Loader

กำเนิด และ ที่มาของเหล่า อสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส

Started by กาลปุตรา, December 22, 2009, 01:40:22

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

กำเนิด และ ที่มาของ เหล่าอสูร ไทตยะ ทานพ ยักษ์ รากษส

          ถ้าพูดถึงอสูรและรากษส คนไทยหลายคนคงไม่ค่อยรู้จักกันว่าไอ้ 2 ตัวนี้น่าตาเป็นยังไง แต่ถ้าพูดว่ายักษ์คนไทยจะรู้ทันที่ว่าเป็นพวกที่มีร่างกายใหญ่โตเขี้ยวโง้งยืนเฝ้าวัดวาอาราม แต่รากษส กับ อสูรนั้นก็ปรากฏให้เห็นกันในวรรณกรรมไทยอยู่บ่อยๆ แต่คนไทยก็รวมเรียกว่ายักษ์โดยไม่รู้ว่าความจริง บางครั้งก็นำมาเขียนปนกันมัวไปหมดโดยไม่แยกสายพันธุ์ ซึ่งความจริงแล้วอสูร ยักษ์ รากษสนั้นเป็นคนละสายพันธุ์กัน
          ขอเริ่มที่อสูร (असुर - ASURA) ก่อนก็แล้วกัน อสูรนั้นถือว่าเป็นผู้ครอบครองสวรรค์เป็นพวกแรก โดยอสูรนั้นถือกำเนิดมาจากพระกัศยปประชาบดี โดยแบ่งย่อยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ มีแม่คนละคนกัน
1. พวกไทตยะ หรือ แทตย์ (दैत्‍य - DAITYA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทิติ ไทตยะนั้นเป็นอสูรที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนกับพวกยักษ์ไตตันของชาวกรีกโบราณ หน้าตาก็เหมือนพวกเทวดานั่นแหละครับ แถมมีฤทธิ์มีเดชไม่แพ้พวกเทวดาด้วย
          ไทตยะที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ หิรัณยักษะ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นหมูป่า, หิรัณยกศิปุ ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์, ท้าวพลี ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ยวามน, ไวโรจิ หรือ พาณะ โอรสของท้าวพลี เป็นอสูรมีพันแขนในรามายณะ และ ชลันธร ราชาอสูรเผ่าเทติยะ ผู้เคยแย่งชิงสวรรค์จากพระอินทร์กลับมาครอบครองได้
2. พวกทานวะ หรือ ทานพ (दानव
- DANAVA)
          เป็นอสูรที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปกับนางทนุ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไทตยะอย่างแยกกันไม่ออก คือ มีลักษณะนิสัยคล้ายกันจนแยกไม่ออก กลุ่มนี้มักเข้าร่วมกับอสูรไทตยะทำสงครามกับพวกเทพมาโดยตลอด แบบว่าคนละแม่แต่พ่อเดียวกันคลอดคลานตามกันมาติดๆ

          ทานพที่ปรากฏในวรรณกรรมอินเดีย ก็คือ วฤตาสูร ซึ่งถูกพระอินทร์สังหารด้วยวัชระ, มัยทานพ ผู้เป็นสถาปนิกผู้ก่อสร้างกรุงอินทรปรัสถ์ ในมหาภารตยุทธ และราหูนั่นเอง
          ในสมัยพระเวทและในคัมภีร์ฤคเวทนั้นถือว่าอสูรนั้นเป็นเทพชั้นสูงจำพวกหนึ่ง โดยคำว่าอสูรนั้นมาจากรากศัพท์ว่า “อสุ” ซึ่งแปลว่า “ลมหายใจ” ได้มาเพราะอะไร ก็ได้มาเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องหายใจชนิดแรกอันปรากฏขึ้นในโลกนั่นเอง
          ในยุคพระเวทพระอินทร์ พระวรุณ พระอัคนี พระมารุต พระมิตรา และพวกพ้อง ก็ถูกจัดไว้ในพวกอสูรด้วยเช่นกัน แต่เกิดจากคนละแม่ คือ เกิดจากนางอทิติ ซึ่งถือว่าเกิดมาหลังพวกไทตยะกับพวกทานพ จึงไม่ค่อยลงรอยกับ 2 กลุ่มแรก แล้วต่อมาก็มาแยกมาแบ่งขั่วกันอย่างเด็ดขาดในยุคหลัง เป็นฝ่ายเทพกับฝ่ายมาร กันอย่างเห็นได้ชัด
          โดยกลุ่มของพระอินทร์ที่มีฐานะเป็นน้อง และ พวกพ้อง อาทิ พระมารุต พระอัคนี พระโสม พระวิษณุ (สมันพระเวทเก่ายังเป็นเทพชั้นรอง ถือเป็น 1 ใน 12 สุริยเทพ) ได้จับพวกไทตยะกับพวกทานพที่มีฐานะเป็นพี่โยนลงจากสวรรค์แล้วเข้ายึดทำเนียบสวรรค์เป็นที่ทำการของ 5 แกนนำและเหล่าพันธมิตรแทน พวกเหล่าอสูรที่เป็นเจ้าของทำเนียบเก่าตราบเท่าทุกวันนี้
          ฝ่ายอสูรเมื่อถูกโยนลงจากสวรรค์ก็ใช่ว่าจะไม่มีกำลังอีก มีบางครั้งก็รวบรวมแกนนำจัดทัพเข้าบุกทวงทำเนียบสวรรค์ จนเกิดเทวาสุรสงครามให้พบเห็นได้บ่อยครั้งในวรรณกรรมของชาวภารตะ
          คราวนี้มาดูกลุ่มของยักษ์กับรากษสกันบ้าง ว่ามีกำเนิดเป็นมาอย่างไร มีหน้าตาเป็นเช่นไร กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จัดว่าส่วนใหญ่มักจะชอบเป็นศัตรูกับเทวดา โดยเข้าร่วมเป็นพวกต่อต้านเทวดากับฝ่ายของอสูรเสมอ นี่เองจึงเป็นเหตุให้เราแยกไม่ค่อยออกระหว่างอสูรและกลุ่มหลังนี้
          ยักษ์และรากษสนั้นถือกำเนิดมาจากสายของพรหมฤษีปุลสัตยะ โดยฤษีปุลสัตยะนั้นมีบุตรชายตนหนึ่งนามว่า “เทพฤษีวิศราวัส หรือ เปาลัสตยะ (ในรามเกียรติ์)” อันเกิดจากนางอิฑาวิฑาผู้เป็นธิดาของฤษีตฤณวินทุ
          เมื่อเทพฤษีวิศราวัสเติบโตเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานกับนางวรรณีผู้เป็นธิดาของพรหมฤษีภรัทวาช แล้วต่อมาก็ให้กำเนิดลูกตนหนึ่ง ตอนแรกคลอดออกมาก็ได้แต่ร้องว่า “หิว” จึงตั้งชื่อให้ว่า “ยักษะ (यक्ष - YAKSHA)”
          ซึ่งในรากศัพท์จะหมายถึงหิวโหยนั่นเอง ยักษ์ตนนี้จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ไวศรวัณ หรือ เวสสุวัณ หรือ กุเวร หรือ กุเปรัน นั่นเอง คราวนี้คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่ายักษ์ตนนี้คือใคร และยังมีน้องๆ ตามมาอีกมากมาย
          ต่อมาพวกยักษ์ก็ได้รับมอบหน้าที่จากพระพรหมให้ไปคอยคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ป่าเขาและทรัพย์ที่มีอยู่ในโลกโดยมีท้าวกุเวรของเราเป็นราชาผู้ปกครองสายพันธุ์นี้ ซึ่งก็มีแตกวงศ์วานออกไปอีกมากมายมีทั้งดีและร้าย พวกดีก็จะไปเข้ากับเหล่าเทวดา ส่วนพวกร้ายก็จะไปเข้ากับพวกอสูรเจ้าของทำเนียบเก่า
          คราวนี้มาถึงกลุ่มรากษส (राक्षस - RAKSHASA) กันบ้าง กลุ่มนี้ก็มีบิดาคนเดียวกับกลุ่มยักษ์ แต่มีแม่คนละคนกัน โดยกลุ่มนี้มีแม่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าอสูรนามว่า
“ไกกาสี” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “นางรัชฏา” ในรามเกียรติ์นั่นเอง ด้วยความที่เหล่าอสูรถูกเหล่าพันธมิตรเทวดาตามเช็ดตามล้างอยู่บ่อยทำให้เสียเครดิตไป เกือบสิ้นสายพันธุ์
          ท้าวสุมาลีจอมอสูรจึงอยากที่จะให้มีลูกหลานที่เป็นนอมินี มาสืบทายาทอสูรสายพันธุ์ใหม่เพื่อมาทวงอำนาจทวงบัลลังก์แทนตน จึงได้ส่งลูกสาวของตนไปเป็นเมียน้อยของเทพฤษีวิศราวัส

          โดยให้นางไกกาสีไปขอให้เทพฤษีวิศราวัสมีบุตรกับตนด้วยนางต้องทำตามที่บิดาสั่ง แต่เวลาที่นางไปขอร้องแล้วได้รับการยอมรับนั้นเป็นฤกษ์ยามที่อัปมงคล (ตามตำนานว่าเป็นฤกษ์ที่พระจันทร์เคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในเพชณฆาฏฤกษ์)
          เทพฤษีวิศราวัสกล่าวทำนายว่าลูกของนางที่จะเกิดมานั้นจะเกิมมาเป็นพวกมารชั่วร้าย นางตกใจจึงขอร้องเทพฤษีว่า ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ขอให้นางมีบุตรที่เป็นคนดีไว้สักคน เทพฤษีจึงให้พรแก่นาง
ลูกของนางที่คลอดออกมาคนแรกนั่นก็คือ ทศกัณฐ์ หรือ ราวณะ ที่แปลว่า
“ร้องโหยหวน” นั่นเอง แล้วราวณะมันร้องว่าอะไร มันก็ร้องว่ากระหายนั่นเอง แล้วเกิดน้องชายชื่อกุมภกรรณกับน้องสาวชื่อศุรปนขา และพิเภกตามมาอีก ซึ่งพิเภพนั้นก็คือลูกคนที่ได้รับพรของผู้เป็นบิดาว่าจะเติบโตมาเป็นคนมีศีลมีธรรมนั่นเอง
          ต่อมาพระหรหมจึงทรงจัดหาที่บนโลกให้อยู่เหมือนดั่งพวกยักษ์ โดยพิจารณาว่าเมื่อแรกเกิดนั้นพวกนี้ร้องว่า
“กระหาย” เลยให้ไปคอยคุ้มครองปกป้องแหล่งน้ำต่างบนโลก ทั้งบนเกาะ ป่าชายน้ำ ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ และป่าชื้นนั่นเอง ทศกัณฐ์เลยไปใช้ชีวิตใกล้น้ำอยู่บนเกาะลงกานั่นเอง
          โดยพวกนี้ชอบกินเนื้อสดๆ ซากศพ และมีนิสัยแปลกๆ อยู่อย่าง คือ ชอบรบกวนพวกพราหมณ์ที่กำลังประกอบพิธี เนื่องด้วยพวกนี้ไม่ชอบฟังเสียงสวด
          แล้วคำว่า “รากษส” นั้นมาจากไหน ก็ได้มาจากการที่พระพรหมทรงมอบหน้าที่ให้คอยรักษาปกป้องแหล่งน้ำและป่าชื้นนั่นเอง
          เพราะคำว่า “รากษส (ราก - สด)” นั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า “รักษะ” ซึ่งก็คือการรักษาปกป้องนั่นเอง บางตัวที่อาศัยอยู่ในน้ำเราก็จะเรียกกันว่า พวกผีเสื้อน้ำก็มี
          สรุปโดยรวมพวกอสูร ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาที่ต่างกัน มีนิสัยทั้งดีและเลว คละเคล้ากันจนบางครั้งแทบแยกกันไม่ออกว่าพวกไหนเป็นเผ่าไหนกันแน่ แถมยังแปลงเป็นนู้นเป็นนี่ได้อีกมากมาย คนไทยเราเลยเรียกรวมพวกนี้ว่า
“ยักษ์” คำเดียวจบ
          ที่ผมเอามาเล่านี่ไม่ได้นำมาเล่าเพราะอยากให้ท่านผู้อ่านแยกว่าตัวไหนมาจากสายพันธุ์ไหนเป็นนอมินีใคร เพราะแยกยากมากโดยเฉพาะพวกรุ่นหลังๆ ผสมข้ามพันธุ์กันเยอะเป็นพันธุ์ทางหาพันธุ์แท้ไม่เจอกันแล้ว ที่นำมาเล่าก็เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านรู้ที่มาที่ไปแห่งสายพันธุ์ที่แท้ว่าพวก ไทตยะ แทตย์ ยักษ์ รากษส นั้นมีที่มาอย่างไร

ที่มาจาก : นิตยสารโหรามหาเวทย์ ฉบับเดือน พ.ย. 2551 คอลัมน์ เทพปกรณัม โดยงานเขียนของผม “กาลปุตรา”


[HIGHLIGHT=#ffff00]
[HIGHLIGHT=#ffff00]อันจิตมนุษย์นั้นชอบวิ่งออกไปแสวงหาพระเจ้าจากวัตถุภายนอก[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]จนลืมย้อนมองดูพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง อันสถิตอยู่ในใจเรา[/HIGHLIGHT]
[/COLOR][/HIGHLIGHT][/FONT]

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ฤๅษีปุลัสตยะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวจตุรพักตร์
วิศรวะ ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวลัสเตียน มาจาก เปาลัสตยัน
ท้าวสุมาลี ในรามเกียรติ์เรียก ท้าวสหมลิวัน น้องคือท้าวมาลี พี่คือท้าวมาลีวันหรือมัลยวัน รามเกียรติ์เรียกว่า ท้าวมาลีวราช
พิเภก-วิภีษณะ
สำมะนักขา-ศูรปนขา

......

ส่วนท้าวกุเวร

หลักฐานทางโบราณคดีทางพระพุทธศาสนา พบรูปท้าวกุเวรแทบทุกที่ ทวารวดีก็พบ ให้ความร่ำรวยแก่ผู้บูชาสถูปเจดีย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และแปลกที่ว่าส่วนมากพบรูปท้าวกุเวร ปางมหาราชลีลา ในพุทธสถาน เช่น บุโรพุทโธ พระประโทนเจดีย์สมัยทวารวดี

แม้แต่ท่านั่งของจตุคามฯเอง คาดว่าเอารูปมาจากท้าวกุเวรเช่นกัน

ขอบพระคุณท่านกาลปุตราค่ะ ความรู้ท่านแน่นจริง ๆ ค่ะ สงสัยต้องฝากตัวเป็นศิษย์แล้วค่ะ

แต่ก็ยังอยากจะอ่านเพิ่มเติมในส่วนของเนื้อเรื่องของภารตยุทธ์ และ รามายณะค่ะท่าน

กำลังคิดว่าถ้าหาเป็นลิงค์ไม่ได้ ก็คิดว่าจะซื้อเป็นหนังสือ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีขายหรือเปล่า

ว่าแต่ สำหรับมหิษาสูร เนี่ยท่านกาลปุตรา  นี่เป็นประเภทไหนคะท่าน

สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ


กำเนิดภูต และ ปิศาจ
          ถ้าท่านผู้อ่านเคยดูภาพยนต์เรื่อง เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริงส์ หรือ ปีเตอร์แพน หรือ ภาพยนต์ที่เกี่ยวกับเทพและภูตของฝรั่งกันแล้ว คงจะนึกถึงภาพของภูตประเภทหนึ่งปรากฏให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ เป็นพวกที่มีหูแหลมๆ บ้างก็มีปีก บ้างก็ตัวเล็กๆ ซึ่งนั่นเองก็คือภูตตามจินตนาการของผู้คนในโลกตะวันตก
          คราวนี้เรามาดูภูตตามความเชื่อของผู้คนทางซีกโลกตะวันออกกันบ้างดีกว่า โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแม่แบบของจินตนาการนี้ก็ต้องยกให้ประเทศอินเดียเขา เพราะถ้าจะกล่าวถึงเรื่องภูตแล้วอินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีการกล่าวขานถึงภูตกันเยอะมาก และหลายๆ ประเทศก็รับเอาความเชื่อในเรื่องภูตนี้มาจากอินเดียด้วย รวมทั้งประเทศไทยเราก็รับเอาจินตนาการในเรื่องภูตมาใช้กันในวรรณคดีไทยอยู่หลายเรื่อง
          ภูตนั้นถ้าถามคนไทยทั่วไปแล้วว่าหมายถึงอะไร  ก็คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าหมายถึง ผีสาง นั่นเองอันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มักจะมีสองด้านเสมอ คือ ทั้งด้านดีและด้านร้าย ดังนั้นคำว่า “ภูต (भूत)
” จึงมีความหมายตามรากศัพท์แล้วจะหมายถึง การปรากฏ, ความจริง, การเกิด
          ดังนั้นในจินตนาการของชาวอินเดียภูตจะถือว่า เป็นอมนุษย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีทั้งที่เป็นเทวดา, สัตว์, กึ่งคนกึ่งสัตว์, ผี, สาง เมื่อทราบดังนี้แล้วเราก็มาดูกันต่อดีกว่าว่าภูตตามความเชื่อของชาวอินเดียนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร
          ภูต ตามเรื่องเล่าในวรรณกรรมของชาวอินเดีย กล่าวว่า ถือกำเนิดมาจากพระกัศยปะประชาบดี (ผู้เป็นบิดาแห่ง อสูร เทวดา นาค ครุฑ) กับนางโกรธา โดยชื่อก็บอกตรงตัวแปลว่า นางผู้ที่มีอารมณ์ขุ่นเคือง หรือ โมโหนั่นเอง
          ภูตนั้นถือกำเนิดมาจากมารดาที่ขี้โมโห จึงทำให้ภูตนั้นมีนิสัยขี้หงุดหงิดดุร้าย ฉุนเฉียวง่าย เดาอารมณ์ไม่ถูก ตามตำนานกล่าวว่าพวกภูตนั้นชอบกินเนื้อสดๆ มีทั้งดีทั้งเลวเหมือนคนเรานั่นแหละ ลักษณะของภูตนั้นก็จะมีหลายรูปแบบทั้งที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ แบบกึ่งคนกึ่งสัตว์ แบบรากษส แบบภูตผี เป็นต้น
          พวกภูตที่ดีส่วนมากก็จะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะนั้นได้รับฉายาว่าภูเตศวร ซึ่งหมายถึงผู้เป็นใหญ่ในหมู่ภูต ส่วนพวกที่ไม่ดีก็จะอาศัยอยู่ตามป่า ตามเขา ตามป่าช้า พวกนี้จะคอยทำร้ายและจับกินผู้คนเป็นอาหาร ดังนั้นเราจึงเรียกภูตที่ไม่ดีนี้ว่าเป็นพวกผีสาง
          อีกข้อหนึ่งที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังกัน เพราะอมนุษย์ 2 ตระกูลนี้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นก็คือพวกคนธรรพ์ ที่เป็นนักดนตรีสวรรค์ กับพวกกินนรกินรี นั้นก็ถือว่าเป็นตระกูลพวกภูตด้วยเหมือนกัน แต่เป็นภูตฝ่ายดีหน่อยคอยรับใช้พระอินทร์ โดยให้ความบันเทิงแด่เหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ คราวนี้คงจินตนาการกันออกแล้วนะครับว่าภูตหน้าตาเป็นอย่างไร ภูตของโลกตะวันตกเขาเท่ห์เขาสวยอย่างไร ภูตของโลกตะวันออกเราก็เท่ห์ก็สวยไม่เป็นรองเลยสักนิด
          มาถึงอมนุษย์ที่ถือว่าเป็นพวกอสูรตระกูลสุดท้ายกันเลยดีกว่า นั่นก็คือพวกปิศาจ (पिशाच) ซึ่งต้องถือว่าเป็นอมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาไล่เลี่ยกับอสูรและเทวดาเลยก็ว่าได้ พวกปิศาจนี้เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับอสูรและเทวดานั่นก็คือ มีบิดาเป็นพระกัศยป มีมารดาชื่อนางโกรธาวสา หรือ นางปิศาจา ซึ่งเป็นพี่สาวของนางโกรธามารดาของภูตนั่นเอง ชื่อของนางนั้นก็แปลว่า กำลังแห่งความโกรธ หรือ อำนาจแห่งการทำลายล้างด้วยอารมณ์อันขุ่นเคืองนั่นเอง ขนาดชื่อมารดายังน่ากลัวขนาดนี้แล้วลูกที่ออกมาจะน่ากลัวขนาดไหน
          ปิศาจนั้นถือว่าเป็นอมนุษย์ชั้นต่ำประเภทผีสางเลยก็ว่าได้ เพราะพวกนี้ดุร้ายมาก เรียกได้ว่าดุร้ายเสียยิ่งกว่าพวกตระกูลภูตเสียอีก พวกนี้มีรูปลักษณ์มากมาย อาทิเป็นรูปวิญญาณ, เวตาล, ครึ่งคนครึ่งสัตว์หน้าตาน่ากลัวน่าขยะแขยง, ผีป่า ฯลฯ
          พวกปิศาจจะชอบกินเนื้อสดๆ และซากเน่าเหม็นเป็นอาหาร มักอาศัยอยู่ในป่ารกทึบไม่ค่อยมีแสง ตามป่าช้า พวกนี้ชอบเข้าสิงในร่างของคนและสัตว์เพื่อกัดกินร่างนั้น ชอบก่อกวนหลอกหลอนคนอยู่เป็นประจำ
          แต่ก็มีพวกปิศาจที่ดีอยู่เช่นกัน โดยพวกที่ดีมักจะไปเป็นบริวารของพระศิวะ จนพระศิวะได้รับฉายาว่า ปิศาจบดี พวกนี้จะมีศีลธรรมชอบบำเพ็ญตบะ แต่ด้วยสันดานเดิมก็ยังมีความโกรธที่รุนแรงติดอยู่ไม่คลาย ยามใดที่พระศิวะกริ้วหรืออกทำศึก พวกปิศาจกลุ่มนี้จะเข้าร่วมกองทัพของพระศิวะเสมอ โดยจะเป็นทัพหน้าบุกทะลวงให้แด่พระศิวะเสมอ
[HIGHLIGHT=#ffff00]
[HIGHLIGHT=#ffff00]อันจิตมนุษย์นั้นชอบวิ่งออกไปแสวงหาพระเจ้าจากวัตถุภายนอก[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]จนลืมย้อนมองดูพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง อันสถิตอยู่ในใจเรา[/HIGHLIGHT]
[/COLOR][/HIGHLIGHT][/FONT]

มหิษาสูร ตามเรื่องไม่ได้กล่าวว่าจะมาจากสายพันธุ์ใด แต่ถ้าวิเคราะห์จากเรื่องราวแล้วน่าจะเป็นพวกรากษส เพราะ

1. รากษส จะมีลักษณะของมารที่บางครั้งมีเศียรเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือ สัตว์ประหลาดด้วย ถ้ามีฤทธิ์มากก็จะมีรูปร่างเหมือนเทพหรือมนุษย์ แต่แน่ๆ พวกนี้มักจะชอบอยู่ตามป่าเขา หรือ ดินแดนใกล้น้ำ

2. ไม่น่าใช้ตระกูลยักษ์ เพราะ ถ้าเป็นตระกูลยักษ์ มักไม่ดุร้ายขนาดนั้น เพราะ จะมีท้าวกุเวรคอยควบคุม อีกทั้งมันเป็นถึงหัวหน้าอสูรซึ่งในสายยักษ์ ไม่ค่อยมีราชาแห่งยักษ์มากสายพันธุ์นัก ส่วนมากจะทำหน้าที่รักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นตระกูลรากษสมากกว่า

3. ไม่น่าจะเป็นตระกูลไทตยะ หรือ ทานพ เพราะ ตระกูลนี้ถือว่าเป็นอสูรชั้นสูง จะมีรูปร่างและรัศมีเฉกเช่นเดียวกับเหล่าเทพเจ้า และจะมีรูปเหมือนเทพเจ้า

ดังนั้น มหิงษาสูรน่าจะเป็นเผ่าพงศ์ของตระกูลรากษสมากกว่านะครับ ผิดถูกอย่างไรต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
[HIGHLIGHT=#ffff00]
[HIGHLIGHT=#ffff00]อันจิตมนุษย์นั้นชอบวิ่งออกไปแสวงหาพระเจ้าจากวัตถุภายนอก[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffff00]จนลืมย้อนมองดูพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง อันสถิตอยู่ในใจเรา[/HIGHLIGHT]
[/COLOR][/HIGHLIGHT][/FONT]

 


               ส่วนตัวแล้วดิชั้นปลื้มพี่ออส กาลปุตรามากคะ ทั้งเก่ง นิสัยดี แล้วรู้ลึกรู้จริง  นับถือจริงๆค่ะ  แอบปลื้มอยู่  เก่งจริงคะ ดิชั้นเอาหัวเป็นประกัน  55555   เพราะติดตามผลงานปกรณัมปรัมปราแกมานานแล้วด้วย อิอิ


ขอบคุณ คุณพี่ออส กาลปุตรา มากมายครับ

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ

ความรู้ที่ไม่สิ้นสุด

ผมประทับใจและสะดุด มากกับ "ความอยาก"

ที่คุณพี่ออส เขียนเป็นลายเซ็นไว้

อยากบอกว่ามันโดน โครตๆ

ความอยาก กับ กิเลส เนี๊ยะ มันตัวเดียวกันใช่ไม๊ครับ

~หุหุ

[HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#ffff00][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
Yes, I  Love  HM...       

ขอบคุณท่านกาลปุตรามากๆครับสำหรับเนื้อหาสาระดีๆ

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ขอบคุณมากค่ะ ท่านกาลปุตรา สำหรับความรู้ที่ได้มาแบ่งปันค่ะ
สุ จิ ปุ ลิ  ขาด สักข้อ ก็ไม่ครบการเป็นปราชญ์

ปราชญ์ที่ดีต้องเป็นผู้ฟังมากกว่า พูด พูดในสิ่งที่สมควรพูด

ผู้ที่ฉลาดแท้จริง ฟัง มากกว่าพูด เพราะถ้าเรารู้ไม่จริง หรือไม่หมดก็จงอย่าพูด

เพราะเมื่อเปิดปากออกมา เมื่อนั้นได้แสดงความโง่ออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนเก่งจริง ต้องเรียนรู้เสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือตัวเรายังมีคนที่เก่งกว่า จงถ่อมตนเสมอ จงเป็นผู้ให้เสมอ