Loader
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - magic

#1
อาจจะเป็นความรู้ที่รู้อยู่แล้ว หรือถ้าใครยังไม่รู้ก็นำเอาไปทำได้นะครับ โดย ส่วนตัวผมอ่านแล้วชอบ เลยอยากนำมาเสนอ ให้ได้อ่านครับ

ถาม - การบูชาแบบครบถ้วนตามธาตุทั้ง 4 คืออะไร      ?
                        
การบูชาเทพให้เหมาะสมตามความสะดวก       ไม่ฟุ่มเฟือยนั้น เราจะจัดของอะไรมาถวายก็ได้ ณ สถานการณ์ขณะนั้นจะเอื้ออำนวย
       บางคนอาจถวายเพียงน้ำแก้วเล็กๆ บางคนถวายนมกล่อง บางคนจัดพวงมาลัยหรือผลไม้มาถวายด้วย
       ขนม นม เนย พืชพรรณ ธัญพืช เมล็ดข้าว ถั่วต่างๆ ใบไม้ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่จัดมาถวายเทพได้
      
แต่การจะจัดถวายเครื่องสังเวยให้มีความสมบูรณ์นั้น ควรกระทำบ้างเป็นครั้งคราว       ซึ่งโบราณว่าควรจะจัดเครื่องถวายให้ครบธาตุธรรมชาติทั้ง 4 ธาตุ       คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังต่อไปนี้
      
       ดิน : ผลผลิตที่งอกขึ้นมาจากผืนดินทั้งหมด       เช่น ดอกไม้ พืช ผัก ใบไม้ ต้นไม้ ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ขนมหวานต่างๆ
       น้ำ : น้ำ นม ของเหลวทุกอย่างที่ดื่มได้ หรือ       "ปัญจอัมฤต" ได้แก่ น้ำ 5 อย่าง (น้ำ,นม,เนย,นมเปรี้ยว,น้ำผึ้ง)       น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร
       ลม : ควันธูป ควันกำยาน ควันที่มีกลิ่นหอมจากแก่นไม้ทุกชนิด       รวมถึงบทสวดมนต์ที่เอ่ยออกจากปากของผู้บูชาก็ถือเป็นธาตุลม
       ไฟ : ดวงไฟต่างๆ ที่จุดถวาย เช่น เทียน ประทีป       ไฟจากการจุดการบูร ไฟจากตะเกียงน้ำมัน หรือ ไฟอารตี ฯลฯ
      
หากมีโอกาสควรจัดหาเครื่องสังเวยให้ครบถ้วนตามธาตุต่างๆ ดังที่กล่าวมา       เพื่อผู้บูชาจะได้รับศุภมงคลอันประเสริฐ
      
เนตรจันทร์ / กองบรรณาธิการสยามคเณศ
       ***สงวนลิขสิทธิ์บทความ***
       การนำเนื้อหานี้ไปใช้ที่อื่นกรุณาอ้างอิงหรือขอบคุณเว็บไซต์สยามคเณศและทำลิงก์กลับมาที่      
       http://www.siamganesh.com
#2
พระแม่กาลี, กาลี, กาลราตรี ล้วนแต่เป็นปางหนึ่งของพระแม่ศรีมหาอุมเทวีทั้งสิ้น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า มหากาลี แม้จะเป็นอีกปางหนึ่งในบรรดาคนแรง ๆ นิยมบูชากัน แต่ความจริงแล้ว การถือปฏิบัติบูชากันนั้นถูกต้องเพียงใดอะไรคือปริศนาธรรม ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ของพระแม่ปางนี้ และอีกประการหนึ่ง ชาวอินเดียใต้นั้น ไม่มีปางมหากาลี แต่นิยมสร้างเทวประติมาในรูปของ "มารีอามัน" เท่านั้น เพราะมารีอามันนั้น แท้จริงก็คือการรวมเอาทุกปางของพระแม่อุมาเทวีเข้าไว้ด้วยกัน ในความสวยย่อมมีความดุร้ายในความดี ย่อมมีความชั่ว และในความชั่วย่อมมีความดีคละปนกันไป ไม่มีใครที่จะเพียบพร้อมสมบูรณ์ดั่งเนรมิต แม้ในหมู่คนชั่ว พระนางยังมีจิตแห่งความการุณที่จะเข้าไปโปรดสัตว์ในหลุมอบาย
#3
เทศกาลนวราตรี (ดุเซร่าห์) นี้มีความเป็นมาสืบทอดกันมาหลายตำนาน เป็นที่นิยมทั้งในหมู่กษัตริย์ฮินดูแต่โบราณและชาวบ้านทั่วไป ตลอด 9 วันนั้นจะมีการบูชามหาเทวีปางอวตารต่าง ๆ ของพระแม่เจ้าศรีมหาอุมาเทวีถึง 9 ปางคือ

วันแรก บูชาปาง "มหากาลี"
วันที่สอง บูชาปาง "ทุรคา" เพื่อระลึกถึงการฆ่ามหิษทาสูร
วันที่สาม บูชาปาง "จามุนได" เพื่อระลึกถึงการฆ่ายักษ์สองพี่น้อง จันทร และ มุนดา
วันที่สี่ "บูชาปาง "กาลี" เพื่อระลึกถึงการฆ่าและดูดเลือดอสูรมาธู
วันที่ห้า บูชาปาง "นันทา" เพื่อระลึกถึงการอวตารเป็นลูกสาวคนเลี้ยงสัตว์
วันที่หก บูชาปาง "รักธาฮันตี" เพื่อระลึกถึงกาฆ่าอสูรด้วยการใช้ฟันกัดจนตาย
วันที่เจ็ด บูชาปาง "สักกัมพารี"
วันที่แปด บูชาปาง "ทุรคา" เพื่อสรรเสริญเจ้าแม่ที่ฆ่ายักษ์ทุรคา
วันที่เก้า บูชาปาง "ลัคภรมารี" เพื่อระลึกถึงการสังหารยักษ์อรุณา
#4
มนต์ นั้น เปรียบได้กับพลังแห่งมหาเทพ และมหาเทวี ที่ทรงประทานอานุภาพของพระองค์ในรูปของอักขระและเสียงที่มีอำนาจ ดังนั้นการเปล่งเสียงสูงต่ำนั้นถือเป็นกระแสแห่งพลังของการสวดมนต์ภาวนา การสวดมนต์นั้นจะช่วยในการกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับ กิเลส ตัณหา ราคะ และความอยากต่าง ๆ จนสามารถก่อให้เกิดอำนาจและกระแสพลังอันมหาศาล พลังเหล่านี้นอกจากทำให้จิตสงบ มีสามธิแล้ว ยังสามารถแปรรูปมาใช้กับหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้อีก ฉะนั้นการสวดมนต์ด้วยใจที่สงบเท่านั้น ย่อมนำมาซึ่งอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ และเพื่อที่จะเป็นกถศโลบายให้จิตแน่วนิ่งนั้น การกำหนดจิตผ่านลูกประคำถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย

1. ลูกประคำที่ร้อยเป็นพวงขายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะร้อยเรียงด้วยลูกไม้ต่างชนิดกันไป แต่นับรววมได้ 108 เม็ด ในสายของฮินดูแล้ว นิยมใช้ประคำที่ร้อยจากเมล็ด "รุทรากษะ" ซึ่งคนไทยแปลว่า เเมล็ดน้ำตาพระศิวะ" เมล็ดดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเมล็ดสีแดง มีหลายขนาดให้เลือก เมล็ดเล็กแพงกว่าเมล็ดใหญ่ นอกจากนี้ความแพงยังดูกันที่แฉกและเหลี่ยมที่ได้มาตรฐานอีกด้วย เพราะเมล็ดที่สมบูรณ์นั้น จะมี 8 แฉก พวงประคำ ที่สมบูรณ์เช่นนี้หายากมาก มีราคาแพง ซึ่งราคาตกประมาณเส้นละหมื่นบาทขึ้นไป นอกจากเมล็ดดังกล่าวแล้ว ในสายของพระวิษณุเทพใช้เมล็ดที่ได้จากต้นตุลสี (กระเพรา)

"รุทรากษธ" มีความสำคัญอย่างไร ว่ากันว่า เมล็ดผลไม้ชนิดนี้นั้นนำมาซึ่งความศักสิทธิ์ และสามารถขับไล่บาปทั้งหลายให้หมดไป เพียงแค่สวดด้วยการนับประคำนี้ พระศิวะเทพเคยเล่าให้พระนางปราวตี ถึงที่มาของเมล็ดรุทรากษะ ว่า
"โอ่...พระนางมเหศวรี (อีกพระนามหนึ่งของ พระนางอุมา) จงรับฟังถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมล็ดรุทรากษะ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติที่ได้กราบไหว้บูชาเรา

คราวหนึ่งเราได้ประกอบสมาธิกรรมฐานเป็นเวลาเนิ่นนานอยู่หลายพันปีแห่งสวรรค์ ถึงแม้จะควบคุมสำรวมในการประกอบสมาธิ แต่กระนั้นจิตใจของข้าไม่อยู่คงที่ คงล่องลอยไปยังที่ไกลโพ้น จนข้าสด้งตื่นตกใจจากการสำรวม และลืมตาขึ้นจากความที่ต้องการช่วยเหลือจักรวาล หยดน้ำตาของข้าก็ล่วงหล่นสู่พื้นดิน ทั้งที่ขณะนั้นดวงตาของข้าได้ลืมเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จากหยดน้ำตาของข้านี้ได้ก่อให้เกหิดต้นรุทรากษะขึ้น ต้นไม้นี้ได้ออกลูกมาเป็นจำนวนมาก เหล่าพันธุ์ไม้นี้ได้เจริญขึ้นในดินแดน เคาฑะ, มธุรา, ลังกา, อโยธยา, มลัย, สหยะ และ แคว้นกาสี อันแคว้นใดที่มีพันธ์ไม้นี้เจริญงอกงามย่อมสามารถทำลายบาปให้หมดสิ้นไป

อันสีสันต่าง ๆ ของเมล็ดรุทรากษะนั้น มีอยู่ 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และ ดำ ซึ่งจำแนกตามวรรณะตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้ สีขาว-สำหรับวรรณะพราหมณ์ สีแดง-สำหรับวรรณะกษัตริย์ สีเหลือง-สำหรับวรรณะไวศยะ และสีดำ-สำหรับวรรณะศูทร เมล็ดรุทรากษะขนาดที่วิเศษที่สุด ย่อมเทียบเคียงกับลูกสมอ หรือแม้จะมีขนาดเท่าเมล็ดพุทราก็ได้รับประโยชน์และความผาสุกยิ่งใหญ่ พวงมาลัยอื่นอันจะนำความเป็นมงคลและได้รับความสำเร็จสมดั่งที่ปราถนาเทียบเท่าสร้อยที่ทำด้วยเมล็ดรุทรากษะเป็นไม่มี

ผู้สวมใส่แม้เพียงเมล็ดรุทรากษะเพียงเมล็ดเดียว ไว้บนศรีษะหรือตามร่างกายของเขาแล้ว จะไม่ตกสู่นรกแห่งยมราชเลยเพราะผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นบริวารแห่งคณะศิวะเทพ คนนั้นจะมีวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพทั้ง 5 พระองค์ อันประกอบด้วย พระสุริยะเทพ, พระคเนศ, พระแม่ทุรคา, พระรุทรเทพ และ พระวิษณุเทพ และเป็นที่รักใคร่จองเทพเจ้าทั้งหมด นี่เป็นที่มาและความศักสิทธิ์ของเมล็ดรุทรากษะที่กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท

2. วิธีการนับประคำนั้น จะใช้นิ้วหัวแม่มือแน้วกลางข้างขวาเท่านั้น ห้ามใช้นิ้วชี้เป็นอันขาด การนับนั้นจะนับจนครบ 108 ลูก แล้วนับย้อนกลับในเม็ดที่ 108 ด้วยถือว่าเป็นลูกที่ 1 ใหม่ ทั้งนี้จะไม่นิยมในการนับข้าม เมรุ (เม็ดยอดสามชั้นที่มีสายร้อยประคำสอดออกมา) การนับนั้น นิยมนับทีร่บริเวณใกล้กับหัวใจหรือใกล้จมูก เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของการกำหนดสมาธิและห้ามอย่างเด็ดขาดในการถือลูกประคำต่ำกว่าสะดือของตนเอง

3. ลูกประคำควรเก็บรักษาไว้ให้ดี  หมั่นทำความสะอาด และห่อผ้าเก็บไว้ในที่อันควร

4. ข้อปฏิบัติในการนั่งสวดมนต์นั้น จะต้องอาบน้ำ ล้างมือ ล้างเท้า ล้างปากให้สะอาดก่อนทุกครั้ง หากไม่สะดวกในการอาบน้ำ อาจจะแค่ล้างมือและบ้วนปากให้สะอาดก็ได้ การสวดมนต์ภาวนานั้น ต้องกำหนดจิตพุ่งตรงไปที่คาถา หรือมนต์ในบทนั้น ๆ การเปล่งเสียงสวดก็ไม่ควรช้า หรือ เร็วเกินไป

5. การสวดมนต์นิยมสวดที่หน้าแท่นบูชาเเทวะรูป หรือถ้าจำเป็นต้องสวดในสถานที่ซึ่งไม่มีเทวะรูป ให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกแทนก็ได้

6. หลังผ่านการสวดมนต์อย่างแน่วแน่แล้ว จึงค่อยตั้งจิตอธิฐานขอพร ด้วยจิตที่เชื่อมั่นในเทวานุภาพ

7. สำหรับผู้ที่มีครูบาอาจารย์ (ครูเทพ หรือ ครูมนุษย์) ซึ่งอาจมีมนต์พิเศษสำหรับตน จงอย่าเปิดเผยมนต์นี้ให้คนอื่นทราบเด็ดขาด เพราะนั่นคือรหัสพิเศษซึ่งมีความศักสิทธิ์เฉพาะตนเท่านั้น การบอกความลับนี้จะทำให้มนต์นี้เสื่อมความขลังในทันที

การอารตีไฟ หรือ พิธีบูชาไฟ นั้น ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชา ชาวฮินดูถือว่า พิธีกรรมทั้งหลายจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟหลังผ่านพิธีดังกล่าว จะวางตะเกียงอารตีไว้หน้าแท่นบูชา แล้วผู้ร่วมพิธีใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง คว่ำลงบนเปลวไฟในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วนำฝ่ามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ดวงตา และใบหู เพื่อเปิดทวารในการรับรู้ซึ่งสัมผัสพิเศษขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้หมดไป

หลังพิธีเสร็จสิ้น ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิฐานเพื่อแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ในโลกว่า "โอม สานติ ศานติ ศานติ " เป็นอันว่าพิธีนั้นผ่านไปโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว
#5
การกราบไหว้บูชา (ตามวันทางจันทรคติ)

การกราบไหว้บูชาอุทิศทานที่มีต่อพระแม่อุมา การบูชาขึ้นอยู่กับผู้ที่จะเลือกบูชาให้ตรงกับวันทางศาสนา หรือ วันในสัปดาห์ หรือ ไปตามวันแห่งข้างขึ้นข้างแรม ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

วันขึ้น-แรม 1 ค่ำ (ปรติปัต ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้ต่อพระแม่ ด้วยการถวายอาหารอันมีข้าวสูก, ผลไม้, ขนมหวาน ที่ทำด้วยนมเนย และอาหารเหล่านี้ที่ได้ถวายต่อพระแม่แล้ว จะต้องนำอาหารเหล่านี้เลี้ยงดูพราหมณ์ แล้วผลบุญที่ได้รับคือ จะมีความผาสุขปราศจากโรคร้ายทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 2 ค่ำ (ทวีตยา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้ต่อพระแม่ ด้วยการถวายอาหารที่ทำมาจากน้ำตาล หรือ ขนมหวาน และอุทิศเป็นทานต่อพราหมณ์ แล้วผลบุญที่ได้รับคือ เขาจะเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาว มีแต่ความผาสุก

วันขึ้น-แรม  3 ค่ำ (ตรี ติธิ) ผู้บูชาจะต้อง กราบไหว้ต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารที่ทำมาจากนมสด และอุทิศเป็นทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นอิสระจากความหวาดกลัวและเรื่องทุกร้อนที่เป็นกังวลทั้งหมด

วันขึ้น-แรม 4 ค่ำ (จาร ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวสาลีและอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะหลุดพ้นจากอุปสรรคและโรคร้ายทั้งปวงโดยเร็ว

วันขึ้น-แรม 5 ค่ำ (บัญจ) ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ ด้วยการถวายกล้วยและต้นกล้วย และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นผู้ที่มีความรู้ฉลาดเหนือคนทั้งหลาย มีความเข้าใจในวิทยาได้โดยง่ายดาย

วันขึ้น-แรม 6 ค่ำ (ไชย ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายน้ำผึ่งและมอบอุทิศทานนี้ให้เป็นทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นผู้มีความสง่างาม และ รูปร่าง สมบูรณ์ตลอดชั่วชีวิต

วันขึ้น-แรม 7 ค่ำ (สัต ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าว ขนมหวานและอุทิศทานอาหารนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะหลุดพ้นจากเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 8 ค่ำ (อัถ ติธ ) ผู้บูชาจะต้อง กราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายมะพร้าว และมอบอาหารนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นอิสระต่อการปองร้ายหรือจากศัตรู จะมีแต่มิตรที่ดีคอยให้การ ช่วยเหลือเขาตลอดกาล

วันขึ้น-แรม 9 ค่ำ (นว ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยข้าวสุกคลุกน้ำมันเนย และอุทิศทานนี้ต่อพราหมณ์ เขาจะมีความผาสุกทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

วันขึ้น-แรม 10 ค่ำ (ทศ ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารที่ทำจากงาดำ และอุทิศทานต่อพราหมณ์ผลบุญที่จะได้รับคือ ความผาสุกหลุดพ้นจากเรื่องร้าย และไม่หวั่นกลัวต่อภัยแห่งความตายทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 11 ค่ำ (ยาลา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่ ด้วยการถวายนมเปรี้ยว และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นที่โปรดปรานแห่งพระแม่อุมาตลอดกาล

วันขึ้น-แรม 12 ค่ำ (บารา ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าวจิปิก (ข้าวตากแห้งและทำเป็นแผ่น) และอุทิศทานต่อพราหมณ์ ผลบุญที่เขาได้รับคือ เป็นที่รัก และยกย่องต่อเทพทั้งหลาย

วันขึ้น-แรม 13 ค่ำ (เตระ ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายข้าวสาร และอุทิศทานต่อพราหมณ์และผู้เดือดร้อน ผลบุญที่เขาจะได้รับ คือ จะได้บุตรธิดาที่ดีไว้สืบสกุล และมีชีวิตอันยืดยาวต่อไป

วันขึ้น-แรม 14 ค่ำ (จตุร ติธิ) ผู้บูชาจะต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายแป้งข้าวสาลี และอุทิศทานต่อพราหมณ์ เขาจะเป็นที่โปรดปราน แห่งพระแม่ศักติศิวาตลอดกาล

ใน วันเพ็ญ ผู้บูชาต้องกราบไหว้บูชาต่อพระแม่อุมา ด้วยการถวายอาหารต่าง ๆ  และจะต้องเลี้ยงดูพราหมณ์และให้สิ่งของต่าง ๆ แก่ความจำเป็นแห่งพราหมณ์ เขาจะมีความผาสุก ตลอดกาล
#6
กำเนิดพระแม่สตี นางซึ่งมีสิริโฉมงดงาม (ผู้บวงสรวงบูชาพระศิวะเทพตั้งแต่เล็ก)

เมื่อถึงวาระอันสำคัญ วิษณุเทพได้ตรัสกับพระพรหม ขอให้มีบัญชาให้พระทักษะประชาบดีโอรสแห่งพระพรหม ทำพิธีบวงสรวงต่อพระแม่ทางทิศเหนือของมหาสมุทรน้ำนม เพื่อให้พระแม่เสด็จลงมากำเนิดเป็นธิดาของพระทักษะ เพื่อจะได้เป็นชายาของพระศิวะเทพต่อไป
พระแม่ศักติ-ศิวา ได้ตรัสกับพระพรหมว่า
"โอ่...พระพรหม ไม่มีหญิงใดในจักรวาล ที่จะทำให้พระศิวะเทพบังเกิดความรักขึ้นได้ และเป็นความจิงที่ว่า ถ้าศิวะเทพไม่ทรงมีชายาแล้ว ภารกิจแห่งการสร้างก็จะดำเนินการไปได้ไม่นาน ข้าจะให้ตามที่ต้องการ คือ การแบ่งภาคเป็นพระแม่สตี เพื่อเป็นชายาของพระศิวะเทพ เพื่อให้จักรวาลนี้ดำเนินต่อไป ข้างฝ่ายพระทักษะประชาบดี ได้ประกอบพิธีกรรมสามธิอยู่อย่างมั่นคงเป็นเวลา 3 พันปีเทพ ในบางปีพระองค์เพียงแต่หายใจอย่างเดียว ไม่เสวยพระกายาหารใด ๆ เลย บางปีดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียว บางปีเสวยใบไม้เพียงอย่างเดียว เพื่อทำสมาธิถึงพระแม่ศักติ-ศิวา เมื่อพระแม่พอใจในพิธีบวงสรวง จึงเสด็จต่อหน้าพระทักษะ รับปากการมาถือกำเนิดเป็นพระนางสตี แต่ทว่า...โอ่พระทักษะ  ท่านจะต้องให้คำมั่นสัญญาต่อข้าข้อหนึ่ง ขอให้รับรู้และเข้าใจให้ดีด้วย ถ้าในอนาคตเมื่อใดก็ตาม ท่านขาดการเคารพนับถือต่อข้า หรือพระสวามีแห่งข้าแล้ว ข้าจะทำลายร่างนั้นเสียทันที ข้าจะทำลายวิญญาณ หือ เปลี่ยนไปในรูปร่างอื่น นี่เป๋นคำมั่นสัญญา

พระนางสตี จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากพระทักษะประชาบดีกับนางวิริณีได้ด้วยประการฉะนี้...
พระธิดาทรงมีพระสิริโฉมงดงาม มีรัศมีเป็นประกาย พระทักษะจัดงานบวงสรวงแจกทาน มีงานรื่นเริงตลอดคืน ทวยเทพทั้งหลายต่างมาแสดงความยินดี เทพอัปสรเสด็จมาโปรยปรายดอกไม้อวยชัย ตั้งแต่เล็กทรงหัดเขียนภาพพระศิวะเทพและขับร้องเพลงสรรเสริญบูชาพระศิวะ ทรงเป็นที่รักยิ่งแห่งมนุษย์และเทวดา จนเมื่อก้าวเข้าสู่วัยสาว พระแม่สตีทรงขออนุญาติพระทักษะและพระนางวิริณี ไปประกอบพิธีกรรมแห่งสมาธิอันยิ่งใหญ่ เพื่อจะให้พระศิวะเทพรับนางไว้เป็นชายา
พระวิษณุเทพและพระพรหม ซึ่งได้เห็ฯความพากเพียรของพระแม่สตี จึงได้เข้าเฝ้าพระศิวะเทพที่เขาไกรลาส พร้อมกับเตือนให้คิดถึงจุดมุ่งหมายในการรับพระนางเป็นพระชายา เพื่อสืบต่อจักรวาล
โอ่...วิษณุเทพ พระพรหม ท่านทั้งสองเป็นคนสนิทที่รักของข้า เมื่อท่านทั้งสองมาเยือน ข้าก็ยินดีมาก สิ่งที่ได้กล่าวมาเป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นการสมควรสำหรับข้าที่จะแต่งงาน ด้วยว่า ข้านั้นห่างไกลจากโลก สู่โลกโยคะกรรมฐาน มันไร้ค่าที่จะให้ค่าเกิดความรักในโลกใบนี้ ด้วยค่านั้น หมดสิ้นตัณหา ราคะในจิตวิญญาณ เป็นนักพรตไร้ความรู้สึกยินดียินร้าย นอกจากนี้แล้ว ข้ามีรูปร่างเป็นฤาษีไม่สะอาด ไม่เป็นมงคลต่อผู้พบเห็น แล้วข้าจะมีภริยาได้อย่างไรกัน ข้าได้ปฎิบัติกรรมฐานโยคะจนไร้ความอยากในตัณหา ดังนั้นข้าจึงไม่สนในเรื่องนี้เลย แต่ว่าข้าจะปฏิบัติตามคำขอของพวกท่าน เพื่อผลประโยชน์แห่งจักรวาล ข้าจะแต่งงาน แต่ท่านต้องเข้าใจถึงหญิงที่จะมาเป็นภริยาของข้า จะต้องเป็นหญิงปฏิบัติโยคะกรรมฐานจึงจะเป็นหญิงที่ยอมรับไว้เป็นภริยาของข้าต่อไป นางต้องเป็นโยคินีด้วย
ลำดับนั้น พระวิษณุเทพ ทูลว่า
ข้าแต่ศิวะเทพ พระผู้เป็นใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้าจะแนะนำผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติดั่งที่พระองค์ทรงปรารถนาไว้นางนั้นคือพระแม่อุมา ในครั้งก่อนนั้นพระแม่ทรงแบ่งภาคมาเป็นพระแม่สรัสวตี และพระแม่ลักษมี เพื่อให้ได้สมดั่งภารกิจที่ทรงตั้งพระทัยไว้...มาบัดนี้ พระแม่ทรงแบ่งภาคที่สามมาสู่จักรวาลแล้ว ทรงเป็นพระธิดาของพระทักษะประชาบดี มีพระนามว่า พระแม่สตี พระนางจะเป็นภริยา ในอุดมคติของพระองค์ทุกประการ
ข้าแต่เทพเจ้าแห่งเทพทั้งหลาย บัดนี้พระนางยังคงประกอบกรรมฐาน เพื่อรอคอยพระองค์ทรงเมตตาอยู่ พระนางปรารถนาที่จะได้พระองค์เป็นพระสวามีของนาง พระนางเป็นโยคินีที่ยิ่งใหญ่ ขอโปรดมีเมตตาช่วยนางด้วย ขอทรงประทานพรให้แก่นางและรับนางไว้เป็นพระชายาด้วยความรักด้วย ข้าแต่เทวะ
ในที่สุด พระศิวะพอใจในการประกอบสมาธิกรรมฐานของพระแม่สตี และรับนางไว้เป็นชายาโดยมีคำร้องขอของพระนางต่อท้ายว่า
ข้าแต่เทวะยิ่งใหญ่แห่งเทวะทั้งหลาย เทพเจ้าแห่งจักรวาล ขอทรงโปรดจัดพิธีกรรมแต่งงานให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีชาวโลกต่อหน้าบิดา-มารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด
ในวันอาทิตย์ขึ้น 13 ค่ำ เดือนไชตร (ระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน) เมื่อดวงดาวอยู่ในจุตุตราผาลคุณี พระศิวะเทพเคลื่อนขบวนเจ้าบ่าว โดยมีพระวิษณุเทพและพระพรหมนำหน้าขบวน พระศิวะหน้าตาอิ่มเอิบยินดี นุ่งห่มด้วยหนังช้าง คลุมหนังเสือ มีงูเป็นเครื่องประดับ ทรงมงกุฎด้วยจันทร์เสี้ยวของวิเศษเมื่อครวากวนเกษียรสมุทร ประทับหลังวัวนนทิสัตว์พาหนะ
ในระหว่างพิธีสมรสนั้น ระหว่างพระศิวะและพระแม่สตีกำลังเดินรอบกองไฟอยู่นั้น พระบาทของพระแม่เจ้าโผล่ออกจากผ้าคลุมที่ปิดอยู๋ พระพรหมเลือบสายตาไปเห็นเข้า จึงเคลิ้ม จิตนึกถึงขาอันขาวอวบ เพิ่มความหลงใหลในพระแม่สตีกระหายอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระแม่สตีด้วยตัณหาอันแรงกล้า พระพรหมจึงคิดแผน ด้วยการใส่ฝืนและน้ำมันเนยลงไปในกองไฟพิธี เพื่อให้เกิดควันครอบคลุมบริเวณพิธี ในระหว่างที่เทพเทวดากำลังวุ่นวายอยู่กับหมอกควัน พระพรหมถือโอกาสนั้นเลิกผ้าคลุมหน้าพระแม่สตีหลายครั้ง จนไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัณหาได้ จึงหลั่งน้ำเชื้อ 4 หยดลงที่พื้นดิน พระพรหมพยายามกลบน้ำเชื้อโดยเร็ว แต่เหตุการนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของพระศิวะเทพได้ พระศิวะเทพโกรธมาก หมายจะใช้ตรีศูลสังหารพระพรหมเสีย จนบรรดาทวยเทพต้องสวดสรรเสริญเพื่อให้พระศิวะคลายความพิโรธ เรื่องจึงสงบลงได้ แต่น้ำเชื้อทั้ง 4 หยดนั้น ได้บังเกิดเป็นเมฆร้ายแห่งการทำลายร้ายบนท้องฟ้า ที่ชื่อว่า เมฆสัมวรตัก,เมฆอาวรตะ,เมฆปุษกรและเมฆทรุณ
จากนั้น ทั้งศิวะเทพและพระแม่สตี ประทับหลังวัวนนทิท่องเที่ยวไปทั่วโลก แต่ตัวของพระทักษะซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อตานั้น ไม่ค่อยชอบขี้หน้าของลูกเขยนัก เพราะเห็นว่าพระศิวะเทพเป็นเจ้าแห่งภูติผี
ในครั้งหนึ่ง พระทักษะประชาบดีได้จัดพิธีกรรมบวงสรวงยิ่งใหญ่ขึ้นที่กันขล ริมฝั่งแม่น้ำคงคา โดยเชิญทวยเทพทุกพระองค์รวมถึงคนธรรพ์ วิทยาธร สินธิ อาทิตยะ นาค ส่วนในสายตาของพระทักษะ มองพระศิกวะเทพเป็นเพียง กะปาลัน(พระผู้มีกระโหลกมนุษย์เป็นเครื่องประดับ) จึงมิได้เชื้อเชิญ
ความดังกล่าวล่วงรู้ถึงพระสตี ลูกรักของพระทักษะ จึงตัดสินใจทูลขอพระศิวะเทพ เพื่อไปไตร่ถามให้รู้เรื่องราว พระแม่สตี เสด็จด้วยหลังวัวพาหนะ แต่งกายงดงามพร้อมบริวาร 6 หมื่นคน พระแม่สตีได้กราบทูลต่อพระบิดาว่า
งานพิธีกรรมทางศาสนาทุกงาน ถ้าไม่มีพระศิวะเทพร่วมอยู่ด้วยแล้ว ถือว่าไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ามีหรือเพียงแค่ระลึกถึงพระศิวะเทพ ก็จะบริสุทธิ์และได้ผลบุญอันยิ่งใหญ่ ของถวายบูชามนต์ต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็ฯเอกลักษณ์ด้วยพระศิวะเทพเสมอ และเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่ว่างานพิธีที่ประกอบขึ้น โดยไม่มีพระศิวะร่วมอยู่ด้วย พระบิดาคงไม่ทราบถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระศิวะเทพ ซึ่งแม้แต่พระวิษณุเทพและพระพรหมก็ยังต้องให้การเคารพบูชาต่อพระองค์ แล้วทำไมเล่าเทพเจ้าทั้งหลายจึงกล้าบวงสรวงโดยไม่เชื้อเชิญพระศิวะมหาเทพร่วมด้วย
เมื่อตรัสแล้ว พระแม่สตีทรงนิ่งเงียบ ทำสมาธิถึงพระศิวะเทพด้วยความเคารพสูลสุด พระแม่ทรงประทับนั่งบนพื้นดินทางทิศเหนือของบริเวณงานพิธี ทรงดื่มน้ำและเทราดทั่วร่างกายจนเปียกชุ่ม หลับเนตรทำสมาธิเข้าสู่กรรมฐาน ทรงรักษาพระปราณ และอปราณ ด้วยปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำลายร่างด้วยอำนาจแห่งโยคินีของพระองค์ด้วยความโกรธพระทักษะ
พระนารทฤาษี (หรือนารท/นารอด) ได้กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้กับพระศิวะเทพทราบ พระศิวะเทพโกรธมาก ทรงให้กำเนิด พระมหาวีรภัทร,พระมหากาล รายล้อมด้วยภูติผีนับล้านตนเข้าโรมรันต่อสู้กับเทวดาที่อยู่ในพิธี
ในที่สุด พระทักษะประชาบดีเพลี่ยงพล่ำ ถูกมหาวีรภัทรใช้มือดึงหัวของพระทักษะหลุดออกจากคอและโยนหัวเข้ากองไฟ บรรดาทวยเทพทั้งหลายกล่าวสรรเสริญให้พระศิวะเทพคลายความพิโรธ พร้อมกับขอให้พระศิวะเทพทรงประทานอภัยแก่พระทักษะ พระศิวะจึงให้หาเศียรแพะมาต่อให้กับพระทักษะแทน
คาวมเศร้าโศกที่สูญเสียพระแม่สตี ทำให้พระศิวะเทพ แบกร่างพระแม่สตีร่ำไห้วิ่งไปทั่วจักรวาล บรรดาทวยเทพเทวดาทั้งหลายเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จักรวาลอาจถึงกาลล่มสลาย พระวิษณุเจ้าจึงใช้จักรตัดร่างพระแม่สตีออกเป็น 51 ชิ้น ร่วงหล่นไปทั่วแผ่นดินอินเดียที่ใด ในกาลต่อมาได้เกิดเป็นเทวาลัย เพื่อบูชาต่อพระแม่ หลังจากที่ไม่เหลือสิ่งใดแล้วพระศิวะเทพได้เข้าสู่การบำเพ็ญสมาธิในครั้งที่ยาวนานที่สุด แต่กระนั้นก็ยังมิอาจลืมพระแม่สตี อันเป็นมหาชายาแห่งพระองค์ได้เลย
#7
สวัสดีคับ ผมอยากรู้ประวัติพระแม่ 2 องค์นี้อะคับ และ อยากรู้วิธีบูชา พร้อม มันตรา บูชาอะคับ ใครพอจะรู้บ้างอะคับ

พระแม่ ปรัตยันกีรา ผมพอจะ ทราบบ้างแล้วคับ แต่พระแม่ ชอตกานิตารา ผมยังไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าท่านเป็นใคร

แต่ผมอยากรู้มากคับ เกี่ยวกับประวัติท่าน กรุณาช่วยหน่อยนะคับ พรใดอันประเสริฐจงบังเกิดแก่ผู้เชื่อมั่นและศรัทธาในองค์เทพ คับ
#8
ผมอยากรู้จักเพื่อน ๆ ที่บูชาองค์เทพ องค์เดียวกับผมคับ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และทำความรู้จักกันคับ เป็นเพื่อนกันคับ

คุยมาทาง msn
dj_birthday@hotmail.com หรือ โทรมาทำความรู้จักกันก็ได้คับ ที่เบอร์ 0802939677 ผมชื่อเบิร์ดคับ
#9
ผมอยากมีเพื่อนคุยเรื่ององค์เทพคับ เพื่อแรกเปลี่ยนความรู้ ทาง msn ที่ dj_birthday@hotmail.com
#10
สวัสดีคับผมเป็นคนนึง ที่บูชาเทพของฮินดู อยากมีเพื่อนที่บูชาทางนี้บ้างคับ

จะได้มีความรู้เพิ่มให้กับตัวเองในเรื่องพวกนี้