Loader

ท่านใด พอรู้เรื่อง น้ำมันที่ใช้จุดกับตะเกียง

Started by jojo, September 20, 2009, 15:24:30

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

ดีครับ มีท่านใด พอจะรู้บ้างไหมครับ ว่า น้ำมันที่ใช้ กับตะเกียงที่ใช้ไส้เทียนน่ะครับ ว่า ควรใช้น้ำมันอะไรดีครับ เพราะ ตอนนี้ ลองใช้กับน้ำมันพืช ก็ มีกลิ่นเหม็นๆ นิดหน่อยอ่ะครับ แต่พอ ลองใช้กับน้ำมันม่ะพร้าวก็ หอมไปอีกแบบ แต่ที่เอามาลอง เป็นน้ำมันสำหรับ นวดตัวอ่ะครับ ราคาค่อนข้างสูง เลยอยากถามจากหลายๆ ท่านดูครับ ว่า ใช้น้ำมันอะไรดี ที่พอเวลาเราจุดตะเกียงแล้วมีกลิ่นหอมครับ และซื้อได้ที่ไหนบ้างครับ
ขอบคุณครับ
มนุษย์ กับ คน ต่างกัน อย่างไร

คนมันแปลว่า ยุ่ง ยิ่งมากคน ยิ่งมากเรื่อง

ที่บ้านผมก็ใช้น้ำมันพืชนะครับ  แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นรบกวนเลย  อย่างไรก็ลองเปลี่ยนยี่ห้อดูครับ

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ลองผสมกับน้ำมันจันทร์ดูคับ
ผมเคยทำ มันจะเป็นกลิ่นหอมของน้ำมันจันทร์คับ
คุณความดี....มิได้ขึ้นอยู่กับสายตาใคร

เกิดขึ้นย่อมมีดับไปเป็นธรรมดาดั่งพุทธองค์ทรงตรัส

มีน้ำมันตะเกียงที่ขายเป็นเเกลอนเล็ก ๆ น้ำมันสีขาวอะคราบ ที่พาหุรัดมีขายคราบ เเต่ผมจำไม่ได้อะว่าราคาเท่าไร น้ำมันชนิดนี้จุดเเล้วจะไม่มีควันนะคราบ
ส่วนน้ำมันพีชเวลาราจุดตะเกียงจะมีควันดำเล็กน้อยอะ ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมก้อเอาน้ำมันหอมระเหยหยดใส่ในตะเกียงนะคราบ เเต่ที่บ้านผมใช่น้ำมันพืชคราบประหยัดอะ
[HIGHLIGHT=#ffffff]บ้านคนจะเเต่งหิ้งพระสวยยังไงก้อยังเป็นบ้านคน จะให้บ้านคนเป็นวัดคงเป็นไปไม่ได้[/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#ffffff]จงอยู่ในความพอดี ไม่เยอะไป ไม่น้อยไป กลาง ๆ พอดี ๆ อะ เเล้วจะมีความสุขกะสิ่งที่ทำ[/HIGHLIGHT]

Quote from: โหราน้อย on September 20, 2009, 19:07:41
ที่บ้านผมก็ใช้น้ำมันพืชนะครับ  แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นรบกวนเลย  อย่างไรก็ลองเปลี่ยนยี่ห้อดูครับ

แย๊วใช้ยี่ห้ออารัยดีอะค่ะ  บอกนู๋ที คริ๊ๆๆ
ความดีไม่ต้องทำให้ใครเห็น
ไม่ต้องบอกประกาศให้ใครรู้
นั่นสิน๊ะคือความดีที่แท้จริง

น้ำมันถั่วเหลืองเลยคร่ะ ..ไม่มีควัน ตะเกียงไม่ดำด้วยย

supermarket ทั่วไป ..40 - 50 บาท

ถ้าน้ำมันพืชตะเกียงจะดำ เจ้าคร่ะ ..

ขอบคุณมากเจ๊าค่ะ  เด๋วจาลองหาซื้อดูนะค่ะ 
ความดีไม่ต้องทำให้ใครเห็น
ไม่ต้องบอกประกาศให้ใครรู้
นั่นสิน๊ะคือความดีที่แท้จริง

ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูล
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

ขอบคุณสำหรับความรู้นะคะ
จะได้นำไปลองใช้ดูบ้างค่ะ
โอมเจมาตากาลี

ตอนนี้ ผมใช้น้ำมันพืชครับ แต่ผสมน้ำมัน หอมระเหยลงไปเล็กน้อยครับ เวลาจุดจะมีกลิ่นหอมออกมาด้วยครับ
มนุษย์ กับ คน ต่างกัน อย่างไร

คนมันแปลว่า ยุ่ง ยิ่งมากคน ยิ่งมากเรื่อง

ใช้สองอย่างครับ

น้ำมันถั่วเหลือง กับ น้ำมันพืช ตรา "มรกต"

ไม่ใส่อะไรเลยเลยอ่ะครับ เพราะว่าควันจากกำยานหอมอยู่แล้ว แหะๆๆ

Quote from: mena_friendly on September 21, 2009, 10:30:45
Quote from: โหราน้อย on September 20, 2009, 19:07:41
ที่บ้านผมก็ใช้น้ำมันพืชนะครับ  แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นรบกวนเลย  อย่างไรก็ลองเปลี่ยนยี่ห้อดูครับ

แย๊วใช้ยี่ห้ออารัยดีอะค่ะ  บอกนู๋ที คริ๊ๆๆ

ที่บ้านผมใช้ยี่ห้อ แวว ครับผม

[HIGHLIGHT=#d7e3bc][HIGHLIGHT=#ffff00][HIGHLIGHT=#e36c09][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]ชีวิตนี้ขอสู้เพื่อเทวดา  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#92d050][HIGHLIGHT=#ffc000]สุดแล้ว[/HIGHLIGHT][HIGHLIGHT=#ffc000]แต่สวรรค์จะบัญชา[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ส่วนตัวผม   ผมใช้น้ำมันตะเกียงเลยครับ แกลลอนใหญ่300กว่าบาท  กินใส้ตะเกียงน้อย  ติดง่าย ควันไม่มี ตะเกียงไม่ดำ  เดี๋ยวนี้เค้ามีรุ่นที่ผสมน้ำมันหอมแล้วด้วย  แต่ราคาก็แพงกว่า   หรือ  อีกอย่าง  คือ  น้ำมันเนย  (กี/ฆี) อันนี้ถูกตามหลักศาสนาด้วยครับ  เป็นไขมันนม กระปุกนึกก้ใช้ได้นาน  แต่ไม่เหมาะกับตะเกียงก้นลึก  เพราะน้ำมันเนย จะจับตัวเป็นก้อน  แต่เหมาะกับตะเกียงแบบตื้นๆ
[HIGHLIGHT=#000000]*****จยันตี มังคลา กาลี  ภัทรกาลี กปาลิณี*****  [/HIGHLIGHT]

แล้วไส้ตะเกียงอะคัฟ
ใช้กันแบบไหนอะ
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

ใส้ตะเกียงควรใช้แบบใยฝ้ายจะ ดูดซับน้ำมันได้ดี    ส่วนน้ำมันก็แล้วแต่ความสะดวกในการซื้อหา(ใช่น้ำมันพืชก็ได้  แต่ควันดำจะมาก)
แต่ถ้าจะให้แนะนำคือ   แถวพาหุรัดย่านสินค้าอินเดีย  มีน้ำมันเนยเป็นกระป๋องๆ   จำหน่าย  (ใช่แล้วไม่มีควัน)จะเป็นน้ำมันสำหรับ
จุดบูชาเทพเจ้าของอินเดียโดยตรงเลยจ๊ะ
ป้าก็ใช่แบบนั้นแหละ   กระป๋องเล็กราคาประมาณ  160 บาท   กระป๋องใหญ่   300 บาท   (แต่ตอนนี้อาจจะขึ้นราคานิดหน่อย
ป้าไม่ได้ไปซื้อหลายเดือนแล้ว )
แต่ส่วนใหญ่เค้าใช่น้ำมันพืชกันเพราะหาซื้อสะดวกแถมประหยัดกว่ากันมา   น้ำมันเนยจะหาซื้อได้แต่ร้านจำหน่ายสินค้า
จากอินเดียเท่านั้น  และไม่ใช่ทุกร้านจะมีจำหน่าย

ส่วนเรื่องความหอม   ถ้ากลิ่นไม่ถูกใจก็สามารถผสมน้ำมันหอมกลิ่นที่ถูกใจได้
โดยเลือกซื้อร้านค้าย่านนั้นแหละจ๊ะ    มีน้ำมันหอมสำหรับบูชาเทพเจ้ามากมายให้เลือก

ไปซื้อที่พาหุรัดสิครับ  เขาเรียกว่าน้ำมันแก้วหรือบางคนเรียก ( อินเดียออย )
มีขายทั่วไปในพาหุรัด เช่นร้าน โอมศิวะ  กุลดิป สุขจิตร  อมรเทพ แกลอนใหญ่ประมาณ 320 บาทใช้แล้วไม่มีควันครับ
ใส้ตะเกียงซื้อที่ร้าน สุขจิตรสิครับเขามีใส้ตะเกียงอย่างดีขายเป็นเมตร  มี2ขนาด เล็ก  ใหญ่  ราคาน่าจะประมาณเมตรละ 10 บาท   
แต่ถ้าซื้อ12 เมตรขาย 100 บาท   ส่วน เนยกี ก็หอมดีนะครับเหมือนเนยสดนี้แหละครับบางคนก็ไม่ชอบ แต่ส่วนมากเขาจะนิยมใช้น้ำมันแก้วนี้แหละครับ

อยากเห็นรูปตะเกียงของแต่ละท่านจังเลย

และอยากเห็นรูปภาพการจุดด้วยค่ะ
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

ใช้น้ำมันพืช กะ น้ำมันเนยยี่ห้อพระกฤษณะปางเด็กฝาสีแดงอ่ะค่ะ นำน้ำมันพืชกะน้ำมันเนยมาผสมกันใส่น้ำมันพืชเยอะหน่อยใส่น้ำมันเนยประมาณ 2 ช้อน น้ำมาผสมๆ กัน จุดได้นานมักมากค่ะ แต่ ถ้า งบน้อยน้ำมันเนยหมด ก้อ น้ำมันพืชโลด หุๆๆๆๆ
[HIGHLIGHT=#d99694][HIGHLIGHT=#d7e3bc]   "เรา"สามารถเห็นอะไรได้ก้อด้วย"หัวใจ"ของ"เรา"เท่านั้น[/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]
[HIGHLIGHT=#d99694][HIGHLIGHT=#d7e3bc]สิ่งสำคัญ"เรา"ไม่สามารถเห็นได้ด้วย"ดวงตา[HIGHLIGHT=#d7e3bc]"  [/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT][/HIGHLIGHT]

ฮ่าฮ่า ไม่อยากเห็นแล้วค่ะ  กิมเข้าใจแล้ว

เอาเป็นว่าจะนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปฏิบัติก็แล้วกันค่ะ
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

เมื่อคืนไปวัดแขกมา เห็นป้าเค้าบอกว่า ใช้น้ำมันมะกอกก็ได้ แต่ต้องน้ำมันมะกอด100 เปอร์เซ็นต์นะ

เพราะน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่สุด บริสุทธิ์กว่าเนยกี อีก  แต่ที่วัดจะใช้น้ำมันมะพร้าวอ่ะค่ะ ยกเว้นงานใหญ่ๆ อย่างนวราตรีอ่ะคะ

สำหรับกิม กิมจะใช้น้ำมันมะพร้าว กะน้ำมันมะกอกนี้แหล่ะค่ะ เริ่ดสุดๆ ละ
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

สำหรับคนงบน้อย หรือไม่มีเวลาไปตรอกแขก
แป้งใช้น้ำมันพืชปาล์มค่ะ ไม่มีกลิ่นและควันเลยค่ะ
บางทีก็ผสมน้ำมันจัทร์9 กลิ่นบ้าง(น้ำมันจัทร์9 กลิ่นแท้ต้องซื้อที่ร้าน ถาวรธนะสาร)
ตรงสำเพ็งค่ะ น้ำมันที่นี่หอมมากๆๆๆๆๆๆๆๆ คนละเรื่องคนละกลิ่นกับวัดราชนัดดาค่ะ ราคาจะแพงหน่อยแต่ใช้ได้นานมากๆๆๆๆๆ บางทีก็เอามาทาที่องค์พระแม่และองค์พระพุทธด้วย หอมคลุ้งไปทั้งห้อง^^
   ส่วนไส้เทียน ซื้อตามร้านร้านสังฆภัณฑ์ ทั่วไปค่ะ ได้มาเป็นฟ่อนๆเลยเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ
เส้นเล็กราคาก็ 20 บาทถ้าเส้นใหญ่ก็ 35 บาทประมาณนี้ค่ะลองดูนะคะ
[HIGHLIGHT=#c00000][HIGHLIGHT=#ffffff]โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา [/HIGHLIGHT]
[/HIGHLIGHT]

ผมซื้อน้ำมันที่เป็นแกลลอนสีขาวจากร้านโอมศิวะ ตอนซื้อก็ไม่ได้ถามวิธีใช้ เวลาจุดควันจะเยอะมาก
ผมก็เลยใช้แต่น้อยแล้วผสมกับน้ำมันพืช ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ที่ดีกว่าน้ำพืชล้วนๆคือกินไส้น้อยกว่ามากครับ

ที่คุณกิมเน้ยบอกว่า
น้ำมันมะกอกบริสุทธ์กว่าฆี
เนี้ยะ
ยังไงอะคัฟ เพราะตามศาสนาแล้ว
เขาบอกว่าไฟจาก ฆีและการบูร
คือไฟที่สะอาด
ใครรู้โปรดชี้แนะด้วยคัฟ
ข้าแต่พระวาคีศวรีเจ้า พระมารดาแห่งพระเวทย์ พระมารดาแห่งศฤงคาร พระมารดาแห่งขุนเขา 
ในนามของ พระปารวตี  ลักษมี  สรัสวตี  สาวิตรี  คายตรี พระองค์คือปรมาตมัน 
พระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งพระพรหม วิษณุ รุทระ
ด้วยพระกรุณาแห่งพระองค์ จักทำให้โลกที่มืดด้วยอวิทยาสว่างขึ้นโดยพุทธิปัญญา

โอม ตัต สัต

ร้านเดวาพาราไดซ์ เจ๊นิภา แกก็มีขายนะคับวันก่อนก้ไปซื้อมาเป็นมัดเลยคับใส่ไส้ตะเกียงโดยเฉพาะ ซื้อทีใช้นานคับคุ้มด้วย มีทั้ง ขนาดเล็ก และใหญ่เหมือนสุขจิตต์คับแต่น่าจะยาวกว่าและถูกกว่า และน้ำมันอีกชนิดที่ใช้ดีก้คือน้ำมันดอกทานตะวันคับใสดี ชื่อก็ดีคับ  อ็อ สินค้ามาใหม่ของเจ๊แก  แม่น้ำคงคาขนดพกพาขวดเล็กๆ เจ๊แก บอกว่าให้ลูกไปขออนุญาตและทําพิธีการ รองน้ำจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียและประเทศเพื่อนบ้านมาเองเลยคับ ลองเอามาใช้แล้ว  โอเค เลย อ่ะ

Quote from: nai 3 on November 01, 2009, 18:50:13
ที่คุณกิมเน้ยบอกว่า
น้ำมันมะกอกบริสุทธ์กว่าฆี
เนี้ยะ
ยังไงอะคัฟ เพราะตามศาสนาแล้ว
เขาบอกว่าไฟจาก ฆีและการบูร
คือไฟที่สะอาด
ใครรู้โปรดชี้แนะด้วยคัฟ


ค่ะ ที่บอกว่าบริสุทธิ์กว่านั้น เพราะว่าน้ำมันมะกอกนั้นมาจากพืชไงคะ ส่วนน้ำมันเนยฆีนั้นแปรรูปมาจากไขมันนม...

แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามอะไรเพราะอย่างที่เราทราบกันดี ว่าชาวอินเดียนั้นใช้มันเนยเหลวอย่าง "ฆี (Ghee)"

มาบริโภคและใช้ใส่กองกูณฑ์ถวายเทพเจ้ามานานนม ก็เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้แนะนำกันอ่ะคะ เพราะถ้าซื้อเนยฆี เท่าที่รู้ก็ไม่ได้มีแบ่งขาย

เค้าจะขายเป็นกระปุกเลย ก็ใช้ได้นานค่ะ แต่ถ้าอยากประหยัดอีกหน่อยก็น้ำมันพืช หรือน้ำมันมะกอกขวดเล็กก็ได้ค่ะ  มีหลายทางเลือก ^^



พระกฤษณะทรงพิศมัยในฆี หรือเนยเหลว ชาวอินเดียจึงเชื่อว่าพระมหิทธานุภาพและพระปัญญาคุณนั้นมาจากฆี
[HIGHLIGHT=#92d050]เมตตามหานิยม อยู่ที่...คุณธรรม[/HIGHLIGHT]

มันเหม็น เพราะว่า จุดแล้ว น้ำมัน เยิ้ม เกรแล้วมันแห้ง อะ ค่ะ พอโดนความร้อนทีนี้ มันก็จะเหม็น เพราะน้ำมัน มันคงจะเน่า
ต้องคอยเช็ด อย่าให้ แห้งเกรอะ ขึ้น เปนสีเขียว 555+
[HIGHLIGHT=#000000][/HIGHLIGHT]

ผมใช้น้ำมันพืช แล้วก้อหยดน้ำหอมกลิ่นดอกปีปลงไป

ก้อหอมดีนะคัฟ

เนยครับ ใช้เนยกระป๋อง สีเขียว ของอินเดียครับ รับรองไม่เหม็น แล้วไส้ก้อใช้สำลี ม้วนครับ จุ่มเนยให้ชุ่มก่อน ครับ แล้วน้ำมันไม่ต้องใช้ครับ ใช้เนย บีบีคิวกระป๋องเขียวครับ ผมใช้อยู่ เพื่อนที่เป็นอินเดียสอนมาครับ ใช้แล้วโอเคมากครับ ไม่เหม็นด้วยไม่หกเลอะเทอะ เพราะตอนตักมันเป็นก้อนเหมือนครีมครับ ลองดูนะครับ

เอ้ ทำไมผมซื้อน้ำมันที่พาหุรัดน้ำมันสีใสๆ อ่ะคับ ทำไมจุกแล้วควันเต็มเลย หรือ เกี่ยวกับใส่ด้วย ซื้อที่ร้านอมรคับ
วงการมายา ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นสมรภูมิรบ และ การผูกสัมพันธ์ไมตรี ทั้งจริงและจอมปลอม

มายา ความหมายของมันช่างลึบลับเหลือเกิน

วงการมายาไม่ใช่ของเล่นทั่วไป เข้าแล้วออกยาก ระวังเอาไว้

Quote from: skye on November 18, 2009, 16:26:26
เอ้ ทำไมผมซื้อน้ำมันที่พาหุรัดน้ำมันสีใสๆ อ่ะคับ ทำไมจุกแล้วควันเต็มเลย หรือ เกี่ยวกับใส่ด้วย ซื้อที่ร้านอมรคับ
น่าจะเป็นน้ำมันชนิดเดียวกับที่ผมซื้อจากร้่านโอมศิวะ จุดแล้วควันดำโขมงเต็มห้อง
ผมก็เลยผสมกับน้ำมันพืชครับ ตอนนี้ไม่มีควันแล้ว และไม่กินไส้มากเหมือนใช้น้ำมันพืชล้วนๆ

สนับสนุนความคิดของคุณถุงแป้งเลยคับ^^

น้ำมัน 9 กลิ่น

หอมมากก ก ก ก


ขออนุญาตนะครับ

แล้วพระพุทธเจ้าม่ะใช่คนอินเดียหรอครับ หรือผมยึดติดไปเอง เห็นปกติไหว้แต่ธูปเทียน

ทั้งๆที่หลักฐานในพระไตรปิฎกบอกว่า ถวายประทีปแก่สมณะพราหมณ์ นักบวช เช่น ก่อกองไฟ จุดตะเกียง ได้อานิสงส์คือ มีดวงตาสวยงาม จนถึงได้ทิพยจักษุ พระอนุรุทธะในชาติสุดท้ายเป็นเลิศด้านทิพยจักษุหรือมีตาทิพย์เพราะอดีตชาติมีจิตศรัทธาแรง ถวายประทีปพร้อมจานรองสำริดขนาดใหญ่กว่าจานรองประทีปทั้งหมดเพื่อบูชาพระบรมศพพระพุทธเจ้า ในชาติสุดท้ายจึงได้ตาทิพย์ครับ

ซึ่งจริงๆตาทิพย์เป็นอภิญญาพิเศษในอภิญญา6 แต่พระอนุรุทธะเป็นเลิศด้านตาทิพย์มากกว่าองค์อื่น

ในพระไตรปิฎกเล่าว่าพระพุทธเจ้าเสด็จตอนกลางคืน ชาวบ้านผู้ศรัทธาคนนึงเห็น ก่อกองไปถวายเป็นพุทธบูชา

...

ส่วนเทพอินเดีย ถ้าจุดเทียนบูชาท่าน ไม่ผิดอะไร และไม่ใช่เรื่องแปลก

แค่ตะเกียงอารตีตั้งโต๊ะขนาดเล็กก็พอแล้ว เพราะตะเกียง หรือการจุดน้ำมันต่างๆ เป็นเรื่องของความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หรือใช้ในพิธีกรรม เช่น อ่านพระเวท บูชาเทพ

ถ้าจุดในบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้ตะเกียงอันใหญ่ๆ แพงๆ เพราะเป็นบ้านไม่ใช่วัด

---

ถวายน้ำมันหอม คือการถวายเครื่องหอม ได้อานิสงส์คือ มีกลิ่นกายหอม

อืม นำมันตะเกียงเหรอครับ
ถ้าจุดตะเกียง ก็ น้ำมันตะเกียงใสๆ น่ะครับ ขายเป็นแกลอน

ผมไม่ค่อยจุดตะเกียงนานๆ.. แต่เวลาอาราตี ใช้สำลี ชุบน้ำมันมะพร้าว..
ปล่อยให้ไหม้ซักพัก ตัดปลายออกหน่อย ไม่ให้เหลือปลายแหลมมากไป
ก็จะทำให้ไม่มีควัน..

บางคน ก็ปล่อยให้สำลีัไหม้จนหมด แต่ผมเป็คนขี้เกียจ ไม่อยากปั้นใหม่
ก็เลยดับ เมื่ออาราตีเสร็จ.. ประหยัดน้ำมันกว่าด้วย...
ครั้งต่อไป ก็เติมน้ำมันก่อนจุดซักนิด.. แล้วจุดใหม่...เท่านี้แหละ..ประหยัด คุ้ม

ตะเกียง เทียน หรือประทีป.. จุดประสงค์ คือ ถวายแสงสว่าง
ไม่ว่าัลัทธิ นิกายใด ย่อมถือว่า แสงสว่าง นำมาซึ่งความสว่างของชีวิต

สมัยนี้ หากจุดตะเกียงไว้นานๆ อาจไม่ปลอดภัย เพราะเป็นฟืนไฟ...
ผมว่า อาจใช้หลอดไฟเล็กๆ หรือโคมไฟดอกบัวเล็กๆ มีสวิช เปิด-ปิด
ตั้งไว้หน้า ที่บูชาพระ หรือ เทพ แล้วเปิดบูชาได้ตลอดเวลา และปิดได้เมื่อต้องการ
และควรเลือกแบบกินไฟน้อยนะครับ...
น่าจะปลอดภัยกว่า จุดด้วยน้ำมัน และไฟ..

แต่บางคนอาจบอกว่า ควรถวาย "ธาตุ" นั่นก็คือ ถวายคุณสมบัติของธาุตุ คือ ความร้อน
ก็ใช้อาราตี เป็นเวลา....ก็แล้วกันนะครับ
วิธีอาราตี แต่ละสำนักก็ต่างกันออกไป แต่ก็ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน

ในที่ใด ที่มีเสียงระฆัง กรุ้งกริ้ง เทวดาผ่านไปมา ก็รู้ว่า เอ่อ อาจเป็นที่บูชานะ
ในที่ใด ที่มีกลิ่นอันประณีต เทวดา ก็จะชอบมากกว่า
ในที่ใด ที่มีแสงสว่าง ท่ามกลางที่มืด เทวดา ก็อาจเห็นว่า เป็นที่สักการะ

ดังนั้น การสั่นกระดิ่้ง ก็ตาม การถวายประทีป ก็ตาม การถวายเครื่องหอม ก็ตาม
ล้วนเป็นเครื่องประกอบสมมุติ หากจิตไม่ตั้งมั่น ก็ไม่มีผลอะไร
สั่นกระดิ่งให้ดังจากท้ายซอย ดังไปถึงปากซอย ก็ไม่มีผลอะไร จะถูกข้างบ้านด่าด้วยซ้ำ
จะจุดกำยาน ให้ควันกรุ่นยังไง ก็เท่านั้น จะเป็นมะเร็งปอดซะเปล่า
จะไฟให้ลุกโพลง โชติช่วง แต่ไม่มีจิตตั้งมั่น.. มันก็เท่านั้น

ทำอะไร ก็พอดี พอควร...รู้ว่า ทำอะไรเพื่ออะไร นะครับ..

ส่วนเรื่องอานิสงส์ ของการถวายประทีป นั้น...
พระอนุรุทธะ ท่านได้ทิพยจักขุก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า
จะได้เพราะสักแต่ถวายประธีปอย่างเดียว และไม่ได้ถวายชาติเดียวก็จะได้...
ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยอ่านประวัติท่านนะ... ท่านถวายมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว
เป็นอธิษฐานจิต... และติดเป็นนิสัย ที่กระทำหลายชาติ สืบเนื่องกันมา
นับแต่ชาติที่ตั้งจิตอธิษฐาน ต่อหน้าพระพักตร ของพระพุทธเจ้า พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง
แล้วจะต้องได้รับการอนุโทมนา และประทานพุทธทำนาย ด้วย

ทิพยจักขุ อาจเกิดจากกสิน ก็ได้..
หากเกิดจากกสิน ก็เป็นได้ว่า การฝึกกสิน มีมาก่อนพุทธกาล
พระอนุรุืทธะ อาจฝึกเคนฝึกกสิน และพอใจในการถวายประทีปมาแล้ว หลายชาติ ติดต่อกัน
เหมือนนักกีฬา ฝึกซ้อมมาก ไม่ขาดการฝึกฝน ก็เชี่ยวชาญมาก

ด้วยความเป็นผู้มีใจเป็นกุศลในการถวายประทีป
ภาพประทีป และเปลวไฟที่จุดถวาย อาจเกิดติดตา ตรึงใจ
หลับตาเห็น ลืมตาเห็น เหมือนผู้ฝึกกสินก็เป็นได้ จนเกิดเป็นปฏิภาคนิมิต
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นบาทของกสิน ที่ทำให้เกิดทิพยจักขุ...

ชาติสุดท้าย จึงส่งผล ให้เกิดทิพยจักขุได้ง่าย และแจ่มชัด
ด้วยอานิสงส์ ของการที่เคยฝึกฝนมาก่อน จึงมีความถนัดด้านนี้มากเป็นพิเศษ
และแจ่มใส กว่าพระอรหันต์รูปอื่น ด้วยอานิสงส์ของใจ ที่มีต่อการถวายเป็นพุทธบูชา
มาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน รวมถึงการอธิษฐาน ให้เป็นเอก ด้านผู้เลิศทางทิพยจักขุ

ดังนั้น ไม่ควรปักใจเชื่อทั้งหมด ว่า 
เพียงแค่ การถวายประทีป ทำให้ตาสวย หรือมีทิพยจักขุ แจ่มใส
แต่ต้องดูบริบท อื่นๆ ประกอบด้วย นะครับ


หมายเหตุ...
กสิน เป็นบาทของสมาบัติ สมาบัติ เป็นบาทของอภิญญาทั้งปวง

แต่ทิพยจักขุ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากกสินเสมอไป
แต่อภิญญา 6 มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องมีกสินเป็นบาท

ดูกร มหานามะ อริยสาวกนั้นอาศัยจตุตถฌาน มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ย่อมระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อนได้เป็นอันมาก...
...เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรนดี-ทราม
ด้วย[HIGHLIGHT=#ffff00]ทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์[/HIGHLIGHT] ล่วงวิสัยจักษุของมนุษย์

(เสขปฏิปทาสูตร)


แสดงว่า ทิพยจักขุ ที่แจ่มชัด จักเกิดแก่ผู้ที่ได้จตุถฌาณ
อันประกอบด้วยอุเปกขา เป็นเครื่องยังสติให้บริสุทธิ์
ไม่ได้บอกว่าต้องมาจากกสินเสมอไป
อานาปานสติ ก็ก่อให้เกิดจตุถฌาณได้เช่นกัน

อันนี้ ขอให้ทำความเข้าใจคำว่า "ญาณ" เสียก่อน ว่าแปลว่า "เครื่องรู้"
...ดังนั้น ทิพยจักขุญาณ จึงแปลว่า "เครื่องรู้อันเป็นทิพย์ ดั่งตาเห็น" 
เพราะฉะนั้น การรู้การจุติ หรือ อุบัติ ของสัตว์ ไม่จำเป็นต้อง "เห็นเป็นภาพ" เสมอไป
ที่กล่าวกันว่า "ตาทิพย์" นั้น มักเข้าใจโดยส่วนเดียวว่า "เห็นเป็นภาพ"
ดังนั้น หากจะให้เห็นเป็นภาพนิมิต ก็ต้องมีกสินเป็นบาท
แต่ถ้าเห็นด้วย "อำนาจของใจ" ก็เป็นการ "รู้" สภาวะนั้นๆ
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นภาพปรากฏเสมอไป แต่เป็นการ "ปรากฏแจ้งแก่ใจ"


นี้ยังไม่ได้กล่าวถึงอภิญญา 6 เลยแม้แต่น้อย



ในวิสุทธิมรรค กล่าวว่า...
อัชฌาสัยของท่านที่ชอบมีฤทธิ์มีเดชทำอะไรต่ออะไรเกินกว่าสามัญชนจะทำได้
เรียกว่าอัชฌาสัยของท่านผู้มีฤทธิ์ หรือท่านผู้ทรงอภิญญา ๖

อภิญญา ๖ นี้ เป็นคุณธรรมพิเศษสำหรับนักปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง
ต้องฝึกฝนให้สามารถทรงคุณสมบัติห้าประการดังต่อไปนี้

     ๑.อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆได้

     ๒.ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกล หรือเสียงอมนุษย์ได้ยิน

     ๓.จตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์

     ๔.เจโตปริยญาณ รู้ความรู้สึกในความในใจของคนและสัตว์

     ๕.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่าง ๆที่ล่วงมาแล้วได้


ทั้งห้าอย่างนี้ข้างต้น จะต้องฝึกให้ได้ในสมัยที่ทรงฌานโลกีย์จึงฝึกอบรมวิปัสสนาญาณต่อไป
เพื่อให้ได้อภิญญาข้อที่ ๖

     ๖. อาสวักขยญาณ ได้แก่การทำลายอาสวะให้หมดสิ้นไป

ก็จะเข้าสู่ความเป็นโลกุตรฌาน นั่นคือเข้าสู่ความเป็นพระอริยะ

ญาณข้อ ๑. ท่านสอนให้ฝึกการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ การแสดงฤทธิ์ทางพระพุทธศาสนานี้
ท่านสอนให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้

   ท่านให้[HIGHLIGHT=#ffff00]เจริญคือฝึกกสิณให้ชำนาญ[/HIGHLIGHT]...


อ้างอิืงข้อความจากพระไตรปิฏก
เอตทัคคบาลี

เล่ม ๒๐
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระอัญญาโกณฑัญญะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้รู้ราตรีนาน ฯ

พระสารีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก ฯ
พระมหาโมคคัลลานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์ ฯ
พระมหากัสสป เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้ทรงธุดงค์ และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์ ฯ
[HIGHLIGHT=#ffffff]พระอนุรุทธะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีทิพยจักษุ ฯ[/HIGHLIGHT]

พระภัททิยกาฬิโคธาบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เกิดในตระกูลสูง ฯ
พระลกุณฏกภัททิยะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีเสียงไพเราะ ฯ
พระปิณโฑลภารทวาชะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้บันลือสีหนาท ฯ
พระปุณณมันตานีบุตร เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้เป็นธรรมกถึกฯ
พระมหากัจจานะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา
ผู้จำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร ฯ

จบวรรคที่ ๑

อีกประการหนึ่ง ในประวัติของพระอนุรุทธะ  กล่าวว่า...

พระอนุรุทธเถระได้บรรลุพระอรหัตพร้อมวิชา ๓ คือ

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ทิพพจักขุญาณ และ
อาสวักขยญาณ

[HIGHLIGHT=#ff0000](อภิญญา ๖ ที่กล่าวมา ไม่รวม "ทิพยจักขุ" นะครับ)[/HIGHLIGHT]

ตามปกตินอกจากเวลาฉันภัตตาหารเท่านั้น
นอกนั้นท่านจะพิจารณาตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพพจักขุญาณ
(เปรียบกับคนธรรมดาก็เหมือนกับผู้มีใจเอื้ออาทรคอยเอาใจใส่ดูแล ทุกข์สุขของผู้อื่นตลอดเวลา)
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงยกย่องท่านว่า
เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ได้ทิพพจักขุญาณ

พระอนุรุทธเถระนี้ได้[HIGHLIGHT=#ffff00]สร้างสมบุญกุศล[/HIGHLIGHT]ที่จะอำนวยผลให้เกิดทิพยจักษุญาณในพุทธกาล
[HIGHLIGHT=#ffff00]เป็นอันมาก[/HIGHLIGHT]คือได้ทำการบูชาด้วยประทีปอันโอฬารที่พระสถูปเจดีย์
ด้วยผลบุญอันนี้จึงทำให้ได้ บรรลุทิพยจักษุญาณ [HIGHLIGHT=#ffff00]สมกับปณิธานที่ตั้งไว้
[/HIGHLIGHT]
แต่อย่างไรก็ดี การได้ผลบุญ มีผลจากการตั้งจิตอธิษฐาน เป็นสำคัญ
เช่น พระอินทร์ ถวายอาหารทิพย์ แก่พระพุทธเจ้า เมื่อทรงแรกออกจากนิโรธสมาบัติ
โดยทูลขอพร ให้เป็นเทพผู้มีรัสมีสุกสว่างกว่าเทพทั้งปวง...ก็สำเร็จดังประสงค์
ด้วยอนุโมทนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าวที่ถวาย ไม่เห็นเกี่ยวกับรัสมี แสงสว่าง ตรงไหนเลย...

หากเป็นผู้อื่น อาจถวายประทีป แล้วอธิษฐานเป็นอื่น ที่ไม่ใช่้ทิพยจักขุอันแจ่มใส
ก็อาจสำเร็จดังประสงค์ได้
จึงสันนิษฐานได้ว่า พระอนุรุทธะ ท่านอธิษฐานของท่านไว้ เช่นนั้น...
และสะสมความชำนาญไว้เช่นนั้น นะครับ...

(สำหรับผู้สนใจประวัติของภิกษุและภิกษุณี ผู้เป็นเอก คือ เอตทัคคะ
หรือผู้ชำนาญ-เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านต่างๆ ก็มีหนังสือให้ค้นคว้าหาความรู้กันนะครับ
ลองหาอ่านดู ก็แล้วกัน)

เพราะอย่างพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ก็ต้องถือว่า ทิพยจักขุแจ่มใส
เพียงแต่ไม่ได้ใช้สงเคราะห์สรรพสัตว์ทั่วไป เกือบตลอดเวลา เท่ากับพระอนุรุทธะ เท่านั้น
ก็ด้วยเหตุที่ท่านไม่ได้ตั้งปารถนาจะให้เป็นเลิศด้านทิพยจักขุ โดยเฉพาะ นั่นเอง...

ผมก็สันนิษฐานเอานะครับ เพียงแต่ต้องการบอกว่า
เหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง เกือกูล ให้เกิดผลอย่างหนึ่ง เท่้านั้น
ไม่ต้องการให้ใครเชื่อ หรืองมงาย ว่า
การประกอบกุศลอย่างหนึ่ง แล้วจะต้องได้ผลจำเพาะ แบบนั้นๆ เสมอไป

เช่น ถวายหนังสือ หรือสื่อโสตทัศนูปกรณ์แด่สงฆ์ ก็ไม่จำเป็นว่า ต้องเกิดมา ปัญญาดี
เพราะ "ปัญญา" จริงๆ แล้ว เกิดจากความฉลาดของจิต ภายใน อันเกิดจากการฝึกสติ
จนเห็นความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ถือว่าเป็น "ปัญญา" ในพระพุทธศาสนา...

มิเช่นนั้น คนจะทุ่มเทถวายหนังสือ สื่อการสอน แล้วจะคิดว่า จะมีปัญญามาก
โดยไม่ต้องฝึกสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่การถวายหนังสือ หรือสื่อการสอน อาจส่งผล อำนวยให้มีโอกาสทางการศึกษา
หรือมีโอกาส ได้รับองค์ความรู้ที่สมควรแก่การพัฒนาจิตใจ ได้สะดวก

เมื่อรู้จักเจริญสติ อย่างถูกต้อง ย่อมเกิด "ปัญญา" ตามลำดับ
อันนี้เป็นไปได้ ดังนั้น ต้องพิจารณา เหตุ-ปัจจัย ของอานิสงส์
ในการประกอบกุศลนั้นๆ ด้วย เป็นต้น ครับ

ใครที่สำเร็จอภิญญา6 ก็มีตาทิพย์ได้ครับ

[HIGHLIGHT=#c0504d]มีเคล็ดลับมาครับ[/HIGHLIGHT]

จะใช้ในการเติมน้ำมันตะเกียง มี่จุดถวายองค์เทพก็ได้ หรือ ตามวัดก็ได้

เวลาเติมก็อธิฐานดังนี้ ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียง บูชาองค์เทพเทวา ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียงส่องสว่างแด่องค์เทพเทวา  ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียงส่องสว่างนำพาชีวิต  ลูกของเติมน้ำมันตะเกียงเพื่อเติมปัญญา เติมสมาธิ เติมบารมี เติมเงิน  เติมทอง เติมโชค เติมลาภ เติมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

แค่เนี่ย ง่ายๆ   เวิค์กโครตๆ
วงการมายา ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่เป็นสมรภูมิรบ และ การผูกสัมพันธ์ไมตรี ทั้งจริงและจอมปลอม

มายา ความหมายของมันช่างลึบลับเหลือเกิน

วงการมายาไม่ใช่ของเล่นทั่วไป เข้าแล้วออกยาก ระวังเอาไว้

Quote from: skye on November 23, 2009, 21:41:26
[HIGHLIGHT=#c0504d]มีเคล็ดลับมาครับ[/HIGHLIGHT]

จะใช้ในการเติมน้ำมันตะเกียง มี่จุดถวายองค์เทพก็ได้ หรือ ตามวัดก็ได้

เวลาเติมก็อธิฐานดังนี้ ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียง บูชาองค์เทพเทวา ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียงส่องสว่างแด่องค์เทพเทวา  ลูกขอเติมน้ำมันตะเกียงส่องสว่างนำพาชีวิต  ลูกของเติมน้ำมันตะเกียงเพื่อเติมปัญญา เติมสมาธิ เติมบารมี เติมเงิน  เติมทอง เติมโชค เติมลาภ เติมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

แค่เนี่ย ง่ายๆ   เวิค์กโครตๆ
ขอบคุณครับ