Loader

ปราสาทเมืองต่ำ

Started by กาลิทัส, April 18, 2009, 12:53:30

Previous topic - Next topic

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

หายหน้าหายตาไปหลายวัน ไม่รู้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะคิดถึงบ้างไม๊น้อ 

สงกรานต์นี้หลบลมร้อนจากอยุธยาไปยังที่ที่ร้อนยิ่งกว่า คือ บุรีรัมย์ ไหนๆ ก็ไหนๆ ต้องไปถ่ายอะไรเกี่ยวกับฮินดูมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันซักหน่อย เลยตัดสินใจไปปราสาทเมืองต่ำ กับ พนมรุ้งซะ

ปราสาทเมืองต่ำ อยู่ห่างจากบ้านที่พักไป 250 เมตรได้มั้ง เรียกว่าเดินก็ห้านาทีถึง ก็เลยออกเดินทางจากหน้าบ้านซะ   ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะใกล้ขนาดนี้ บ้านที่พักผมอยู่ที่ บ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์

ไปถึงก็เห็นสิ่งแรกครับ เค้าเขียนว่า "ศูนย์ข้อมูลปราสาทเมืองต่ำ" แต่ตอนไปไม่ได้เข้าไปดูครับ เพราะว่าอาการเหมือนฝนใกล้ตก เลยรีบเที่ยวซะก่อน (แต่ฟ้าโกหกครับ เพราะวันนั้นฝนไม่ตกเลยทั้งวัน)



พอเดินข้ามฝั่งถนนมาเราก็เห็นประวัติของปราสาทเมืองต่ำครับ เห็นก่อนเห็นทางเข้าอีก



ตามประวัติเค้าเขียนว่าอย่างงี้ครับ

ปราสาทเมืองต่ำ

"เมืองต่ำ" ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม แต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณสถานแห่งนี้เพราะความเข้าใจว่า ปราสาทแห่งนี้เป็นเมืองซึ่งตั้งอยู่ในที่ต่ำ เมื่อเทียบกับพนมรุ้ง ซึ่งเป็นมืองที่ตั้งอยู่บนที่สูง ปราสาทเมืองต่ำน่าจะเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย เนื่องจากได้มีการขุดพบศิวลึงค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะเทพเจ้าสูงสุดในลัทธิไศวนิกายที่บริเวณปราสาทประธาน ส่วนพระวิษณุน่าจะได้รับการนับถือในฐาณะเทพชั้นรอง เพราะภาพสลักส่วนมากที่ปราสาทหลังนี้ สลักเรื่องเกี่ยวกับการอวตารของพระวิษณุปราสาทเมืองต่ำสร้างขึ้นในปลายพุทธศววรรณที่ 16 หรือตรงกับศิลปะแบบบาปวนตอนต้น ความสำคัญของปราสาทแห่งนี้ลดลงในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 และถูกทิ้งร้างในที่สุด จนกระทั่ง 50-60 ปีที่ผ่านผ่าน ชาวบ้านจากจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ และอุบลราชธานีจึงได้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้อีกครั้งหนึ่ง

มีต่อนะครับ >>

April 18, 2009, 13:34:35 #1 Last Edit: April 18, 2009, 13:38:16 by กาลิทัส
เห็นแล้วครับ ป้ายปราสาทเมืองต่ำ มองดูด้านหลังจะเห็นตัวปราสาทครับ สวยงามมากทีเดียว



ก่อนจะเข้าต้องมาดูค่าธรรมเนียมกันนิดนึงครับ
เพื่อเอาไว้เป็น ค่าบูรณะซ่อมแซมตัวปราสาทครับ
เขียนเอาไว้ว่า

สัญชาติไทย คนละ 20 บาท
สัญชาติอื่น คนละ 100 บาทครับ

แต่บังเอิญเรามีเจ้าบ้านไปด้วย เลยบอกคนเก็บตัวครับว่ามาจากบ้านโคกเมือง เค้าเลยให้เค้าฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียมครับ
((ขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ))



พอเดินเลยเข้ามาก็เห็นป้ายสองอันอยู่ในซุ้มครับ พอเดินเข้าไปดูเห็นว่าเป็นแบบแปลนของการสร้างปราสาทครับ
ส่วนอีกป้าย เป็นรายละเอียดคำอธิบายสิ่งก่อสร้างในปราสาทครับ





เดี๋ยวเราชมภาพกันไป อธิบายกันไปแล้วกันนะครับ

เริ่มเลยแล้วกันครับ มาดูทางเดินไปยังตัวปราสาทกันครับ ดูแล้วไกลลิบๆ เลยแฮะ แต่จริงๆ แล้วไม่ไกลนะครับ



เริ่มเดินทางกันเลยครับ พอสุดทางที่เห็นก็เลี้ยวขวาทันที

มีต่อครับ >>

April 18, 2009, 14:45:34 #2 Last Edit: April 21, 2009, 09:39:03 by กาลิทัส
พอเลี้ยวปุ๊บมองตรงไปเลยครับ เจอทันที ด้านหน้าของปราสาทครับ



เข้าไปดูใกล้ๆ เค้าก็มีคำอธิบายครับ



เขียนไว้ว่า ส่วนนี้เป็นซุ้มประตูโคปุระ หรือ กำแพง เป็นอาคารที่มีลักษณะผนังทำเป็นรูปกากบาท ใช้สำหรับเป็นทางเข้า-ออกศาสนสถาน โครงหลังคาน่าจะเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ส่วนกำแพงสร้างด้วยศิลาแรลงล้อมรอบ ถือเป็นขอบเขตชั้นนอกของศาสนสถานครับ 

นี่เป็นกำแพงแก้วครับ ตอนแรกดูๆๆๆ มันโค้งๆๆๆๆๆ หรือว่าเค้าทำโค้งๆ เลยได้ความว่ามันทรุดครับ สร้างด้วยศิลาแรงครับ



ซึ่งซุ้มประตู หรือ โคปุระนี้ จะมีทั้งสิ้น 4 ทิศครับ

ส่วนด้านข้างซุ้มประตูเจาะเป็นช่องหน้าต่างประดับด้วยลูกมะหวดครับ



ในที่สุดเราก็อธิบายโซนชมพูไปและเรียบร้อย


April 18, 2009, 15:36:12 #3 Last Edit: April 18, 2009, 15:42:35 by กาลิทัส
ต่อไปมาดูโซนสีม่วงกันครับ ว่าคืออะไร

โซนที่ม่วงที่ในแบบแปลนเป็นรูปตัวแอล L นั้น เป็นสระน้ำภายในปราสาทครับ

พื้นสระเป็นหินทรายซ้อนทับกันครับ สังเกตุเห็นว่าบริเวณมุมสระจะเป็นปูนปั้นทำเป็นรูปพญานาค 5 เศียรครับ แต่เป็นพญานาคหัวโล้นๆ ไม่มีหงอน แบบนี้เค้วเรียกว่าพญานาคหัวลิงครับ





คนพาไปเค้าบอกว่า ถ้าฤดูไหนมีน้ำมาก (สงสัยตั้งแต่เค้าเด็กๆ แหละ) น้ำในสระจะเกือบเต็มเลยครับ แต่ที่ไปนี้ น้ำแห้งครับ
เค้าขุดสระแบบนี้รอบเทวสถาน ทั้งสี่มุมครับ เห็นว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีไว้ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นสระน้ำที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ครับ

มีต่อนะครับ >>

มารอภาคต่อค๊าบ
มือไม่พาย.. เอาเท้าราน้ำ

เท่าที่รู้  มีบาราย  กับ สระอโนดาษ อ่ะครับ  อิอิ  รออ่านต่อ 
  สงกรานตืนี้  อยู่แต่บ้าน  เฮ้อออออออ  อิจฉา  อยากไปเมืองโบราณมั่งจัง  ไปละเหมือนได้เห็นชีวิตสมัยก่อน   อิอิอิอิ
[HIGHLIGHT=#000000]*****จยันตี มังคลา กาลี  ภัทรกาลี กปาลิณี*****  [/HIGHLIGHT]

  พอมีเรื่องปราสาทก็คิดได้ว่าเราก็เคยไปเที่ยวมาเหมือนกัน  ไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว ช่วงที่เขาทวงทับหลังกันใหม่ จนพี่แอ็ดได้เอาไปแต่งเป็นเพลง ทับหลัง ปราสาทที่ว่านี้ก็คือ ปราสาทเขาพนมรุ้ง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากปราสาทเมืองต่ำ สมัยนั้น บริเวณด้านหน้ายังเป็นดินแดงอยู่เลย แต่ไปครั้งนั้นมีเรื่องที่ประทับใจไม่ลืม คือเราไปเที่ยวในครั้งนี้ ก็อยากจะขอพรขอหวยจากเทวสถานแห่งนี้ ครั้งนี้เลยเตรียมเอาน้ำนมและดอกดาวเรืองไปด้วย ก่อนจะเดินขึ้นเขาไป ก็ตั้งจิตอธิฐานว่า ถ้าลูกมีบุญวาสนาและองค์เทพเทวาต้องการประทานโชคให้ ก็ขอให้ลูกนี้ได้เห็นนิมิตรเป็นเลขเป็นหวยด้วยเถิด .... ว่าแล้วก็เดินๆๆๆๆๆๆๆขึ้นไป สายตาก็กวาดไปเจอตัวเลขที่เขียนอยู่ตามก้อนหิน อะจ้ากๆๆๆ ทำไม มันเยอะแบบนี้วะ เอาละซิ แล้วข้าพเจ้าจะเอาหวยตัวไปไปแทงละเนี้ย    ว่าแล้วก็เดินไปดูไปพรางๆ จนไปถึงตัวปราสาทชั้นใน ซึ่งมีศิวลิงค์ ตั้งเด่นอยู่ ณ กลางปราสาท ก็เลยรีบเอาน้ำนมราดแล้วก็ล้างด้วยน้ำเปล่า ต่อด้วยเอาดอกดาวเรืองคล้ององค์ท่าน เสร็จแล้วก็ขอพร (แต่ต้องรีบทำเพราะเขาเขียนไว้ว่าห้ามราดนมประมาณนี้ละ) แล้วก็เดินออกมาไปดู ทางน้ำซึ่งเป็นร่องน้ำของโยนี ซึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ ก็สำรวจไปเรื่อย ใจก็ท้อเหลือเกินว่า เอ่อ ....หวยหนอ ทำไมจะได้วะเนี้ย พอเดินมาด้านที่มี เทวรูปตั้งอยู่ (นายทวาร)ทิศใต้ก็แลเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดขาว กำลังบวงสรวงศิวลึงค์อยู่เช่นกัน แต่ไหง ไปนั่งบูชากันด้านหลังวะ (คือทางด้านทิศตะวันตก) เราก็เดินเข้าไปด้วยความหวังดี ว่า ถ้าจะบูชาก็ต้องด้านหน้าสิ สงสัยเขาจะไม่รู้ ก็เดินไปบอกเขาว่า พี่ด้านนั้นด้านหลัง ต้องด้านนี้ครับ พระพักตร์ขององค์พ่ออยู่ด้านนี้ ว่าแล้วเขาก็รีบขยับมา แล้วก็ร้องเพลงเป็นทำนองสารภัญญะ ตามทำนองทางอีสาน แล้วก็เอาแป้งมานั่งถูๆๆๆๆเพื่อจะเอาเลข ผมก็เลยบอกว่าพี่จะถูอะไรยากละ ก็นี้ไงเลข (ตอนนั้นตาเหลือบไปเห็นรอยคราบน้ำนมที่ผมเอาไปราด แต่ล้างไม่หมด ขึ้นเป็นเลขลางๆ เราก็ดู เขาก็ดู เขาเห็นเป็นอีกแบบ เราก็เห็นเป็นอีกแบบ เขาก็ถามเราว่า น้องเห็นเป็นเลขอะไร ผมก็บอกไป พอเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมา มาด้านทิศใต้ มานั่งอยู่ริมกำแพง ในใจก็บ่นว่า เอ่อ....ใช่เลขตัวนี้เปล่าวะ ดูยากชมัด ...พ่อหนอพ่อ จะให้กันหน่อยก็ไม่ได้ ...ร้อนก็ร้อน คราวนี้ ผมก็ถ่มน้ำลายลงพื้น ตอนก้มลงไป ก็พบว่า มีแสงสะท้อนขึ้นมาจากพื้นดิน ก็เพ่งมองดู ปรากฏว่าเป็นกระดุมกางเกงยีน ก็หยิบขึ้นมา พลิกไปพลิกมา ก็พบว่ามีเลขอยู่ด้านหลัง จำได้ว่าเป็น 08 ก็เลย เก็บไว้ในกระเป๋า เพื่อไปพิจารณาต่อที่บ้าน พอกลับบ้านมาก็ เลยเอาเลขนี้มาเสี่ยงทายที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง ก็ฝันดี เลยเอาไปแทงหวย จำได้ว่า เลขล่างออก 08 ผมได้มาห้าหมื่น แล้วก็เลขที่ผมไปนั่งดูที่ศิวลึงค์ ก็ออกเป็นเลขบน ตัวนั้นออกผมก็ได้อีก สองหมื่น สรุปงวดนั้นได้ เจ็ดหมื่น 5555555 สบายแฮ่เลยครับพี่น้อง ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครไปเที่ยวหรือจะไปบูชาศิวลึงค์ที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ก็จะลองแบบผมก็ได้นะครับ เผื่อจะได้มีโชคแบบผมครับ  

ผมไปทั้งสองที่ครับ เดี๋ยวพนมรุ้งผมก็จะเอาขึ้นเหมือนกัน เพราะพี่ตี๋ไปราดนมนี่เอง เดี๋ยวนี้ภายในหอบรรจุศิวลึงค์เลยมีการโยงโซ่ ติดป้ายห้ามเข้าไปเลย 555+ เอาไว้จะขึ้นให้ดูครับ อิๆๆ

อ้าว ตัวการอยู่นี่ .. นี่เอง
มือไม่พาย.. เอาเท้าราน้ำ

  แหม่ๆ ก็อะนะ อิอิ เรื่องโบราณสถาน เคยคุยกับเจ้าหน้ากรมศิลป์ฯ หลายคน ส่วนมาก จะบอกว่าเขาอยากจะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่อยากจะให้เป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ เพราะจะทำให้โบราณสถานนั้นถูกทำลาย เนื้อผิวจะเสีย และอีกอย่างเจ้าหน้าพวกนี้ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องแนวนี้เท่าไร มีตัวอย่างจะเล่าให้ฟัง เคยมีนักศึกษาของศิลปากร ยกคณะไปภาคสนามที่โบราณสถานเมืองสุโขทัย ก็เป็นอันที่รู้กันว่า เมืองนี้เขาเป็นเมืองเก่า เรื่องเฮี้ยนนะไม่ต้องพูดถึง พอหลังจากคณะนักศึกษากลุ่มนี้ ทำงานเสร็จแล้วในช่วงเย็น ก็ตั้งวงเหล้าเป็นเรื่องปกติของเด็กศิลป์ ก็อาศัยข้างๆวัดแถวโบราณสถานนั้นแหละ เพียงแต่วัดนี้มีพระสงฆ์ท่านจำพรรษาอยู่ เริ่มดึกก็ยิ่งเริ่มเมา เสียงเพลงก็บรรเลงอย่างเมามัน ชามกะลังไห  เคาะกันสนั่นเมือง คนไหนปวดฉี่ก็แถวๆนั้นแหละ ยกมือไหว้ก้ไม่มี เพราะความคะนองและสนุกด้วยสุรา พอชักหนักๆเข้า ก็มีคนบางคนที่เป็นนักศึกษาหญิง ก็ห้ามปรามว่าเบาๆหน่อย เกรงใจพระท่าน แต่ด้วยความเมาและไม่เชื่อเรื่องพรรณนี้อยู่แล้วก็ ยิ่งส่งเสียงท้าทายไป ......ทันใดนั้นก็มีก้อนหินปลิวมาจากไหนก็ไม่รู้ ลงมากลางวงเหล้า วงก็แตก พร้อมมองไปรอบๆ ปากก็ตะโกนไปว่า ใครวะ ใครปาวะ แต่ไม่มีเสียงตอบ แถมมีก้อนหินอีกนับหลายสิบลูกปลิวมาอีก คราวนี้วงกระเจิง เพราะรอบไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย สรุปวงเหล้าเลยถูกยกเลิกไปโดย ปริยาย พอรุ่งเช้า นักศึกษาก็จะไปร่ำลาท่านเจ้าอาวาส เพื่อจะย้ายฐานไปที่อื่น ท่านเจ้าอาวาสก็เอ่ยปากขึ้นว่า ....เป็นยังไงบ้างละโยม เมื่อคืนนี้ พวกเปรตเขามาฟ้อง อาตมาว่า พวกโยมไปทำความเดือดร้อนให้เขา เขาเลยจัดการไป อาตมาเลยอยากถามดูว่า พวกโยมมีใครเจ็บตัวกันบ้าง .....พอสิ้นเสียงเจ้าอาวาส ทุกคนที่นั้นต่างไม่พูดอะไร และก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด และรีบกราบลาเจ้าอาวาส ออกจากวัดนั้นอย่างรวดเร็ว ....... ในกลุ่มนักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้นว่า เห็นมั้ยละว่า อย่าไปเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ...บรื้อ เข็ดจนตายละคราวนี้ .... 

April 21, 2009, 00:25:28 #10 Last Edit: April 21, 2009, 12:58:41 by กาลิทัส
รออ่านอยู่เหมือนกันครับคุณ กาลิทัส เรื่องปราสาทพนมรุ้งผมเคยไปมาครั้งหนึ่ง
ตอนที่รู้ข่าวว่ามีพวกไปทุบนั้น ใจผมมันเสียวแปล๊บขึ้นมาทันทีเลย
ไม่รู้ว่าใจพวกมันทำด้วยอะไร ไม่รู้ป่านนี้ตำรวจจับคนทุบได้หรือยัง
คิดไว้ว่ายังไงต้องหาโอกาสกลับไปที่นั่นอีกให้ได้
เลยอยากดูภาพบรรยากาศล่าสุดน่ะครับ

April 21, 2009, 09:34:52 #11 Last Edit: April 21, 2009, 11:36:12 by กาลิทัส
  ต่อปราสาทเมืองต่ำให้จบก่อนครับ กระทู้ก่อนจบที่มีสระน้ำล้อมรอบ

คราวนี้มาดูบริเวณโดยรอบของปราสาทชั้นในกันครับ

จะไม่พูดถึงกำแพงชั้นที่สองกับซุ้มประตูชั้นในคงไม่ได้ครับ ตามภาพเลยครับ

กำแพงชั้นในต่างจากชั้นนอกตรงที่ชั้นนอกเป็นกำแพงที่ทำแบบทึบครับ
ส่วนชั้นใน ทำเป็นช่องๆ ตามภาพครับ



ภายในบริเวณปราสาทชั้นใน (ดูจากแปลนด้านบนผมจะแรเงาสีฟ้าไว้ครับ)

จะมีด้วยกันสองหอครับ เป็นหอท้างซ้าย และขวา ส่วนนี้ในป้ายเค้าเขียนว่า Library ที่แปลว่าห้องสมุดครับ แต่คำแปลคือ สถานที่ที่ไว้สำหรับเก็บคัมภีร์และรวบรวมบทบัญญัติทางศาสนาครับ คงคล้ายๆ ห้องพระไตรปิฎกในพุทธศาสนาครับ

มาดูภาพกันดีกว่า



ซู้มลวดลายด้านหน้าประตูหอพระคัมภีร์มาให้ดูกันชัดๆ ครับ



คราวนี้มาดูด้านข้างกัน



อีกนิดครับ ตรงระหว่างกำแพงชั้นในจะเห็นนี่เลยครับ



มันคือ กลศ ครับ เค้าเขียนไว้แบบนี้ หรือที่เรียกกันว่า กลาซัมนี่แหละครับ (บรรยายไว้ว่าหม้อน้ำมนต์)

เดี๋ยวจะพาไปชมตัวปรางค์ประธาน และ ปรางค์อื่นๆ อีก 4 ปางครับ


April 21, 2009, 10:10:27 #12 Last Edit: April 21, 2009, 10:44:13 by กาลิทัส
จากแบบแปลนสีเขียวๆ และสีส้ม จะเห็นพระปรางค์อยู่ 5 องค์ครับ

โดยแบ่งเป็นแถวหน้า 3 องค์ แถวหลัง 2 องค์

โดย สีส้มจะเป็นปรางค์ประธานครับ ซึ่งปัจจุบัน ไม่หลงเหลือซากที่สมบูรณ์เหมือนปรางค์อีกสี่องค์ที่เหลือครับ เหลือเพียงฐานไว้ให้ได้เห็นกันครับ ซึ่งในปรางค์ประธานนี้เองครับ ที่มีการประดิษฐานศิวลึงค์อยู่ภายในครับ (แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้วเหมือนกัน)

ส่วน ปรางค์ที่เหลืออีก 4 องค์ (สีเขียว) ค่อนข้างจะสมบูรณ์ครับ

ด้วยความอยากเก็บภาพจัด ช่องแคบระหว่างปรางค์ค่อนข้างเล็ก บวกกับความขี้เกียจเดินอ้อม ผมค่อยๆ กระดึ๊บๆ ผ่านปรางค์สามองค์หน้าไปแถวหลังเพื่อเก็บภาพ ผมก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่ครับ เป็นเจ้าตะขาบตัวยาวประมาณสี่นิ้วเห็นจะได้ เลยต้องถอยครับงานนี้ ตั้งหลัก แล้วค่อยๆ เดินอ้อมไปตามระเบียบ  

ภาพแรกนี้เป็นภาพปรางค์รวมทั้ง 5 องค์ที่ผมเอามาจากเว็บ Okanation ตามลิ้งค์ครับ เนื่องมาจากตอนไป พระอาทิตย์กำลังลบเหลี่ยม ถ่ายไม่ได้ครับ เพราะมันจะย้อนแสง

จะเห็นว่าเหลือปรางค์แค่ 4 องค์ครับ องค์กลางเหลือแต่ฐานตามที่กล่าวไปแล้ว

ปรางค์องค์หน้าด้านซ้าย จะเห็นทับหลังเป็นภาพ พระศิวะประทับโคนนทิครับ



สังเกตุด้านบนทับหลังดีๆ ครับ นั่งเป็นภาพพระฤาษีนั่งรัดเข่าครับ กี่ตนนี่นับเอาเองครับ แฮ่ๆๆ

มีต่อครับ >>

  ลงภาพไปลงภาพมา ก็งงทาง 555+

ว่าตกลงภาพไหนทับหลังไหน เพราะดันไปดูเว็บอื่นอ้างอิง เว็บอ้างอิงเรามันดันลงผิดอีกนี่ เลยมึนตึบ แฮ่ๆๆๆๆ

ทับหลังปรางค์องค์หน้าด้านขวาครับ




ทับหลังปรางค์องค์หลังด้านขวาครับ



ส่วนทับหลังปรางค์องค์หลังด้านซ้ายเก็บภาพมาไม่ได้ครับ เพราะเจอน้องตะขาบสกัดจุดซะก่อน 555

เอาเป็นว่าผมขอจบเรื่องปราสาทเมืองต่ำไว้แค่นี้ครับ

บารายที่คุณเคนว่าก็คือสระน้ำรูปตัว L นี่แหละครับ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาต่อเขาพนมรุ้งให้ค๊าบ อิๆๆ