ต่อเลยนะครับ
นอกจากหลักฐาน ที่เป็นบันทึกเอกสาร ทั้งในรูป ตำนาน พงศาวดาร ของบรรพชนชาวไทย พม่า มอญ และลาว ที่จะยกมาเป็นเหตุผลสนับสนุนว่า
ชมพูทวีป คือ ผืนแผ่นดินที่ตั้งประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน แล้วหลักฐานชิ้นหนึ่งก็คือ แผนที่โบราณ ที่แสดงให้เห็นร่องรอยของ ปัญจมหานที ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของชมพูทวีป ที่ได้ไหลผ่านเข้ามายังดินแดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ไหลไปยังประเทศอินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ในปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปี ชื่อเรียกแม่น้ำแต่ละสายอาจจะเปลี่ยนไป แต่ร่องรอยของแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ สาย ก็ยังคงปรากฏอยู่ เพื่อยืนยันความเป็นชมพูทวีปที่แท้จริง แล้ว
ทำไมชมพูทวีป ที่บรรพบุรุษ มอญ ลาว และ ไทย เชื่อว่า อยู่ที่ดินแดนสุวรรณภูมิปัจจุบัน จึงถูกยกให้เป็นอินเดียปัจจุบัน
เมื่อ ความเข้าใจเรื่อง ที่ตั้งของ ชมพูทวีป เกิดความสับสน ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ ๑ แล้ว และก็น่าที่จะยุติจบลงได้โดยง่าย ว่า ชมพูทวีป คือ ผืนแผ่นดินที่ตั้งประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน เพราะเหตุว่ามีมหานทีทั้ง ๕ ไหลผ่านเข้ามายังดินแดนแถบนี้ แต่ นักประวัติศาสตร์ ก็ต้องสับสน จนไม่อาจที่จะไม่เชื่อได้ว่า ชมพูทวีป คือ แผ่นดินที่ในสมัยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ๔ ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ก็เพราะว่ามี จดหมายเหตุการเดินทางของพระภิกษุจีนที่เดินทางจาริกมาสืบพระพุทธศาสนายังชมพูทวีป ซึ่งได้มีการบันทึกเส้นทาง และสถานที่ต่างๆ ยืนยันไว้โดยละเอียด นั่นเอง
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชาวตะวันตก ได้อาศัยบันทึกการเดินทางมาสืบพระพุทธศาสนาของพระภิกษุจีน ในการที่จะค้นหา สถานที่ต่างๆ ในสมัยพุทธกาล โดยเฉพาะที่ตั้งของสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน โดยบันทึกการเดินทางที่สำคัญ ๒ ฉบับ คือ
๑. บันทึกการเดินทางของพระภิกษุฟาเหียน ซึ่งเดินทางมายังชมพูทวีป-ลังกาทวีป ระหว่าง พ.ศ. ๙๔๒-๙๕๗
๒. บันทึกการเดินทางของพระภิกษุเฮี่ยนจังหรือพระถังซัมจั๊ง ซึ่งเดินทางมาอินเดีย ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘
ซึ่งพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป ได้เดินทางมาสืบพระศาสนา ในช่วงเวลาที่ห่างกันถึง ๒๓๐ ปี แต่อาจจะไม่มีใครสงสัยว่า พระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป นี้ ท่านได้จาริกไปยังอินเดียที่เดียวกันหรือเปล่า?
แต่ถ้าหากมีใครที่ได้อ่านบันทึก ทั้ง ๒ ฉบับ โดยละเอียด และไม่ได้มีอคติว่า พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียในปัจจุบัน
ก็จะพบว่า พระภิกษุจีน ๒ รูป ท่านเดินทางไปอินเดียคนละที่กัน และ แน่นอนมีเพียงรูปเดียวที่เดินทางมาสู่ชมพูทวีปและอินเดียที่แท้จริง นั่นก็คือ
หลวงจีนฟาเหียน
ดังเช่นที่ผมจะยก ตัวอย่างเส้นทางการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน ที่ท่านจะเดินทางไป
เมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สถานที่ประสูติของ เจ้าชายสิทธัตถะ
โดยท่านหลวงจีนได้ตั้งหลักที่ นครสาวัตถี แล้วบันทึกไว้ดังนี้ ว่า
จาก นครสาวัตถี ไปทางอาคเนย์ เดิน ๑๒ โยชน์ ถึงเมืองหนึ่งชื่อ นะปะกะ ต่อไปนี้เดินทางไปทางทิศตะวันออกทางไม่ถึงโยชน์ถึงนครกบิลพัสดุ์ จากนครไปทางทิศตะวันออก ๕๐ ลี้ มีราชอุทยานชื่อสถานพุทธประสูติ เดินไปทางตะวันออก ๕ โยชน์มี ประเทศชื่อ ราม (คาม)
จากบันทึกเส้นทางดังกล่าว เมื่อนำมาเขียนเป็นแผนที่การเดินทาง จะปรากฏ ดังแผนผังข้างล่างนี้
จากแผนผังข้างบน เมื่อเปรียบเทียบกับ แผนผังที่ตั้ง เมืองและสังเวชนียสถานในประเทศอินเดียและเนปาล ตามแผนที่ข้างล่างนี้ จะพบว่า ลุมพินีจะอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครสาวัตถี แทนที่จะอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้น การที่ นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก ใช้บันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป ในการค้นหาที่ตั้งของสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล และเมืองต่างๆ ในสมัยพุทธกาล จึงเกิดความขัดแย้งกันเอง โดยเฉพาะ ที่ตั้งของเมือง กบิลพัสดุ์ และสวนลุมพินี ก็เพราะพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูปเดินทางไปคนละที่นั่นเอง แต่คนไทยก็ไม่ได้เคยใส่ใจที่จะค้นหาความจริง คือ ใครว่าที่ไหนก็ว่าที่นั่น
ทำไมเราจึงไม่ศึกษา เพื่อให้รู้แน่ว่า ความเข้าใจของ บรรพบุรุษ ของเรา ที่ว่า ชมพูทวีป คือ ดินแดนที่เป็นประเทศไทย ลาว และพม่าในปัจจุบัน เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือ ผิดพลาด เพราะการที่เราจะทำการศึกษา ค้นคว้าหาที่ตั้งที่แท้จริงของชมพูทวีปนั้น ย่อมจะนำไปสู่การพิสูจน์ทราบว่า พระพุทธศาสนา เกิดขึ้นที่ไหนกันแน่
เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง และเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของบรรพชนของเราแต่โบราณกาล จากคำกล่าวหาและดูถูกบรรพบุรุษของตน ว่า เป็นผู้มีความรู้ในประวัติศาสตร์ในวงจำกัด ดังที่จะยกสำเนา คำตอบกระทู้ถามที่คณะรัฐบาลสมัยหนึ่ง ได้ตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่นท่านหนึ่ง ที่ตั้งกระทู้ถาม เรื่อง
การชำระประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในคำถามที่ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนให้มีการชำระประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเพื่อค้นหาความจริงของการอุบัติแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทยหรือไม่ อย่างไร ขอทราบรายละเอียด มาให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ดังนี้ว่าก่อนที่จะตอบคำถามนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เอกสารโบราณของไทยที่กล่าวถึงประวัติพระพุทธเจ้าส่วนมากเป็นตำนานพื้นบ้านซึ่งเล่าเรื่องวิถีชีวิตประชาชนในถิ่นนั้นๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้วแต่งเรื่องแบบจินตนาการไปไกลเพื่อรองรับปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในถิ่นนั้นๆ โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดรับสั่งกับประชาชนว่าพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะมาประดิษฐานในที่นั้นๆหลังจากพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่น ตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) ตำนานเมืองโยนก ซึ่งเอกสารเหล่านี้เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง มิได้เขียนขึ้นบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์แต่เขียนตามจินตนาการที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาโดยเปลี่ยนชมพูทวีปเป็นประเทศสยาม เช่น เรียกเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองปาฏลีบุตร เรียกเจ้าผู้ครองนครศรีธรรมราชเป็นศรีธรรมาโศกทุกพระองค์
เพราะการที่จะนำเอา เอกสารโบราณของไทยที่ผู้เขียนมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ในวงจำกัดมาตัดสินประวัติพระบรมศาสดาเอกของไตรโลกว่าเสด็จอุบัติในประเทศไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง บัณฑิตชนไม่สรรเสริญ หากทำก็จะเป็นการบิดเบือนพระพุทธศาสนาสร้างความอับอายขายหน้าแก่ชาวพุทธทั่วโลก .
ยังมีอีกยาวเลยครับแล้วจะนำมาให้อ่านวันพรุ่งนี้ครับ
ที่จริงลงกระทู้ไว้นานแล้วครับแต่น่าจะผิดพลาดกับการลิงค์ตัวอักษร
ขอบคุณ คุณ เชื่อในพระเจ้า ด้วยครับที่กรุณามาอ่านครับ
เทพรักษาเทวาคุ้มครองทั้งครอบครัวครับ
นอกจากหลักฐาน ที่เป็นบันทึกเอกสาร ทั้งในรูป ตำนาน พงศาวดาร ของบรรพชนชาวไทย พม่า มอญ และลาว ที่จะยกมาเป็นเหตุผลสนับสนุนว่า
ชมพูทวีป คือ ผืนแผ่นดินที่ตั้งประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน แล้วหลักฐานชิ้นหนึ่งก็คือ แผนที่โบราณ ที่แสดงให้เห็นร่องรอยของ ปัญจมหานที ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของชมพูทวีป ที่ได้ไหลผ่านเข้ามายังดินแดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ไหลไปยังประเทศอินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ในปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปี ชื่อเรียกแม่น้ำแต่ละสายอาจจะเปลี่ยนไป แต่ร่องรอยของแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ สาย ก็ยังคงปรากฏอยู่ เพื่อยืนยันความเป็นชมพูทวีปที่แท้จริง แล้ว
ทำไมชมพูทวีป ที่บรรพบุรุษ มอญ ลาว และ ไทย เชื่อว่า อยู่ที่ดินแดนสุวรรณภูมิปัจจุบัน จึงถูกยกให้เป็นอินเดียปัจจุบัน
เมื่อ ความเข้าใจเรื่อง ที่ตั้งของ ชมพูทวีป เกิดความสับสน ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ ๑ แล้ว และก็น่าที่จะยุติจบลงได้โดยง่าย ว่า ชมพูทวีป คือ ผืนแผ่นดินที่ตั้งประเทศ ไทย ลาว พม่า ในปัจจุบัน เพราะเหตุว่ามีมหานทีทั้ง ๕ ไหลผ่านเข้ามายังดินแดนแถบนี้ แต่ นักประวัติศาสตร์ ก็ต้องสับสน จนไม่อาจที่จะไม่เชื่อได้ว่า ชมพูทวีป คือ แผ่นดินที่ในสมัยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ๔ ประเทศ คือ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ก็เพราะว่ามี จดหมายเหตุการเดินทางของพระภิกษุจีนที่เดินทางจาริกมาสืบพระพุทธศาสนายังชมพูทวีป ซึ่งได้มีการบันทึกเส้นทาง และสถานที่ต่างๆ ยืนยันไว้โดยละเอียด นั่นเอง
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชาวตะวันตก ได้อาศัยบันทึกการเดินทางมาสืบพระพุทธศาสนาของพระภิกษุจีน ในการที่จะค้นหา สถานที่ต่างๆ ในสมัยพุทธกาล โดยเฉพาะที่ตั้งของสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน โดยบันทึกการเดินทางที่สำคัญ ๒ ฉบับ คือ
๑. บันทึกการเดินทางของพระภิกษุฟาเหียน ซึ่งเดินทางมายังชมพูทวีป-ลังกาทวีป ระหว่าง พ.ศ. ๙๔๒-๙๕๗
๒. บันทึกการเดินทางของพระภิกษุเฮี่ยนจังหรือพระถังซัมจั๊ง ซึ่งเดินทางมาอินเดีย ระหว่าง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘
ซึ่งพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป ได้เดินทางมาสืบพระศาสนา ในช่วงเวลาที่ห่างกันถึง ๒๓๐ ปี แต่อาจจะไม่มีใครสงสัยว่า พระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป นี้ ท่านได้จาริกไปยังอินเดียที่เดียวกันหรือเปล่า?
แต่ถ้าหากมีใครที่ได้อ่านบันทึก ทั้ง ๒ ฉบับ โดยละเอียด และไม่ได้มีอคติว่า พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียในปัจจุบัน
ก็จะพบว่า พระภิกษุจีน ๒ รูป ท่านเดินทางไปอินเดียคนละที่กัน และ แน่นอนมีเพียงรูปเดียวที่เดินทางมาสู่ชมพูทวีปและอินเดียที่แท้จริง นั่นก็คือ
หลวงจีนฟาเหียน
ดังเช่นที่ผมจะยก ตัวอย่างเส้นทางการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน ที่ท่านจะเดินทางไป
เมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สถานที่ประสูติของ เจ้าชายสิทธัตถะ
โดยท่านหลวงจีนได้ตั้งหลักที่ นครสาวัตถี แล้วบันทึกไว้ดังนี้ ว่า
จาก นครสาวัตถี ไปทางอาคเนย์ เดิน ๑๒ โยชน์ ถึงเมืองหนึ่งชื่อ นะปะกะ ต่อไปนี้เดินทางไปทางทิศตะวันออกทางไม่ถึงโยชน์ถึงนครกบิลพัสดุ์ จากนครไปทางทิศตะวันออก ๕๐ ลี้ มีราชอุทยานชื่อสถานพุทธประสูติ เดินไปทางตะวันออก ๕ โยชน์มี ประเทศชื่อ ราม (คาม)
จากบันทึกเส้นทางดังกล่าว เมื่อนำมาเขียนเป็นแผนที่การเดินทาง จะปรากฏ ดังแผนผังข้างล่างนี้
จากแผนผังข้างบน เมื่อเปรียบเทียบกับ แผนผังที่ตั้ง เมืองและสังเวชนียสถานในประเทศอินเดียและเนปาล ตามแผนที่ข้างล่างนี้ จะพบว่า ลุมพินีจะอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครสาวัตถี แทนที่จะอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้น การที่ นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก ใช้บันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูป ในการค้นหาที่ตั้งของสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล และเมืองต่างๆ ในสมัยพุทธกาล จึงเกิดความขัดแย้งกันเอง โดยเฉพาะ ที่ตั้งของเมือง กบิลพัสดุ์ และสวนลุมพินี ก็เพราะพระภิกษุจีนทั้ง ๒ รูปเดินทางไปคนละที่นั่นเอง แต่คนไทยก็ไม่ได้เคยใส่ใจที่จะค้นหาความจริง คือ ใครว่าที่ไหนก็ว่าที่นั่น
ทำไมเราจึงไม่ศึกษา เพื่อให้รู้แน่ว่า ความเข้าใจของ บรรพบุรุษ ของเรา ที่ว่า ชมพูทวีป คือ ดินแดนที่เป็นประเทศไทย ลาว และพม่าในปัจจุบัน เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือ ผิดพลาด เพราะการที่เราจะทำการศึกษา ค้นคว้าหาที่ตั้งที่แท้จริงของชมพูทวีปนั้น ย่อมจะนำไปสู่การพิสูจน์ทราบว่า พระพุทธศาสนา เกิดขึ้นที่ไหนกันแน่
เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง และเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของบรรพชนของเราแต่โบราณกาล จากคำกล่าวหาและดูถูกบรรพบุรุษของตน ว่า เป็นผู้มีความรู้ในประวัติศาสตร์ในวงจำกัด ดังที่จะยกสำเนา คำตอบกระทู้ถามที่คณะรัฐบาลสมัยหนึ่ง ได้ตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่นท่านหนึ่ง ที่ตั้งกระทู้ถาม เรื่อง
การชำระประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในคำถามที่ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนให้มีการชำระประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเพื่อค้นหาความจริงของการอุบัติแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทยหรือไม่ อย่างไร ขอทราบรายละเอียด มาให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ดังนี้ว่าก่อนที่จะตอบคำถามนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เอกสารโบราณของไทยที่กล่าวถึงประวัติพระพุทธเจ้าส่วนมากเป็นตำนานพื้นบ้านซึ่งเล่าเรื่องวิถีชีวิตประชาชนในถิ่นนั้นๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้วแต่งเรื่องแบบจินตนาการไปไกลเพื่อรองรับปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในถิ่นนั้นๆ โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดรับสั่งกับประชาชนว่าพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะมาประดิษฐานในที่นั้นๆหลังจากพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่น ตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) ตำนานเมืองโยนก ซึ่งเอกสารเหล่านี้เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง มิได้เขียนขึ้นบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์แต่เขียนตามจินตนาการที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาโดยเปลี่ยนชมพูทวีปเป็นประเทศสยาม เช่น เรียกเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองปาฏลีบุตร เรียกเจ้าผู้ครองนครศรีธรรมราชเป็นศรีธรรมาโศกทุกพระองค์
เพราะการที่จะนำเอา เอกสารโบราณของไทยที่ผู้เขียนมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ในวงจำกัดมาตัดสินประวัติพระบรมศาสดาเอกของไตรโลกว่าเสด็จอุบัติในประเทศไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง บัณฑิตชนไม่สรรเสริญ หากทำก็จะเป็นการบิดเบือนพระพุทธศาสนาสร้างความอับอายขายหน้าแก่ชาวพุทธทั่วโลก .
ยังมีอีกยาวเลยครับแล้วจะนำมาให้อ่านวันพรุ่งนี้ครับ
ที่จริงลงกระทู้ไว้นานแล้วครับแต่น่าจะผิดพลาดกับการลิงค์ตัวอักษร
ขอบคุณ คุณ เชื่อในพระเจ้า ด้วยครับที่กรุณามาอ่านครับ
เทพรักษาเทวาคุ้มครองทั้งครอบครัวครับ