตมีเจตนา ถ้าเจตนาถูกต้องกรรมย่อมถูกต้อง
แต่ถ้าความเป็นไปนั้นเกิดผันแปร ก็ไม่ถือว่าบาปแค่เป็นด่างที่ติดอยู่ในใจของเราเท่านั้น รอพุทธิปัญญามาขจัดให้หมดไป