ตามที่พี่ออสได้ยกบทสนทนากับอีกคนมาให้เราๆได้อ่านกัน ส่วนตัวแล้วดิชั้นรู้สึกยอมไม่ได้ ที่บอกว่าพระแม่ยังมีอารมณ์ รัก
โลภ โกรธ หลง อยู่ ยังไงขอนำการตอบจดหมายของท่านอาจารย์กิตติ มาไว้ให้ท่านได้อ่านกัน จะได้เข้าใจในความหมายที่แท้
จริงของการเป็นเทวะคะ
การที่ใครสักคนจะได้ชื่อว่าเป็นเทวะ เทพเจ้า หรือเทวดา ตามแต่จะเรียกกันนั้น คุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีอยู่อย่างสมบูรณ์ คือ พรหมวิหาร ๔ อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา คุณจะเห็นว่า คุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ ไม่มีข้อไหนบอกให้คุณใช้อำนาจบารมีส่วนตัวของคุณลงโทษ ทำให้ใครได้รับทุกขเวทนา หรือสั่งสอนผู้หนึ่งผู้ใดตามอำเภอใจ แม้คนคนนั้นจะทำในสิ่งที่เลวร้ายหรือทำให้คุณไม่พอใจอย่างใดก็ตาม สิ่งที่คุณพึงกระทำต่อผู้นั้นในฐานะที่คุณเป็นใหญ่กว่าเขา ก็คือ อุเบกขา นั่นคือคุณธรรมที่จะทำให้คุณได้เป็นเทวะ
แต่ถ้าคุณยังใช้อารมณ์ส่วนตัว อันประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง เป็นใหญ่ ใครทำอะไรให้คุณไม่พอใจ หรือขัดกับเจตจำนง ทัศนคติ หรือจริยธรรมส่วนตัวของคุณ คุณก็ใช้อำนาจที่เหนือกว่าลงโทษเขา หรือทำร้ายรังแกให้เขาได้รับความวิบัติ มีอันเป็นไปต่างๆ นั่นคือนิสัยอสูร เป็นพฤติกรรมของพวกปีศาจ อสูร และยักษ์
ซึ่งหมายถึงว่า แม้นคุณจะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งสักเพียงใด คุณก็ไม่อาจเป็นเทวะได้ คุณจะเป็นได้แต่สิ่งที่เทววิทยาเรียกว่า เทพอสูร หรือเทพปีศาจ คืออสูรและปีศาจที่มีฤทธิ์เสมอชั้นเทพ ดังที่ผมได้อธิบายไปในการาตอบจดหมายของท่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะคุณไม่มีคุณธรรมที่จะทำให้คุณได้เป็นเทวดา คือ พรหมวิหาร ๔
ดังนั้น สำหรับคำถามของคุณที่ว่าเหตุใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ลงโทษคนเหล่านี้ ก็ตอบได้ว่าเพราะท่านเป็นเทวะ ท่านย่อมปฎิบัติต่อคนเหล่านี้ด้วยพรหมวิหาร ๔ อันเป็นคุณสมบัติของท่าน การเป็นเทพเจ้านั้น มีแต่จะพอใจในการช่วยเหลือผู้คนให้อยู่ดีมีสุข ไม่มีความพอใจในการที่จะทำร้ายรังแกผู้หนึ่งผู้ใด
ส่งท้ายนะค่ะ องค์เทพไม่ว่าจะศาสนาใด ทุกภูมิภาคใดของโลก ย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคืออยากให้เราเป็นคนดี
ประพฤติปฎิบัติตัวดี อยากให้เราเดินตามรอยพระบาทของท่าน เพราะเหตุที่ท่านก็ทรงเป็นเช่นนั้นมาก่อนเช่นกัน