Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - เทวาเหนือเกล้า

#521
ง่ะ ๆๆๆ คุณโบ๋ มิได้เป็นญาติกะคุณพระแม่กาลีเหนือเกล้า จ้า  ตอนสมัครเข้าเวปมา เห็นแค่ชื่อเวป ก็สมัครเลย มิรุ้จะใช้ชื่ออารัยดี

นึกไปนึกมากะเลยใส่ว่า  เทวาเหนือเกล้า ตามความรู้สึกที่ว่า มหาเทพ มหาเทวี เป็นของศักดิ์สิทธิ์ อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของ

แนท นี่ล่ะ กะเลยใส่ไปเลย   ว่าแต่คุณโบ๋ อายุเลข 3 ล่ะจริงหรา พ.ศ. อารัยเอ่ย ของแนท 22 

แล้วจามาคุยใหม่นะคะ  หรือจะแอดเอม มากะได้

ancientnile@hotmail.com จ้า

ไปดูหน้าร้านก่อนเน้อ


#522
ลองดูที่ภาพนะคะ ว่าเป็นชิ้นไหน





ถ้าเป็นชิ้นนี้ คือ  Payasa , Pudding

พระพิฆเนศทรงโปรดสาคูหวาน ทรงโปรดและประคับประคองเป็นอย่างดีเฉกเช่นเดียวกับที่ทรงมีพระเมตตา

ประคับประคองเพื่อมาให้คนอื่นๆเสมือนเป็นเจ้าของร่วมกัน






ชิ้นนี้คือ pot of honey , Madhukumbha

พระพิฆเนศทรงแย้มพระสรวลยามเมื่อมีการถวายหม้อน้ำผึ้งแด่พระองค์ มันเป็นเหมือยกับสิ่งที่พระองค์โปรดปราน

เพราะความหวานที่สุดของมันเอง ถือเป็นของล้ำค่าที่สุด ของสิ่งตอบแทนความพยายาม




พระพิฆเนศทรงได้รับสรงน้ำในแต่ละครั้งจากวัด ซึ่งจะทำการสรงน้ำรดพระกร ทั้ง สองข้างไขว้กันไปมาโดยการใช้

Amrita ตักน้ำรดใส่ Sahasrara ให้รดที่ๆ นั่งของพระองค์ที่ฐานของ Muladhara





ถ้าเป็นถ้วยอีกชนิดหนึ่งที่คล้ายกับถ้วยเล็กๆปากกว้างๆก็น่าจะเป็นถ้วยขนมรันดู หรือ ลาดูป หรือ โมทกะ

ซึ่งถ้าเป็นถ้วยขนมรันดู ความหมายก็คือ พระพิฆเนศทรงโปรดให้พระทน (งา) ของพระองค์ทรงหวานอยู่เสมอ

แต่ขนมรันดูลูกกลมๆ เป็นของซึ่งท่านโปรด มากที่สุด เพราะความหวานของขนม Moskha หรือ Modaka นี้จะช่วยปลดเปลื้อง

ทุกสิ่ง ความหวานของขนมหวานจะทำให้ทุกสรรพสิ่งมีความหวานละมุนละไม และ ขนม โมทกะนั้น เป็นขนมที่พระองค์จะประทาน

เป็นรางวัลให้แก่ผู้ที่เจริญรอยพระบาทแห่งพระองค์





แต่ถ้าเป็นเทวรูปจากฝีมือ ช่างอาจจะเป็นไปได้ว่า สร้างจากจินตนาการ ซึ๋งแต่ละช่างก็ต่างจินตนาการค่ะ

เพราะทุกวันนี้ยังมีการสร้างองค์พระพิฆเนศ ปางทรงคอมพิวเตอร์ และมีหุ่นยนต์หนูเป็นพาหนะ โดยประติมากร

ชาวศรีลังกา ชื่อว่า ติสสะ รณสิงหะ เป็นผู้สร้างค่ะ แต่ก็อย่างที่คุณ gear knight บอกนั่นล่ะค่ะ ว่า

ถ้าโพสรูปมาจะช่วยหาข้อมูลได้ถูกต้องมากขึ้นค่ะ









#523
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณบุตรมหาเทพ  มีอะไรก็ออนเอ็ม มาคุยกันได้นะคะ

โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮัม

โอม ศรีลักษมี เจ นะมะฮัม

โอม ศานติ ศานติ
#524
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ   

พระเป็นเจ้าอวยพร คุณจั๊กจั่นค่ะ
#525
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ 
#526
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณ โบ๋  เข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้กันนะคะ

พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮัม  โอม ศานติ ศานติ
#527
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  คุณนู๋ดี  ชื่อแนทนะคะ

พระเป็นเจ้าอวยพรค่ะ
#528
ยินดีที่รู้จักค่ะ น้องฮอง  มีความรู้ก็แลกเปลี่ยนกันได้นะจ๊า
#529
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ 

โอม ศานติ ศานติ
#530
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ ยินดีที่ได้รับความรู้เพิ่มค่ะ 

สาธุค่ะ



#531
ข้อนี้ไม่แน่ใจนะคะ คงต้องขอให้ผู้รู้มาตอบอีกทีค่ะ 
ขอโทษด้วยค่ะ
#532
ยินดีที่รู้จักค่ะ
#533
ยินดีต้อนรับค่ะ
#534
ดอกเกตุกี ชาวฮินดู - อินเดีย เรียกว่า Ketaki  มีลักษณะเป็นเช่นนี้ค่ะ





#535
แหม๋ แหม๋ พี่กาลิทัสก๊อ อย่าลืมสิคะ  หนูก็แค่ตอบตามความเชื่อของคนไทย ที่เค้าว่ากันว่า แบบนั้นแบบนี้น่ะค่ะ

ส่วนตอนแรกน่ะ ที่บูชาปางนั้นมาเพราะมีคนเค้าแนะนำ ว่าวันอาทิตย์ ต้องบูชาปางนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องรู้ราวค่ะ

บูชาเพราะนึกศรัทธาน่ะค่ะ  จู่ๆๆเห็นองค์แรกที่ได้ (มหาราชลีลา องค์ที่ห้อยคอประจำ) ก็อยากได้ขึ้นมาน่ะค่ะ

อยากจะนำท่านมาบูชา  ตอนนั้นหนูสวดบทขององค์ท่านยังไม่ถูกเลยพี่  (อายง่ะ) ได้แต่ซื้อหาหนังสือเกี่ยวกับพระองค์มาอ่าน

แต่ ณ ปัจจุบันเหรอคะ  ยิ่งศึกษาไป ยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าไม่ว่าพระองค์จะอยู่ในรูปลักษณ์ใด ปางไหน ก็ตามแต่นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า

พระองค์คือ อนันตรูป    เพราะพระองค์คือ ทุกสรรพสิ่ง เป็นมหาเทพ ผู้ทรงไว้ซึ่งความเมตตาอันสูงสุดและหาประมาณมิได้

ตอนนี้ที่เข้าใจทุกอย่าง อย่างแจ่มชัด เพราะเริ่มศึกษาอย่างจริงจังแล้วค่ะ และที่พี่กาลิทัสได้บอกกล่าวนั้น ถูกต้องทุกประการค่ะ

(แต่ก็ยังมิวาย ไปสรรหาเช่าบูชามาเพิ่มเติม อิอิ)




#536
ต้องขอบคุณคุณ SCARED AVATAR ที่มาช่วยกันค่ะ

ขอเทพทรงอวยพร
#537
ง่ะ  แนทว่านะ ไม่เกี่ยวนะ ตัวแนทเองก็มีทั้งปางนั่งและปางยืน

ที่บูชาอยู่กะเป็นปางมหาราช กับ ปางเปิดโลก วีระ คณปติ เนื่องจากเกิดวันอาทิตย์

องค์นั่งก็มี ปาง มหาคณปติ  ปางประทานพร ปางอุตทันดา คณปติ

แนทเองก็ไม่ได้สำเร็จตลอด เพราะบางครั้งอธิษฐานสวดมนต์

แล้วใจเราตั้งมั่นไม่พอ แต่ส่วนใหญ่ถ้าออกไปพบลูกค้าก็จะห้อยองค์ที่เป็นปางมหาราชลีลา

คุยกะลูกค้าแปปเดียวเองนะ ตกลงซื้อเลย อิอิ

แต่ตามคติความเชื่อ(ไม่รู้ผิดอ่ะเปล่า) เค้าว่ากันอย่างนี้

ปางยืน+ ปางทรงหนูด้วยน่ะ  เหมาะกับผู้ที่ต้องออกไปเจรจาพาที การค้า หรือผู้ที่เดินทางเป็นประจำ

ปางนั่งก็ต้องดูอีกล่ะ ว่าเป็นปางไหน

หากเป็นปางมหาวีระคเณช หรือ ปาง วีระ คณปติ องค์ท่านนั่งนะคะ ก็ไม่เหมาะกับผู้ค้าขาย เพราะ ปางนี้

เหมาะที่สุดสำหรับ ตำรวจ ทหาร เนื่องจากองค์ท่านมีอาวุธครบมือเลยค่ะ ทั้งหมด 16 พระกร

หรือถ้าหากเป็นงานด้านติดต่อเจรจาที่คู่แข่งสูงมาก เห็นพี่ป๊อกเค้าแนะนำ

ให้บูชาองค์ที่เป็น ปาง วิกนา คณปติ เพราะปางนี้ท่านเป็นผู้สร้างอุปสรรคให้ศัตรู

ปางนี้จะมีจุดสังเกตุที่ พระวรกายสีขมิ้นทอง 8 พระกร และถือคันธนูของกามเทพ ปางนี้ก็ปางนั่ง

แต่ถ้าชอบแบบว่าทำมาค้าขายแล้วรวยเร็วที่สุด แนะนำให้บูชา ปางนั่ง

ปาง คริสปา คณปติ

พระวรกายสีส้ม ทรงภูษาสีฟ้า 4 พระกร ทรงถือขอสับช้าง บ่วงบาศ

ใบมะตูม และหม้อแห่งทรัพย์ใส่เครื่องเพชร

ปางที่ยืนหรือร่ายรำ ก็เหมาะกับผู้ที่ทำงานด้านการแสดง

แต่ยังไงก็แล้วแต่ในความคิดส่วนตัวของแนทเอง แนทว่า

พระองค์คือทุกสิ่งในโลกนี้ การที่เราจะบูชาปางไหน รูปร่าง เช่นไร

ภูษาสีอะไร อาวุธถืออะไร กี่พระกร

อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ใดปางใด  พระองค์คือ มหาเทพผู้เมตตา

แม้องค์มหาศิวะเทพ ยังให้เริ่มบูชาที่พระองค์ก่อน

หากเรามีจิตที่แน่วแน่ ในการบูชา พร้อมกับ

รู้จัก รักษาศีล ถึงพร้อมซึ่งการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

จะบูชาปางไหน พระองค์ก็จะทรงอวยพระพรให้สาวก

ท่านผู้ที่ท่านได้เห็นแล้วว่า ผู้นั้นถึงพร้อมด้วยการบูชา

ถึงพร้อมด้วยความดี ถึงพร้อมด้วยเมตตาจิต ไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งผิด

ไม่นานหรอกค่ะ ท่านต้องอวยพระพรให้กับชีวิตคุณให้รุ่งเรือง

และปราศจากอุปสรรค

โอม วักรตุนทายะ ฮัม  ขอบารมีองค์พระคเณช ได้ปกปักรักษาคุณ อวยพรให้คุณ สำเร็จในกิจที่ประสงค์ไว้นะคะ

#538
พระไภราวะ นั้น ในพื้นที่ของประเทศเนปาล บางครั้งเรียกกันว่า Bhairo หรือ ไภโร หรือ Bhairon หรือ ไภรณ
พระไภราวะนั้นเป็นปางอวตารขององค์มหาเทพศิวะ เพื่อแสดงพลังอำนาจของการทำลายล้าง ทั้งสองภาค ไม่ว่า
จะเป็นพระ กาลไภราวะ หรือ พระเศวตไภราวะ หรือแม้แต่ Akaash Bhairab ล้วนแต่เป็นปางอวตารของ
องค์พระศิวะทั้งสิ้น ชาวเนปาลเชื่อกันว่าพระไภราวะนั้นหากจะสวดถึงก็จะเป็นการสวดเพื่อทำลายศัตรูหรือสิ่งเลวร้าย
และปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไป








พระไภราวะ Bhairab  or Bhairava

ส่วนในเรื่องของประวัติพระไภราพนั้นเราทุกคนคงเคยได้ยินตำนานพระพรหมเสียเศียรที่ 5 ดังนี้

ตำนาน พิพากษาคดีกลโกงของพระพรหม

เหตุเกิดเมื่อพระวิษณุเทพบรรทมสินธุ์ เพื่อเข้าสมาธิตามคำบัญชาของพระศิวะในการสร้างโลกและได้บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นที่สะดือ
พอดอกบัวบานก็มีพระพรหมอยู่ในนั้น เมื่อเทพทั้งสององค์เจอกันก็ต่างเข้าใจกันผิดต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้วยคิดว่าตนนั้นหรือ
คือพระผู้สร้าง ทั้งเถียงทั้งรบพุ่งกันจนร้อนไปถึงองค์พระสดาศิวะต้องแปลงร่างให้เป็นเสาไฟต้นใหญ่ ทั้งสององค์ก็ได้กังขาว่าเสา
ไฟนี้มีที่มาอย่างไรกัน จนในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าจะหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเสาไฟนี้ให้จงได้ ฝ่ายองค์วิษณุเทพก็ได้แปลง
กายพระองค์เป็น หมูป่า ไปขุดที่โคนรากเสา ส่วนพระพรหมก็แปลงเป็น นก บินไปหาจุดสิ้นสุดของเสาไฟนี้

ปรากฎว่าทั้งสององค์ต่างสุดความสามารถที่จะค้นให้พบ แต่บังเอิญที่ว่าพระพรหมนั้นได้ไปพบกับดอกไม้สวรรค์ที่เรียกว่า ดอกเกตุกี
ที่ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์เพื่อบูชาองค์พระศิวะลึงค์ และพระพรหมก็ได้ร่วมมือกับดอกเกตุกี โกหกพระวิษณุว่า ค้นพบจุดสิ้นสุดแห่ง
เสาไฟต้นนี้แล้วโดยอ้างเอาดอกเกตุกี มาเป็นองค์พยาน   

จนเมื่อองค์พระสดาศิวะได้คืนร่างเป็น 5 เศียร 10 กร พร้อมศาสตรวุธครบครัน ทั้งยังโกรธกริ้วเหลือกำลังก็ได้ทรงสร้างพระมหากาลไภรวะ
ขึ้นจากตาที่สาม ของพระองค์  พร้อมกับบัญชาให้พระมหากาลไภรวะนั้นไปตัดศรีษะของพระพรหมเสีย  (แต่แรกเกิดนั้นพระพรหมมี 5 เศียร)
พระมหากาลไภรวะก็ตรงเข้าไปจิกดึงปอยผมของเศียรที่ 5 ของพระพรหมหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังสาปให้พระพรหมนั้น
ไม่มีเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์เป็นขององค์เอง และไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาของตัวเองด้วย และอนุญาตเพียงให้อยู่นอกโบสถ์
ส่วนดอกเกตุกีโทษฐานที่สมคบกับพระพรหมก็ให้เนรเทศจากสวรรค์และห้ามนำดอกไม้ชนิดนี้มาบูชาอีกต่อไป
พระวิษณุกรรมทรงยอมรับความผิดในพระองค์เองต่อองค์พระสดาศิวะ จนพระสดาศิวะพอพระทัยและยกให้พระวิษณุนั้นเสมอซึ่งพระองค์
และวันนั้นเองก็เป็นวันถือกำเนิด ศิวะราตรี

ส่วนอีกตำนานหนึ่ง ก็มีดังนี้ค่ะ

พระแม่สตี ชายาแห่งองค์พระศิวะ เป็นราชธิดาของพระเจ้าทักษะประชาบดี (Daksha) ในตอนนั้นได้เลือกที่จะแต่งงานกับองค์พระศิวะ
แต่พระทักษ ไม่เห็นด้วยกับธิดาของพระองค์เพราะ พระทักษ นั้นเห็นพระศิวะเป็นฤษีเจ้าแห่งภูติผี ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสัตว์และมีชีวิตที่อัตคัต
ในที่สุดพระทักษประชาบดีก็ได้จัดพิธีบวงสรวงซึ่งได้เชิญทวยเทพทุกพระองค์รวมถึงคนธรรพ์ วิทยาธร นาค ฯลฯ แต่ไม่เชิญองค์พระศิวะ
และพระนางสตี   

พระนางสตีได้มาถึงที่มณฑลพิธี ในขณะเดียวกันกับที่พระทักษประชาบดีกำลังกล่าวดูถูกดูหมิ่นองค์พระศิวะ

เมื่อพระนางสตีได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ทรงกระโดดเข้ากองไฟที่บวงสรวง เมื่อองค์พระศิวะทราบเรื่องก็ได้ไปทำลายพิธีบวงสรวงพร้อมยังได้
สร้างพระวีรภัทร พระมหากาลไภรวะ ขึ้นและฆ่าพระทักษะประชาบดีโดยการตัดหัวของเขา

องค์พระศิวะได้แบกศพของพระนางสตีร่ำไห้ และได้ใช้จักรศักดิ์สิทธิ์แห่งพระวิษณุเทพตัดร่างของพระนางสตีออกเป็น 51 ชิ้น ร่วงหล่นไปใน
แผ่นดินอินเดียและได้เกิดเป็นเทวาลัย ที่เป็นปางดุร้ายน่ากลัว


พระ Akaas Phairab  อากาศไภราพ



เทวรูปองค์นี้ตั้งอยู่ในเทวาลัยนิกายตันตระ ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสามในถนนสายหลักของตลาด
พวกเขาเรียกว่า พระอินทร์ (Indra) ซึ่งจะถูกนำออกมาปรากฏองค์ภายนอกในช่วงระหว่าง
พิธีขอฝน หรือ ช่วงงานประเพณี อินทร-จันทรา ซึ่งเป็นเทศกาลของพระอินทร์ เจ้าแห่งฤดูฝน
(ตามความเชื่อของชาวเนปาล)


พระ เศวตไภราพ หรือ Sweto Bhairab หรือ Seto Bhairab






เป็นหนึ่งในเทวาลัยที่น่าทิ่งที่สุดในเมืองกาฐมาฑุ ประเทศเนปาล

สร้างขึ้นอย่างมั่นคงแข็งแรงแม้จะได้เป็นที่ปรากฎในเพียงปีหนึ่งๆ 2 - 3 ครั้ง
หน้ากากทองแห่งพระเศวตไภราพ Seto Phairab ในจตุรัสเดอร์บาร์

ในปี 1769 โดยคำสั่งแห่งกษัตริย์ รานา บาฮาเดอร์ ชาร์ แห่งอิหร่าน
น่าเจ็บปวดยิ่งที่เป็นผู้ที่นำการทำลายโบสถ์เทวาลัยต่างๆมากกว่าที่จะสร้าง
โดยได้เปิดเผยวัตถุประสงค์ว่า ต้องการปกป้องพระราชวังเดิมโดยการ
ปกปิดสิ่งที่นำไปในทางชั่วร้าย

โดยปกติแล้วหน้ากากนั้นด้านหลังเป็นไม้แกะสลัก แต่ในระหว่างช่วง
เวลาของเทศกาล อินทรา-จันทรา และทั้งยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ
เทศกาลของเทพธิดาแห่งชีวิต  Living Goddess ซึ่งจะเปิดให้สาธารณะ
ชนเข้าชม มงกุฎทองแห่งพญานาคและหัวกะโหลกและแก้วรัตนากรซึ่ง
ครึ่งหนึ่งได้ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยดอกไม้และกระดาษที่ประดับไว้

รอยยิ้มอันชวนตกตะลึงบนหน้ากากทองนั้นถูกลงสีด้วย สีดำ สีแดงและสีขาว
วิจิตรการตาด้วยทั้งยังน่าขนลุกขนพองในตัวเช่นกัน
แต่ในท่ามกลางของฟันสีขาวนั้นจะเห็นผู้กระหายการที่ถูกบูชายัญ
และดวงตาที่โกรธกริ้วที่จะมองทะลุหัวใจที่ชั่วร้าย


Kal - Bhairab  พระกาลไภราพ



เทวรูปขององค์ไภยราพ ในจตุรัสเดอบาร์, กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล
นั้นแสดงให้เห็นถึงปางที่ดุร้ายที่สุดขององค์พระศิวะมหาเทพ
เทวรูปหินสวมพวงมาลัยกะโหลกศรีษะ มี 6 กร และยืนบนศพของอสูร
และถูกค้นพบทางตอนเหนือของเมือง
ภาพสิงโต ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ได้ถูกเพิ่มเติมในภายหลัง

และความเชื่อที่ว่า หากกล่าวคำเท็จต่อหน้าองค์พระกาลาไภยราพนั้น
จะต้องถึงแก่ความตายและความขัดแย้งต่างๆที่ผ่านมาจะต้องจบลงที่นี่


ข้อมูลที่มา

Atom blog /Nepal Myth.


**** ข้อมูลที่ได้มาเป็นการแปลจากภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

       หากมีข้อความใดที่ตกหล่นไป หรือสำนวนการแปลไม่ถูกต้อง  ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ  ******
#540
อะโหหหหห   อลังการ ง่ะ  สวยมากค่ะ  สาธุ
#541
สวยมากเลยค่ะ  สาธุ อนุโมทนาด้วยค่ะ   เดินผ่านแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของหลายๆๆท่าน
องค์พระคเณศ งามมากเชียวค่ะ
#543
เคียงข้างเข้าสนามรบและกัดกินอสูร ดังภาพที่จะโพสต์ให้ดูในกระทู้ถัดไป(หนูโพสต์รูปใส่กระทู้ของคนอื่นมิเป็นค่ะ ยอมรับว่าหนูโง่ค่ะ) ในส่วนของประวัติขององค์พระพิราพ จะนำมาเสนอ บัดเดี๊ยวนี้ค่ะ  (แต่อาจจะเป็นฉบับย่อนะคะ)

พระกาลาไภรวะหรือไภรวะ หรือ พระพิราพ

            คือ เทพอสูรผู้เป็นบรมครูสูงสุดแห่งนาฏศิลป์ บรมครูผู้ประทานโชคลาภความสุข ความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุข และอำนาจ แห่งมหาเสน่ห์เมตตาชั้นสูงสุด
            คือ พระอิศวรอวตารภาคดุ           
            คือ เทพเจ้าผู้ประทานชีวิตและความตาย
            คือ เทพเจ้าแห่งพลังอำนาจการลบล้างคุณไสยมนต์ดำ ป้องกันกันและปราบปรามภูตผีปีศาจ และอาถรรพณ์ร้ายทุกชนิด
            ในวงการโขนละครนับถือพระพิราพยักษ์เป็นครูนาฏศิลป์ โดยมีตำนานเล่าว่าพระพิราพ เป็นคนที่ท่าร่ายรำนาฏศิลปะขึ้น แล้วสอนมนุษย์ให้เรียนรู้
            พระไภราวะหรือไภรพ หรือไภราพ เป็นปางหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งนับถือว่าเป็น นาฏราช คือ ผู้ให้กำเนิดนาฏศิลป์แก่มนุษย์ แล้วยังถือกันว่าพระไภราพนี้เองเป็นต้นกำเนิดแห่งท่ารำ “วิจิตรตาณฑวะ” ซึ่งเป็นท่ารำที่วิจิตรพิสดารหนึ่งใน ๑๐๘ ท่า ของพระศิวะ พระไภราวะ เป็นที่นับถือเคารพบูชาและเกรงกลัวยิ่งในหมู่นาฏศิลปินอินเดีย แถบลุ่มน้ำคงคา โอริสา มหานที และจันทรภาค โดยเฉพาะที่เมืองพาราณสี เชื่อว่าการบูชาเทวรูปนี้ตามบ้านจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ขจัดเสนียดและประทานพรให้ด้วย
            สอดคล้องกับที่ ไมเคิล ไรท์ ระบุว่าชาวเมืองพาราณสีมีรูปเคารพที่ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า
“กาศีลิงคพิราปฺปา” มีลักษณะเป็นเสาหลักมียอดเป็นหัวยักษ์ผู้คนนิยมเซ่นสังเวยด้วยเนื้อดิบและเหล้า “เป็นตำรวจ แทนองค์พระอิศวรวิศวนารถผู้เป็นประธานในพาราณสี, คอยฟาดฟันผู้บังอาจกระทำความชั่วในเมืองนั้น”
            ส่วนในประเทศเนปาล พระไภราพ หรือกาโลไภราพ เป็นเทพเจ้าที่มีผู้นับถือและเกรงกลัวมาก ด้วยว่าเป็นเพทแห่งสงครามและความตาย ขณะเดียวกันก็เป็นเทพผู้ประทานพรและขจัดโรคภัยไข้เจ็บด้วยเช่นกัน
            ความเชื่อด้านนาฏศิลป์และดนตรีไทยส่วนหนึ่งคงได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียโดยผ่านมาทางชวาและขอม แล้วไทยคงจะรับจากขอมอีกทอดหนึ่ง ดังเช่นความเชื่อในการบูชาพระไภราวะหรือพระพิราพนี้ ซึ่งปรับประยุกต์เข้ากันได้กับความเชื่อเดิมของคนไทยที่นับถือผี และเซ่นสรวงสังเวยด้วยเนื้อดิบ และเหล้าอยู่แล้วได้อย่างแนบสนิท
            การร่ายรำของพระศิวะนาฏราชนั้นเป็นการสร้างสรรค์และการทำลายอยู่ในตัว รูปพระศิวะปางนาฏราชในทางปฏิมานวิทยามักจะทำเป็นรูปทรงเหยียบอสูรไว้ด้วยพระบาทขวาหมายถึงการทำลายความชั่ว พระบาทซ้ายยกขึ้นทำท่ารำงดงามเป็นการสร้างสรรค์ศิลป์ รอบๆ เป็นวงเปลวเพลิงหมายถึงการหมุนเวียนของจักรวาล การบูชาเทพเจ้าฝ่ายนาฏศิลป์ปางดุร้ายก็คงเข้าในคตินี้เช่นกัน

ความชาญฉลาดของโบราณจารย์ไทยประการหนึ่งคือการสามารถประยุกต์และผนวกเอาความเชื่อพระพิราพในรูปแบบเทพเจ้า และตัวโขน เข้าไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างแนบเนียน ดังที่กล่าวมาแล้วว่า หน้าพาทย์หรือท่ารำองค์พระพิราพ เป็นหน้าพาทย์ชั้นสูงสุด เป็นหน้าพาทย์เฉพาะองค์พระพิราพในฐานะเทพเจ้า ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะใช้กับการแสดงอื่นๆ หากไม่มีการแสดงย่อมเกิดการสูญหายได้ด้วยว่าไม่มีผู้สืบทอด
            ประการหนึ่ง ด้วยเหตุนี้โบราณจารย์จึงได้นำมาบรรจุไว้ในการแสดงโขนตอนพระรามเข้าสวนพิราพ ซึ่งมีนามพ้องกับ พระไภราพหรือพิราพ ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระอิศวรนั่นเอง โดยท่ารำและเพลงที่แสดงถึงภาวะความเป็นเทพเจ้านั้น จะปรากฏในตอนออกท่ารำหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ที่ศิลปินผู้รับบทจะต้องถือกำก้านใบมะยมด้วยมือซ้ายและถือหอกด้วยมือขวานั่นเอง เป็นการแสดงเบิกโรงต้นเรื่องที่มีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสิ้นกระบวนรำจึงเป็นการดำเนินเรื่องตามบทบาทของ     พิราพอสูรในเรื่องรามเกียรติ์ต่อไป
            ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระพิราพนั้นแท้จริงแล้วคือปางดุร้ายปางหนึ่งของพระอิศวรเป็นเจ้า ทำนองเดียวกับเจ้าแม่กาลี หรือ ทุรคา ซึ่งเป็นปางดุร้ายของพระอุมานั่นเอง            ทั้งนี้คติในการนับถือพระพิราพว่าเป็นบรมครูนั้นสืบเนื่องประเพณีการนับถือพระไภราวะของชาวอินเดียและเนปาล โดยพระไภราวะนั้นคือภาคหนึ่งของพระอิศวรที่แสดงรูปกายออกมาเป็นยักษ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์
            ตามคติตำนานแต่โบราณกล่าวว่า พระไภราวะนี้มีฤทธิ์ในการปราบภูตผีปีศาจ ในสมัยก่อนเมื่อเกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนทั้งหลาย ขาดที่พึ่งจึงได้ระลึกถึงพระไภราวะผู้ประทานชีวิตและความตายอันเป็นภาคมหาปราบภาคหนึ่งของพระศิวะเจ้า เมื่อคนทั้งหลายต่างพากันบูชาพระไภราวะแล้ว โรคร้ายทั้งหลายทั้งปวงก็หายไป บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมาอีกครั้ง             ดังนั้นการนับถือพระไภราวะนี้จึงมีคติที่นับถือกันว่าผู้ใดก็ตามที่นับถือบูชาแล้ว ผู้นั้นจะปราศจากภยันอันตราย อาถรรพณ์ร้ายทั้งปวง ทั้งยังช่วยให้เกิดสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
            คติการนับถือพระไภราวะนี้เข้ามาในไทยพร้อมกับวิชานาฏศิลป์ คำว่าพระพิราพนั้นก็มาจากคำว่า “ไภราวะหรือไภรวะ”แล้วภายหลังเพี้ยนมาเป็น “พระไภราพ” จนที่สุดก็กลายมาเป็นคำว่า “พระพิราพ” ในคติของชาวนาฏศิลป์ที่นับถือพระพิราพนั้นก็เนื่องจากเชื่อถือกันว่า             พระพิราพนี้เป็นบรมครูทางฝ่ายยักษ์ผู้สูงสุดและยังถือว่าพระพิราพนี้เป็นผู้ประทานโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ ผู้ที่เคารพบูชาพระองค์จะเป็นเมตตามหานิยมแก่คนทั้งหลาย บังเกิดความเจริญสูงสุดในชีวิตทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องการงาน การเงิน และจะมีความร่มเย็นเป็นสุขห่างไกลจากโชคร้ายภยันอันตรายทั้งหลายอย่างน่าอัศจรรย์             แม้ว่าจะต้องประสบเคราะห์หามยามร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี หากมีพระพิราพบูชามีบารมีแห่งพระองค์คุ้มหัวคุ้มเกล้าแล้วไซร์ ย่อมปลอดภัย ผ่อนหนักเป็นเบา แคล้วคลาดไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้นว่าบ้านใดมีผู้ป่วยเรื้อรังมานานหรือญาติมิตรทั้งหลายเจ็บป่วยขาดที่พึ่ง เกรงว่าจะรักษามิได้ ก็ให้ระลึกถึงคุณบรมครูพระพิราพ จุดธูปเทียนสักการะ ตั้งจิตอธิฐานถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า และคุณบรมครูอสูรเทพพระพิราพเอาเถิดจะเกิดผลดีเป็นแน่แท้ อำนาจแรงครูจะช่วยปัดเป่าโรคร้ายเสนียดจัญไร เคราะห์ร้าย ทั้งหลายให้พินาศไปเอง แม้ว่าจะประสงค์ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือประสงค์เงินทองมิให้ขาดมือ ปรารถนาอยากมีโชคมีลาภ ก็ให้จุดธูปเทียนบูชาพระองค์แล้วตั้งจิตอธิฐานขอให้พระองค์โปรดประทานพรอันสิ่งเป็นมงคล ก็จะสมหวังในกาลทุกเมื่อแลฯ

อนึ่งเรื่องเกี่ยวกับพระพิราพนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศีรษะโขนก็ดี การสร้างพระพิราพเต็มองค์ในรูปแบบวัตถุมงคลก็ดี หรือแม้กระทั่งการร่ายรำท่ารำพระพิราพหรือการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์พิราพก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้นสำหรับการรำท่ารำพิราพเต็มองค์นั้น ครั้งหนึ่งเกือบสูญหายไปจากวงการนาฏศิลป์ ในราวปี พ.ศ.๒๕๐๔ ได้จัดให้มีการถ่ายทอดท่ารำขึ้นที่หน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการสืบสานตำนานท่ารำพระพิราพเต็มองค์และคติความเชื่อความนับถือพระพิราพมิให้สูญหายไปจากวงการนาฏศิลป์ของไทยเราสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

การไหว้ครูและครอบครู

            การใหว้ครู และครอบครู เป็นการแสดงกตเวทีต่อบุพการี ครูบาอาจารย์ในพิธีการนั้น จะต้องจัดให้มีเครื่องสังเวย และครูผู้อ่านโองการตามแบบแผน ส่วนใหญ่จะเลือกกระทำพิธี ในวันพฤหัสบดี ประเพณีการไหว้ครูมีมาแต่โบราณ คนไทยเป็นคนที่มีกตัญญูอย่างแรงกล้า และได้รับการอบรมต่อ ๆ กันมาให้เป็นผู้มีกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ การที่จะกระทำ กิจการใดๆ ก็ต้องได้รับคำแนะนำจากครู แม้แต่การเลียนแบบหรือลักจำเขามาก็ ต้องเคารพผู้ให้กำเนิด หรือประดิษฐ์สิ่งนั้น             ในการศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆ ต้องมีการไหว้ครูก่อนทั้งนั้น การไหว้ครูถือว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในการเรียนศิลปการดนตรี และนาฏศิลป์ เป็นพิธีการที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ และมีพิธีรีตองมากกว่าการไหว้ครูทางหนังสือ พิธีไหว้ครูที่ปฏิบัติกันเคร่งครัด ได้แก่ พิธีไหว้ครูอาจารย์ทางดุริยางคศิลป์ และ นาฏศิลป์             ถือกันว่าเพลงหน้าพาทย์ ดนตรีบางเพลงและท่ารำบางท่า เป็นเพลงและท่ารำที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้ายังไม่ได้ทำพิธีไหว้ครู และพิธีครอบเสียก่อนแล้ว บรรดาครูอาจารย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าสอนกล้าหัดให้ศิษย์ ด้วยเชื่อกันว่าจะเกิดผลร้ายแก่ครูผู้สอน และแก่ศิษย์เองด้วย ถ้าเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นก็จะกล่าวกันว่า "ครูแรง" เหตุนี้โรงเรียนนาฏศิลปของกรมศิลปากรจึงได้กำหนดงานพิธีไหว้ครูและพิธีครอบขึ้นเป็นประจำปีละครั้งในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นวันครูในตอนต้นภาคเรียนแรกแต่ละปีการศึกษา ทำนองเดียวกับโรงเรียนต่างๆ เพียงแต่มีพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ และดุริยางคศิลป์เพิ่มจากไหว้ครูธรรมดา และมีพิธีครอบประกอบด้วย เพื่อครู ศิษย์ และนักเรียนจะได้เริ่มสอนเริ่มเรียนกันไปอย่างเรียบร้อย และสบายใจ

ความเชื่อ
            การจัดพิธีไหว้ครูนั้น มักจัดวันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าเป็นวันครูอันเกี่ยวข้องกับตำนานเทพเจ้าพระพฤหัสบดี ในปัจจุบันบางครั้งก็นิยมจัดกันในวันอาทิตย์ได้อีก ๑ วัน แต่ไม่ว่าจะจัดวันพฤหัสบดีหรือวันอาทิตย์ จะต้องไม่ตรงกับวันพระเพราะถือว่าครูจะไม่ลงมา และหาซื้อเครื่องสังเวยลำบาก เดือนที่นิยมกระทำพิธีไหว้ครู
            ตามแบบโบราณนั้น นิยมประกอบพิธีในเดือนที่เป็นเลขคู่ ยกเว้นเดือน ๙ เดือนเดียวที่อนุโลม เพราะถือเป็นเคล็ดว่าเป็นเลขที่ดีก้าวหน้า และมักทำกันในวันข้างขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นวันฟู ข้างแรมอันถือว่าเป็นวันจมไม่นิยมประกอบพิธีกัน
            พิธีไหว้ครู หมายถึง การสำรวมใจรำลึกถึงพระคุณของบรมครูที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ และพร้อมใจกันเปล่งเสียงวาจาด้วยความเคารพตามครูผู้กระทำพิธีขณะอ่านโองการ
            พิธีครอบครู เป็นพิธีที่นิยมกันมาช้านาน หมายถึง การนำศีรษะครูมาครอบ (เพื่อรับเป็นศิษย์) และครูจะคอยควบคุมรักษาคอยช่วยเหลือให้ศิษย์มีความจำในกระบวนท่ารำ จังหวะดนตรี หากมีสิ่งใดที่ไม่งามจะเกิดขึ้นกับศิษย์ ครูจะช่วยปัดเป่าให้พ้นจากตัวศิษย์             พิธีครอบครูนั้นนับว่าเป็นการทำให้ผู้เรียนมีกำลังใจว่าครูจะคุ้มครองรักษา ครูจะช่วยเหลือแม้จะรำผิดพลาดไปบ้าง จะทำให้ผู้เรียนไม่ตระหนกตกใจจนเกินไป เพราะมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองได้ทำพิธีครอบครูแล้ว ครูคงให้อภัยในความผิดพลาด             อีกประการหนึ่งพิธีครอบครูนั้น ผู้ศึกษานาฏศิลป์ทุกคนถือว่าเป็นพิธีสำคัญ และจำเป็นสำหรับผู้ศึกษาปฏิบัติท่ารำที่อยู่ในระดับสูง เช่น การรำเพลงหน้าพาทย์ ก่อนจะรำผู้ศึกษาต้องผ่านพิธีครอบครูก่อนจึงจะต่อท่ารำได้
....................................................


#544
สงสัยว่าต้องไปดูอีกกระทู้นะ เพราะว่าแนทลงภาพไม่เปนอ่า
#545
ขอบคุณค่ะ  ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว
#546
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  คุณ ญ  ขอบคุณสำหรับการต้อนรับค่ะ 

#547
สวัสดีค่ะ

ชื่อแนทนะคะ  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  คุณ TADATADA

แนทยังใหม่เหมือนกันค่ะ
#548
สวัสดีค่ะ ชื่อแนทนะจ๊ะ  ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
#549
สวัสดีค่ะ

ชื่อแนทนะคะ (บอกอีกที กัวลืม อิอิ)  แนทเองก็นับถือองค์พระพิฆเนศ และองค์แม่ลักษมี และเทพ เทวีทุกองค์ค่ะ

องค์พระพิฆเนศมีหลายองค์แล้วอ่ะค่ะ  ตอนนี้กะลังคลั่งอยากได้องค์แม่ลักษมีมาบูชามากมายค่ะ แต่ยังหาองค์ที่สัมผัส

แล้วความรู้สึกบอกว่าใช่ไม่ได้เลย  แต่ยังไงก็จะไม่ลืมคำที่พวกพี่ๆ เคยผู้ว่า การบูชาที่สำคัญที่สุดคือ มานัสบูชา (บูชาด้วยใจ)

แต่ยังไงถ้ามีข้อมูลก็บอกกันได้นะคะกิมเนย :> 

โอม วักรตุนทายะ ฮัม

โอม ศรี ลักษมี เจ นะมะหะ

โอม ศานติ ศานติ
#550
สวัสดีค่ะ คุณน้ำ 

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ  ชื่อแนทค่ะ  พร้อมรับคำชี้แนะจากคุณน้ำเช่นกันค่ะ

โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา

โอม ศานติ ศานติ


#551
สวัสดีค่ะ

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ป้าmahad หนูชื่อแนทนะคะ  ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

หนูแนทผิดพลาดประการใด ยินดีน้อมรับคำสอนของคุณป้าค่ะ

ขอองค์มหาเทพ มหาเทวี เทพเทวา ทุกพระองค์ ทรงประทานพร ให้คุณป้า

Mahad มีแต่ความสุข และประสบสิ่งสมหวังทุกประการค่ะ 

โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา

โอม ศรีลักษมี เจ นะมะฮา

โอม ศานติ ศานติ ศานติ

ศรัทธาในองค์เทพ

เจ้าหนูแนทค่ะ
#552
ขอบคุณค่า พี่สวสติ และ พี่กาลิทัส (ไม่รู้จะหล่อหรือไม่หล่อ แต่ยังไงน่ารักกับน้องๆ ก็พอแล้วค่ะ)

โอม ศรีลักษมี เจ นะมะฮา

โอม ศานติ
#553
ขอบคุณพี่กาลิทัสที่ให้ความรู้ และขอบคุณพี่น้อง HM ที่ให้ทางสว่างค่ะ


โอม ศรีลักษมี เจ นะมะฮา
#554
ขอขอบคุณพี่น้องชาว HM ในน้ำใจ ที่ได้ต้อนรับแนทอย่างอบอุ่น

ขออำนาจ แห่งองค์มหาเทพ เทวี ทุกพระองค์ ประทานพรให้พี่น้องทุกท่าน

ประสบแต่ความสำเร็จและความสุข และทุกสิ่งที่ปรารถนาด้วยเทอญ

#555
สวัสดีค่ะ แนทเองได้ไปมาเหมือนกันค่ะถึงแม้ฝนจะตกช่วงหนึ่งก่อนแต่ก็ยังพยายามจะไปบริเวณหน้าวัดเพื่อไปชมพิธี แต่เข้าไปตรงหน้าวัดไม่ได้เลยค่ะเพราะคนแน่นมากมายเลยค่ะ เลยรออยู่ตรงบริเวณใกล้ๆวัดน่ะค่ะ ตรงร้านมารีอัมมันค่ะ พิธียิ่งใหญ่และอลังการมาก นั่งขนลุกตลอดเลย แต่คนทรงทำไมเหมือนเดิมทุกปีเลยก็ไม่รู้ ไม่เห็นเปลี่ยนคนเลย แต่ยังไงก็ดีใจมากเลยค่ะที่ได้มีโอกาศถวายของตอนที่รถขบวนมาถึงแม้จะไม่ได้ไปช่วยลากรถแต่ได้แตะเชือกและถวายของก็รู้สึกปลาบปลื้มใจแล้วค่ะ และได้มีโอกาสเช่าผ้ายันต์ที่ระลึกซึ่งปีนี้ทำเป็นผ้ายันต์ขององค์ตรีมูรติสีชมพูสวยงามมากค่ะ  แต่ที่ไม่เข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ ทำไม๊ ทำไมงานพระแม่อุมาแท้ๆๆ แต่มีเชิดสิงโตได้ไง แล้วแถมยังมาขอเงินที่แนทอีกนะ พอแนทไม่ให้ มันด่าแนทเลยล่ะค่ะ แต่รุ่นพี่ที่ไปด้วยก็บอกว่าไม่ต้องสนใจ คนพวกนี้แย่มาก  แนทคิดว่าทางวัดเค้าน่าจะไม่ให้พวกนี้เข้ามาได้นะคะ ไม่ดีเลย   แต่รู้สึกดีอยู่อย่างคือ ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งเค้าศรัทธาในองค์บรมครูพิฆเนศมากเลย เค้ามายืนรอรับขบวนอยู่ข้างๆ แนท เค้าว่าเค้าบินมาจาก แคนาดา เพื่อมาดูงานนี้โดยเฉพาะน่าดีใจจริงๆ คนต่างชาตืแท้ๆ ยังมีศรัทธาถึงเพียงนี้ ฝรั่งคอเคเชียนผิวขาวแท้ๆเลยศรัทธาแรงกล้ามากๆ
(และที่น่าเบื่ออีกอย่างหนึ่งคือ ไม่เข้าใจเลยทำไมพวกตำหนักคนทรงเยอะจังหรือว่าเค้าคิดว่าเป็นโอกาสดีสำหรับเขาก็ไม่รู้ตั้งซุ้มซะชาวบ้านอย่างเราไม่มีที่ให้นั่งเลย)

ถ้าสนใจอยากชมภาพ ลองเข้าไปชมสิคะ คุณอักษรชนนี ได้ถ่ายภาพสวยๆเยอะเลย ต้องขอบคุณเค้าจิงๆค่ะ

วันนี้แนทเองก็ไปส่งของให้ลูกค้าก็ได้มีโอกาสไปไหว้และถวายของบูชาอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ทางวัดก็ใจดีมากๆเลยค่ะ และบอกกับแนทด้วยว่าวันที่  17 ตุลาคม อย่าลืมมาร่วมพิธีขององค์พระแม่ลักษมีด้วยนะ  (หนูไม่พลาดแน่ค่ะ) อิอิ

#557
พี่คะ แล้วถ้าหากเราได้แต่ถวายผลไม้ทุกๆวันอังคารต่อองค์พระพิฆเนศร์จะได้ไหมคะและจะสวดยังไงอ่ะคะ สวดว่า โอมศรีคเณศายะ นะมะฮาหรือต้องมีอะไรเพิ่มเติมอีกเหรอคะ  เพราะหนูไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อชุดอารตีที่ไหนน่ะค่ะพี่ ขอความสว่างให้หนูด้วยค่ะ  ขอบคุณสำหรับความรู้ที่พี่ ๆ ทีมงานได้ให้ค่ะ
#558
สวัสดีค่ะ ชื่อแนทนะคะ มีความรู้เพิ่มเติมอะไร บอกกล่าวและสอนได้นะคะพี่ๆ

วัดที่ไปประจำจะเป็นวัดแขกสีลมค่ะ แต่ยังปฏิบัติไม่ค่อยถูกนัก ได้แต่อ่านหนังสือ
ของพี่ป๊อกเชลซี แต่ของที่จะใช้ถวายเนี่ยอย่างเช่นชุดอารตีเนี่ยทำไมหาซื้อยากจัง
อยากจะปฏิบัติและบูชาให้ถูกต้องน่ะค่ะ ถ้าหากมีข้อมูลเพิ่มเติมก็บอกกันบ้างนะคะ

จะเป็นพระคุณอย่างสูงเชียวค่ะ  ขอบคุณนะคะ ที่มีเวปไซต์ดีๆแบบนี้

ศรัทธาในองค์เทพ

โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา โอม ศานติ