Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - panjamin

#1
ฝากไลค์เพจฮินดูครับ ใครสงสัยอะไร ถามได้ในเพจ https://www.facebook.com/SriLaksmiNaRayaNdevalai
#2
เนื่องจากไปอ่านเจอในเว็บหนึ่งเกี่ยวกับที่มาและอาณิสงของการปล่อยสัตว์เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาให้อ่านกันครับ การต่ออายุโดยการปล่อยสัตว์ หรือไถ่ชีวิตสัตว์ เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุให้ยืนยาวออกไป และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ปราศจากโรคภัยทั้งหลาย ดังคัมภีร์กล่าวไว้ว่า

ในสมัยพุทธกาลมีสามเณรน้อยองค์หนึ่งชื่อติสสะ อายุ ๗ ปี มาบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นระยะเวลาหนึ่งปี

อยู่มาวันหนึ่งพระสารีบุตร สังเกตเห็นลักษณะของสามเณรว่าจะมีอายุได้อีก ๗ วันเท่านั้น ก็จะถึงแก่มรณภาพ ท่านพระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรมาบอกถึงความจริงให้ทราบว่า "ตามตำราหมอดูและตำราดูลักษณะ เธอจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน ๗ วัน ดังนั้นให้เธอกลับไปบ้าน ร่ำลาโยมพ่อแม่ และญาติเสีย"

สามเณรมีความเศร้าโศกเสียใจมาก ร้องไห้ร่ำไรน่าสงสาร นมัสการลาพระอาจารย์ แล้วเดินทางกลับบ้านด้วยดวงหน้าอันหม่นหมอง ระหว่างทางที่สามเณรผ่านไปนั้น ได้พบปลาน้อยใหญ่ในสระน้ำซึ่งกำลังแห้งเขิน เมื่อสามเณรไปถึง ปลากำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะน้ำไม่เพียงพอ

สามเณรน้อยติสสะได้เห็นดังนั้น ก็ได้รำพึงในใจว่า เออ ! อันตัวเรานี้ก็จะมรณภาพภายใน ๗ วัน เช่นเดียวกับปลาทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มีน้ำ ฉะนั้นก่อนที่เราจะมรณภาพ เราขอได้โปรดสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ให้รอดพ้นจากความตายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ได้เอาปลาน้อยใหญ่ทั้งหลายใส่ในบาตรของตน แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ให้พ้นจากความตาย ระหว่างทางพบอีเก้งลูกกวาง ถูกแร้วของนายพราน สามเณรก็ปล่อยอีเก้งอีก

เมื่อสามเณรน้อยติสสะเดินทางมาถึงบ้านแล้ว ก็ได้เล่าเรื่องที่ตนจะถึงแก่มรณภาพอีก ๗ วันให้พ่อแม่และญาติพี่น้องฟัง เมื่อเขาเหล่านั้นได้ทราบเรื่องราวแล้ว ต่างคนต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจ ต่างก็สงสารสามเณรน้อยผู้นั้นเป็นยิ่งนัก แล้วเขาทุกคนก็รอคอยวันที่สามเณรน้อยติสสะจะมรณภาพด้วยดวงใจที่แสนเศร้า

เลยกำหนดหนึ่งวันสองวันตามลำดับ จนล่วงกำหนดไป ๗ วัน สามเณรก็ยังไม่ตาย กลับมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งขึ้น ญาติจึงบอกให้สามเณรกลับไปหาพระสารีบุตรเถระ เมื่อสามเณรเดินทางไปถึง พระสารีบุตรมีความประหลาดใจ ถึงกับจะเผาตำราทิ้ง สามเณรติสสะจึงกราบเรียนให้ทราบเกี่ยวกับการนำปลาไปปล่อยในน้ำ และปล่อยอีเก้งจากแร้วของนายพราน

พระสารีบุตรจึงกล่าวว่าการกระทำของสามเณรน้อยติสสะนี้ เป็นกุศลกรรมที่ยังให้เห็นเป็นพลังให้พ้นจากหายนะ คือความเสื่อมความตาย และยังมีชีวิตยิ่งยืนนานอีกต่อไป นี่จึงเปนที่มาของการทำบุญปล่อยสัตว์ และอาณิสงส์ของการทำบุญปล่อยสัตว์นั้นคือสามารถที่จะต่อชีวิตของเราให้ยืนยาวขึ้นได้
ผู้ที่ต้องการสร้างกุศลโดยการปล่อยสัตว์ ควรจะพิจารณาด้วยว่าสัตว์นั้น ๆ จะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่ ในสถานที่ที่ตั้งใจจะนำไปปล่อยนั้นด้วยอีกทั้งต้องมีจิตที่เมตตาอยากจะปล่อยสัตว์ ไม่ใช่แค่ว่าปล่อยให้พอเป็นพิธี ซึ่งถ้าหากปล่อยพอเป็นพิธีโดยที่จิตไม่ได้คิดเมตตาไม่ได้ยินดีไม่ได้ปิติในการปล่อยสัตว์แล้ว ผลบุญหรืออาณิสงส์ก็จะไม่เกิดขึ้น <!--End Main-->
#3
อนุโมทนา สาธูขอรับ
#4
บทนี้ผมใช้สวดอยู่บ่อยๆครับ

มหาลักษมี   นมัสตุภยัม

นมัสตุภยัม    สุเรศวรี

หริปรีเย     นมัสตุภยัม

นมัสตุภยัม    ธญานิธิ
#5
สุนัขเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง ความน่ายกย่องสรรเสริญและความซื่อสัตย์จงรักภักดี ซึ่งความรักและภักดีต่อพระเป็นเจ้าถือเป็นสิ่งที่พึงกระทำ จึงได้ใช้สุนัขเป็นสัญลักษญ์
#6
พระตรีศักติก็คือพระแม่ทั้ง3พระองค์ คือ พระแม่สรัสวตี พระแม่ลักษมี และพระแม่อุมาครับ
#7
ไม่เป็นไรครับ ^^
#8
เมื่อครั้นที่พระฤๅษีอากาธิญาณได้ทำพิธีสักการะพระศิวะเจ้า และได้ขอพรว่า ขอให้ตนได้ยินยลการเริงระบำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่เจ้าปารวตี และพระสดาศิวะ ด้วยเทอญ คำขอนั้นทำให้พระผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองทรงลุกขึ้นจากสมาธิและออกมาร่ายรำตามคำขอนั้น แต่แล้วการร่ายรำก็ได้สะดุดลง เนื่องจากต่างหูของพระแม่ได้หลุดออกในขณะทรงระบำ พระองค์ไม่อยากหยุดร่ายรำจึงใช้พระบาทหนีบต่างหูขึ้นมาเหน็บไว้ที่ข้างพระกรรณของพระองค์ พระแม่เจ้าปารวตีเห็นดังนั้นจึงทรงพิโรธเป็นการมาก เพราะถือว่าพระศิวะได้หยามพระนางโดยการใช้เท้าหนีบต่างหูอันเป็นเครื่องหมายแห่งพระนางที่เป็นเหมือนขุมพลังของพระศิวะเจ้า พร้อมกับตำหนิพระศิวะด้วยโทสะอันรุนแรงจนทรงเผลอตรัสออกไปว่า พระศิวะทรงเป็นโยคีนุ่งห่มหนังเสือหนังหมีป่าเถื่อน ทรงมีสังวาลย์เป็นอสรพิษน่าขยะแขยง และทรงมีตาที่สามประหลาดแท้ พระศดาศิวะฟังดังนั้นจึงพิโรธมากได้ทรงร่ายคำสาปให้พระแม่ปารวตีเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง พระนางทรงเศร้าเสียใจเป็นอันมากที่ได้ดูถูกพระสวามีเช่นนั้น แต่เมื่อคำสาปได้ถูกสาปออกไปแล้วพระนางจึงต้องลงมาเกิดเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์เมืองปาเดียน ในสังคมของชาวทมิฬ โดยการนำพาของพระวิษณุเจ้า ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของพระองค์
      พระนางได้ทรงกำเนิดอีกครั้งจากกองไฟที่กษัตริย์และราชินีเมืองปานเดียนทำการบูชาเพื่อขอบุตร พระนางทรงถือกำเนิดเป็นเด็กสาววัย 3 ขวบ ลอยอยู่เหนือกองไฟ บนพระอุระของพระนางปรากฎพระถันถึง 3 จุดด้วยกัน กษัตริย์ปานเดียนและราชินีต่างพอพระราชหฤทัยมากและรับเป็นบุตรสาวทันที โดยตั้งพระนามว่า ธาดาทาไก หรือแปลว่า ผู้ที่กำเนิดจากพระอัคนี
        พระนางทรงเติบโตขึ้นด้วยความห้าวหาญ ดุร้ายดุจบุรุษเพศ ทรงเก่งกล้าสามารถทั้งเวทย์มนต์ การต่อสู้ และทรงเป็นเอกกวีที่หาใครเทียบยาก เล่ากันว่า พระนางมักจะปลอมพระองค์เป็นสาวชาวบ้านออกไปนิเวศน์พระนครปาเดียนอยู่บ่อยๆ และได้ทรงช่วยเหลือผู้คนไว้มากมาย
        ครั้งหนึ่งที่เกิดช้างพลายตกมันบุกเข้าพระราชฐาน หากองทหารและควาญช้างผู้ใด ก็ไม่สามารถหยุดช้างตกมันเชือกนี้ได้ พระนางเพียงเดินเข้าไปลูบหัวช้างตัวนี้ ก็กลับเชื่องทันทีสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ชาวเมืองเป็นอันมาก เมื่อพระนางเจริญพระชรรษาได้20ปี ทรงได้ปกครองเมืองแทนพระราชบิดา โดยมีพระนามที่ฤๅษีอากาธิญาณตั้งมาใหม่ว่า มีนาคชี แปลว่า ตาปลา กล่าวคือ ปลาในแม่น้ำคงคาวางไข่ไว้ในตาตัวเอง และประทังความหิวโดยการมองลูกๆของมันเติบโตอย่างมีความสุข พระแม่มีนาคชีได้ทรงปกครองเมืองด้วยความห้าวหาญและเข้มแข็ง ดุจขุนศึกนักรบ พระนางทรงเลิกธรรมเนียมที่ผู้หญิงต้องนำของหมั้นไปให้แก่ฝ่ายชาย และที่สำคัญพระนางทรงเลิกประเพณีการบูชาพระอินทร์
      ที่ต้องปล่อยฝูงม้าพหุปการ100ตัว หากไปหยุดที่เมืองใดก็ต้องมีการประหัตประหารกันเพื่อแย่งชิงดินแดน โดยพระนางกล่าวว่า การบูชาพระอินทร์ดังกล่าวไม่ได้สร้างความเจริญอะไรเลย พระอินทร์ทรงรับรู้และทรงพิโรธเอามาก ได้ส่งกองทัพเทวดาลงมาปั่นป่วนเมืองปานเดียนให้วอดวาย แต่พระศิวะทรงทราบก่อนจึงทรงแปลงพระองค์เป็นชายหนุ่มมาช่วยพระแม่มีนาคชีต่อสู้จนได้รับชัยชนะ หลังจากนั้นพระแม่มีนาคชีได้แต่กองทัพพร้อมกับหญิงรับใช้นามว่า สุมาธิ ขึ้นไปบนวิมานของพระอินทร์ เหล่าเทวดาทราบได้หนีกันอลหม่านโดยมีเพียง พระวายุเทพ พระอัคนีเทพ พระวรุณเทพ และพระยมเทพรับหน้า แต่ทั้งหมดก็ไม่อาจทำอะไรพระนางได้ เพราะพระนางทรงมีพระบุญญาณุภาพที่สูงส่งกว่า พระอินทร์หนีไปเข้าเฝ้าขอร้องพระศิวะให้ช่วยตน และหลบซ่อนอยู่ที่เขาไกรลาศนั่นเอง เมื่อพระแม่มีนาคชีรู้ข่าวจากเทวฤๅษีนารัท จึงติดตามไปที่ไกรลาศ แต่พระโคนันทิห้ามไว้



จึงถูกทำร้ายจนสาหัส ความร้อนไปถึงพระศิวะทรงออกมาพบกับพระแม่มีนาคชี ทันใดนั้นความดุร้าย ห้าวหาญเยี่ยงบุรุษเพศและพระถันที่สามของพระนางได้เลือนหายไป ทรงทิ้งอาวุธและทรงมีความเขินอายดั่งสตรีเพศเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นพระศิวะ คำสาปของพระศิวะได้หมดสิ้นไป และได้ทรงสยุมพรกับพระศิวะอีกครั้งหนึ่ง
        ในวันที่ทรงอภิเษกนั้นเทพจักรวาลทั้งหลายต่างมาชุมนุมกันที่นครปานเดียน พระแม่มีนาคชีทรงแต่องค์ทรงเครื่อง และไดทรงทำทักษิณานุปาทาน 7 รอบกองไฟบูชา โดยการนำพาของพระวิษณุเจ้า (เป็นองค์แบ่งภาคของพระศิวะที่อธิษฐานขึ้น เกิดมาใหม่นามว่า พระหริหระ) เข้าสู่พิธี ในงานนั้นพระศิวะได้ทรงเนรมิตอสูร* ขึ้นตนหนึ่ง เพื่อสร้างแม่น้ำสายสำคัญในเมืองปานเดียนขึ้นคล้ายๆกับเป็นของขวัญแต่งงานของพระองค์ ในวันที่ทรงอภิเษกนั้นได้มีการเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่เรียกว่า วันมีนาคชีกัลยานัม พระศิวะกับพระแม่มีนาคชีได้ทรงอยู่ปกครองเมืองปานเดียนด้วยกัน และทรงมีพระราชโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ซึ่งทรงพระนามว่า พระศรีรุทราปาเดียน** อันเป็นพระมหากษัตริย์ของชาวทมิฬต่อมา หลังจากที่พระนางและพระศิวะทรงกลับไปไกรลาศดังเดิม
        พระแม่มีนาคชีทรงเป็นเทพมารดรที่เชื่อว่าไม่ได้มาจากสมมติเทพ แต่น่าจะทรงพระชมน์ ชีพอยู่จริงๆ ชาวทมิฬยกย่องให้พระนางเป็นเทพมารดรแห่งสายน้ำ บทมนตราทั้ง108 (การร่ายรำ) ทรงเป็นพระแม่แห่งมนตราแก้คำสาป ภาษาทมิฬ ทรงเป็นมารดาแห่งพระวินัยกันและพระมุรุกัน รวมถึงชาวทมิฬทุกคน พระนางทรงตรัสว่า ทมิฬคือความหวัง เพราะทมิฬกำเนิดจากพระศิวะเจ้า ทมิฬมีอำนาจคือพระแม่อัมมัน ทมิฬมีความสดใสคือพระมุรุกัน
      กล่าวกันว่าผู้ใดสวดพระนามของพระนางแล้วจะพ้นซึ่งความเกลียดคร้าน ความโง่เขลา พระนางจะทรงประทานพลังชีวิตและจิตใจให้แก่คนผู้นั้น พระนางทรงประทานความกล้าหาญในการฝ่าฟันอุปสรรค การทำงาน ซึ่งเข้ากับกระแสชีวิตของเราๆท่านๆในปัจจุบัน สำหรับผมพระนางจึงเปรียบเสมือนมารดาที่คอยชี้นำชีวิตไปในทางที่ดี ไม่ให้ลูกตกต่ำ พระแม่ทรงเหมือนแสงสว่างที่ทำลายกำแพงแห่งกิเลส อวิชชาความเห็นแก่ตัวให้หมดสิ้นไป


เนื้อเรื่องนี้ผมเอามาจากเวป thanai.com ซึ่งเนื้อเรื่องในหนังกับในเว็บเหมือนกันครับ
#9
ชื่อเรื่องตำนานปาฏิหาริย์เจ้าแม่เทวีครับถ้าจำไม่ผิด ดูเรื่องนี้เหมือนกันครับดูตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเลย
#10
นมัสตัสเสทั้ง 3 ครั้งในบทสวดบูชาพระแม่ นั้นหมายถึง การคารวะพระแม่ทั้ง 3 ครั้งครับ
#11
ขอเสริมอีกนิดนะครับ  อันนี้เปนประสบการณ์

       ผมเคยจัดงานบางสรวงพระนารายณ์ ก็มีของบูชาหลายอย่างรวมทั้งมีธงเขียวเล้กๆที่ทำจากผ้าแพรสีเขียวเอาไปห่อกับไม้เล็กๆด้วย พราหมณ์บอกว่าธงเขียว7ผืนใช้แทนเทวดาประจำภุเขาทั้ง7ลุกครับ
#12
ภูเขาทั้ง 7 ลูก มีเทพทั้ง7องค์สถิตอยู่ดังนี้

1 วฤษภาทรี(Vrishbhadri) ภูเขาของพระโคนนทิ พาหนะของพระศิวะ
2 อันชนาทรี(Anjanadri) ภูเขาของพระหนุมาน
3 นีลาทรี(Neeladri) ภูเขาของพระนางนีลาเทวี มีตำนานกล่าวถึงนางว่า นางเป็นเจ้าหญิงคนธรรพ์ ครั้งหนึ่งพระเกศา(ผม)ของพระบาลาจี เวงกาเฏศวรแตกหักไปพระเศียรจึงล้านไปบางส่วน พระนางนีลาจึงตัดผมบางส่วนถวายพระบาลาจี ซึ่งพระองค์พอพระทัยการเสียสละผมนางมากเรียกเหล่าสาวกมาให้มอบผมให้นางนีลาเทวีกลับมายาวสวยเหมือนเดิม  จึงเป็นที่มาของพิธีถวายผมแด่พระบาลาจี ที่ปัจจุบันก็ยังมีพิธีนี้อยู่
4 ครุฑาทรี(Garudadri) ภูเขาของพญาครุฑ พาหนะของพระนารายณ์
5 เศษาทรี(Sheshadri) ภูเขาของพญาเศษนาค หรืออนันตนาคราช พระแท่นบรรทม(เตียงนอน)ของพระนารายณ์
6 นารายณาทรี(Narayanadri) ภูเขาของพระนารายณ์
7 เวงกฏาดรี(Venkatadri) ภูเขาของพระเวงกเฏศวรบาลาจี   
#14
ไม่เป็นไรครับ  ผมก็ทราบมาจากประวัติพระกฤษณะอ่าครับ
#15
  เป็นการละเล่นที่เรียกว่า ราสลีลา(Raas Leela) ครับ เป็นการละเล่นที่ตีไม้ตามจังหวะแล้วเดินเป็นวงกลม ซึ่งในตำนาน พระกฤษณะกับนางราธาและเหล่าหญิงเลี้ยงโคที่เรียกว่า นางโคปีก้ร่ายรำราสลีลาริมฝั่งแม่น้ำยมุนาครับ
#16
องค์นารายณ์ได้แสดงพระองค์ในปางเปิดโลกหรือปางวิศวรูป โดยต้องการให้อรชุนเห็นว่าการที่พระองค์มีพระพักตร์ของเทพองต่างๆ นั้นก็หมายถึงว่าพระองค์คือทุกสิ่งทุกอย่าง  พระองค์คือสภาวะของเทพทุกพระองค์ จึงมีพระพักตร์ของเทพหลายๆพระองค์รวมกัน อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ
#18
ขอเชิญมาลงภาพ ลงเพลงบูชา และมาร่วมสรรเสริญองค์วิษณุกันครับ ผู้บูชามหาเทพหรือมหาเทวีพระองค์อื่นๆก็สามารถมาร่วมสรรเสริญได้ครับ เพราะพวกเราชาวคนรักฮินดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครับ
#19
ขอติเรื่องรูปขององค์เทพ ผมว่าไม่ควรวางซ้อนกันนะครับ เหมือนรูปพระแม่กาลีวางซ้อนรูปพระขันธกุมาร เพราะนอกจากจะดูไม่สวยแล้วพลังในรูปพระขันธกุมารจะส่งถึงผุ้บูชาได้ไม่เต็มที่
#20
พระกรรติเกยะเจ้าจงเจริญ Jai Ho
#21
สวยขาวพราวพิสุทธิ์ครับ โอม นะมะ ศิวาย ขอพระศิวศังกร พระโพเลนาถ คุ้มครองนะครับ
#22
หิ้งคุณ ramadas ดูเท่าไรก็ไม่เบื่อหรอกครับ
#23
 ดูจากเทวลักษณะและศาตราวุธแล้วผมคิดว่าน่าจะไม่ใช่  แต่ก็อย่างว่านะครับ พระแม่สามารถปรากฏพระองค์ได้หลายรูปแบบ
#25
สวยงามมากเลยครับ  อยากมีห้องพระแบบนี้มั่งจัง
#26
สวบงามน่าเลื่อมใสมากเลยครับ โดยเฉพาะการประดับตกแต่งดุขลังมากเลยครับ ขอให้พระเป็นเจ้าคุ้มครองนะครับ
#27
                   ประวัติของพระหนุมานแบบอินเดียเนี่ยยาวนะครับ แต่ก็จะพยายามเล่าพอดีศึกษาข้อมูลทางนี้มามากพอสมควร  เอาตั้งแต่เรื่องที่เมื่อคราวพระศิวะดื่มพิษพญานาคเข้าไปทำให้พระวรกายร้อนรุ่มพระวิษณุจึงอวตารเป็นนางโมหิณีมามีความสัมพันธ์กับพระองค์จนคลายพิษออก พิษนั้นจึงบังเกิดเป็นดวงไฟรุทรอวตารปางที่11ของพระศิวะเพื่อช่วยพระวิษณุอวตาร  ดวงไฟนั้นได้ไปสถิตอยู่ที่อาสรมฤาษีตนหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้)
                  ส่วนทางพ่อแม่หนุมานก็มีเรื่องราวเช่นกัน คือพระพายหรือวายุเทพมีภรรยาคือนางปุนจิสถาลา ซึ่งนางเป็นลูกสาวของพระสุริยเทพ วันหนึ่ง2สามีภรรยาไปเที่ยวป่าเล่นน้ำกันจนน้ำกระเด็นไปโดนฤาษี มะตัง ฤาษีไม่พอใจจึงสาปให้นางกลายเป็นลิง และบอกวิธีถอนคำสาปคือให้ไปบูชาพระศิวะแล้วจะคืนร่างเดิม ขณะเดียวกันท้าวเกศรีออกป่าล่าสัตว์จนเข้าไปถึงในอาศรมฤาษี พระฤาษีไม่พอใจการที่มีคนมาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในอาศรมและยังเป็นการรบกวนการทำสมณกิจของฤาษี จึงสาปให้กลายเป็นลิงวิธีถอนคำสาปก็เช่นเดียวกัน แล้วบังเอิญทั้ง2ลิงมาบูชาพระศิวะด้วยกัน พระศิวะพอใจแล้วมอบพรว่าให้ทั้งคู่ไปเกิดเป็นพญาวานรในชาติต่อไป  พออีกชาตินางปุนจิสถาลาไปเกิดเป็นธิดาพญาวานร ชื่อว่านางอัญชนา และได้แต่งงานกับท้าวเกศรี พระศิวะจึงสั่งให้พระพายนำดวงไฟอวตารไปใส่ครรภ์ของนางอัญชนา แต่ก่อนไปพระพายได้ขอพรให้ตนได้เป็นพ่อของลูกนางอัญชนาด้วยเพราะอดีตชาติของนางคือภรรยาของตน ลุกของนางในชาตินี้ก็เหมือนลุกของตน หลังจากเกิดมาหนุมานก็นับถือพระพายเหมือนพ่ออีกคนหนึ่ง จึงมีอีกชื่อหนึ่งคือ วายุบุตรหรือพาวันบุตร หมายถึงบุตรของเทพแห่งลม ก็คือพระพายนั้นเอง หนุมานไม่ได้ชื่อหนุมานในตอนแรกแต่ชื่อว่า พัชรังพาลี หรือ พัชรัง เกิดมาก็ร้องว่า"ชัยศรีราม"เลยครับ คำนี้จึงเป็นคำพูดติดปากของหนุมาน
                     ยังมีประวัติตอนเด็กคือตอนที่พัชรังพาลีเห็นดวงอาทิตย์แล้วนึกว่าเป็นผลไม้จึงเหาะขึ้นไปอมไว้ทำให้โลกมืด ราหูตอนนั้นกำลังจะกินพระอาทิตย์เช่นกันเลยโดนแย่งจึงไปฟ้องพระอินทร์ พระอินทรืจึงเจรจาต่อรองขอให้ปล่อยพระอาทิตย์แต่พัชรังไม่ยอมปล่อย พระอินทร์เลยใช้วัชราวุธหรือสายฟ้าฟาดไปที่พัชรัง จนยอมปล่อยพระอาทิตย์ ภัชรังร่วงตกจากฟ้ากระแทกพื้นอย่างแรงจนคางแตกและเสียชีวิต พระพายจึงโกรธพระอินทร์มากจึงกักเก็บลมปราณในโลกจนสรรพสิ่งไม่มีอากาสหายใจตาย ร้อนถึงพระอินทร์ต้องไปขอให้พระพรหมช่วย พระพรหม พระอินทร์และเหล่าเทวดาก็ลงไปขอขมาพระพายและชุบชีวิตพัชรังและตั้งชื่อใหม่ว่า "หนุมาน" เพราะแปลว่าคางแตก หนุ ในราชาศัพท์แปลว่าคางงัยครับ จากนั้นเหล่าเทพก็ให้พรให้เป็นอมตะไม่มีวันตาย มอบพลังและให้อาวุธมากมายแก่หนุมาน ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรรได้มอบกระบอง ซึ่งต่อมาเป็นอาวุธประจำกายของหนุมาน
                      ต่อมาหนุมานได้ไปเรียนในอาสรมฤาษี อังคีรส แต่หนุมานซุกซนก่อความวุ่นวายไม่สนใจเรียน ฤาษีจึงสาปหนุมานให้ลืมว่าตนเองมีกำลังที่ได้จากทวยเทพ  ต่อมาหนุมานก็ไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์ใดใดได้เลย ต่อมาพระพายได้ขอให้พระอาทิตย์ช่วยสอนวิชาแก่หนุมาน จากนั้นหนุมานก็รำเรียนวิชาจากพระอาทิตย์จนกลายเป็นวานรหนุ่มและสำเร็จวิชาในที่สุด   
                     ตำนานนี้ผมเอามาจากหนังสือ รามายณะและหนังสือหนุมานที่เป็นตำนานของอินเดียล้วนเลยครับ และประกอบกับภาพยนต์อินเดียที่เกี่ยวกับหนุมานหลายเรื่องด้วยครับ  ไม่ทราบว่าข้อมูลเท่านี้จะเพียงพอไหมครับเพราะว่ามีอีกเยอะเลยครับที่ตำนานไม่เหมือนในเรื่องรามเกียรติ์
                       ส่วนของคุณ sureya ตำนานของพระหนุมานกับพระอุมาและที่พระรามลูบหลังมีเฉพาะในรามเกียรติ์เท่านั้น ไม่ได้มีในรามายณะหรือตำนานของทางอินเดียเลยครับ
#28
พระแม่อนาฆาเทวี ถ้าเอาตามชื่อนั้นเป็นชายาพระทัตตเตรยหรือพระตรีมูรตินะครับ เป็นพระอวตารของพระแม่ลักษมี แต่ผมว่าพระแม่ไม่ได้มีเทวลักษณะแบบนี้นะครับ
#29
ใช่แล้วครับพระองค์คือพระสวามีอัยยัพปา
#31
             ในเรื่องรามายณะยังมีเรื่องราวของพระแม่เคารีตอนที่ นางสีดาไปขอพรต่อพระแม่ที่เทวาลัยก่อนเข้าพิธีเลือกคู่พระแม่ก็มาปรากฏและมอบพวงมาลัยให้นางสีดาไว้ใช้สวมให้แก่ชายที่ตนต้องการจะให้มาเป็นคู่ครอง ซึ่งนางสีดาก็ได้สวมมาลัยให้แก่พระรามหลังจากที่พระรามเสี่ยงทายยกคันธนูของพระศิวะ ในตำนานของพระกฤษณะก็ยังมี ตอนที่นางรุกมินีต้องการจะเป็นชายาของพระกฤษณะ แต่ถูกพี่ชายขัดขวาง นางรุกมินีจึงไปขอพรต่อพระแม่เคารีที่เทวาลัยเพื่อให้สมหวังในความรักกับพระกฤษณะ หลังจากนั้นพระกฤษณะก็ขับราชรถมาพานางรุกมินีหนีไปครองคู่กันได้สำเร็จ
            ตามทัศนคติของผมคิดว่า พระแม่น่าจะเป็นเทวีแห่งความรักด้วยเพราะจากตำนานที่พระแม่มีความรักมากมายต่อพระศิวะและช่วยเหลือผู้อื่นให้สมหวังในความรักด้วย


              ส่วนพระแม่สิทธิทาตรี เป็นเทวีแห่งสิทธิ 8 ประการ,ความสำเร็จ, การป้องกันการค้าที่เสี่ยงภัยให้มีผลกำไร มีตำนานกล่าวว่าเมื่อพระพรหมมาทุลขอให้พระศิวะสร้างสตรีเพศ  พระองคืได้แบ่งครึ่งหนึ่งของพระวรกายด้านซ้ายเป็นเทพนารี ในปางอรรถนารีศวร ซึ่งพระแม่อีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือพระแม่สิทธิทาตรีหรืออุมาเทวีนั้นเองครับ
#32
พระแม่มหาเคารีหรือพระแม่เคารี เป็นปางหึ่งของพระอุมา เป็นเทวีแห่งความสุข ตำนานมีอยู่ว่าเมื่อพระแม่อุมาบำเพ็ญตบะถึงพระศิวะอย่างหนักจนพระวรกายเปลี่ยนเป็นสีดำ พระทรงพอใจจึงประทาน้ำคงคาให้พระแม่อาบ หลังจากนั้นพระแม่ก็ขาวพราวพิสทธฺหรือทองนี่แหละ จึงเรียกพระแม่ปางกายสีขาวหรือทองว่า มหาเคารี จะเห็นได้จากที่พระแม่ใส่ส่าหรีสีขาว ประทับบนโคสีชาวครับ
#34
อยากชมห้องพระทั้งหมดได้ไหมครับ
#35
เทพอิดุมบันที่ว่าเป็นสาวกพระขันธกุมารและที่ว่าเป็นยักษ์ด้วยอะครับ ไม่ทราบว่ามีใครพอรู้ประวัติเพิ่มเติมบ้างครับ ช่วยตอบด้วยนะครับ รอคอย